Thursday, 19 June 2025
NEWS FEED

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขยายการผลจับกุมค้นบ้าน นักลงทุนต่างชาติสวมบัตรประชาชนไทย

ตามที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ประจำปี พ.ศ.2565 (APEC 2022 Thailand) ในห้วงระหว่างวันที่ 14 - 19 พ.ย.2565 ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่กำชับให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการระดมกวาดล้าง สืบสวนจับกุม ผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 โดยเน้นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) และความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กำลังจะมีขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ อีกทั้งทำให้การปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปราม สืบสวนจับกุม เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม 

วันนี้ (11 พ.ย. 65) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  โดยพล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต  ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ณภัทรพงศ  สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการขยายผลจับกุม ค้นบ้านนักลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งสวมบัตรประชาชนคนไทย

จากการสืบสวนขยายผลวันนี้ สตม. ได้เข้าทำการตรวจค้นบ้านนายเชา (นามสมมุติ) บริเวณริมถนนภายใน หมู่ ๙ ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย พร้อมด้วยของกลาง ดังนี้

โครงการรถไฟทางคู่ ‘ขอนแก่น-หนองคาย’ เส้นทางสำคัญ เชื่อม ‘ไทย-ลาว-จีน’ กระจายสินค้าสู่ภูมิภาค

เมื่อวานนี้ (10 พ.ย. 65) เพจ ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับ โครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย ซึ่งถือเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมโยง ‘ไทย-ลาว-จีน’ ในการกระจายสินค้าออกสู่ภูมิภาค ไว้อย่างน่าสนใจว่า…

โครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย
จิ๊กซอว์ตัวสำคัญ ของการเชื่อมโยง ไทย-ลาว-จีน กระจายสินค้าสู่ภูมิภาค

จากที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 มานาน ขอกลับมาพูดถึงโครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย ซึ่งถูกวางแผนไว้เป็นโครงการลำดับที่ 1 ที่เตรียมจะอนุมัติก่อสร้าง ภายในปีหน้า (2566) เพื่อเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ ในการเชื่อมโยงโครงการรถไฟระหว่างประเทศ ไทย-ลาว-จีน ในการขนส่งสินค้า และเปลี่ยนถ่ายจากรถไฟลาว-จีน ที่เป็นรางขนาด 1.435 เมตร (European Standard Gauge) เข้าสู่รางรถไฟไทย 1 เมตร (Meter Gauge) 

โดยมีจุดเปลี่ยนถ่าย (Transhipment Yard) ที่ สถานีนาทา รายละเอียดเดิมตามโพสต์นี้
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1061909740914171&id=491766874595130&mibextid=nJa2DX

>> รายละเอียดการโครงการ
ตามรูปแบบการพัฒนารถไฟทางคู่ คือจะมีการก่อสร้างทางรถไฟใหม่ จำนวน 1 ทาง คู่ขนานกับทางรถไฟเดิม เพื่อให้สามารถรองรับการเดินทางได้ปริมาณมากขึ้น และไม่ต้องรอหลีกรถไฟที่สถานี

มีระยะทางรวมทั้งหมด 167 กิโลเมตร แบ่งเป็น
- ทางระดับดิน 153 กิโลเมตร
- ทางยกระดับ 14 กิโลเมตร

โดยการออกแบบ มีมาตรการการออกแบบเพื่อรองรับความเร็วสูงสุดที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เทียบเท่ามาตรฐานของรถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งในเส้นทางปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับปรังรัศมีวงเลี้ยว ให้เหมาะสม กับการออกแบบความเร็ว ใน 3 จุดคือ
- เทศบาลศิลา 
- โนนพยอม
- โนนสะอาด

พร้อมกับมีการยกระดับสถานีรถไฟเพื่อแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟช่วงผ่านเมือง 2 จุดคือ
- สถานีน้ำพอง
- สถานีอุดรธานี

ในโครงการมีสถานีทั้งหมด 14 สถานี แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ สถานียกระดับ, สถานีชั้น 1, สถานีชั้น 2, สถานีชั้น 3  และที่หยุดรถ ได้แก่
- สถานีสำราญ (ชั้น 3) สถานีเดิมรักษาไว้
- ที่หยุดรถห้วยไห สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีห้วยพยอม (ชั้น 3) สถานีเดิมรักษาไว้
- ที่หยุดรถบ้านวังชัย สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีน้ำพอง (สถานียกระดับ) สถานีก่อสร้างใหม่
- ที่หยุดรถห้วยเสียว สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีเขาสวนกวาง (ชั้น 2) สถานีก่อสร้างใหม่
- สถานีโนนสะอาด (ชั้น 2) สถานีก่อสร้างใหม่
- สถานีห้วยเกิ้ง (ชั้น 3) สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีกุมภวาปี (ชั้น 2) สถานีก่อสร้างใหม่
- สถานีห้วยสามพาด (ชั้น 3) สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีหนองตะไก้ (ชั้น 2) สถานีก่อสร้างใหม่
- ที่หยุดรถคำกลิ้ง สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีหนองขอนกว้าง (ชั้น 3) สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีอุดรธานี (สถานียกระดับ) สถานีก่อสร้างใหม่
- สถานีนาพู่ (ชั้น 3) สถานีเดิมรักษาไว้
- สถานีนาทา (ชั้น 2) สถานีก่อสร้างใหม่
- สถานีหนองคาย (ชั้น 1) สถานีเดิมรักษาไว้

โดยการรักษาสถานีเดิมไว้เพื่อการอนุรักษ์ และลดการลงทุนไม่ให้มากเกินไป แต่เพิ่มระบบสาธารณูปโภค และการให้บริการแก่คนทุกกลุ่ม (Universal Design) ในการอำนวยความสะดวกกับผู้โดยสาร เช่น สะพานลอยข้ามชานชาลา และลิฟต์โดยสารเพื่อข้ามชานชาลา พร้อมกับการยกระดับความสูงชานชาลา เป็นรูปแบบชานสูง 1.10 เมตร ตามมาตรฐานใหม่ของการรถไฟ

นอกจากการทำสถานีสำหรับผู้โดยสารแล้ว ก็ยังมีการทำสถานีสำหรับสินค้า หรือลานกองเก็บตู้สินค้า (Containers Yard : CY) เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีการก่อสร้างใน 3 จุดคือ
- สถานีโนนสะอาด
- สถานีหนองตะไก้
- สถานีนาทา (จุดเปลี่ยนถ่ายสินค้า Transhipment Yard) 

ในโครงการจะมีการทำโรงรถจักร เพื่อใช้ในการให้บริการและซ่อมบำรุงของรถจักร และตู้โดยสาร ก่อนและหลังให้บริการ โดยมีการก่อสร้างที่ สถานีนาทา

นอกจากการก่อสร้างงานโยธา ของทางคู่และอื่นๆ ในการปรับปรุงระบบอาณัติสัญญาณ ซึ่งเป็นตัวที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการรถไฟทางคู่ ก็เป็นส่วนสำคัญ โดยการพัฒนารถไฟทางคู่ในปัจจุบัน มีการยกระดับระบบอาณัติสัญญาณใหม่ เป็นมาตรฐาน ETCS Level 1 ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางของยุโรป เพื่อให้รองรับรถไฟหลากหลายมาให้บริการ

'โซเชียล' แซะ Hyperllop อนาคตใหม่ที่ 'ธนาธร' เคยชู เร็วกว่าถูกกว่ารถไฟความเร็วสูง สุดท้ายเป็นที่จอดรถ

(11 พ.ย.65) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Samanya Akkawootwanich ได้โพสต์แชร์มุมมองในฐานะคนเรียนฟิสิกส์เกี่ยวกับโครงการ Hyperloop ของ Space X (อีลอน มัสก์) ที่กำลังถูกรื้อถอน เพื่อใช้พื้นที่ทำเป็นลานจอดรถ กระทบชิ่งไปถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยกล่าวถึงโครงการนี้ว่าเป็นอนาคตใหม่แห่งการเดินทางที่ดีกว่ารถไฟความเร็วสูง ว่า...

ในฐานะคนเรียนฟิสิกส์

Hyperloop ตามความคิดของ Elon Musk เขาลืมคิดถึงหลักสำคัญไปอย่างหนึ่ง คือ...

แรงดึงดูดของโลก Gravity แรงเสียดทาน Friction  มีผลต่อการถ่วงความเร็ว มากกว่าอากาศมาก

หลักแรงผลักของแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดันให้รถไฟความเร็วสูงลอยบนรางคือ หลักการที่มีประสิทธิภาพที่สุด 

พัทยา พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ ช่วงวันหยุดพิเศษ การประชุม APEC 2022

จากที่ ครม. อนุมัติให้วันที่ 16-18 พ.ย. 2565 เป็น 'วันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ' เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี และ จ.สมุทรปราการ ในการประชุม APEC 2022 ซึ่งเมืองพัทยา รวมถึงสถานท่องเที่ยวเมืองพัทยาหลายแห่งได้มีความเตรียมพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้ง 3 จังหวัด กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ ในช่วงวันหยุดพิเศษ

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น เกาะล้าน มีการจองห้องพักในช่วงวันหยุด รวมถึงโรงแรมต่างๆในพัทยาก็มีการจองห้องพักจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวเช่น สวนนงนุชพัทยา มีการร่วมเฉลิมฉลองกับการประชุม APEC โดยนำต้นเฟื้องฟ้ามาประดับตกแต่งให้มีสีสันสวยงาม เพื่อตอนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งในสวนนงนุชพัทยามีสายพันธุ์ต้นเฟื่องฟ้าที่มากที่สุดในโลก

หมอหนุ่มวัย 28 ปี เปิดเพจเล่าเรื่องเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งที่ดูแลสุขภาพอย่างดี ด้านชาวเน็ตแห่ให้กำลังใจ

(11 พ.ย. 65) นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล อาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อายุ 28 ปี เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ได้เปิด เพจ ชื่อ 'สู้ดิวะ' เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ดังนี้...

สวัสดีครับ
วันนี้จะขอแนะนำตัวเองนิดนึงครับ
ผมชื่อ กฤตไท ธนสมบัติกุล ครับ ปัจจุบันอายุ 28 ปีครับ
ผมจะพยายามเล่าให้กระชับที่สุดละกันนะครับ

ผมเกิดในครอบครัวใหญ่ครับ นึกภาพครอบครัวที่มีอากงอาม่า กับหลาน ๆ หลายสิบชีวิตครับ

ผมมีชีวิตวัยเด็กที่มีความสุขมาก ๆ ครับ กินเก่ง เล่นเก่ง พูดเยอะ เป็นเด็กน้อยตาตี่อ้วนกลมที่อารมณ์ดีมาก ๆ ครับ

แต่ชีวิตผมก็มีจุดเปลี่ยนตรงช่วงมัธยมต้น ครอบครัวผมมีปัญหานิดหน่อย พ่อแม่ผมท่านได้ตัดสินใจอยู่ห่างกัน ซึ่งดีต่อท่านทั้งสองจริง ๆ แต่ในมุมของผม มันทำให้ผมต้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะต้องอยู่กับแม่และน้องสาว ผมต้องเป็นผู้ใหญ่ทันที

ซึ่งมองย้อนกลับไป ผมขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนั้นมาก ๆ ที่ทำให้ผมได้อ่านหนังสือ ได้พัฒนาความคิดและทัศนคติตัวเองขึ้นมา ถ้าไม่ได้เจอเรื่องนี้ ผมคงยังเป็นคุณชาย เป็นเด็กมัธยมธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

ผมเป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมากมายตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม คือต้องบอกว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องเพื่อนมากกว่าเรื่องเรียน

ผมได้มีช่วงชีวิต 6 ปีที่ทรงคุณค่าที่สุดในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ผม OSK 131 ครับ

แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าสวนกุหลาบ ผมมีความเป็นสวนกุหลาบอย่างที่สุด และผมมีเพื่อนสวนกุหลาบที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

ผมได้ถูกปลูกฝังให้เป็นสุภาพบุรุษสวนกุหลาบ รักเพื่อน เคารพพี่ นับถือครู กตัญญูพ่อแม่ ดูแลน้อง

หลังจากจบสวนกุหลาบ ผมได้สอบติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่น 56 ครับ

ชีวิตได้ขึ้นเหนือในวัย 18 ปี เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่สำคัญเลยครับ จากเด็กกรุงเทพ ย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเชียงใหม่

โอเค ผมเรียนหมอ 6 ปีครบตามเวลา ไม่ขาดไม่เกินครับ เนื่องจากว่าผมมาเชียงใหม่คนเดียว จึงได้มามีเพื่อนใหม่ที่นี่ทั้งหมด ผมโคตรรักพวกมันเลย เพื่อนชาวเหนือ พาผมไปกินอาหารแปลก ๆ เรียนรู้วัฒนธรรม คำเมือง การใช้ชีวิต ซึ่งทุกอย่างมันมาผ่านบาสเกตบอลครับ ผมเป็นนักบาสเกตบอลของคณะแพทย์เชียงใหม่ที่ยิ่งใหญ่ครับ เรื่องราวเยอะมาก ๆ

คราวนี้ผมเรียนจบหมอละ ก็เรียนต่อเฉพาะทางต่ออีก 3 ปีทันทีเลยครับ

ผมเลือกสาขา เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) เป็นแพทย์ใช้ทุนร่วมกับเรียนต่อเฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ครับ เรื่องแฟมเมดเองก็เล่าได้อีกหนึ่งตอนใหญ่ ๆ เหมือนกันครับ ทำไมคนแบบผม ที่หยิบคนมาสิบคนก็ไม่มีใครบอกว่าผมดูเป็นหมอแฟมเมด แต่ทำไมผมถึงเลือกเรียนสาขานี้ และ ที่สำคัญคือทำไม ผมถึงเลือกที่เมื่อเรียนจบแล้ว ผมกลับไม่ได้ปฏิบัติงานในฐานะหมอแฟมเมด แต่กลับย้ายมาทำงานสายระบาดวิทยาคลินิก น่าสนุกใช่ไหมครับ ไว้เรามาว่ากันครับ

ระหว่างที่เรียนเฉพาะทาง ผมก็ฟิตมากพอที่จะไปศึกษา สาขาเฉพาะทางอีกอันหนึ่งคือ ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) สาขาที่เรียกได้ว่าหลายคนในประเทศไทยอาจจะยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ แต่หลัก ๆ คือเป็นศาสตร์ของการตอบโจทย์ ตอบปัญหาของหมอในกระบวนการรักษาคนไข้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสถิติ สร้างผลงานวิจัยเพื่อช่วยให้กระบวนการดูแลคนไข้นั้นดีขึ้นครับ

และ

ผมยังฟิตกว่านั้น ด้วยการเรียนปริญญาโท วิทยาการข้อมูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Data Science) อีกใบพร้อมกันไปเลย สนุกมากครับ ปัจจุบันก็เรียนจบด้วยดี กำลังจะรับปริญญาแล้วครับ ได้เรียนรู้เรื่องข้อมูล เรื่องแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหาด้วยแนวคิดทาง DS และวิธีการจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อพร้อมรับมือกับโลกอนาคตครับ

เคลียร์ความจริง!! จาก 10 ข้อบิดเบือนเรื่อง ม.112 หากไม่อยากเฉียดคุก อย่าหลงเชื่อการปั่นแบบผิดๆ

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ‘ม.112’ ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะในม็อบ ในสภา หรือแม้แต่ในโลกโซเชียลก็ตาม

ทว่า…สิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง ม.112 นั้น ดูจะผิดทางไปเยอะเลย เพราะบางคนเอาแต่คิดว่าเป็นกฎหมายไม่ยุติธรรม บางคนถึงขั้นสาปแช่ง ด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ ทั้งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจกฎหมายมาตรานี้อย่างถ่องแท้ด้วยซ้ำ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 65 ช่องยูทูบ ‘Lue History’ ได้โพสต์คลิปความยาว 4.52 นาที อธิบายเรื่อง ม.112 โดยใช้ชื่อคลิปว่า ‘เคลียร์ชัดๆ กับ 10 ข้อบิดเบือนเรื่อง ม.112’ ซึ่งเป็นการนำคลิปที่พูดถึงม.112 ในทางบิดเบือนและเผยแพร่ในโลกออนไลน์ มาเป็นตัวอย่างประกอบ โดยเนื้อหาในคลิปทั้งหมดระบุว่า…

1.) ใครจะแจ้งความก็ได้ เพราะมาตรา 112 อยู่ในหมวดความมั่นคง เป็นอาญาแผ่นดินไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหายก็ฟ้องได้ จากสถิติครึ่งหนึ่งก็เป็นประชาชนนี่แหละ ที่ฟ้องกันเอง 
>> Lue History อธิบายว่า ถูกต้องแล้ว ใครก็แจ้งความได้ ใจคอจะให้ในหลวงมาแจ้งความด้วยตัวเองเลยหรือไง? แล้วที่มาบอกว่าอยากจะแจ้ง ก็เดินไปแจ้งที่สน. ได้เลยเนี่ย อันนี้ไม่ถูก เพราะการจะแจ้งความในมาตรานี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะต้องไปพร้อมเอกสารที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นตำรวจไม่รับแจ้งความ

2.) คดีออนไลน์จะแจ้งความจากที่ไหนก็ได้ เพราะอำนวยความสะดวกให้ผู้ฟ้อง 
>> Lue History อธิบายว่า คดีออนไลน์ ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ฟ้อง ไม่ใช่ผู้กระทำผิด ส่วนหากกังวลเรื่องการกลั่นแกล้งนั้น ก็เกี่ยวโยงกับข้อแรกเต็มๆ เพราะหากไม่ได้กระทำผิด แล้วไปฟ้องแจ้งความเพื่อกลั่นแกล้งกัน ก็จะโดนข้อหา แจ้งความเท็จ ติดคุก 5 ปี ฉะนั้นหากไม่ได้ทำผิด ไม่ต้องกลัว!!

3.) ตามกฎหมายแล้วตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษาที่รับคดีมาจะไม่มีอำนาจตัดสินใจเอง เพราะต้องผ่านคณะกรรมการกลางที่มีตำรวจระดับสูง และผู้พิพากษาระดับสูงก่อน 
>> Lue History อธิบายว่า นี่คือเหตุผลว่า การฟ้องมาตรา 112 ไม่ได้ทำกันง่ายๆ ไม่ได้กลั่นแกล้งกันง่ายๆ เพราะว่ามีขั้นตอนการกลั่นกรองตรวจสอบ 

4.) คดี 112 เป็นคดีนโยบาย รัฐบาลจะสั่งให้หยุดใช้เมื่อใดก็ได้ และที่ผ่านมาก็มีการบังคับใช้เป็นระลอก ตามช่วงเวลาสำคัญทางการเมือง
>> Lue History อธิบายว่า ไม่มีหรอกคดีนโยบาย และรัฐบาลจะสั่งให้ใช้หรือไม่ให้ใช้ไม่ได้ เพราะ ม.112 เป็นมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญ (กฎหมายสูงสุด) แม้แต่ในหลวงก็สั่งไม่ได้ เพราะในหลวงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และเช่นกันถ้ามีใครมาร้องเรียนแล้วมีหลักฐานเพียงพอ ถ้าภาครัฐไม่ปฏิบัติตาม ถือว่ามีความผิดมาตรา 157 

'อลงกรณ์' คิกออฟงาน 'ประเพณีแรกนาเกลือ' ครั้งแรกของประเทศส่งเสริมวัฒนธรรมซอฟท์เพาเวอร์ผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ภายใต้แผนพัฒนาเกลือทะเลไทย

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานอนุรักษ์และสืบสาน 'ประเพณีแรกนาเกลือ'เต็มรูปแบบภูมิปัญญาด้านเกลือทะเล ครั้งแรกของประเทศในวันนี้ที่ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

นายอลงกรณ์ กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานอนุรักษ์และสืบสาน 'ประเพณีแรกนาเกลือ' ครั้งนี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งแรกแบบเต็มรูปแบบภูมิปัญญาและวัฒนธรรมการทำนาเกลือทะเล ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่น ๆ ที่มีการประกอบอาชีพทำนาเกลือทะเล ได้แก่ เพชรบุรี สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี และปัตตานี ได้นำไปประยุกต์ในการจัดงานในปีต่อ ๆ ไป ถือเป็นการรื้อฟื้นประเพณีโบราณของนาเกลือเพื่อความเป็นสิริมงคลฤกษ์งามยามดีสู่ผลผลิตที่สมบูรณ์ต่อยอดด้วยมาตรฐานและคุณภาพใหม่ (มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายสร้าง Story สร้างแบรนด์ด้วยการตลาดยุคดิจิทัลและแนวทางซอฟท์เพาเวอร์(Soft power) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้จัดงานสืบสานประเพณี 'ทำขวัญเกลือ' เป็นครั้งแรกที่อำเภอบ้านแหลมจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่28 มกราคม 2565ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ภายในงานนี้ยังมีการจัดนิทรรศการของหน่วยงานภาคีเพื่อเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ในด้านต่าง ๆ เช่น ทิศทางในการพัฒนาเกลือทะเลไทย ปี 2566 – 2570 จากสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย กรมส่งเสริมการเกษตร การพัฒนาเกลือทะเลให้มีคุณภาพและมาตรฐาน (GAP เกลือทะเล) จากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ การแสดงเทคโนโลยีการพัฒนาต้นแบบรถลำเลียงเกลือแบบตัวตักด้านหน้ากึ่งอัตโนมัติ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี และการเชื่อมโยงการทำนาเกลือกับกิจกรรมอื่น ๆ เช่น แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร การสร้างรายได้เสริมนอกฤดูกาลการทำนาเกลือ อาทิ การเลี้ยงสัตว์น้ำประมงชายฝั่ง การเพาะเลี้ยงและการแปรรูปสาหร่ายพวงองุ่น และการแปรรูปเกลือทะเลเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเกลือทะเล เช่น อาหารทะเลแปรรูป แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และร้านอาหารและที่พักที่อยู่ในการท่องเที่ยวเส้นทางเกลือ ภายใต้แนวคิด 'Salt Sand Seafood'

“เกลือทะเลนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ไทย ส่วนประวัติศาสตร์เกลือโลกนั้นในยุโรปยุคกรีก-โรมันเรียกเกลือว่า สสารแห่งพระเจ้า เป็นยุทธปัจจัยและสารอาหารที่สำคัญมาก สำหรับประเทศไทยมีการทำนาเกลือมากว่า800ปีการฟื้นฟูให้ความสำคัญกับพิธีแรกนาเกลือและพิธีทำขวัญเกลือจึงเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเกลือทะเลไทยเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและสร้างแบรนด์เกลือทะเลไทย” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

'ประเพณีแรกนาเกลือ' เป็นการประกอบพิธีกรรมการเริ่มทำนาเกลือในฤดูกาลใหม่ ที่จัดขึ้นก่อนเริ่มทำนาเกลือในแต่ละปี คือประมาณเดือนพฤศจิกายนหรือช่วงหลังออกพรรษา โดยถือฤกษ์ยามอันดีคือตรงกับวันพฤหัสบดีและวันธงชัย ในเวลาเช้าของวัน ตั้งแต่ 07.00 เป็นต้นไป ผู้ทำพิธีจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยชาวนาเกลือมีความเชื่อว่าเป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นจากความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลในการทำนาเกลือ ทำให้การทำนาเกลือมีความราบรื่น ไม่มีอุปสรรค และได้ผลผลิตเกลือเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การทำนาเกลือได้ผลผลิตตามที่ต้องการ และประสบผลสำเร็จในการทำนาเกลือ จึงมีพิธีเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยของมงคล อาทิ ขนมต้มแดงต้มขาว ขนมขี้หนู ไข่ต้ม หัวหมู เป็ดพะโล้ และผลไม้มงคล 9 อย่าง เป็นต้นการจัดงานเริ่มจากพิธีสงฆ์ โดยพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ รับประเคนภัตตาหารเช้า และให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วจึงเริ่มประกอบพิธีแรกนาเกลือ โดยพราหมณ์หรือเจ้าพิธีทำพิธีบวงสรวงเชิญเทพยดา ถวายเครื่องสักการะเป็นเครื่องบูชาในการประกอบพิธีแรกนาเกลือ ประธานในพิธีและแขกผู้มีเกียรติจุดธูปเทียนสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นำกระทงบรรจุขนมมงคลไปวางอยู่บริเวณหูนา นำพลั่วขุดดินขานานำน้ำแก่เข้านาเพื่อเริ่มการทำนาเกลือทะเล โดยประธานประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พร้อมลั่นฆ้องเพื่อเป็นสัญญาณการเริ่มต้นการแรกนาเกลือ บริเวณนาเกลือเพื่อเป็นสิริมงคล เป็นอันเสร็จพิธี

พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เชิญหน่วยข่าวกรองด้านความมั่นคงทั้งตำรวจ ทหาร และพลเรือน เพื่อประชุมด้านการข่าวความมั่นคง

(10 พ.ย. 65) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และพล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เชิญหน่วยข่าวกรองด้านความมั่นคงทั้งตำรวจ ทหาร และพลเรือน เพื่อประชุมด้านการข่าวความมั่นคง ติดตามสถานการณ์ และร่วมกันประเมินภัยคุกคามด้านต่าง ๆ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวและการสืบสวน (CCOC) เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 65 โดยมี 4 ภารกิจที่สำคัญ ได้แก่
​1. การตรวจสอบจุดสูงข่มในพื้นที่ กทม. สถานที่พัก หอประชุม เส้นทางต่าง ๆ
​2. การตรวจสอบและเก็บรวบรวมใบหน้าบุคคลและทะเบียนยานพาหนะ
​3. การเตรียมข้อมูลด้านการข่าว จำนวน 25 สถานที่ ตลอดจนการป้องกันเหตุร้ายต่าง ๆ
​4. การแสวงหาความร่วมมือภาคประชาชนและการจัดทำโครงการ Stop Walk & Talk

คนไทยในชิคาโก ปลื้ม!! ได้เจอ ‘ลิซ่า’ ตัวจริง!! แถมได้ทำเมนู ‘ลูกชิ้นยืนกิน-ส้มตำ’ ให้ทานอีกด้วย

เรียกว่าทำเอาชาวบลิ๊ง หรือแฟนคลับของวงแบล็กพิงก์ ฮือฮากันอีกครั้ง เมื่อ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล แห่งวง Blackpink ที่กำลังทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกาอยู่นั้น โดยช่วงเวลานี้ สาว ๆ กำลังทัวร์กันอยู่ที่ United Center ชิคาโก

ซึ่ง ลิซ่า ได้ออกมาโพสต์ภาพลงในสตอรี่อินสตาแกรม เป็นภาพอาหารไทย อย่างลูกชิ้นยืนกิน ขนมถ้วย ชาไทย และขนมเปี๊ยะลาวา จนหลายคนบอกว่า ต้องเป็นเมนูฮิตเมนูต่อไป หลังจากเธอได้ออกมากินโรตีสายไหม จนทำให้เป็นกระแสไปก่อนหน้านี้

ล่าสุด ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Nuttanon Inkaew ซึ่งอยู่ที่ร้านอาหารไทย Krung Thep Thai Cuisine ในชิคาโก ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าความประทับใจว่า

“วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่สุดแสนประทับใจ ไม่คิดว่าจะมีโอกาสใกล้ชิด ได้ดูแล ใกล้ๆ ขนาดนี้ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาส ได้ทำอาหารให้น้องกิน ตอนแรกที่เดินออกมา แล้วเห็นน้องแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ขนลุกซู่!!! ทำอะไรไม่ถูกเลย ดีใจมากๆๆๆ

ตอนไปคุยกับน้อง ๆ เฟรนลี่มาก เราถามน้องว่าอยากกินลูกชิ้นยืนกินมั้ย น้องตอบว่ามีด้วยหรอคะ เราก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ทำให้ เป็นพิเศษสำหรับน้อง น้องยิ้มและดีใจ พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ เราก็รีบเขาไปทำอาหารให้น้องทันที ในใจตอนนั้นคือถามตัวเองกูฝันไปรึป่าววะ ???

น้องสั่ง ตำป่าน้ำปู แอดกุ้งสด แอดขนมจีน เราจัดชุดใหญ่ให้น้องเลยเสิร์ฟใส่ถาดพร้อมเครื่องเคียง น้องสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือ ยำกุ้งสดไข่เเดง ผักบุ้งหมูกรอบ ข้าวผัด ฯลฯ แล้วเราก็ทำลูกชิ้นยืนกินมาให้น้อง แล้วถามน้องว่าอาหารโอเคมั้ยคับ น้องยิ้มแล้วตอบมาว่าอร่อยมากค่ะ ไม่ได้กินแบบนี้มานานแล้ว ที่เกาหลีก็ไม่มี แล้วเราก็ปล่อยให้น้องกิน

เราแอบมองน้องกิน เห็นน้องกินส้มตำ อย่างเอร็ดอร่อย ตบท้ายด้วยของหวาน ขนมถ้วย น้องสั่งอาหารเยอะ กินไม่หมด น้องน่ารักมากขอห่อกลับไปกินที่โรงแรม เราก็เอาอาหารไปแพคให้น้องกลับบ้าน จากนั้นน้องก็บอกเช็กบิล

นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตรวจเยี่ยมร้านปันรักษ์ทั้ง 4 สาขา เตรียมพัฒนาต่อยอด มุ่งสร้างรายได้ให้ครอบครัวตำรวจ อย่างยั่งยืน

วันนี้ 10 พฤศจิกายน 2565 ที่สมาคมแม่บ้านตำรวจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วย คุณนิภาพรรณ สุขวิมล อุปนายกสมาคมฯ พร้อมคณะได้ตรวจเยี่ยม ร้านปันรักษ์ คาเฟ่ สาขาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

โดยมี คุณวัชรี แก้วแสงเอก ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล, คุณลภัทธิตา จินตกานนท์ รองประธานชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล และ คณะแม่บ้านตำรวจนครบาล ให้การต้อนรับ ก่อนจะเดินทางเยี่ยมร้านปันรักษ์ สาขาโรงพยาบาลตำรวจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top