Monday, 28 April 2025
CRIMES

ตม.จว.ชุมพร ร่วมจับกุม ขบวนการนำพาคนจีน-มาเลเซีย เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ชนกฤดิ พงษ์ศิริ สวญ.ตม.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พ.ต.ต.สันติ มณีรัตน์ สว.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ภ.จว.ชุมพร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละแม ภ.จว.ชุมพร ตั้งจุดตรวจความมั่นคงทุ่งสวรรค์ ถ.เอเชีย 41 (ขาขึ้นกรุงเทพฯ) ต.สวนแตง อ.ละแม จ.ชุมพร ขณะปฏิบัติหน้าที่พบรถตู้โดยสารไม่ประจำทางต้องสงสัย ทะเบียนภูเก็ต จึงขอทำการตรวจค้นรถคันดังกล่าวพบ นายธนัตถ์กรณ์ อายุ 47 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ขับขี่ ภายในรถพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนและมาเลเซีย รวม 6 คน  มีหนังสือเดินทาง 4 คน แต่ไม่ผ่านการตรวจอนุญาตฯ และ 2 คน ไม่มีหนังสือเดินทาง จึงได้จับกุม นายธนัตถ์กรณ์ ข้อหา “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และจับกุมบุคคลต่างด้าวทั้ง 6 คน ข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำส่ง พงส.สภ.ละแม จว.ชุมพร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผล ของ ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6 โดยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทาง, ซักถามผู้ต้องหา, ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และเส้นทางการเงิน นายธนัตถ์กรณ์ ให้การว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายประสิทธิ์ (ทราบชื่อภายหลัง) ซึ่งรู้จักกันมาหลายปี โดยมีหลักฐานการโอนเงินจากนายประสิทธิ์ ให้นายธนัตถ์กรณ์ เป็นค่าจ้าง จำนวน 3,300 บาท ติดต่อให้รับคนต่างด้าว จำนวน 6 คน ที่โรงแรมในตัวเมืองหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา เพื่อไปส่งที่กรุงเทพฯ บริเวณ ถนนพระราม 2 ในราคา 16,000 บาท โดยมีนายปวิตร (ลูกชายของนายประสิทธิ์) ทำหน้าที่ประสานงานและให้การช่วยเหลือในการกระทำความผิดครั้งนี้ด้วย จึงได้ประสาน ตม.จว.สงขลา และ กก.สส.บก.ตม.6 ตรวจสอบข้อมูลกล้องวงจรปิดที่โรงแรม พบว่ามีนายจิรพัทธ์ ทำหน้าที่เปิดห้องพักให้คนต่างด้าวเข้าพักที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา

และนายบาราเห็งทำหน้าที่รับขนคนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้มาส่งที่โรงแรมใน อ.หาดใหญ่ จากการตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเงิน พบว่านายประสิทธิ์ ได้รับการว่าจ้างจากนายอุทัย โดยมีหลักฐานการโอนเงินทางบัญชี และนายอุทัย ได้รับการว่าจ้างต่อจากนางยัน สัญชาติเมียนมา โดยมีหลักฐานการโอนเงินจาก น.ส.สุทิศา ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของนางยัน และยังตรวจสอบพบหลักฐานการโอนเงินของนายมาหมัดให้นายบาราเห็ง เพื่อเป็นค่าจ้างในการขนคนต่างด้าวด้วย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.ละแม จว.ชุมพร เพื่อประกอบการขอออกหมายจับต่อไป

ต่อมา พงส.สภ.ละแม ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดหลังสวนออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังนี้

1. นายบาราเห็ง ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 58/2564 ลง 11 มิ.ย.64

2. นายจิรพัทธ์ หรือป้อม ตามหมายจับศาลจัวหวัดหลังสวนที่ 61/2564 ลง 11 มิ.ย.64

3. นายประสิทธิ์ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 60/2564 ลง 11 มิ.ย.64

4. นายปวิตร หรือบอย ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 59/2564 ลง 11 มิ.ย.64

5. นายมาหมัด หรือมามะ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 66/2564 ลง 23 มิ.ย.64 (หลบหนี)

6. นายอุทัย หรือดำ ตามหมายจับศาลจังหวัดหลังสวนที่ 67/2564 ลง 23 มิ.ย.64 (หลบหนี)

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

 

ตม.สงขลา ร่วม สืบ ตม.6 ทลายเครือข่ายลักลอบ ช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเข้าเมืองฯ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ ผกก.สส.บก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวจับกุมคดีคนต่างชาติกระทำความผิดรายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6, สภ.หาดใหญ่ และ ส.รฟ.หาดใหญ่ กก.3 บก.รฟ. ทลายเครือข่ายลักลอบ ช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง รายสำคัญ โดยได้จับกุมนายโสภณ หรืออ้วน อายุ 46 ปี สัญชาติไทย นายหน้าผู้ให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวขณะพยายามลักลอบขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปกรุงเทพมหานคร โดยกล่าวหาว่า “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวนั้นพ้นการจับกุมจากพนักงานเจ้าหน้าที่” พร้อมคนต่างด้าว รวม 3 คน (สัญชาติจีน 2 คน สัญชาติ มาเลเซีย 1 คน) โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณชานชาลาที่ 3 สถานีรถไฟหาดใหญ่ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา นำส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนขยายผลโดยการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์, ข้อมูลเส้นทางการเงิน, ตรวจสอบกล้องวงจรปิด รวมไปถึงปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายต้องสงสัย ทราบว่าก่อนเกิดเหตุคนต่างด้าวทั้ง 3 คน หลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้าน จว.นราธิวาส โดยการชักชวนของนายหน้าสัญชาติมาเลเซียซึ่งติดต่อกับนางยัน อายุ 54 ปี สัญชาติเมียนมา และนายหว่อง อายุ 54 ปี สัญชาติมาเลเซีย นายหน้าฝั่งประเทศไทย ต่อมาเมื่อคนต่างด้าวสามารถลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรได้แล้ว

นายหว่อง จะทำการติดต่อนายบาราเห็ง อายุ 58 ปี สัญชาติไทย ให้นำพาคนต่างด้าวมาพักคอยที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่บ้านด่านนอก ต.สำนักขาม อ.สะเดา จว.สงขลา จำนวน 1 คืน ก่อนที่นายหว่อง จะรับคนต่างด้าวทั้งหมดมาส่งต่อให้นายโสภณ ที่ อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา เพื่อที่นายโสภณ จะได้รับช่วงนำพาคนต่างด้าวต่อไปยังกรุงเทพฯ ก่อนที่จะถูกจับกุม ซึ่งคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองชี้ภาพยืนยันว่านายบาราเห็ง เป็นผู้ครอบครองรถแทกซี่และเป็นผู้ขับขี่รับพวกตนพามาส่งที่โรงแรม

ต่อมาชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา นำหมายค้นศาลจังหวัดนาทวี ที่ ค. 16/2564 เข้าตรวจค้นที่บ้านนางยัน ผลการตรวจค้นพบนางยัน หรือ อาชิว อายุ 53 ปี สัญชาติเมียนมา พักอาศัยอยู่ พบหลักฐานสมุดบัญชีที่ใช้ โอนเงินให้นายโสภณ เป็นค่านำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง, โทรศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อ และหลักฐานอื่น ๆ รวม 16 รายการ นำส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ และ พงส. ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหานางยัน ในข้อหา “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุมจากพนักงานเจ้าหน้าที่” รวมทั้งต่อมานายบาราเห็ง อายุ ๕๘ ปี สัญชาติไทย ได้มามอบตัวและ พงส.สภ.หาดใหญ่ ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบแล้ว ส่วนนายหว่อง อายุ ๔๕ ปี สัญชาติมาเลเซีย พงส.สภ.หาดใหญ่ ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดสงขลา ออกหมายจับนายหว่อง ตามหมายจับ ศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.217/2564 ลง 24 มิ.ย.64 และต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายหว่อง ตามหมายจับดังกล่าว ส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

ตม.จว.ตาก เข้มกลางดึก สกัดจับหนุ่มไทยคาด่านตรวจ ขณะขับกระบะซุก 4 ชาวจีน หวังออกชายแดนข้ามไปเมียวดี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อเศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5, พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้ร่วมกันตั้งจุดตรวจจุดสกัดที่บ้านบ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุพบรถยนต์ต้องสงสัย จากการตรวจสอบพบผู้ถูกจับที่ 1 คือ นายอาทิตย์ อายุ 43 ปี สัญชาติไทย อาศัยที่ ม.8 ต.เหมืองจี้ อ.เมืองลำพูน จว.ลำพูน เป็นผู้ขับขี่ และทำการตรวจสอบภายในรถยนต์พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน คือ MR.WANG อายุ 22 ปี สัญชาติจีน พร้อมพวกรวม 4 คน จึงขอตรวจสอบเอกสารการเดินทาง จากการตรวจสอบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ทั้ง 4 ราย ปรากฏว่าไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางหรือเอกสารที่ใช้แทนหนังสือเดินทางมาแสดง รับว่าตนเดินทางจากประเทศจีน เข้า สปป.ลาว ลักลอบเดินทางเข้าประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติทาง อ.เชียงแสน จว.เชียงราย แล้วมีคนมารับช่วงต่อมาส่งที่ปั้มแห่งหนึ่งใน อ.ดอยสะเก็ด จากการสอบถามผู้ขับขี่ ผู้ขับขี่ให้การว่า ตนรับผู้ต้องหาจากปั้มน้ำมัน พี.ที. อ.ดอยสะเก็ด จว.เชียงใหม่ เพื่อนำมาส่งในพื้นที่ อ.แม่สอด จว.ตาก โดยได้รับการว่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดีต่อไป

>> ผู้ถูกจับที่ 1 ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม”

>> ผู้ถูกจับที่ 2 – 5 (ช.4) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” 

รถยนต์ของกลาง คือ รถยนต์ส่วนบุคคล สีเทาทะเบียนเชียงใหม่ เหตุเกิด ณ บ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จว.ตาก

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

ตำรวจสืบสวนแม่จันร่วมกันสกัดจับ 2 ชาวเขา ลำเลียงยาบ้า 100,000 เม็ด จากชายแดนเตรียมส่งให้ในพื้นที่อำเภอแม่จันได้สารภาพพ้นโทษมา 1 เดือน อยู่ในระหว่างคุมประพฤติและสวมกำไล EM ที่ข้อเท้า

เวลาประมาณ 20.30 น. วันที่ 14 ก.ค.64. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.แม่จัน เชียงราย ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พ.ต.อ.ทรรศ์ธนสรณ์ จุฑารัตน์ ผกก.สภ.แม่จัน พ.ต.ท.พันชาติ สมตัว รอง ผกก.สส.สภ.แม่จัน นำโดย พ.ต.ต.อนุชาติ วงศ์ปัญญา สว สส.สภ.แม่จัน ร.ต.อ.ผดุง ท้ายเรือนคำ พร้อมกำลังชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันทำการจับกุม นายอาลอง คะหล่า อายุ 34 ปี ชาว ม.6 ต.แม่ไร่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย และนายอาเหอะ คะหล่า อายุ 42 ปี ชาว ม.6 ต.ป่าซาง อ.แม่จัน จ.เชียงราย พร้อมด้วยของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวนประมาณ 100,000 เม็ด ห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีชมพู อีกชั้นห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกสีดำและห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกใสอีกชั้นหนึ่ง 

ด้วยการจับกุมในครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่สืบสวน สภ. แม่จัน สืบทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากชายแดนพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงเพื่อมาส่งมอบให้พื้นที่อำเภอแม่จันทางเจ้าหน้าที่จึงได้ออกติดตามหาข่าวจนกระทั่งพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า เวฟ สี แดง-ขาว ทะเบียน คตจ 984 เชียงราย มี นายอาลอง คะหล่า ขับขี่มา ที่บริเวณพื้นที่ ถนนซอยข้างโรงงานดอยคำ บ.ป่าห้า ต.ป่าซาง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ท่าทางมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบพบว่าที่ข้อเท้าซ้ายของนายอาลอง มีกำไร อีเอ็ม สวมอยู่ จึงได้ทำการขอตรวจสอบอย่างละเอียด ระหว่างนั้นได้มี รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า เวฟ สี น้ำเงิน ทะเบียน 1กล 4593 เชียงราย ที่นายอาเหอะ คะหล่า ขับขี่มา เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้นนายอาลอง ก็แสดงท่าทางมีพิรุธเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวไว้จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่ ภายในถุงพลาสติกใส อยู่ในรถจักรยานยนต์ของนายอาลอง เมื่อเปิดออกพบว่าภายในมียาบ้าของกลางจำนวนประมาณ 100,000 เม็ด 

จากการสอบสวนทราบว่าทั้งสองคนได้ นายอาลอง ให้การว่าได้พึ่งพ้นโทษจากเรือนจำมาได้ประมาณ 1 เดือนและอยู่ในช่วงคุมประพฤติจึงได้สวมกำไลอีเอ็ม ไว้ที่ข้อเท้า แต่ก็มารับจ้างขนยาบ้าโดยให้การรับสารภาพว่าได้นำยาบ้าดังกล่าวมาจากพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงจังหวัดเชียงรายเพื่อมาส่งมอบในพื้นที่อำเภอแม่จันแต่ว่าจะมีคนโทรมาอีกครั้งว่าจะให้นำไปส่งที่ใด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหา "มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” ก่อนจะนำส่งร้อยเวรสอบสวน สภ.แม่จัน ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

สตม. รวบคู่สามีภรรยา ขับรถซุก 2 สาวเวียดนาม หวังออกชายแดนแม่สอด ขยายผลได้หลักฐานเด็ดรวบเพิ่ม 2 หนุ่มใหญ่พานั่งเครื่องจากชายแดนใต้บินเข้ากรุง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อเศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.ท.จักกราวุฒิ สุภาภรณ์ประดับ สว.ตม.จว.กำแพงเพชร ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดกำแพงเพชร และ สภ.เมืองกำแพงเพชร ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายกฤตภาส์ และ น.ส.ธนาวดี พร้อมของกลางรถยนต์ทะเบียนหนองบัวลำภู ซึ่งใช้เป็นพาหนะในการขับนำคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 2 คน คือ MISS.DO อายุ 28 ปี และ MISS.NGUYEN อายุ 24 ปี เดินจาก กทม. - อ.แม่สอด จว.ตาก ส่ง พงส.สภ.เมืองกำแพงเพชร ดำเนินคดี

พฤติการณ์ ตามวันเวลาเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม พบนายกฤตภาส์ และ น.ส.ธนาวดี ขับรถยนต์ของกลางนำคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามดังกล่าวเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไป อ.แม่สอด จว.ตาก จึงจับกุม ส่ง พงส.สภ.เมืองกำแพงเพชร จากนั้นได้ทำการขยายผลโดยซักถามคนต่างด้าวทราบว่าคนต่างด้าวได้หลบหนีเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติชายแดนมาเลเซีย-ไทย ด้าน อ.สะเดา จว.สงขลา จากนั้นได้มีชายไทย 2 คน พามาที่สนามบินหาดใหญ่ ซื้อตั๋วโดยสารให้ และโดยสารเครื่องสายการบินแอร์เอเชีย (FD3111) มาส่งคนต่างด้าวถึง ทอ.กรุงเทพฯ โดยนั่งอยู่แถวด้านหน้า จากการตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารและภาพจากกล้องวรจรปิดภายในสนามบินทราบว่าชาย 2 คนดังกล่าวคือ นายสุภชัย และนายโชคอนันต์ จึงได้ให้คนต่างด้าวชี้ยืนยันภาพถ่าย และนำพยานหลักฐานทั้งหมดส่งให้ พงส.สภ.เมืองกำแพงเพชร เพื่อดำเนินคดีกับนายสุภชัย และนายโชคอนันต์ฯ ซึ่งต่อมา พงส. ได้ยื่นคำร้องและศาลจังหวัดกำแพงเพชรได้อนุมัติหมายจับที่ จ.119/2564 และ จ.120/2564 ลง 23 มิ.ย. 64 ให้จับกุมนายสุภชัย และนายโชคอนันต์ มาดำเนินคดี  

                               

ต่อมาเจ้าหน้าที่ ตม.จว.กำแพงเพชร ได้ร่วมกับ บก.ปพ.บช.ก., กก.สส.บก.ตม.6 และ ตม.ทอ.หาดใหญ่ บก.ตม.2 จับกุมตัวนายสุภชัย และนายโชคอนันต์ ส่ง พงส.สภ.กำแพงเพชร ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

สำนักตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยการเรียกค่าไถ่ข้อมูล (Ransomware) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีการเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือ Ransomware ว่า ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับโลกอย่างมากมาย แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้เกิดอาชญากรรมรูปแบบใหม่ขึ้นมา และหนึ่งในอาชญากรรมที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลกนั่น

คือ การเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือ Ransomware ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ข้อมูลจากสื่อต่างประเทศได้ระบุว่า บริษัทไอทีหลายร้อยแห่งในสหรัฐอเมริกา ถูกกลุ่มแฮกเกอร์จากรัสเซียเข้าโจมตีและมีการเรียกค่าไถ่ข้อมูลกว่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

ที่หลายคนต้องทำงานผ่านคอมพิวเตอร์และสื่อออนไลน์ รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ต้องมีการป้องกันและพร้อมรับมือกับอาชญากรรมรูปแบบดังกล่าว ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย

รูปแบบของการเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือ Ransomware จะแฝงตัวมาในรูปแบบของอีเมลล์ที่แนบลิงค์มาด้วย หรือลิงค์ที่แอบแฝงอยู่ในโฆษณาบนเว็บไซต์ต่าง ๆ เมื่อเหยื่อกดเข้าไปที่ลิงค์ดังกล่าว ก็จะเป็นการรับเอามัลแวร์เข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่รู้ตัว จากนั้นมัลแวร์ก็จะแพร่กระจายไปยังข้อมูลต่าง ๆ เมื่อมัลแวร์ได้แพร่กระจายไปครอบคลุมข้อมูลที่บรรดาแฮกเกอร์ต้องการแล้ว ก็จะล็อคข้อมูลดังกล่าว ไม่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ และจะปรากฎข้อความขึ้นมาแจ้งว่าข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกล็อคไว้ หากต้องการปลดล็อคจะต้องจ่ายเงิน ไม่เช่นนั้นจะลบข้อมูล แต่ในช่วงหลังเริ่มมีการข่มขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลสู่สาธารณะหรือนำไปประมูลขาย เป็นต้น

ผู้ที่กระทำลักษณะดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายให้ทุกหน่วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เป็นหน่วยงานหลัก ในการเฝ้าระวัง สืบสวนปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญกรรมทางเทคโนโลยีอย่างจริงจังต่อเนื่องและเร่งสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชน ให้ทราบถึงพิษภัยและรูปแบบการกระทำความผิดต่าง ๆ และเร่งทำการสืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อเป็นการจำกัดความเสียหาย, ตัดโอกาสในการกระทำความผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนถึงแนวทางการป้องกันการถูกเรียกค่าไถ่ข้อมูลหรือ Ransomware โดยต้องสำรองข้อมูลที่สำคัญอยู่เสมอและเลือกใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีคุณภาพ หมั่นตรวจสอบและอัพเดทซอฟต์แวร์ รวมถึงอัพเดทระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ด้วย และควรหลีกเลี่ยงการกดลิงก์หรือไฟล์ที่แนบมากับอีเมลล์ที่ไม่รู้จัก หรือลิงก์น่าที่สงสัยต่าง ๆ นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'ตร.เตือน'​ ควรตรวจสอบก่อนรับเพื่อนในโลกออนไลน์ หากเป็นบัญชีอวตาร อาจเป็นภัยกับตัวเองได้

ตร.เตือน ให้ตรวจสอบก่อนรับเพื่อนในโลกออนไลน์ หากเป็นบัญชีอวตาร อาจเป็นภัยกับตัวเองได้

เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันพี่น้องประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยม เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจี ทวิตเตอร์ เป็นต้น จึงมีการกดรับเพื่อนในโลกออนไลน์ มาเป็นเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหลายๆ​ ท่านไม่มีการคัดกรองบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มาขอแอด หรือ ขอเป็นเพื่อน ทำให้มีบุคคลที่ไม่หวังดี ใช้บัญชีอวตาร​ (Avatar) ในลักษณะที่เป็นบัญชีไร้ตัวตน อาจใช้รูปผู้อื่น ชื่อผู้อื่น ชื่อที่ไม่ใช่ชื่อคนทั่วไป เป็นคำกลอน หรือ ใช้รูปการ์ตูน รูปสิ่งของ หรือ ภาพวิวทิวทัศน์ ฯลฯ มาขอเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์

ซึ่งหากเรารับบัญชีเหล่านี้เป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ เราก็จะถูก​ 'ส่อง'​ หรือติดตามพฤติกรรม ทัศนคติที่เราโพสต์ สถานที่ที่เราไป หรือแม้กระทั่งบ้านที่พักอาศัย สมาชิกในครอบครัว กิจวัตรประจำวัน ฯลฯ ซึ่งมีความเสี่ยงที่ถูกประทุษร้ายทั้งในโลกออนไลน์และโลกความเป็นจริง เช่น ถูกเข้าถึงข้อมูลของเราโดยมิชอบ(Hack), การหลอกลวงฉ้อโกงในรูปแบบต่างๆ (Fraud, Romance Scam, Email Scam), การแชร์ข่าวหรือข้อมูลปลอม(Fake News), นำภาพหรือชื่อเราไปเปิดบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอม อาจถูกข่มขู่ คุกคาม หรือ ประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือร่างกาย เป็นต้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ ยังได้กล่าวต่อไปว่า จากสถิติการรับแจ้งความของ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี​ (บก.ปอท.) ในครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่า สื่อสังคมออนไลน์ที่มิจฉาชีพใช้ประทุษร้ายมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ เฟซบุ๊ก,ไลน์,​ ไอจี ตามลำดับ  ซึ่งพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงความห่วงใยประชาชน จึงได้มีนโยบายในการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนในการป้องกันตัวเองมิให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรในทุกรูปแบบ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังการรับเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ ดังนี้... 

1.ไม่ควรรับคนที่ไม่รู้จักเป็นเพื่อน

2.หากต้องการรับที่ไม่รู้จักมาเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์ ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง มิใช่เป็นบัญชีอวตาร เช่น มีการโพสต์เป็นปกติหรือไม่ หรือมีแต่การแชร์ข่าวต่างๆ เป็นต้น และพิจารณาให้ดีก่อนว่าจะรับบุคคลดังกล่าวเป็นเพื่อนหรือไม่

3.ไม่ควรรับบัญชีที่ใช้ภาพวิวทิวทัศน์ หรือ ไม่ใช้ชื่อ นามสกุล เป็นเพื่อน

4.หากเป็นคำขอเป็นเพื่อนจากบุคคลที่เราไม่รู้จัก และบัญชีดังกล่าวใช้รูปโปรไฟล์ที่ดูดี หน้าตาดี มีฐานะ หรืออ้างว่าเป็นชาวต่างชาติ ให้ระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้ไม่หวังดีแอบอ้างเป็นบุคคลตามภาพ เพื่อเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากเรา

5.ตรวจสอบประวัติการโพสต์ รูปภาพ การเชคอินสถานที่ต่างๆ ตลอดจนวันที่สร้างบัญชี หากเป็นบุคคลจริง มักจะมีการโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัว มีการแสดงความคิดเห็นในโพสต์โดยบุคคลในครอบครัว หรือเพื่อน และบัญชีดังกล่าวถูกสร้างมาเป็นเวลานานพอสมควร หากเข้าเงื่อนไขดังกล่าว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่บัญชีดังกล่าวจะเป็นบัญชีของจริง

6.ไม่ควรตั้งค่าสาธารณะและไม่ควรเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เช่น ทรัพย์สินมีค่า บ้านพักอยู่ที่ใด มีสมาชิกในบ้านกี่คน ช่วงเวลาไหนที่อยู่บ้านคนเดียว หรือไม่มีคนอยู่บ้าน เป็นต้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จับ ‘กัญชาบิ๊กล็อต’ !! ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี แถลงจับ พร้อมขบวนการ

เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอหว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พล.ต.บุญสิน พาดกลาง ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี นายสมศักดิ์ บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ พ.อ.วิระ สอนถม รอง ผอ.รมน.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.จารึก พุ่มระย้า ผกก.สภ.หว้านใหญ่ ร่วมกันแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง สนธิกำลังจับกุมเครือข่ายขบวนการค้ากัญชาข้ามชาติได้ผู้ต้องหา 2 คน พร้อมกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน  528 แท่ง

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายสมศักดิ์  บุญจันทร์ นายอำเภอหว้านใหญ่ ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบกลุ่มคนกำลังขนห่อพลาสติกสีดำขนาดใหญ่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านโป่งขาม อ.หว้านใหญ่ จึงได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กองร้อยเคลื่อนที่เร็วที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หว้านใหญ่ ออกไปตรวจสอบบริเวณพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้งพบนายอาทร มีลา หรือโอม อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 10 ม.4 บ้านนาดี ต.คำใหญ่ อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ และนายธนพงศ์ ศรีประสงค์ หรือไมค์ อายุ 20 ปี บ้านเลขที่ 3 ม.8 บ้านสุขสำราญ ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร พร้อมพวกกำลังช่วยกันขนห่อพลาสติกขนาดใหญ่ขึ้นจากริมฝั่งแม่น้ำโขงมาซุกซ่อนไว้บริเวณป่าละเมาะที่อยู่บริเวณริมตลิ่ง เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันวิ่งหลบหนีแต่เจ้าหน้าที่สามารถติดตามไปควบคุมตัวนายอาทรและนายธนพงศ์ไว้ได้

จากการตรวจสอบบริเวณพื้นที่โดยรอบ พบห่อพลาสติกบรรจุสิ่งของสีดำขนาดใหญ่ถูกวางทิ้งไว้รวม 12 ห่อ เมื่อเปิดออกดูพบว่าภายในเป็นกระสอบบรรจุกัญชาแห้งอัดแท่งหุ้มด้วยแผ่นฟอยล์สีทองรวม 528 แท่ง น้ำหนักประมาณ 528 กก. โดยนายอาทรและนายธนพงศ์ให้การยอมรับว่าร่วมกันขนกัญชาแห้งอัดแท่งจริงและทำมาแล้วหลายครั้ง โดยได้รับค่าจ้างครั้งละประมาณ 4,000 - 7,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ(กัญชา)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และควบคุมตัวพร้อมกับกัญชาแห้งอัดแท่งของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.หว้านใหญ่ เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ชุด ฉก.พญาอินทรีย์ / เดวิท โชคชัย

ดีเดย์บังคับใช้ พรก.ฉุกเฉิน สมุทรปราการเริ่มวันแรกจับจริง หากมีการฝ่าฝืน

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 นายณัชวันก์  อัลภาชน์ เตชะเสน นายอำเภอเมืองสมุทรปราการ พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมือง ออกตรวจเยี่ยมการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจจุดสกัดคัดกรองโควิด- 19 ซึ่งเป็นบูรณาการกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนันผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข 

เพื่อป้องกันการเดินทางข้ามจังหวัด อำเภอ และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ บริเวณด่านตรวจจุดสกัดป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และสกัดกั้นการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิทขาเข้านครบาล หน้าปั้มน้ำมันเชลล์ ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามประกาศคำสั่งการห้อมออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00- 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตามข้อกำหนดมาตร 9 แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 27 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้เป็นวันแรก โดยบังคับใช้อย่างน้อย 14 วัน พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจจุดสกัดทุกนายปฎิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

โดยนายอำเภอเมืองสมุทรปราการ ได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านเครื่องขยายเสียงให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาทราบเรื่องการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างจริงจัง สร้างการรับรู้สร้างความเข้าใจบอกข่าวสารแจ้งประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่บังคับใช้ พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างจริงจัง ห้ามเคลื่อนย้ายห้ามออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00 น. ไปจนถึงเวลา 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น หากพี่น้องประชาชนที่ยังสัญจรไปมาและอยู่นอกเคหสถานโดยไม่มีเหตุจำเป็นหรือเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ก็จะมีความผิดฐาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน

โดยจะมีการตรวจบัตรประชาชน และหนังสือรับรองเหตุผลความจำเป็นจากหน่วยงานของรัฐ ว่าด้วยเหตุใดที่จำเป็นต้องออกนอกเคหสถานในห่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในวันนี้เป็นการดีเดย์วันแรกของการบังคับใช้กฎหมายตาม พรก.ฉุกเฉิน จึงเน้นการเตือนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่ผ่านไปมาได้ทราบและเข้าใจและดูเจตนา และในวันพรุ่งนี้จะเริ่มบังคับใช้กฎหมาย พรก.ฉุกเฉิน อย่างจริงจัง หากยังมีการฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามที่ข้อกฎหมายกำหนดก็จะต้องถูกดำเนินคดีส่งฟ้องศาลต่อไป


ภาพ/ข่าว  ก๊วก สมุทรปราการ

ดีอีเอส-ศปอส.ตร. บุกจับพนันออนไลน์เครือข่าย MGM99 เงินหมุนเวียน 1.2 พันล้าน

ดีอีเอส ประสานความร่วมมือ ศปอส.ตร. วันเดียวบุก 6 จุดเมืองปทุมธานี จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ MGM99 เงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท จ่อใช้ยาแรงทั้ง พ.ร.บ.การพนันฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายฟอกเงิน

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (12 ก.ค. 64) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เข้าสืบสวนติดตามจับกุมเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ เครือข่าย MGM99  โดยจากการสืบสวนพบเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้แก่ ไลน์ไอดี @MGM99VP,@MGM99TH และเว็บไซต์ WWW.PD24H.COM  มีเงินหมุนเวียนในระบบ 1,200 ล้านบาท ดำเนินการมาประมาณ 2 ปี

โดยช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเทคนิคและสืบสวนชุดที่ 1 และ 3   (ศปอส.ตร.)  ได้นำหมายจับผู้ต้องหาศาลแขวงปทุมวันในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และได้ขอหมายค้นจากศาลจังหวัดธัญบุรีเพื่อทำการตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยกระทำความผิด จำนวน 6 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จับกุมผู้ต้องหารวม 18 ราย (ผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 ราย ผู้ต้องหาอื่น 15 ราย) พร้อมตรวจยึดของกลางซึ่งรวมถึงรถยนต์หรู 8 คัน และเงินสดของกลางประมาณ  11 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศหรือโฆษณาโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และความผิดฐาน “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่รวมกันมากกว่า 5 คน) ประกอบคำสั่งจังหวัดปทุมธานี ที่ 6728/64 ลง 11 ก.ค. 64” (เฉพาะจุดตรวจค้นที่ 3)

“เนื่องจากคดีการพนันออนไลน์เป็นความผิดมูลฐาน ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งทาง ศปอส.ตร.จะได้ดำเนินการประสานกับทาง ปปง. เพื่อยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับคดีทั้งผู้ต้องหาหรือผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีฐานฟอกเงินต่อไป” นายชัยวัฒน์กล่าว

สำหรับประชาชนที่พบเห็นหรือทราบถึงการกระทำความผิดของผู้ลักลอบชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ ในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อันเป็นการมอมเมาเยาวชน และทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ สามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เพจอาสาจับตาออนไลน์ https://m.facebook.com/DESMonitor/ ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งมายัง ศปอส.ตร. ได้ที่สายด่วนหมายเลข 1599 และ สายตรง 081-8663000 เวลาราชการ  เพื่อดำเนินการสืบสวนหาพยานหลักฐานจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top