Monday, 28 April 2025
CRIMES

รองโฆษก ตร. เตือนกรณีการแชร์ข้อมูลข่าวปลอม ในหัวข้อ 'น้ำมันเหลือง – น้ำมันเขียว ใช้ทาจมูกหรือทาผ้าปิดจมูกช่วยป้องกันไวรัส' เป็นข่าวปลอม (Fake News) !!

วันที่ 27 ก.ค. 2564 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนกรณีการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมในหัวข้อ น้ำมันเหลือง-น้ำมันเขียว ใช้ทาจมูกหรือทาผ้าปิดจมูกช่วยป้องกันไวรัส โดยทางรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีนโยบายในการสร้างการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้องให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนหรือข่าวปลอม (Fake News) จากผู้ไม่หวังดีที่โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ได้ตรวจพบข่าวปลอมเพิ่มเติมอีก 1 กรณี คือกรณี น้ำมันเหลือง-น้ำมันเขียว ใช้ทาจมูกหรือทาผ้าปิดจมูกช่วยป้องกันไวรัสนั้น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทยได้ตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ เนื่องจากไม่ได้มีข้อมูลวิชาการรับรอง อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุบริเวณทางเดินหายใจได้อีกด้วย

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูล จนกว่าจะตรวจสอบความถูกต้องให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อมิให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกในสังคม รวมถึงเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพด้วย เพราะในปัจจุบันนี้มีข่าวปลอมในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวัน การกระทำของผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป

นอกจากนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com ,เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผลสำเร็จ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนและป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยใช้ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดไร้สาย (Wireless CCTV) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะที่ 1

ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยดำริของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนและป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยใช้ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดไร้สาย (Wireless CCTV) ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระยะที่ 1 โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 จนเสร็จสิ้นโครงการเมื่อมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาในพื้นรับผิดชอบของสถานีตำรวจนครบาลภายใต้ความร่วมมืออย่างดียิ่งจากภาคีภาครัฐและเอกชน จนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์สำคัญของโครงการในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด การป้องกันการก่อเหตุในพื้นที่จุดเสี่ยงอันล่อแหลมต่อการเกิดอาชญกรรม และสร้างความเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“จะทำอย่างไร ให้ประชาชนต้องไม่เกิดความหวาดระแวงภัยอาชญากรรม สามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เดินคนเดียวได้อย่างสบายใจบนถนนตอนกลางคืน” คำกล่าวของ พลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่บัดนี้ กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นจริงแล้วด้วยมันสมองและสองมือของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตนักสืบผู้เชี่ยวกรำในงานสืบสวน ที่ได้ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยมาเสริมเขี้ยวเล็บในงานสืบสวนและป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เพื่อขานรับนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“ทำไมตำรวจต้องทำเอง ในเมื่อกล้องตามท้องถนนมีมากมาย ?” นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดของส่วนราชการอื่นและกล้องของเอกชน ไม่ได้ถูกจัดหามาเพื่อตอบโจทก์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับตำรวจ อาทิ ความล่าช้าอันเกิดจากการต้องประสานงาน การมีจุดติดตั้งที่ไม่ได้มุ่งเน้นจุดเสี่ยงอันล่อแหลมต่อการเกิดอาชญากรรมหรือ “เส้นทางโจร” และปัญหามุมกล้องที่ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กัน ต่างจากกล้องในโครงการ ที่ทีมสืบสวนได้เลือกจุดติดตั้งที่มีประสิทธิภาพจากประสบการณ์ด้วยตนเอง และที่สำคัญจะไม่มีกรณี “กล้องเสีย กล้องหาย กล้องไม่ชัด” ดังที่เห็นเป็นข่าวอยู่บ่อยครั้งอีกต่อไป เนื่องจากตำรวจจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแล และบำรุงรักษากล้องทุกตัวด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ 

​ด้วยนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคใหม่ที่ต้องเน้นการพึ่งพาตนเอง จึงเกิดแนวคิดที่ว่า อาหารฟาสฟู๊ดแบบไทย ๆ  อย่างข้าวผัดกระเพรา ก็อิ่มอร่อยได้ไม่ต่างจากสเต็กจานหรู แถมยังปรุงได้ง่าย รวดเร็ว และราคาถูก ดังนั้นกล้องวงจรปิดหรือกล้อง CCTV จึงไม่จำเป็นต้องใช้ของแบรนด์เนมราคาแพง และมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูงเกินความจำเป็น อีกทั้งยังมีขั้นการจัดซื้อจัดจ้างที่ยุ่งยาก ไม่ทันต่ออาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังรุนแรงในปัจจุบัน

โครงการนี้จึงเปรียบเหมือนผัดกระเพราอาหารราคาถูก ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซื้อเอง ปรุงเอง กินเอง โดยการจัดหาอุปกรณ์ระบบกล้องวงจรปิดที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับลักษณะการทำงาน คุ้มราคา และดูแลรักษาได้ง่าย ด้วยวงเงินงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียง 36 ล้านบาท ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย (Wireless CCTV) จำนวนถึง 9,138 ตัวใน 5,606 จุดเสี่ยงทั่วกรุงเทพมหานคร ภายในระยะเวลาเพียง 8 เดือน ภายใต้ความร่วมมืออันอบอุ่นยิ่งจากเหล่าภาคีภาครัฐและเอกชน โดยได้จัดทำ MOU กับการไฟฟ้านครหลวงในการติดตั้งกล้องบนเสาไฟฟ้าและเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย  ในส่วนของการเชื่อมโยงกล้องวงจรปิดก็ได้รับการสนับสนุนซิมการ์ดอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้แก่ AIS, True, TOT และ กสท.เป็นอย่างดี

“จะเป็นโจรในกรุงเทพยุคนี้ ใจต้องกล้า” เพราะนับตั้งแต่ดำเนินโครงการนี้ ภายใต้การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องจากผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์จนเป็นที่ประจักษ์ในระยะเวลาอันสั้น สามารถปิดคดี โดยติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษได้อย่างรวดเร็วถึง 99% ของคดีทั้งหมด นอกจากนั้นยังสามารถลดโอกาสในการติดเชื้อโควิด-19 จากการลงพื้นที่ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อีกด้วย 

ด้วยผลสำเร็จเป็นอย่างดีของโครงการดังที่กล่าวมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ต่อยอดความสำเร็จ ด้วยโครงการในระยะที่ 2 โดยจะติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สายเพิ่มเติมอีกกว่าหมื่นตัวเพื่อปูพรมปิดตายช่องว่างอันเป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรมโดยมีแนวคิดเสริมในโครงการ “ฝากกล้องกับตำรวจ” ที่จะติดตั้งกล้องให้กับบ้านพักอาศัยของประชาชนผู้สนใจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นยังจะพัฒนากล้องวงจรปิดให้มีความฉลาดด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่จะสามารถวิเคราะห์บุคคลตามหมายจับ แผ่นป้ายทะเบียนรถ และแจ้งเตือนกรณีเกิดเหตุอาชญากรรม หรือพบวัตถุต้องสงสัยได้โดยอัตโนมัติ ผ่านระบบบริหารจัดการกล้องวงจรปิด หรือ Video Management System ที่สามารถเชื่อมโยงกล้องวงจรปิดทุกตัว ทั้งของภาครัฐและเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้จะเริ่มทดลองดำเนินโครงการในสถานีตำรวจนครบาลต้นแบบ 3 แห่ง ก่อนขยายโครงการไปสู่สถานีตำรวจอื่น ๆ จนครอบคลุมทั่วประเทศ 

ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่ขับเคลื่อนด้วยสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีอันทันสมัย ตำรวจในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของรัฐ ที่ต้องหมุนตามให้ทัน เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและบังคับใช้กฎหมาย โครงการนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อันเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้บังคับบัญชา ความร่วมมือร่วมใจทั้งจากภาครัฐและเอกชนอย่างบูรณาการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังใจและการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน โดยมีสื่อมวลชนเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญทุกองค์ประกอบที่กล่าวมา เป็นประหนึ่งชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ซึ่งแตกต่างแต่ล้วนสำคัญที่มาประกอบกัน เพื่อที่จะทำให้ตำรวจไทยยุคนี้ ได้กลายเป็นตำรวจไทยยุค 4.0 อย่างแท้จริง

 

ตำรวจเตือนหนุ่มสาว !! ระวังแก๊ง Hybrid Scam หลอกรักออนไลน์ ลวงลงทุนเงินสกุลดิจิทัลจนหมดตัว

วันที่ 26 ก.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณี สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) แถลงข่าวจับกุมแก๊งไฮบริด สแกม (Hybrid Scam) ได้ผู้ต้องหาเป็นชาวจีนและคนไทยหลายราย นั้น ซึ่งกรณีดังกล่าวมีเหยื่อที่เป็นหนุ่มสาวหลายราย ตกเป็นผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนกับแอปพลิเคชันแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันปลอม โดยจะเริ่มต้นจากการถูกหลอกผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือ แอปพลิเคชันหาคู่ โดยแก๊ง Hybrid Scam จะปลอมรูปกับชื่อโปรไฟล์ เป็นหนุ่มสาวเอเซียต่างชาติหน้าตาดี เข้ามาขอแอดเป็นเพื่อน จากนั้นจะพูดคุยในลักษณะชู้สาวผ่านการแชท หรือโทรศัพท์พูดคุยผ่านระบบออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชันไลน์หรือเฟซบุ๊ก จนเหยื่อตกหลุมรักคนร้าย(ที่ไม่เคยเจอตัวจริง) จากนั้นคนร้ายจะชักชวนให้เหยื่อลงทุนแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัล ผ่านแอปพลิเคชันปลอม อาจมีการส่งลิงก์มาให้เหยื่อสมัคร 

ในช่วงแรกคนร้ายจะหลอกให้เหยื่อตายใจได้กำไร แต่ในภายหลังเหยื่อมักจะขาดทุน หรือหากได้กำไร แล้วจะขอนำเงินออกจากระบบ ทางแอปพลิเคชัน จะอ้างว่าต้องโอนค่าธรรมเนียมหรือภาษีเข้าระบบ พอเหยื่อโอนเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถนำเงินออกจากระบบได้เหยื่อจึงรู้ตัวว่าถูกหลอก ซึ่งมูลค่าความเสียหายมีตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลายล้านบาท สำหรับวิธีการเลือกเหยื่อ คนร้าย จะเลือกเหยื่อหนุ่มสาวที่มีฐานะดีหรือมีอาชีพการงานที่มั่นคง เข้าถึงระบบการเงินออนไลน์ได้ เพราะจะต้องเข้าไปในแอปพลิเคชันที่หลอกลวง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อไปอีกว่า แก๊ง Hybrid Scam เป็น การพัฒนารูปแบบจาก Romance Scam เดิมๆที่ส่วนใหญ่เป็นชาวผิวสี หลอกเหยื่อให้รักผ่านสื่อสังคมออนไลน์โดยปลอมโปรไฟล์เป็นชาวต่างชาติยุโรป, อเมริกัน, ตะวันออกกลาง ฯลฯ มีฐานะร่ำรวย จากนั้นคนร้ายจะอ้างว่า จะส่งทรัพย์สินมีค่ามาให้หยื่อ ต่อมาจะมีผู้ร่วมขบวนการอ้างว่าติดต่อมาจากกรมศุลกากรหรือบริษัทขนส่งฯ หลอกให้เหยื่อโอนค่าภาษีหรือค่าธรรมเนียม หรือ หลอกเหยื่อว่าได้มรดก/สัมปทานธุรกิจกับรัฐแล้วหลอกให้เหยื่อโอนค่าภาษีมรดกหรือภาษีสัมปทานมาให้คนร้าย หรือหลอกเหยื่อว่าป่วยเข้าโรงพยาบาลแต่ระบบประกันสุขภาพมีปัญหาขอให้เหยื่อโอนค่ารักษาพยาบาลมาให้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงความห่วงใย และได้มอบนโยบายในการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนในการป้องกันตัวเองมิให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรในทุกรูปแบบ  นอกจากนั้นยังได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (PCT) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ขับเคลื่อนการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ และอย่างต่อเนื่องด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคนร้าย ดังกล่าว  จึงฝากข้อควรระวัง ดังนี้

1.ไม่ควรรับแอดเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ใช้ภาพหนุ่มสาวหน้าตาดี หากจำเป็นหรือต้องการจะรับจริง ๆ ก็ขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี อาจตรวจสอบได้โดยขอนัดเจอตัวจริง หรือร้องขอให้เปิดกล้องวิดีโอคอล ให้เห็นหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับรูปในโปรไฟล์จริง ๆ (หน้าตรงปก) ซึ่งส่วนใหญ่ คนร้ายจะไม่ยอมวิดีโอคอล โดยอ้างเหตุขัดข้องต่าง ๆ

2.หากมีการชักชวนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะจากเพื่อนหรือพัฒนาจากเพื่อนเป็นคนรักในสื่อสังคมออนไลน์ ที่เราไม่เคยเจอตัวจริง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนตามที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้!! กรณีมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ นำข่าวเก่าคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา มานำเสนอบิดเบือน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงกรณีมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์​ นำข่าวเก่าคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา มานำเสนอบิดเบือน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนชี้แจงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ในลักษณะที่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ดังนี้

จากกรณีที่เกิดมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ส่งต่อข่าวเกี่ยวกับกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง​ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้คัดลอกข้อความจากข่าวและตัดออกบางส่วน แล้วจึงนำกลับมาเสนอซ้ำอีกครั้ง ในลักษณะที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดว่าเป็นข่าวใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น

แต่จากการตรวจสอบพบว่า กรณีดังกล่าวเป็นข่าวเก่าที่ทางเพจ Mono29 News ได้เคยนำเสนอไปแล้ว ซึ่ง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อในกรณีดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 63 ไม่ใช่ข่าวใหม่แต่อย่างใดและจากการนำเสนอในลักษณะนี้ ทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์และประชาชนทั่วไปเกิดความสับสนเข้าใจผิด และทำให้ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งทาง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะใช้สิทธิส่วนบุคคล ในการฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าจะทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนไปยังผู้กระทำความผิดว่าให้หยุดการกระทำของท่านเสีย เพราะนอกจากการกระทำของท่านจะผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมจิตใจของพี่น้องประชาชนที่ควรจะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องและยังทำให้เกิดความสับสนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นี้ และขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ให้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารต่างๆ ก่อนจะส่งต่อ รวมถึงใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางที่สร้างสรรค์ประโยชน์ทั้งกับตนเองและสังคม

นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดต่างๆ สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ป.ป.ช. ร่วมมือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ร่วมขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ลงสู่ “สถานีตำรวจนครบาล” 88 แห่ง

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงเจตนารมณ์ร่วมระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ลงสู่ “สถานีตำรวจนครบาล” 88 แห่ง ณ ห้องพรหมนอก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561” ซึ่งเป็นการลงนามระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. โดยนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมผ่านระบบการประชุมทางไกล อาทิเช่น นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายมนต์ชัย วสุวัต ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจโท เชษฐา โกมลวรรธนะ หัวหน้าจเรตำรวจ พลตำรวจโท ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วยผู้กำกับการ รองผู้กำกับการ และเจ้าหน้าที่ของสถานีตำรวจนครบาล

ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งหวังให้เกิดการส่งเสริมการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับของสถานีตำรวจนครบาล เพื่อให้ปฏิบัติเกิดความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และเป็นช่องทาง ในการประสานความร่วมมือในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับคดีทุจริตระหว่างกัน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เสริมสมรรถนะและพัฒนาความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัย !! การล่วงละเมิดทางเพศ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีผู้เสียหายจำนวนหลายรายจากทุกวงการทั้งที่ปรากฎเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ตามที่สื่อได้มีการนำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า

สื่อสังคมออนไลน์เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำสิ่งต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างอิสระ แต่ด้วยความอิสระนี้เอง ทำให้มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์บางคนใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการคุกคามทางเพศ(Sexual Harassment) ซึ่งมีหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงความคิดเห็นในลักษณะคุกคามทางเพศ การส่งข้อความส่วนตัวเพื่อชักชวนไปมีเพศสัมพันธ์ หรือการส่งภาพลามกอนาจาร และในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปเพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ และการคุกคามทางเพศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหรืออาชญากรรมอื่น ๆ ได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่ถูกกระทำ จนอาจจะเกิดเป็นบาดแผลภายในจิตใจหรือทำให้บุคคลนั้นรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

การกระทำลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายความผิดฐานกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น ทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ และเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการนำภาพในลักษณะลามกอนาจารไปโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ จะเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใด ๆ ที่มีลักษณะลามกอนาจาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือการนำภาพบุคคลอื่นไปโพสต์ในลักษณะล่วงละเมิดทางเพศ จะเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่ตนรับทราบการกระทำความผิด เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และขอให้เก็บภาพข้อความหรือโพสต์ที่เป็นความผิดไว้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดีต่อไป

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากแนวทางการหลีกเลี่ยงป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศบนสื่อสังคมออนไลน์ว่าอย่าไว้วางใจคนแปลกหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกออนไลน์, เก็บข้อมูลส่วนตัวของตัวเองให้ดี ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์, เคารพสิทธิของผู้อื่นอยู่เสมอ มีสติทุกครั้งในการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่าง ๆ และควรใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีสติ หากพบเห็นการกระทำดังกล่าว ที่เข้าข่ายคุกคามหรือผิดกฎหมาย อย่าส่งต่อ อย่าแสดงความคิดเห็น อย่าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าจะทางใด และขอเตือนไปยังผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว ให้หยุดการกระทำของท่านเสีย เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ในสังคม อีกทั้งยังเป็นการสร้างความหวาดระแวงให้กับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทุกคนได้รับความเดือดร้อนกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของผู้อื่นเข้าไปอีก

นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดต่าง ๆ สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง แถลงข่าวการจับกุม 3 คดี ฝ่ามาตรการคุมเข้ม

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจจำนวน 3 คดี ดังนี้

1.กก.สส.บก.ตม.3 “จับหนุ่มผิวสีถอดหน้ากาก หวิดวางมวยกับฝรั่งกลางเมืองพัทยา”

ปัจจุบันจังหวัดชลบุรีเป็นจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม) มีสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดกว่า 14,000 รายแล้วและมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงรายวันอย่างน่าตกใจ ในห้วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ปรากฏคลิปข่าวที่น่าสนใจ เป็นเหตุการณ์ที่ชายผิวสีซึ่งไม่ยอมสวมใส่หน้ากากอนามัยทะเลาะกับชายต่างชาติผิวขาวที่เข้ามาตักเตือนจนเป็นกระแสสังคม สตม.ตระหนักถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของชายต่างชาติรายนี้แม้จะมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท เพียงสถานเดียว แต่เป็นเรื่องที่สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้ที่จะปล่อยไว้อย่างช้าไม่ได้ จึงสั่งการให้ กก.สส.บก.ตม.3 และ ตม.จว.ชลบุรี ดำเนินการเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในสังคม โดยมีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้การสั่งการข้างต้น ชุดจับกุมได้โดยเดินทางไปยังร้านอาหารสไตล์แม็กซิกัน บริเวณหน้าชายหาดรอยัลการ์เด้น เมืองพัทยา สถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งจากการสอบถามผู้คนและสืบสวนหาพยานหลักฐานได้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุเป็นชายผิวสีเดินเข้ามากับแฟนสาวเพื่อซื้ออาหารในร้านแต่ไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งทางร้านได้มีการแจ้งเตือนว่าไม่ให้บริการกับลูกค้าที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งมีลูกค้าอีกหนึ่งคนเป็นคนต่างชาติเข้ามาตักเตือน แต่ชายคนดังกล่าวได้โต้เถียงและแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวจนทำให้คนแตกตื่นซึ่งทางร้านปฏิเสธจำหน่ายอาหารให้พร้อมทั้งมีคนในร้านร้องบอกว่าจะแจ้งตำรวจ ชายคนดังกล่าวและแฟนสาวจึงได้รีบหลบหนีออกไปจากร้าน ในเวลาต่อมาชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าชายผิวสีคนดังกล่าวคือนายแคเรน(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี สัญชาติ อเมริกัน พักอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมย่านเขาพระตำหนัก จึงได้เข้าไปสืบหาตัวจนพบนายแคเรน ฯ เดินอยู่ใกล้บริเวณดังกล่าวจึงได้เข้าไปขอตรวจสอบก็พบว่าเป็นคนเดียวกัน จึงได้เชิญตัวมายังสภ.เมืองพัทยาเพื่อทำการแจ้งข้อกล่าวหาและเปรียบเทียบปรับในความผิดที่เกิดขึ้น

การแจ้งข้อกล่าวหา : แจ้งข้อกล่าวหา นายแคเรนฯ ว่า “กระทำการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไป(ไม่สวมหน้ากากอนามัย) เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 36(6)”

สอบถามนายรามฯ รับตนเป็นคนก่อเหตุในคลิปข่าวจริง ขณะนี้รู้สึกสำนึกผิดและเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะช่วยเป็นหูเป็นตาประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับคนต่างชาติคนอื่น ๆ ในประเทศไทยให้ใส่ใจร่วมมือกันสวมหน้ากากอนามัย และคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด

2.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ “ รวบฝรั่งแสบแอบขนของห้องเช่าหนี เจ้าของห้องเดือดร้อนหนัก ”

ด้วย ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้รับทราบความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งให้บริการเช่าที่พักอาศัย ว่ามีชายชาวต่างชาติมาเช่าห้องพัก แต่เมื่อเลิกเช่าแล้วปรากฏว่าได้ขนเอาทรัพย์สินของหอพักไปด้วย ทำให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อทราบแล้ว ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวและดำเนินการสืบสวนร่วมกับตม.จว.ราชบุรีจนสามารถจับกุมตัวผู้กระผิดมาดำเนินคดีได้ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ก่อนนำมาซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ได้รับการประสานข้อมูลว่ามีชาวต่างชาติ มาเช่าห้องพักแห่งหนึ่งใน ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังจากเลิกเช่าแล้วได้เอาสิ่งของอันได้แก่ เครื่องปรับอากาศ,เครื่องทำน้ำอุ่น ,เก้าอี้ไม้, โซฟา และผ้าม่าน ไปด้วย ซึ่งคำนวณเป็นมูลค่าความเสียหาย เป็นจำนวนกว่า 40,000 บาท ทางเจ้าของห้องได้รับความเดือดร้อนจึงได้ขอความช่วยเหลือมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนจึงทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นาย ฟาดิล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี สัญชาติ ฝรั่งเศส มาพักอาศัยกับภรรยาคนไทย(ขอสงวนชื่อสกุลซึ่งถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้) จึงได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับพนักงานสอบสวนจนศาลจังหวัดหัวหินได้ออกหมายจับ ที่ จ.61/2564

ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ทำการสืบสวนสวนทราบว่าคนร้านรายนี้หลบหนีไปอยู่ละแวกอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงได้ประสานข้อมูลกับ ตม.จว.ราชบุรีอย่างใกล้ชิด ให้เข้าไปสืบสวนติดตามตัว จนพบว่านายฟาดิลฯ หลบหนีมาอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี จึงได้เข้าไปสอบถามที่บ้าน นายฟาดิลฯ รับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง จึงได้จับกุมตัวพร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ พร้อมกับนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : นาย ฟาดิลฯ “ ร่วมกันยักยอกทรัพย์ ” 

สอบถามนายฟาดิล ฯ รับสารภาพผิดว่าตนและภรรยาได้เอาสิ่งของห้องเช่าไปจริง สาเหตุมาจากนายฟาดิล ฯ กับภรรยามีปากเสียงและเลิกรากันจึงได้ขอย้ายออกจากห้องเช่าซึ่งเจ้าของห้องเช่ายังไม่ได้คืนเงินประกันทันทีเพราะยังค้างค่าน้ำค่าไฟและยังต้องสำรวจความเสียหายก่อน แต่นายฟาดิล ฯ ต้องการเงินโดยทันทีประกอบกับอารมณ์เสียที่เลิกรากับแฟนสาว จึงเกิดความโกรธเก็บเอาทรัพย์สินในห้องเช่าติดตัวไปด้วยหลายรายการ

3.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี “ทะลายก๊วนแรงงานจับกลุ่มมั่วสุมกินเหล้า เย้ย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”

ด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ จังหวัดจันทบุรีได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด(พื้นที่สีแดง) ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19 ) มาตรการที่เกี่ยวข้องทางหน่วยงานราชการโดยเฉพาะตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรีมีการดำเนินการ ที่เข้มงวดและประสานงานกับหน่วยงานราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยเหตุดังกล่าวนี้กลุ่มแรงงานต่างด้าวได้ฝ่าฝืนคำสั่งของ ศบค. มั่วสุมดื่มสุรา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 

ก่อนการจับกุมชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากประชาชนละแวกใกล้เคียงกับแคมป์คนงานก่อสร้างของร้านอาหารแห่งหนึ่งใน ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรี ว่ามีกลุ่มคนคล้ายคนต่างด้าวมั่วสุมกันดื่มเหล้าส่งเสียงดัง ได้รับความเดือดร้อนหวั่นว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ชุดสืบสวนจึงได้ทำการสืบสวนโดยสั่งกำลังไปซุ่มดูพบว่ามีคนนั่งมั่วสุมดื่มสุรากันจริงจึงได้วางแผนจับกุมโดยบูรณาการกำลังกับหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีการนั่งดื่มสุราอาหารกันจริง จำนวน 32 คน ทั้งหมดเป็นคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา มีหลักฐานเป็นหนังสือเดินทางติดตัว จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและจับกุมดำเนินคดี

การแจ้งข้อกล่าวหา : คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 32 คน ว่า

1.ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดจันทบุรีที่ 2054/2546 เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส

โคโรน่า 2019 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2564

2.ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดจันทบุรี ที่ 1330ฝ2564 เรื่องมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัสติดเชื้อโคโรน่า 2019 ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ลงวันที่ 30 เมษายน 2564

ปัจจุบันจังหวัดจันทบุรี มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วจำนวน 1,830  คน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าสถานที่แห่งนี้มีแรงงานต่างด้าวทั้งหมดจำนวน 155 คน ทั้งหมดยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาตรการของสถานประกอบการที่เกิดเหตุนี้ยังดำเนินการด้วยความหละหลวม ซึ่งจะมีการตรวจสอบข้อมูลหากพบความผิดที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฯ จะมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อไป  

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1198 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

รวบแก๊งมังกรทำ Hybrid scam หลอกผู้เสียหายชาวไทยหลายราย ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.

มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. , พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 1.นายฮู  สัญชาติจีน อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.223/2564 2.นายกวินทร์ฯ อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.196/2564 3.น.ส.วารินทร์ฯ อายุ 40 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดกาญจนบุรี ที่ จ.197/2564 ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้รับร้องเรียนจากผู้เสียหายชาวไทยเบื้องต้นจำนวน 15 ราย กรณีคนร้ายชาวต่างชาติเข้ามาตีสนิทผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Instagram, Tinder, Hello talk หรือแอพพลิเคชั่นสอนภาษาต่างประเทศ เมื่อได้ทำความรู้จักและสนิทสนมกับมากขึ้น คนร้ายจะแอบอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล ชักชวนให้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล อาทิ BTC USDT BNB เป็นต้น ผ่านทางแอพพลิเคชั่น BLACK STONE, ZON XIN , Grayscale , PKEX , BLACK ROCK เป็นต้น

โดยอ้างว่าหากซื้อขายตามคำแนะนำของคนร้าย จะได้ผลตอบแทนที่สูง ผู้เสียหลงเชื่อจึงได้ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลไปตามคำแนะนำของคนร้าย ในคราวแรก ๆ ได้ผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง แต่ต่อมาภายหลัง ไม่ได้ผลตอบแทนแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งเมื่อผู้เสียหายมีความประสงค์จะถอนเงินออกจากระบบ ซึ่งแสดงยอดเงินที่ตนเองมีอยู่ ก็ไม่สามารถถอนได้ และจะถูกคนร้ายชักจูง หลอกลวงให้โอนเงินเพิ่มเข้าไปในระบบ ซึ่งเมื่อโอนเข้าไปแล้วก็ไม่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกหลอกลวง จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามท้องที่เกิดเหตุต่าง ๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มคนร้าย มีทั้งชาวจีนและชาวไทยพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยกลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยกลุ่มชาวจีน จะสั่งหรือจ้างให้คนไทยไปตระเวนซื้อสมุดบัญชีธนาคารจำนวนมาก เมื่อมีเงินจากผู้เสียหายโอนเข้ามาแล้ว จะใช้ให้คนไทยไปตระเวนกดเงินออกจากบัญชี เพื่อนำเงินสดมาให้ตน และจากนั้นจะนำเข้าไปซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลต่าง ๆ  เพื่อให้ยากต่อการสืบสวนติดตาม

จากนั้นเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ได้ทำการสืบสวน จนกระทั่งจับกุมตัวผู้ต้องหาบางส่วนได้ จำนวน 3 ราย ในพื้นที่เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยขณะจับกุม สามารถยึดเงินสดจำนวน 640,000 บาท (หกแสนสี่หมื่นบาท) พบสมุดบัญชีธนาคาร พร้อมบัตรกดเงินสด จำนวนหลายบัญชี และอายัดทรัพย์สินรถยนต์จำนวน 2 คัน รวมมูลค่า 8,000,000 บาท(แปดล้านบาท) เจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. จึงได้ทำการสืบสวนต่อทราบว่ายังมีชาวจีนอยู่ในขบวนการกังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

 

แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ว่าฯสุราษฎร์ แถลงจับกุม 2 พ่อค้ายาเครือข่าย สุราษฎร์-กระบี่ ยึดทั้งยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีนมูลค่า 69 ล้าน

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 กรกฎาคม ที่กองร้อย ตชด.ที่417 อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์  แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายวิชวุทย์  จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พล.ต.ต.ณัฐ สิงห์อุดม รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 , นายสุทธิพงษ์ คล้ายอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์, พ.ต.อ.กิจต์ณศักดิ์ เกี้ยวเพ็ง ผกก.ตชด.41 , พ.ต.ท.กุลนริศร์ นวมมณีรัตน์ รอง ผกก.ตชด.41และพ.ต.ท.อภิสิทธิ์ รอดน้อย ผบ.ร้อย ตชด.417 แถลงจับกุมนายอุทัย หรือสี เพ็ชร์รัตน์ อายุ 33 อยู่บ้านเลขที่ 6/9 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรี ธรรมราช และนายอนุเชษฐ์ หรือเชษฐ์ ศรีทองนาค อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ยึดของกลางยาบ้า 275 มัด จำนวน 550,000 เม็ด , ไอซ์ น้ำหนัก 100 กรัม , เฮโรอีน น้ำหนัก 4 กิโลกรัม และรถจักรยาน ยนต์ 1 คัน รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาณ 69 ล้านบาท ได้ที่บริเวณศาลาริมถนนหลักกิโลเมตรที่ 61 ถ.สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หมู่ 12 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี ต่อเนื่องที่บ้านพักนายอุทัยเลขที่ 6/9 หมู่ 8 ต.ควนทอง อ.ขนอม

จากการสืบสวนชุดปราบปรามยาเสพติดกองร้อย ตชด.417 ทราบว่า นายอุทัย เป็นผู้พ่อค้ายาเสพติดในพื้นที่ อ.ดอนสัก ต่อมาวันที่ 20 ก.ค.64 จึงติดต่อสั่งซื้อยาบ้า 2,000 เม็ด นายอุทัยพร้อมนายอนุเชษฐ์ ได้ขับรถจักรยายนต์นำมาส่งมอบ ที่บริเวณศาลาริมถนน ปากทางเข้าคลองวัง ถนนสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หมู่ 12 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จึงจับกุมได้และ นำไปค้นที่สวนข้างบ้านนายอุทัยพบทั้งไอซ์, ยาบ้า และเฮโรอีน ทั้งหมด

นายอุทัย ให้การรับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจากนายโด่ง (ไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง) อยู่ที่ จ.กระบี่ ให้ไปรับยาเสพติดที่วาง ไว้บริเวณริมถ.สุราษฎร์ธานี-กระบี่(เซาท์เทิร์น)หลักกิโลเมตรที่ 62 ท้องที่หมู่ 2 ต.อรัญคามวารี อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานีนำมาเก็บไว้ เพื่อรอรับคำสั่งจากนายโด่งไปส่งให้ลูกค้าได้ค่าจ้างครั้งละ 150,000-200,000 บาท โดยจะมีการขยายผลจับกุม ผู้เกี่ยวข้องต่อไป ในโอกาสนี้พลโทเกรียงไกร และนายวิชวุทย์ ได้มอบเงินรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้ชุดจับกุมด้วย

นายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัดสุราษฎร์ธานี สถานการณ์ปัญหายาเสพติดภาพรวม พบว่าการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานียังมีการแพร่ระบาดสูงในพื้นที่ชุมชนเมืองและแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นจุดศูนย์กลางการค้าการลงทุน มีระบบคมนาคมขนส่งที่สะดวกรวดเร็ว ครบทุกมิติ มีการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคหรือ LOGISTICS HUB เป็นเมืองท่องเที่ยวทั้งระดับประเทศ และนานาชาติ และเป็นที่พัก/เส้นทางลำเลียงสู่ภาคใต้ตอนล่าง สำหรับผลการดำเนินการผู้ค้ายาเสพติด ในห้วงปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 63 – ก.ค. 64) มีผลการจับกุมผู้ค้า ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในภาพรวมของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นคดียาเสพติดทุกข้อหาจำนวน 9,771 คดี ผู้ต้องหา 9,802 คน ของกลาง ยาบ้า 3,431,757เม็ด ยาไอซ์ 60.32 กิโลกรัม เฮโรอีน 0.39 กรัม กัญชาแห้ง 18.61 กิโลกรัม และดำเนินการยึดทรัพย์แล้ว จำนวน 21 คดี เป็นเงิน 257,293,602 ล้านบาทซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง


ภาพ/ข่าว  สรเดช ส้มเกลี้ยง สุราษฎร์ธานี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ เตือนภัย!! มิจฉาชีพสร้างแอปพลิเคชัน 'ดัก'​ รับข้อมูลส่วนตัว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางในการป้องกันแอพพลิเคชั่นที่เหล่ามิจฉาชีพใช้ในการดักรับข้อมูล ดังต่อไปนี้

ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นต่างๆ บนโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งในระบบ ios และ android อีกทั้งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงใช้บริการจากแอพพลิเคชั่นได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ก็มีเหล่ามิจฉาชีพอาศัยช่องว่างดังกล่าวในการกระทำความผิด ตามที่มีการนำเสนอทั้งในสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ว่ามีเหล่ามิจฉาชีพสร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมาเพื่อดักเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-สกุล รหัสประจำตัวประชาชน รวมถึงรหัสผ่านต่างๆ ในบางกรณีจะมีให้กรอกเลขบัตรเครดิตหรือข้อมูลทางการเงิน หลังจากนั้นมิจฉาชีพก็อาจจะนำข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้แสวงหาประโยชน์ในทางทุจริต ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างก็เป็นได้

จากกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการนำเสนอข่าวกรณีดังกล่าว พบว่ามีแอพพลิเคชั่นกลุ่มหนึ่งที่มีการกระทำในลักษณะดังกล่าว จำนวน 9แอพพลิเคชั่น ได้แก่ Processing Photo , App Lock Keep , Rubbish Cleaner , Horoscope Daily , Horoscope Pi , App Lock Manager , Lockit Master , Inwell Fitness , PiP Photo ซึ่งขณะนี้ได้มีการปิดแอพพลิเคชั่นลักษณะดังกล่าวในบางส่วน 

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา5 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือ กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดังนี้ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแอพพลิเคชั่นก่อนจะนำมาใช้ทุกครั้ง ไม่ควรยินยอมให้แอพพลิเคชั่นเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวในโทรศัพท์ และหากไม่แน่ใจถึงความปลอดภัยในการใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าว ไม่ควรกรอกข้อมูลส่วนบุคคล หรือหลีกเลี่ยงไปใช้แอพพลิเคชั่นอื่นแทน ในกรณีทราบภายหลังว่าแอพพลิเคชั่นดังกล่าวมาหลอกนำข้อมูลไปใช้ ให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่านทันที และรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคาร สถาบันทางการเงิน เป็นต้น นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดสามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top