Monday, 28 April 2025
CRIMES

‘ตร.’ บุก มาบุญครอง ทลายเครือข่ายมาเฟีย ‘บาบู’ ปลอมสินค้าแบรนด์ดัง หลอกขายนักท่องเที่ยว

(22 มี.ค. 66) สืบเนื่องจากศูนย์ปรายปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปลป.ตร.) ได้รับรายงานว่า มีเครือข่ายขบวนการมาเฟียเชื้อสายอินเดียชื่อว่า ‘บาบู’ ลักลอบนำสินค้าแบรนด์เนม รองเท้า, กระเป๋า, เสื้อผ้า, นาฬิกา เลียนแบบสินค้าแบรนด์ดัง มาหลอกขายให้คนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในมาบุญครอง และย่านปทุมวัน โดยหลอกลวงว่าเป็นสินค้าหิ้ว หรือ สินค้า Outlet โดยเครือข่ายนี้ส่งของกว่า 30 ร้านค้าในบริเวณใกล้เคียง

กระทั่งเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) พร้อมชุดทำงานชุด ศปลป.ตร. ขออนุมัติหมายค้นจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ประสานสนธิกำลัง 191 ปอศ. และพื้นที่เข้าตรวจค้นห้องเช่าอเนกประสงค์ ขั้น 3 ของศูนย์การค้า เอ็มบีเค เซ็นเตอร์

‘สธ.’ เร่งเข้าช่วยเหลือเด็กชายวัย 14 ปี ติดกัญชางอมแงม ยายหวั่นถูกหลานทำร้าย เผย เคยโดนเอาน้ำสาดหน้า

(22 มี.ค. 66) จากเหตุการณ์ชาวบ้าน ชุมชนห้องแถว ย่านซอยเขาตาโล หมู่ 10 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พบเห็นครอบครัว ซึ่งเป็น 2 ยายหลาน อาศัยอยู่ในห้องแถวดังกล่าว ในทุก ๆ วันจะเห็นหลานชายมีพฤติกรรม ขอเงินไปซื้อกัญชาเสพ อีกทั้งยังแสดงอาการโมโหร้าย จนผู้เป็นยายต้องเดินหนีออกมา ขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในละแวกดังกล่าว

นางดา ผู้เป็นยาย จับได้ว่าหลานชายติดกัญชาหนักมาก ต้องดูดกัญชาทุกวัน โดยจะต้องขอเงินวันละ 1-2 ร้อยบาท ไปซื้อกัญชามาเสพ หากวันไหน ไม่ได้เสพจะมีอาการหงุดหงิด จุกท้อง พูดไม่ชัด พูดจาโวยวาย ทำร้ายข้าวของ หนักสุด คือ ‘เอาน้ำในแก้วสาดใส่หน้ายาย’ ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทุก ๆ ครั้งที่หลาน มีอาการอยากเสพกัญชาหรือหงุดหงิด ยายจะเดินหนีไปอยู่กับเพื่อนบ้านทันที เพราะกลัวหลานจะทำร้าย

'มิจฉาชีพ' เปลี่ยนรูปแบบ 'หลอกหลอน' ชาวบ้านไม่พักเลย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันนำเสนอสถิติการรับแจ้งความออนไลน์รอบสัปดาห์และภัยที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (12-18 มี.ค.2566) รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ 4,291 เคส/351,191,412.31 บาท สถิติการรับแจ้งลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1,496 เคส/26,093,473.69 บาท โดยสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ 5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 1,500 เคส/14,003,677.05 บาท  2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 578 เคส/71,469,279.03 บาท  3) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center) 529 เคส/65,547,808.73 บาท 4) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 429 เคส/17,113,573.64 บาท  และ 5) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 236 เคส/10,637,571.37 บาท 

ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ เรื่องที่ 1 คือ  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า นม Thai-Denmark โดยมิจฉาชีพสร้างเพจ Facebook 'Thai-Denmark นมไทยแท้ ส่งทั่วไทย' คล้ายของจริง  เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสอบถามเพื่อขอซื้อนม เพจจะให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินให้ก่อน แล้วปิดเพจหนีไป จุดสังเกตุ ของปลอม พบการกดปุ่มโกรธ (angry) จำนวนมาก สถานะของเพจเป็นอสังหาริมทรัพย์ เพิ่งเปิดเพจ และผู้จัดการเพจอยู่ต่างประเทศ  ส่วน ของแท้ เป็นธุรกิจท้องถิ่น และ เปิดมานานและผู้จัดการเพจอยู่ประเทศไทย จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนควรสงสัยไว้ก่อนว่าของดีและถูกเกินกว่าราคาตลาดมากๆ และบัญชีรับโอนเงินบุคคลธรรมดา น่าจะหลอกลวง 

เรื่องที่ 2 คดีแก๊งคอลเซนเตอร์ติดต่อร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์หลอกสั่งข้าวกล่อง และโอนมัดจำให้ร้านค้าก่อน  วันต่อมา คนร้ายได้โทรศัพท์บอกให้ร้านอาหารสั่งชุดอาหารพิเศษเพิ่ม 7 ชุด และส่ง QR Code มาให้ร้านแอด และบอกว่าจ่ายเงินเพิ่มให้ภายหลัง และอ้างด้วยว่าเป็น QR Code แอดไลน์เท่านั้น แต่เมื่อแสกน QR Code พบว่า หน้าจอค้าง เจ้าของโทรศัพท์จึงรีบเข้าแอปฯ ธนาคาร เพื่อโอนเงินออกไปบัญชีอื่นก่อน และปิดเครื่อง  จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของ  QR Code ให้ดีก่อนที่จะ Scan หรือโอนเงิน

เรื่องที่ 3 คดีกลรักออนไลน์(Romance Scam) ถูกหลอกซ้ำซ้อน คือหลอกให้โอนเงิน 2 ครั้ง และหลอกให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว  เรื่องนี้คนร้ายได้ติดต่อพูดคุยกับผู้เสียหายทาง Facebook จากนั้นอ้างว่าอยากจะมาอยู่เมืองไทย มาใช้ชีวิตคู่กับผู้เสียหาย และส่งสินค้ามีค่ามาให้ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระภาษี ถือเป็นการหลอกให้โอนเงินรอบแรก จากนั้นจะหลอกว่าต้องการทำธุรกิจร่วมกับผู้เสียหาย แล้วให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีไว้สำหรับการลงทุน จากนั้นคนร้ายได้หลอกผู้เสียหายคนที่ 2 และให้โอนเงินเข้าบัญชีผู้เสียหายคนแรก และให้ผู้เสียหายคนแรก ซื้อเหรียญคลิปโตให้คนร้าย ทำให้ผู้เสียหายคนแรก กลายเป็นผู้ต้องหาในคดี  จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย 

ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT)

คดีหลอกลวงซื้อขายผลิตภัณฑ์สินค้า 'Thai-Denmark นมไทยแท้ ส่งทั่วไทย'
กลโกง จุดสังเกต วิธีป้องกัน
1. สร้างเพจ Facebook ขึ้นมาโดยใช้ชื่อ รูปโปรไฟล์ รูปปก ที่อยู่ ข้อความแนะนำ ใกล้เคียงกับเพจ 'Thai-Denmark' ที่เป็นของจริง  
2. สร้างเป็นเพจ Facebook หรือซื้อโฆษณาเพจเพื่อให้คนเห็นได้จากระบบอินเตอร์เน็ต
3. เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสอบถามเพื่อขอซื้อ เพจจะให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินให้ก่อน 
4. เมื่อถึงวันรับสินค้า เหยื่อจะส่งข้อมูลไปสอบถาม คนร้ายจะถ่วงเวลา 
5. เปลี่ยนเป็นเพจใหม่ เพื่อหลอกขายเช่นเดิมไปเรื่อยๆ ของปลอม 
1.พบการกดปุ่มโกรธ (angry) จำนวนมาก
2.สถานะของเพจเป็นอสังหาริมทรัพย์ 
3. เพิ่งเปิดเพจ และผู้จัดการเพจอยู่ต่างประเทศ
ของแท้ 

1.สถานะของเพจเป็นธุรกิจท้องถิ่น
2. เปิดมานานและผู้จัดการเพจอยู่ประเทศไทย
1. ตรวจสอบเพจ Facebook ให้แน่ใจก่อนซื้อ โดยกด เกี่ยวกับ 'ความโปร่งใส' ก็จะเห็นว่าเปิดมานานเท่าใด  ผู้จัดการเพจอยู่ประเทศไทยหรือไม่(อยู่ต่างประเทศ ควรหลีกเลี่ยง)  
2. ดูช่องกดไลค์(มีเครื่องหมาย 'โกรธ' ดูโพสต์เป็นหลัก อย่าดูด้านใต้ชื่อเพียงอย่างเดียว เพราะสามารถซื้อ 'ไลค์' ได้  
3. ลองนำชื่อเพจนั้น ไปใส่ช่องค้นหาใน Facebook ว่ามีเพจอื่นอีกหรือไม่ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันดูว่า เพจไหนจริง/ปลอม
4. 'ของดีและถูกเกินกว่าราคาตลาดมากๆ' ให้สงสัยไว้ก่อนว่าหลอกลวง
5. บัญชีรับโอนเงินควรเป็นบัญชีชื่อร้าน หากเป็นบัญชีบุคคลธรรมดา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าหลอกลวง

‘ปคบ.-สบส.’ รวบ ‘2 หมอเถื่อน’ ลอบเปิดคลินิกรักษาโรค ย่าน กทม.-ปทุม ไม่มีใบอนุญาต อ้าง!! ทำด้วยใจรัก

(20 มี.ค. 66) พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ. ร่วมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 2 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจ.ปทุมธานี เพื่อจับกุมคลินิกลักลอบเปิดบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และรักษาโดยแพทย์ซึ่งไม่มีใบประกอบวิชาชีพ จุดแรก เป็นคลินิกเวชกรรม ตั้งอยู่บริเวณถนนราษฎร์พัฒนา เคหะร่มเกล้า 31 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. เมื่อเจ้าหน้าที่ เข้าไปถึงพบคลินิกดังกล่าวกำลังเปิดให้บริการประชาชน โดยมีนายรัฐภูมิ อายุ 51 ปี แสดงตัวเป็นแพทย์ตรวจรักษา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบสถานพยาบาลดังกล่าวไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ และใบอนุญาตดำเนินการสถานพยาบาล เช่นเดียวกับตัวนายรัฐภูมิ ที่แสดงตัวเป็นแพทย์ ก็ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม

‘สาวใหญ่’ หลงคารมหนุ่มสายบุญ ให้ยืมเงิน-ซื้อรถป้ายแดง สุดท้ายโดนชิ่ง เจอหมายศาลยึดทรัพย์ ส่งถึงหน้าบ้าน

กำลังถูกยึดทรัพย์ หลงคารมหนุ่มสายบุญ เจอหมายศาลถึงบ้าน โทรไปถามแถไม่หยุด

(19 มี.ค.66) นางเอ (นามสมมติ) อายุ 57 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ได้นำเอกสารหลักฐาน และหมายศาลที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์ มาร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว หลังถูก นายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 42 ปี พ่อค้าขายเครื่องราง หลอกยืมเงิน 2 แสนบาท และยังหลอกให้เช่าซื้อรถป้ายแดงให้ สุดท้ายกำลังจะถูกยึดทรัพย์

นางเอ เล่าว่า ตนรู้จักกับ นายเอ็ม เพราะชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน ก่อนนับถือเป็นพี่น้อง จากนั้นเมื่อปี 64 นายเอ็ม มาขอยืมเงินตน 200,000 บาท และต้นปี 2565 ก็หลอกให้ใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงให้ โดยอ้างว่าชื่อตัวเองติดแบล็กลิส เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพิษโควิดทำให้ขายของไม่ได้ จนถูกยึดรถยนต์ที่มีอยู่ ทั้งประสบปัญหาขาดทุนขายของไม่ได้ครอบครัวเดือดร้อนไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกน้อยกิน

ด้วยความสงสารจึงยอมให้ยืมเงินและใช้ชื่อเช่าซื้อรถให้ ทั้งเห็นว่าเป็นคนชอบทำบุญจึงเชื่อใจ ประกอบกับ นายเอ็ม รับปากว่าจะรีบหาเงินมาคืนและผ่อนจ่ายค่างวดโดยไม่ให้มีปัญหาแน่นอน แต่เมื่อเดือน พ.ย.65 ก็ได้รับหมายศาลจังหวัดนางรอง เนื่องจากถูกธนาคาร และบริษัทที่ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยื่นฟ้องเรียกรถยนต์คืน หากไม่มีรถคืนก็ให้จ่ายเป็นเงินแทน เนื่องจาก นายเอ็ม ที่หลอกให้ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ราคาเกือบล้านบาท ไม่ยอมชำระค่างวด หากตนไม่มีรถไปคืนบริษัทหรือหาเงินไปชำระตามหมายศาล ก็จะถูกยึดทรัพย์

‘ตร.’ รวบ 3 ผู้ต้องสงสัย บุกอุ้มสาว ป.โท เรียกค่าไถ่ 3 ล้าน เผย 1 ใน 3 คือ เพื่อนของผู้เสียหาย ทำหน้าที่เป็นนกต่อ!!

(19 มี.ค. 66) จากกรณี หญิงสาว อายุ 23 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวและนักศึกษา ระดับชั้นปริญญาโท เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.ทองหล่อ ว่า ถูกกลุ่มคนร้ายเป็นชายอุ้มขึ้นรถตู้อัลพาร์ด สีดำ ขณะเดินออกจากร้านอาหารย่านเอกมัย เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 19 มี.ค. 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ดูแลงานสืบสวน, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น และ พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.น.5 สั่งการให้ชุดสืบสวนนครบาล พร้อมด้วยชุดสืบสวนนครบาล 5 และ สน.ทองหล่อ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว

ตร. ล่าโจ๋พัทยา!! ก่อเหตุปาระเบิดขวดเผา ‘คู่รัก’ ก่อนขี่ จยย. หลบหนี ผู้เคราะห์ร้ายยันไม่เคยรู้จักคนร้าย

ล่าแก๊งโจ๋พัทยาดุ ปาระเบิดขวดเผาคู่หนุ่มสาว ไฟคลอกเกือบทั้งร่างเจ็บสาหัส

(18 มี.ค.66) เมื่อเวลา 02.30 น. พ.ต.ต.พัฒนนันท์ สมนวล สว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา ได้รับแจ้งว่ามีคนถูกปาระเบิดขวดใส่ ถูกไฟเผาร่างกายเกือบทั้งร่างได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดหน้าร้านสะดวกซื้อ ปากซอยโพธิสาร ด้านฝั่งถนนสุขุมวิท ม.6 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แล้ว พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ฯเมืองพัทยา รีบรุดไปทำการตรวจสอบ ไปถึงที่เกิดเหตุพบ พบ ร่างคู่หนุ่มสาว อยู่ในสภาพเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ถูกไฟไหม้เกรียมเกือบทั้งตัว อีกทั้งเนื้อตัวมีแต่กลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิง ที่บริเวณช่วงต้นขาไปถึงกลางหน้าอก พบบาดแผลถูกไฟคลอกผิวหนังเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ทีมกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ฯเมืองพัทยา ต้องรีบปฐมพยาบาล แล้วนำตัวส่ง รพ.เมืองพัทยา ทราบชื่อต่อมาคือ นายธนกรณ์ อายุ 22 ปี และ นางสาว วรกานต์ อายุ 22 ปี

นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุ พบว่า มีกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เบื้องต้น พบว่ามี รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ เวสป้า สีเทา ทะเบียนป้ายแดง ซึ่งเป็นของคนเจ็บ ที่บริเวณตัวรถด้านขวา มีร่องรอยถูกไฟไหม้ และ คราบรอยน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รับความเสียหาย ใกล้ๆ กัน บนพื้นถนน พบ เศษขวดแก้ว สภาพแตกละเอียด จำนวนหนึ่ง และ เทปกาวพันสายไฟ ที่ใช้พันปากขวดแก้วตกอยู่ ตำรวจจึงทำการเก็บไว้เป็นหลักฐาน

ผู้เห็นเหตุการณ์ อายุ 21 ปี เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุกำลังขี่รถจักรยายนต์กลับที่พัก พอมาถึงที่เกิดเหตุ เห็นกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 6 – 7 คน ขี่จักรยานยนต์มากันประมาณ 4 คัน กำลังเลี้ยวเข้าซอยโพธิสาร จากนั้น รถจักรยานยนต์ของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมีผู้ชายเป็นคนขี่และผู้หญิงซ้อนท้าย ได้ขับขี่สวนทางกันกับกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว

ในจังหวะที่กำลังขี่สวนทางกัน จากนั้น จู่ ๆ หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่น จำได้ว่าสวมใส่หมวกกันน็อคสีขาว ได้ก่อเหตุปาระเบิดขวดใส่คู่หนุ่มสาวดังกล่าว โดยปาใส่เข้าที่ตัวของคนเจ็บอย่างจัง แล้วก็มีไฟลุกพรึบตามทันที

รวบ ‘หนุ่มใหญ่’ หลอกเปิดคอร์ส 'ตุ๋นเงิน' ผู้ปกครอง อ้างใช้เงินหมดแล้ว เบื้องต้นตำรวจ ตั้งข้อหา-ฝากขัง

(18 มี.ค. 66) เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา มีความคืบหน้ากรณี นายสมบูรณ์ อินทร์ชูวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านหนองสระแบง ได้นำพ่อแม่ ผู้ปกครองนักเรียนหลายหมู่บ้าน ใน ต.ห้วยบง กว่า 21 คน เด็กนักเรียนกว่า 30 คน ที่ได้เสียเงินเป็นค่าเรียนพิเศษ คนละ 2,500 บาท รวมแล้วกว่า 75,000 บาท ให้กับ นายเอนก สักลอ อายุ 46 ปี ที่ได้มาชักชวนพ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็กนักเรียน ในพื้นที่ ต.ห้วยบง อ.เมืองชัยภูมิ ว่ารับสอนพิเศษเด็กเรียน ตั้งแต่ชั้น ป.1 จนถึง ม.3 ในเฉพาะช่วงวันเสาร์ และวันอาทิตย์ โดยมีการแอบอ้างว่าเป็นครูมาจากมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ซึ่งมีการตรวจสอบก็ไม่พบว่าเป็นครูของ มรภ.ชัยภูมิ แต่อย่างใด

โดยมีพฤติกรรมมาแอบอ้างว่าเป็นครู จะมารับเปิดสอนพิเศษให้กับเด็กนักเรียนในหลายหมู่บ้าน ในวิชาภาษาไทย , คณิตศาสตร์ , ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ ในระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้กับผู้ปกครองและเด็กๆที่ต้องการในหมู่บ้าน โดยการเรียนการสอนพิเศษให้ ทั้งหมดรวม 32 ชั่วโมง เรียนเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ วันละ 2 ชั่วโมง เก็บค่าสอนพิเศษคนละ 2,500 บาท ต่อคนต่อคอร์ส

และจัดการสอนพิเศษแยกชั้นเรียน ตามความเหมาะสมของเด็กนักเรียนที่เรียนหนังสือในโรงเรียนอยู่ ซึ่งครั้งนี้มีผู้ปกครองหลงเชื่อส่งลูกหลานของตนเองมาเรียนพิเศษ ในวันเสาร์ อาทิตย์ เฉพาะในตำบลห้วยบง รวมกว่า 21 คน เพื่อหวังให้ลูกหลานตนเอง ได้มีความรู้เพิ่มเติมในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มากยิ่งขึ้น ห่างไกลจากการไปเล่นแต่เกมในโทรศัพท์มือถือ โดยให้เด็กนักเรียนมาเรียนพิเศษที่ศาลาอเนกประสงค์ Sml ประจำหมู่บ้านหนองสระแบง หมู่ 8 ต.ห้วยบง อ.เมืองชัยภูมิ มาตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

แต่หลังจากเด็กนักเรียนมาเรียนพิเศษ นายเอนก ได้ให้เด็กนักเรียนทั้งหมดที่มาเรียนพิเศษ นั่งเรียนพิเศษรวมกัน ไม่แบ่งชั้นเรียนตามความเหมาะสมของนักเรียน มีเพียงแจกสมุดใบงานเหมือนกันทุกคน แล้วให้เด็กเขียนหนังสือตามใบงานที่แจกให้ เหมือนเด็ก ป.1 แต่เมื่อเก็บเงินค่าเรียนพิเศษกับผู้ปกครองเด็กนักเรียนคนละ 2,500 บาทหมดแล้ว และจัดการสอนพิเศษวันละ 2 ชั่วโมง วันเสาร์และอาทิตย์ ได้เพียง 3 สัปดาห์ รวมแล้วจัดการสอนพิเศษเพียง 12 ชั่วโมง ไม่ถึง 32 ชั่วโมง ตามสัญญาที่ตกลงกับชาวบ้านไว้ จนถึงกลางเดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมา นายเอนกได้แจ้งกับผู้ปกครองบางส่วนว่า ได้ปิดคอร์ส การเรียนการสอนแล้ว พร้อมกับได้หายตัวไป หมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้ ติดต่อไปเหมือนปิดเครื่องหนีติดต่อไม่ได้อีกเลย

ซึ่งบรรดาผู้ใหญ่บ้าน ผู้ปกครองเด็กนักเรียน ได้พยายามโทรติดต่อไปเพื่อให้มาตกลงกัน ว่าจะสอนพิเศษต่อตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ หรือจะจ่ายเงินคืนให้ผู้ปกครองเด็กนักเรียนทั้งหมด แต่ติดต่อกับนายเอนกไม่ได้เลย ทางผู้ปกครองเด็กนักเรียนจึงมั่นใจว่า ถูกหลอกเสียเงินคนละ 2,500 บาท สูญเปล่า ซึ่งมีเด็กกว่า 30 คนที่ถูกหลอก รวมเป็นเงินกว่า 75,000 บาท จึงได้รวมตัวกันเดินทางไปแจ้งความกับ ร.ต.อ.เรืองศิลป์ ประวิสุทธิ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ลาดใหญ่ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับนายเอนก ครั้งนี้ที่ได้หลอกลวงบรรดาผู้ปกครองเด็กนักเรียน ให้เสียเงินเป็นค่าเรียนพิเศษของลูกหลานตนเองคนละ 2,500 บาท แต่แล้วการจัดสอนพิเศษไม่เป็นตามข้อตกลง ที่ได้ตกลงกันไว้ เด็กนักเรียนที่เรียนพิเศษแต่ละคน ไม่ได้ความรู้เพิ่มแต่อย่างใดอีกด้วย

และยังทราบอีกว่า นายเอนก ผู้ต้องหารายนี้ ยังได้มีพฤติกรรมไปหลอกลวงจัดการสอนพิเศษให้เด็กนักเรียนตามหมู่บ้าน ในพื้นที่ อ.คอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ มีผู้ปกครองเด็กนักเรียนใน ต.ห้วยไร่ ถูกหลอกอีกกว่า 20 คน ในพื้นที่บ้านห้วยหมากแดง ต.ท่าหินโหม อีก 20 คน ก่อนหลบหนีไป ผู้ปกครองนักเรียนได้ไปแจ้งความไว้แล้วทั้งที่ สภ.ลาดใหญ่, สภ.คอนสวรรค์ และ สภ.เมืองชัยภูมิ รวมแล้วมีเด็กถูกหลอกสมัครเรียนพิเศษแล้วไม่ได้เรียนตามข้อตกตกลงกันไว้ที่หมดอีกจำนวนมากกว่า 70 คน คิดเป็นเงินที่นายเอนก ครูสอนพิเศษลวงโลกได้ไปกว่า 175,000 บาท ก่อนที่จะหลบหนีไปครั้งนี้

จนล่าสุดวันนี้ (18 มีนาคม ) หลังจากที่ พ.ต.อ.อรชุน รักสกุลพิวัฒน์ ผกก.สภ.ลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ได้รับแจ้งความกับผู้ปกครองนักเรียน ที่ได้รับความเสียหาย ให้ดำเนินคดีกับนายเอนก ได้มีการรวบรวมหลักฐานการกระทำความผิดของ นายเอนกแล้ว ทั้งที่อ้างตัวเองว่าจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ และเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จากการตรวจสอบไม่ได้เรียนจบ และเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิแต่อย่างใดอีกด้วย ทาง สภ.ลาดใหญ่ ได้ออกหมายเรียก นายเอนกไปแล้ว แต่ไม่ยอมมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ จึงได้ออกหมายจับกับ นายเอนก สักลอ อายุ 46 ปี และทางตำรวจชุดสืบสวน สภ.ลาดใหญ่ ได้ติดตามไปจับกุมนายเอนก ผู้ก่อเหตุรายนี้ ได้ที่บ้านพักในพื้นที่ จ.พิษณุโลก ได้เมื่อคืนที่ผ่านมา

รวบ 2 ร้านขายช่อดอกกัญชา แบบผิดกฎหมาย หลังเปิดขายแบบ ‘Food truck-แผงลอย’  

กรมแพทย์แผนไทยฯ ร่วม ตร.บุกตรวจ 2 ร้านขายช่อดอกกัญชาผิด กม. ซอยสุขุมวิท 11 หลังเปิดแบบ Food Truck และแผงลอย ยึดของกลาง จับทันที ศาลสั่งลงอาญา 2 ปี

(18 มี.ค.66)  นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่ซอยสุขุมวิท 11 เขตปทุมวัน หลังมีประชาชนร้องเรียนร้านค้าช่อดอกกัญชา โดยตรวจสอบสถานประกอบการ 2 ร้าน พบว่า จำหน่ายสมุนไพรควบคุม โดยไม่ได้รับอนุญาตทั้ง 2 ราย มีลักษณะเป็น Food truck และแผงลอยริมถนน ผิดตามกฎหมาย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง “สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 กรมฯ ได้แจ้งให้ตำรวจยึดอายัดของกลาง สั่งปิด พร้อมส่งเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ตามขั้นตอนกฎหมาย โดยเจ้าพนักงานตำรวจ ตั้งวงเงินประกัน รายละ 20,000 บาท เพื่อนำส่งฟ้องศาลแขวงในพื้นที่ โดยศาลสั่งลงโทษจำคุก 2 เดือน รอลงอาญา 2 ปี ปรับทั้ง 2 ราย เป็นจำนวนเงินรายละ 10,000 บาท เนื่องจากผู้ต้องหารับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือรายละ 5,000 บาท

‘วันเพ็ญ’ เจ้าแม่แชร์ทอง 360 ล้านบาท มี 61 หมายจับ ตุ๋นเหยื่อขาย ‘ทอง’ ออนไลน์ สุดท้ายเกมเพราะ ‘หนังควาย’

(18 มี.ค. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.หน. PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. รอง หน. PCT ชุดที่ 5 พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ นาคามาตย์ ผกก.กก.สส.บก.น.4 พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์  ทองแพ พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี  พ.ต.ต.ชัยวัฒน์ จงเจริญ พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า พ.ต.ต.ภัสสกรณ์ เฉลียวบุญ พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) , กก.สส.บก.น.4 นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.วันเพ็ญ โคตรทะแก หรือ กวินา กันยากรสกุล อายุ 34 ปี ชาวจ.นครสวรรค์ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” จำนวน 61 หมายจับพร้อมทั้งตรวจยึด โทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง พบข้อมูลการตั้งวงแชร์อีกหลายวง สมุดบันทึก จำนวน 1 เล่ม ซองใส่ซิม จำนวน 5 ชิ้น เซฟเฮ้าส์ลับ ในชนบทใกล้เขาใหญ่ ในพื้นที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 17 มี.ค. เวลาประมาณ 16.15 น. ที่ผ่านมาพบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 360 ล้านบาท เหยื่อผู้เสียหายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 37 ล้านบาท 

สืบเนื่องจากเมื่อปลายปี 2563 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2564 น.ส.วันเพ็ญ โคตรทะแก หรือ กวินา กันยากรสกุล ได้มีการไลฟ์สดผ่านทางเฟซบุ๊กโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนในการ 'ขายทอง' โดยอ้างว่าจะนำทองมาจากต่างประเทศ โดยสามารถสั่งนำเข้ามาได้ในราคาเพียงบาทละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งถูกกว่าท้องตลาดทั่วไปมาก ซึ่งต่อมาได้มีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อและโอนเงินมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่ง น.ส.วันเพ็ญ มีการส่งทองหรือจ่ายเงินตอบแทนให้กับผู้สั่งซื้อหรือร่วมลงทุนใน 2-3 ครั้งแรก ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่เคยร่วมลงทุนเดิมและยัง 'ปากต่อปาก' ทำให้ยิ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมการลงทุนจำนวนหน้าใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยสุดท้ายเหล่าผู้เสียหายต่าง 'ทุ่มเงิน' จำนวนมากมาร่วมลงทุนซื้อทองกับ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งต่อมาเมื่อได้เงินก้อนใหญ่แล้ว น.ส.วันเพ็ญ ได้ 'หายตัวไป' อย่างไร้ร่องรอยพร้อมเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 37 ล้านบาท เหยื่อผู้เสียหายกว่า 200 รายทั่วประเทศ ต่างได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะเงินส่วนใหญ่ของผู้เสียหายได้ทุบหม้อข้าวมาลงทุนกับ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุทั่วประเทศ

ต่อมาได้มีสอบสวนจนนำมาสู่การออกหมายจับ และหมายจับของศาล จำนวน 61 หมายจับทั่วประเทศไทย ซึ่งจากการติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่า น.ส.วันเพ็ญไม่เพียงหายตัวไป แต่จากการตรวจสอบการทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆอีก เข้าขั้นที่เรียกได้ว่า 'ไร้เงา' ซึ่งต่อมาทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากระบบการรับแจ้งความออนไลน์และข้อมูลแผนประทุษกรรมจากคดีเดิม โดย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หรือ หน.PCT ชุดที่ 5 ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบ 'ร่องรอย' จากแผนประทุษกรรมการช่วงการก่อเหตุที่ผ่านมา ซึ่งพบ 'ตัวละคร' สำคัญที่คอยดำเนินการทำธุรกรรมให้กับ น.ส.วันเพ็ญฯ ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้ให้พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว  สว.กก.2 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี  สว.กก.1 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์   จุลพิภพ สว.กลุ่มงานสอบสวนฯ ชุด PCT 5 นำกำลังแยกกันลงพื้นที่แกะรอยจนกระทั่งสืบทราบว่า น.ส.วันเพ็ญ หลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ จ.สระบุรี โดยมี 'ลูกน้อง' คอยเป็นผู้ทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้เพื่ออำพรางการใช้ชื่อตนเอง ซึ่งแม้จะปกปิดตัวตนอย่างมิดชิด แต่ต่อมาชุด PCT5 ได้พบเบาะแสสำคัญจากร้านอาหารในละแวกพื้นที่กบดานคือ 'หนังควาย' ซึ่งเป็นอาหารที่ น.ส.วันเพ็ญชอบทาน จนนำมาสู่การสืบทราบว่าที่กบดานของ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งเป็น 'เซฟเฮ้าส์ลับ' มีรั้วสูงล้อมรอบมิดชิด ภายในชนบทใกล้เขาใหญ่ ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด PCT5 และ สืบสวนนครบาลใช้กำลังเจ้าหน้าที่ 'ดักซุ่ม' บริเวณป่าข้างทางใกล้กับเซฟเฮ้าส์ลับดังกล่าว จนกระทั่งได้พบ น.ส.วันเพ็ญ เดินออกมาจากรั้วเซฟเฮ้าส์ลับดังกล่าวลักษณะแต่งกายมิดชิด สวมหมวกปิดบังอำพรางไม่ให้ใครจำได้ แต่ไม่รอดสายตาของ พ.ต.ท.มาโนชย์ ติดตามตัว น.ส.วันเพ็ญมาเป็นเวลากว่า 1 ปี จึงสามารถจดจำลักษณะท่าทางได้แม้จะปิดบังอำพรางไว้แล้วก็ตาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top