Wednesday, 30 April 2025
เซาท์ไทม์

สงขลา - สงขลานครินทร์ ส่งมอบ “นวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19” แก่ รพ. กว่า 200 แห่ง ทั่วประเทศ

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยคณะวิทยาศาสตร์ ส่งมอบ 4 นวัตกรรม ในโครงการ SciJai แก่โรงพยาบาลกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการต่อสู้กับ COVID-19 พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดให้คลี่คลายลง

รองศาสตราจารย์ ดร.อัญชนา ประเทพ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.อ. ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกท่านมีส่วนร่วมในการสนับสนุนนวัตกรรม โดยนักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้กับ COVID-19 ของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดย 4 นวัตกรรมที่ได้ส่งมอบไปแล้ว ได้แก่ แผ่นกรองเพิ่มประสิทธิภาพหน้ากากผ้าใกล้เคียง N95, เครื่องจ่ายเจลล้างมืออัตโนมัติ, ระบบตรวจจับอุณภูมิร่างกายและคัดกรองอาการไข้ด้วยภาพถ่ายความร้อน และเครื่องวัดอุณหภูมิระยะไกล ซึ่งได้ส่งมอบนวัตกรรมให้กับโรงพยาบาลและโรงเรียนกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ

โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่ได้ส่งมอบให้กับโรงพยาบาล และเพจดัง “Drama Addict” เพื่อส่งต่อไปยังทีมแพทย์ คือ แผ่นกรองเพิ่มประสิทธิภาพหน้ากากผ้าใกล้เคียง N95 ซึ่งแผ่นกรองดังกล่าว เป็นการผลิตเส้นใยนาโนอิเล็กเทรทพอลิเมอร์ด้วยเทคนิคอิเล็กโตรสปินนิงมาใช้เป็นตัวกรองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน้ากากผ้าใกล้เคียง N95 คุณลักษณะเด่น คือ มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับหน้ากากทางการแพทย์ โดยการผลิตเส้นใยนาโน ด้วยเทคนิคอิเล็กโทรสปินนิง ทำเป็นแผ่นกรอง "Sci-Mask Filter" จึงมีคุณสมบัติเป็น Biocompatible มีความปลอดภัยในการใช้งาน มีประสิทธิภาพในการกรองที่สูง ทั้งการกรองอนุภาคและการกรองไวรัสเทียบเท่าใกล้เคียงกับหน้ากาก N95 และที่สำคัญมีคุณสมบัติ Super hydrophobic ซึ่งจะไม่ยอมให้ละอองน้ำหรือละอองลอยสามารถซึมผ่านแผ่นกรองได้ ทีมนักวิจัยได้นำแผ่นกรอง "Sci-Mask Filter" ไปทดสอบทางวิทยาศาสตร์ พบว่า มีประสิทธิภาพการกรองสูงถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งได้ทำการทดสอบเรื่องความปลอดภัยในเซลล์ของปอด ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผลพบว่าสามารถใช้งานและมีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรีย (ขนาด 1 micron) และไวรัส (ขนาด 0.2 micron) ที่ปนเปื้อนในละอองฝอยได้มากกว่า 99% เฉพาะแผ่นกรองมีประสิทธิภาพกรองฝุ่นที่ PM 2.5 ได้ถึง 91.17 %

“สำหรับการส่งมอบนวัตกรรมของคณะวิทยาศาสตร์ ม.อ. แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ด่านหน้าในการต่อสู้กับ COVID-19 ในครั้งนี้ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักวัจิยของคณะฯ ที่จะนำเอาองค์ความรู้ที่มี มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สิ่งใดที่สามารถแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ หรือทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดคลี่คลายลง ทางคณะวิทยาศาสตร์ ม.อ. ยินดีอย่างยิ่งในการช่วยเหลือ ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นส่วนสำคัญในการสู้วิกฤตในครั้งนี้” รองศาสตราจารย์ ดร.อัญชนา กล่าว

ทั้งนี้ หน่วยงานราชการ หรือท่านใดต้องการนำนวัตกรรมในโครงการ Scijai สามารถติดต่อมาที่ งานบริการวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โทร. 074-288023

กระบี่ - ว้าว ..อยากกิน "ยุ้ย ชิมก่อนจ่าย" ร้านทุเรียนดังกระบี่ คนต่อแถวยาวเยียด กว่า 8 ปี มาถึงวันนี้เคยล้มลุกคลุกคลาน แต่ใจรัก...ต้นทุนเป็นคนชอบกินทุเรียน เผยเคล็ดลับจนมีลูกค้าแน่นร้าน

วันที่ 16 พค 2564 ร้านทุเรียน "ยุ้ย ชิมก่อนจ่าย" ซึ้งเป็นร้านทุเรียนชื่อดังกระบี่ ตั้งอยู่ที่ ม.4 ทางไปสระมรกต ต.คลองท่อมใต้ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ซึ้งมีลูกค้ายืนเข้าแถวซื้อทุเรียนในแต่ละวัน ผู้สื่อข่าวได้ลงไปสอบถามเจ้าของร้านดังกล่าว ชื่อ นส เพ็ญนภา ท้าวคำมา ชื่อเล่น 146 /3ม.4ต.คลองท่อมเหนือ อ.คลองท่อมจ.กระบี่ ชื่อพี่ยุ้ยจ่ะ อายุ36 ปี เป็นแม่ค้าขายทุเรียนมากว่า 8 ปี ปัจจุบันมีลูกค้าแวะเวียนมาซื้อในแต่ละวันไม่ขาดสาย ทั้งลูกค้าประจำในพื้นที่ และต่างจังหวัด ยอดขายในวันละวันทะลุเฉียดแสนบาท เผยเคล็ดลับว่าทำไมมีลูกค้ามาที่ร้านแน่นขนัดทุกวัน และยอดสั่งซื้อทางออนไลน์ เพราะเป็นคนชอบกินทุเรียนอยู่แล้ว จึงเข้าใจความรู้สึกลูกค้า ว่าต้องการทุเรียนอร่อย คุ้มราคาที่ต้องจ่าย ทุเรียนทุกลูกที่ขาย ต้องคัดสรรค์ลูกทุเรียนที่ตรงใจและอย่างดีให้กับลูกค้า ชิมก่อนจ่าย ถ้าไม่ถูกใจ สามารถเปลี่ยนลูกใหม่ได้ โดยไม่คิดหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และด้วยประสบการณ์สั่งสมมากว่า 8 ปี ไม่ว่าเป็นการไปรับที่สวนทุเรียนเอง และการเเลือกทุเรียนที่มีความสุกงอม กรอบนอกนุ่มใน ให้กับลูกค้าจนเป็นที่ถูกอกถูกใจ จนเป็นที่ยอมรับและเป็นร้านทุเรียนชื่อดังในพื้นที่

นส.เพ็ญนภา ท้าวคำมา หรือน้องยุ้ย เปิดเผยว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ จนทำให้ร้านตนมีชื่อเสียงดังขนาดนี้ เคยล้มลุกคลากคลาน เริ่มแรกเดิมทีเป็นคนชอบกินทุเรียนจึงตัดสินใจมาขาย ใหม่ ๆ ลองผิดลองถูก ได้ทุเรียนดิบมาบ้าง น้ำหนักขาดบ้าง ปีสองปีแรกขาดทุน หมดเงินไปกว่า 2-3 แสนบาท เพราะยังไม่ชำนาญในการเลือกทุเรียน แต่ด้วยใจรัก จึงพยายามเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ไม่ว่าเป็นคัดเลือกทุเรียนเอง เทคนิคการเปาะทุเรียน ลูกไหนสุกลูกไหนอ่อน  และใช้ประสบการณ์มากว่า 8 ปี สั่งสมประสบการณ์ จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นร้านทุเรียนชื่อดัง ซื้อมาแล้วไม่เคยทำให้ผิดหวัง และเทคนิคต่าง ๆ ในการคัดสรรค์ทุเรียนให้กับลูกค้าตรงใจลูกค้าที่ต้องการ และในราคาที่ไม่แพง ปัจจุบันราคาทุเรียน อยู่ที่ 140-160 บาทต่อหนึ่งกิโลถือว่าเป็นราคาที่ไม่สูงกว่าท้องตลาด ในแต่ละวันมียอดสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก เผย 2 วันขายทะลุหลักแสนกว่าบาท ถือว่าเลี้ยงครอบครัวได้เป็นอย่างดีในช่วงหน้าฤดูกาลทุเรียน และภาวะช่วงโควิด-19 ที่หลาย ๆ อาชีพได้รับผลกระทบ และยังเป็นงานที่ตนรัก และเป็นคนชอบกินทุเรียนเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเข้าใจความรู้สึกค้าเป็นอย่างดี น้องยุ้ยกล่าว

 


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

กระบี่ - พบศพแล้ว นายสุชาติ ขาวล้วน อายุ 54 ปี หายตัวปริศนา

เจ้าหน้าที่พบรถเก๋งของนายสุชาติถูกเผาฝังดินในสวนปาล์มแ ห่างจากบ้านบังพิตผู้ต้องสงสัย ประมาณ 300เมตร  และห่างกัน200มเมตร พบอีกหลุม คาดว่าเป็นจุดฝังศพแต่อยู่ระหว่างตรวจสอบ ขณะที่ญาติไปดูจุดที่ฝังรถมั่นใจ ว่าเสียชีวิตแล้ว

จากกรกรณีที่นางอารักษ์ ทับไทร อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 76/1 หมู่ 5 ต.ลำทับ อ.ลำทับ จ.กระบี่เข้าแจ้งความที่สภ.ลำทับ  หลังผู้เป็นพ่อ ทราบชื่อคือนายสุชาติ  ขาวล้วน  อายุ 54 ปี   หายตัวปริศนานานร่วม 1 สัปดาห์  ญาติพยายมช่วยกันโพสต์ในโซเชี่ยลให้ช่วยตามหา แต่ยังไม่พบ จึงเข้าแจ้งความคนหายไว้แล้ว ที่สภ.ลำทับ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา  เบื้องต้น นายสุชาติออกจากบ้านใน อ.ลำทับ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ขับรถขับรถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า สีขาว ทะเบียน กน 6552 กระบี่  ออกจากบ้านเพียงลำพัง โดยบอกว่าจะทวงเงินที่ เพื่อ ที่อยู่ในพื้นที่ อ.เมืองกระบี่  โดยเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าไปทวงหนี้จำนวน3แสนบาท จากบังพิต  ทราบชื่อจริงต่อมา คือนายสุริบส  เริงสมุทร  อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41  ม.1 ต.หนองทะเล อ.เมืองกระบี่ก่อนหายตัวไปพร้อมรถเก๋งคันดังกล่าว ซึ่งระหว่างที่มีการข่าวผ่านสื่อ ได้มีบุคคลลึกลับ แชทข้อความไปหาญาติ นายสุชาติ พร้อมระบุว่านายสุชาติถูกฆ่าตายฝังดิน ในสวนปาล์ม พร้อทมกับรถแล้ว และให้ญาติเลิกค้นหา มิฉะนั้นจะถูกฆ่ายกครัว

ความคืบหน้าเมือเวลา 10.00 น.วันที่ 13 พ.ค.64  พ.ต.อ.พิษณุ  อัชนะพรกุล  รองผบก.ภ.จว. กระบี่   พ.ต.อ.อภิชาติ  จินาเพ็ญ  ผกก.สภ.อ่าวนาง  พ.ต.อ.เสกสรร  แก้วสว่าง  ผกก.สภ.ลำทับ  พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน  ภ.จว.กระบี่   เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน  ได้นำรถแบ็คโฮ  เข้าทำการขุดหลุมต้องสงสัย ภายในสวนปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่บ้านหนองแบก ม.1 ต.หนองทะเล  ห่างจากบ้านนายสุริยา  หรือบังพิต ประมาณ 300 เมตร   หลังจนท.สังเกตุบริเวณจุดกังกล่าวมี รอยขุดหลบฝังกลบ ขนาดใหญ่ ร่องรอยไฟไหม้ทางปาล์ม โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลานานกว่า2 ชั่วโมง ก็พบซากรถต้องสงสัย ฝังในดินลึกประมาณ 4 เมตร กว้าง6เมตร  จึงได้ใชรถแบ็คโฮดึงขึ้นมา  ตรวจสอบเบื้องต้น เป็นรถเก๋โตโยต้าโคโรนา คันที่ นายสุชาติ ขับออกจากบ้านก่อนหายตัวไป  เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในรถพบป้ายทะเบียน กน 6552 กระบี่ สภาพถูกรอยเผาไหม้วางอยู่หลังเบาะนั่งคนขับ แต่ยังไม่พบชิ้นส่วนมนุษย์หรือหลักฐานอื่น ๆ เพิ่มเติม 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลุมที่มีรอยฝังกลบห่างจากจุดหลุมที่พบซากรถประมาณ 200เมตร  ขณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบมีกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมา  ซึ่งหน้าที่อยู่ระหว่าง วางแผนขุดหลุมดังกล่าว เบื้องต้นยังไม่สามรถมารถระบุได้ว่า เป็นจุดที่ฝังศพนายสุชาติหรือไม่

ทั้งนี้ภหลังจากที่จนท.นำซากรถเก๋งขึ้นมาตรวจสอบทางญาติ ๆ นายสุชาติก็มาดูที่รถเก๋งที่ขุดขึ้นมา โดยนาง วารุณี  จันทร์ส่องแสง อายุ36 ปี หลานสาวนายสุชาติ  ยืนยันว่า เป็นรถของนายสุชาติ  และเชื่อว่านายสุชาติเสียชีวิตแล้ว 

 ด้านพ.ต.อ.อภิชาติ  จินาเพ็ญ  ผกก.สภ.อ่าวนาง เปิดเผยว่า  เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ ไปตรวจค้น ที่บ้านพักของนายสุริยาหรือบังพิตแต่ไม่พบอะไร  พบเพียง ยาไอซ์จำนวนหนีงอยู่ขางบ้าน และจนท.ชุดสืบสวนได้ควบคุมตัวนายสุริยาไปทำการสอบปากคำที่ สภ.อ่าวนาง


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง

ตราด – ผวา !! คนขับรถแบล็คโฮ พบหัวกระสุนปืน กปรส.ขนาด 76 มม. โผล่ก้นสระโร่แจ้ง EOD ตรวจสอบ

เหตุการณ์นี้ทำเอาหนุ่มขับรถแบล็คโฮถึงกับผวา ช่วงสายของวันนี้ขณะที่กําลังใช้แบล็คโฮขุดสระน้ำอยู่บริเวณกลางสวนหมู่ที่ 2 ต.ไม้รูด อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ขณะที่กำลังขุดสายตาเหลือบไปเห็นวัตถุคล้ายหัวยิงระเบิด จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ สภ.ไม้รูด ช่วยตรวจสอบ

หลังรับแจ้งทาง พ.ต.ท.สุพจน์ รักการ สวญ.สภ.ไม้รูด ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.สมชาย บุญมี รอง สวป.ประสานไปยัง ชุด EOD จังหวัดตราด ขอให้มาช่วยเก็บกู้วัตถุต้องสงสัยเกรงชาวบ้านจะได้รับอันตราย  คนขับรถแบล็คโฮ (ขอสงวนนาม) บอกว่า ได้นำรถแบล็คโฮมาขุดสระน้ำเพื่อจะทำการกักเก็บน้ำช่วงฤดูฝน เพื่อที่จะเก็บน้ำไว้ใช้รดผลไม้ในช่วงฝนทิ้งช่วง ขณะที่กำลังขุดพบวัตถุต้องสงสัย จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ EOD นำโดย ร.ต.อ.เชิดพันธ์ บุญล้อม รองสว.สพ.จว.ตราด พบเป็นกระสุนปืนไร้แสงสะท้อนหลัง หรือกระสุนปืน กปรส.ขนาด 76 มม.ซึ่งอยู่ในลักษณะเสื่อมสภาพ จากนั้นเจ้าหน้าที่ EOD ได้นําอุปกรณ์เชือกมากั้นพื้นที่ตรวจสอบเพื่อไม่ให้ประชาชนหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว ก่อนที่จะเก็บกู้และนำไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ไม้รูด เพื่อเป็นฐาน ก่อนที่จะนำกลับไป เพื่อที่จะทำลายต่อไป

สำหรับพื้นที่ ของ ต.ไม้รูด อ.คลองใหญ่ จากคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนในพื้นที่  อ.คลองใหญ่เป็นพื้นที่ที่ติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชา ในอดีต กัมพูชา ได้มีการสู้รับกับเวียดนาม ทำให้กระสุนต่าง ๆ เลยมาตกในพื้นที่ของประเทศไทย พื้นดินที่เป็นเป็นที่ลาบลุ่ม ถูกถมดินทับทำด้วยระยะเวลนาน จนอาจทำให้กระสุนปืน หรือหัวระเบิดที่เคยมาตกยังฝั่งไทย เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา


ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าว จ.ตราด

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ยะลา - เบตง ไม่หลาบจำ จับพ่อค้าแม่ค้า ขายใบกระท่อมให้กลุ่มวัยรุ่น

เบตง ตชด. อส.อำเภอเบตง บุกค้นบ้าน จับพ่อค้า แม่ค้า ขายใบกระท่อม ให้กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน รับสารภาพจำหน่ายมานานแล้ว ถูกจับดำเนินคดีหลายครั้งแล้ว เสียค่าปรับเสร็จขายต่อ

เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 พ.ค.64 นายพิชัย แก้วจำรัส ปลัดอำเภอเบตง รับผิดชอบงานยาเสพติด สืบทราบว่าพื้นที่บ้านบ่อน้ำร้อน หมู่2 ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา มีการลักลอบจำหน่ายใบกระท่อมให้กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานเพื่อนำไปต้มเป็นยาเสพติด 4x100 ซึ่งเป็นยาเสพติดที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ภาคใต้ จึงได้ประสาน พ.ต.ท.อรรถพล  จินตาคม ผบ.ร้อย ตชด.445 ร.ต.อ.มาตุภูมิ ธรรมเนียม หัวหน้าชุดปฏิบัติการการข่าว ร้อย ฉก.ตชด.445 และผู้ใหญ่บ้าน นำกำลังเจ้าหน้าที่ ตชด. อส.อำเภอเบตง เข้าตรวจค้นจับกุม

เจ้าหน้าที่ได้วางแผนแบ่งกำลังเป็น 2 ชุด โดยชุดแรกเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 58/11 หมู่2 ซ.วังน้ำวน ต.ตาเนาะแมเราะ จับกุม น.ส.นิตย์ พุทธจักจันทร์ อายุ 45 ปี พร้อมของกลางใบพืชกระท่อมสดจำนวน 35 ถุง น้ำหนักรวม 2.38 กิโลกรัม เครื่องชั่งจำนวน 1 เครื่อง ซึ่งใช้สำหรับชั่งใบพืชกระท่อมสด อยู่ภายในห้องนอนของบ้าน จากการสอบถามเบื้องต้น รับสารภาพ จำหน่ายใบกระท่อมมาประมาณ 1 ปี แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นบ้านจับกุมมาแล้วประมาณ 3 ครั้ง ทุกครั้งแฟนจะเป็นคนรับ แต่ครั้งนี้ ตนได้เลิกกับแฟนแล้ว จึงต้องรับไว้เอง ใบกระท่อมซื้อมากิโลกรัมละ 850 บาท แล้วจะนำมาแบ่งขายให้กับกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในราคา ขีดละ 120 บาท

ด้านเจ้าหน้าที่อีกชุด เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 80/2 หมู่2 ซ.อีสาน ต.ตาเนาะแมเราะ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านที่เจ้าหน้าที่ชุดแรกตรวจค้น ประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่จับกุมนายสุเด็ง ยารง อายุ 43 ปี พร้อมของกลางใบพืชกระท่อมสดจำนวน 20 ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 1.9 กิโลกรัม น้ำต้มใบกระท่อม 2 ขวด น้ำหนักประมาณ 2.2 ลิตร สอบถามเบื้องต้นรับสารภาพ ขายใบกระท่อมมาประมาณ 4 ปี แล้ว โดนเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีมาแล้ว 4 ครั้ง พอเสียค่าปรับเสร็จ ก็กลับมาขายอีก จะรับใบกระท่อมมาครั้งละ 15 กิโลกรัม ในราคา 12,000 บาท แล้วมาขายขีดละ 100 บาท

เจ้าหน้าที่จึงตั้งข้อหา น.ส.นิตย์ มียาเสพติดให้โทษประเภท5 (ใบพืชกระท่อมสด) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และตั้งข้อหานายสุเด็ง มียาเสพติดให้โทษประเภท5 (ใบพืชกระท่อมสด,น้ำต้มพืชกระท่อม) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งนำตัวและของกลางทั้งหมดส่ง ร.ต.อ.พรชัย ชูนวล พนักงานสอบสวน สภ.เบตง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อ

กระบี่ – ฮือฮา ! อีกครั้ง เจ้าของร้านจำหน่ายอะไหล่ยนต์ชื่อดัง ผุดไอเดียร์ สุดบรรเจิด ให้รถฉุกเฉิน รพ.เปลี่ยนยางฟรี ไม่มีคิดเงิน

หลังจากที่สร้างความฉือฮา มาแล้ว ติดสติกเกอร์ชื่อร้าน ท้ายรถ ปะยางฟรีตลอดชีพ หวังช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้ รพ.ช่วงวิกฤติโควิด 19

วันที่ 12 พ.ค.64 หลังจากที่นายจักรพันธ์ วรรณประเสริฐ อ.47 ปี เจ้าของเจ้าของร้านประดับยนต์ ชื่อร้าน ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 304 ม.6 ต.ปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ได้สร้างความฮือฮาให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการของร้าน ด้วยไอเดียร์สุดแปลกแหวกแนว มาแล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมา แปะสติกเกอร์ชื่อร้านท้ายรถ (ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์) ปะยางฟรีตลอดชีพ และล่าสุดทางเจ้าของร้านได้ผุดให้เดียร์ใหม่ อีกแล้ว โยได้ประกาศผ่านเฟสบุค ให้รถฉุกเฉิน ของ โรงพยาบาลในจังหวัดกระบี่ทุกโรง นำรถมาเปลี่ยนยงฟรี ไม่คิด พร้อมดูแลหลังการขายปะยางให้ฟรีตลอดชีพด้วย

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่ร้านดังกล่าว พบว่าทางร้านกำลังเปลี่ยนยางให้ รถฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลอ่าวลึก จากการสอบถามนายอรัญ คชาวุธ อายุ 52 ปี พนักงานขับรถ โรงพยาบาลอ่าวลึก ทราบว่า วานนี้ 11 พ.ค.ทางหัวหน้าฝ่ายของ รพ.อ่าวลึก ได้โทรมาแจ้งให้ตนนำรถไปเปลี่ยนยางที่ร้านส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง โดยบอกว่าทางเจ้าของร้านยินดี เปลี่ยนยาง ให้รถฉุกของ รพ.ฟรี ทุกโรงที่อยู่ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งตนเห็นว่ารถที่ตนขับอยู่ยางเริ่มสึกหรอ เพื่อความปลอดภัยจึงรีบนำรถมาเปลี่ยนยาง ซึ่งรถของตนได้เปลี่ยนยงเป็นคันแรก 

ด้านนายจักรพันธ์ (เจ้าของร้านฯ)เปิดเผยว่า ทางร้านเปิดให้บริการจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ ยางรถยนต์ ล้อแม็กซ์ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และบริการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ซ่อมช่วงล่าง ยกสูง โหลดเตี้ย และประดับยนต์มากว่า 14 ปี มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และในช่วงนี้ เป็นช่วงวิกฤติโควิด 19 ตนเห็นว่ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล แต่ละแห่ง ถูกนำออกมาวิ่งใช้งานรับส่งผู้ป่วยกันอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ทำให้ยางรถสึกเร็วกว่าปกติ ตนจึงเกิดไอเดียร์ เปลี่ยนยางรถให้ฟรี ไม่คิดเงิน เฉพาะ รพ.ในจังหวัดกระบี่ พร้อมบริการหลังการขายฟรี ไม่ว่าจะเป็นตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ทุก 1 หมื่น กม.

นายจักรพันธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา เกิดวิกฤติโควิด 19 ถึง 2 รอบ ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับทางร้าน มีจำนวนลดลง ตนก็เลยปิ้งไอเดียร์ ขึ้นมาว่ารถทุกคัน ที่มีสติกเกอร์ “ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์”ติดอยู่ที่รถ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ หากว่ารถล้อรั่ว ซึม เข้ามาใช้บริการปะยาง ทางร้านก็จะปะให้ฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งเหมือนกับว่าทางร้านได้ช่วยดูแลสังคมอีกด้านหนึ่ง ในการลดค่าใช้จ่ายของลูกค้า และตอนนี้เกิดวิกฤติโควิด 19 ระบาดระลอก 3 ตนก็เลยอยากช่วยแบ่งเบาโรงพยาบาล ที่เห็นบุคลากรทุกคนทำงานกันอย่างหนัก คิดไอเดียร์ โดยการเปลี่ยนยางให้ฟรี ไม่คิดเงินแม้บาทเดียว     

นายจักรพันธ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า ทางร้านได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากการเข้าใช้บริการของลูกค้าลดน้อยลง แต่ทางร้านก็ได้มีการแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายขอส่วนลดพิเศษเพื่อมาช่วยสนับสนุนเป็นส่วนลดให้แก่ลูกค้า โดยพบว่าช่วงนี้ลูกค้าหายไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีข้อดี ทางร้านสามารถดูแลให้บริการลูกค้าหลังการขายได้อย่างเต็มที่


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

สงขลา - เทศบาลนครสงขลา จับมือสาธารณสุขจังหวัดสงขลา และโรงพยาบาลสงขลาเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เร่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชน

ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสงขลากลุ่มเป้าหมายวันนี้เป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา บริเวณถนนทะเลหลวง 36 คน และแม่ค้าตลาดรถไฟ 280 คน รวม 316 คน

วันนี้  12 พ.ค.64 ที่บริเวณลาน 5 ไร่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เทศบาลนครสงขลา ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาและโรงพยาบาลสงขลาเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเสี่ยงตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสงขลา  ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายเป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขาบริเวณถนนทะเลหลวง เขตเทศบาลนครสงขลา จำนวน 36 คน และแม่ค้าตลาดรถไฟ จำนวน 280 คนรวม 316 คน โดยตั้งจุด swab ที่บริเวณลาน 5 ไร่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดสงขลา เขตเทศบาลนครสงขลา

โดยประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น และแม่ค้าตลาดรถไฟก็เดินทางมาเพื่อทำการคัดกรอง บริเวณจุด swab อย่างต่อเนื่องมีการจัดระเบียบ ตรวจคัดกรองเข้มทั้งการวัดอุณหภูมิร่างกาย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือและจัดระยะห่าง ในการคัดกรองเข้าไปบริเวณที่ทำการตรวจหาเชื้อ covid-19

ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายทุกคนให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี โดยตั้งใจเดินทางมาตรวจคัดกรองเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ที่ต้องเผชิญสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 รอบที่ 3 ในครั้งนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ได้ทำการคัดกรองกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเป้าหมาย เป็นแม่ค้าตลาดทรัพย์สินพลาซ่าและพนักงานร้านลีวิวัฒน์และประชาชนถนนเทศบาล 1 รวม 220 คน ไปเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ในพื้นที่เทศบาลนครสงขลาที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้เทศบาลนครสงขลาปฏิบัติการเชิงรุกตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงพร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและให้ความร่วมมือในการรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเคร่งครัดอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

นราธิวาส – โจรใต้ตาย 1จับเป็น 2 หลบหนีไปได้ 1 หลังทหารบังคับใช้กฎหมายพื้นที่บาเจาะ

เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 11 พ.ค. 64 น.อ.ธงฉาน บุญระเทพ ผบ.ฉก.ทพ.นย.ทร. พ.ต.อ.ดุลมาน แยนา ผกก.สภ.บาเจาะ ได้ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษร่วม จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ศูนย์ซักถามและรวบรวมข่าวสาร ฉก.นย.ภต. จำนวน 4 ชุดปฏิบัติการณ์ บังคับใช้กฎหมายในการบุกจู่โจมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 7 จุด ในพื้นที่ อ.บาเจาะ เพื่อกดดันสมาชิกกองกำลังติดอาวุธในช่วง 10 วันสุดท้ายในช่วงเดือนรอมฎอน หรือ ถือศีลอด ในการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่ง 1 ใน 7 เป้าหมาย เป็นบ้านปูน 2 ชั้น เลขที่ 3 ม.9 ต.บาเจาะ ที่เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันโอบล้อม ก่อนที่จะแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น แต่คนร้ายที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ได้ใช้อาวุธปืนสงครามและอาวุธปืนพก ยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่จนทั้ง 2 ฝ่ายได้เปิดฉากยิงปะทะกันเป็นระลอกๆนานกว่า 15 นาที

เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่โดยรอบของบ้านหลังดังกล่าว พบศพนายซูไรดิน กะแต หรือ มะดง อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/2 ม.5 ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส นอนจมกองเลือดเสียชีวิตอยู่ที่บริเวณด้านในของประตูหลังบ้านดังกล่าว โดยมีอาวุธปืนสงคราม AK102 จำนวน 1 กระบอก ตกอยู่ที่ข้างศพ และมีอาวุธปืนพกขนาด 11 ม.ม. ตกอยู่ห่างจากศพ ประมาณ 5 เมตร จำนวน 1 กระบอก และมีปลอกกระสุนปืนของคนร้าย ตกกระจายเกลื่อนทั่งบริเวณ จำนวนกว่า 100 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบและเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง

ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว 2 พี่น้อง เจ้าของบ้านพักหลังดังกล่าว คือ นายกูอัฟนัน และนายกูอัมรัน กุพะมา มาทำการสอบสวนในเบื้องต้น พบว่าทั้ง 2 คน ไม่มีปะวัติอาชญากรรมและก่อคดีความมั่นคง เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวไปสอบสวนขยายผลที่ศูนย์ซักถามที่ ฉก.ทพ.นย.ทร. และจากการตรวจสอบประวัตินายซูไรดิน ผู้เสียชีวิต เป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบระดับปฏิบัติการ มีหมายจับ ป. วิ  อาญา จำนวน 2 หมาย ซึ่ง 1 ในนั้น ก่อเหตุยิง 2 แม่ลูกเสียชีวิต คือนางนิตยา และน.ส.อัจฉริยา แก่นเรือง เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2561 ส่วนอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พบว่า อาวุธปืน AK102 คนร้ายใช้ก่อเหตุดักซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณป้อมจุดตรวจหลัง สภ.บาเจาะ เมื่อวันที่ 15 ก.พ.2564 และใช้อาวุธปืนดักซุ่มยิงจุดตรวจบาตู ในพื้นที่ ต.ต้นไทร อ.บาเจาะ เมื่อ 8 เม.ย. 2561 ส่วนอาวุธปืนพก ขนาด 11 ม.ม. เป็นอาวุธปืนที่คนร้ายได้ขโมยจากอาสารักษาดินแดนมูฮำหมัดซับรี สาและ ประจำที่ว่าการ อ.บาเจาะ ที่คนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2564 ที่ผ่านมา

ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย คือ อาสาสมัครทหารพรานนาวิกโยธินกำพล แก้วจำรัส อายุ 28 ปี ถูกกระสุนปืนของคนร้ายที่บริเวณข้อมือซ้าย เพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลบาเจาะ

และจากการตรวจสอบคนร้ายที่สามารถหลบหนีไปได้ 1 คน คือ นายซูเฟียน ยูโซ๊ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังในการติดตามไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด คาดว่าจะหลบหนีไปอาศัยบ้านพักของสมาชิกแนวร่วมหลังใดหลังหนึ่งในพื้นที่รอยต่อกับจุดเกิดเหตุ โดย พ.ต.อ.ดุลยมาน แยนา ผกก.สภ.บาเจาะ ได้สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามจุดตรวจจุดสกัดทุกจุดในพื้นที่ อ.บาเจาะ ตั้งจุดตรวจจุดสกัดในการตรวจสอบยานพาหนะทุกชนิด เกรงจะมีสมาชิกแนวร่วมในพื้นที่นำนายพาหนะมารับหลบหนี ซึ่งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถตรวจสอบพบนายซูเฟียน ยูโซ๊ะ แต่อย่างใด


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

นราธิวาส - โควิด-19 พ่นพิษ แม่ค้าร้านเสื้อผ้านราธิวาสโอดครวญ เสื้อผ้ารับเทศกาล ’ฮารีรายอ’ ปีนี้ไม่คึกคัก

วันนี้ 10 พ.ค.64  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศร้านเสื้อผ้าย่านถนนพิชิตบำรุง ย่านธุรกิจ ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส  ก่อนเทศกาลฮารีรายออิฎิ้ลฟิตรี รีหรือเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของพี่น้องชาวมุสลิม ที่จะถึง ภายหลังที่ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศวันดูดวงจันทร์ เพื่อกำหนดวันฎิ้ลฟิตรี ในคืนวันที่ 11 พ.ค.64 นี้

โดยที่บริเวณถนนสายหอนาฬิกา ถนนพิชิตบำรุง เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ได้มีประชาชนออกมาซื้อเสื้อผ้า ผ้าโสร่ง รองเท้า เสื้อโตป หมวกกาปีเยาะ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายแบบมุสลิม เพื่อใส่ไปละหมาดในวันฮารีรายออิฎิ้ลฟิตรี นี้ ก็มีประชาชนเดินทางมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก

ขณะที่ น.ส นิสา นิแมเราะ อายุ 20 ปี พนักงานร้าน ELAMIN (แอลลานมีน) ตั้งอยู่ที่ถนนพิชิตบำรุง เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ให้ข้อมูลว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างหนักในตอนนี้ และราคายางพาราที่ตกต่ำ ทำให้ประชาชนออกมาจับจ่ายน้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 10 วัน สุดท้ายของเดือนรอมฎอน จะมีประชาชนออกมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก และขายได้ดี ซึ่งปีนี้เศรษฐกิจย่ำแย่เป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีพี่น้องประชาชนออกมาจับจ่ายซื้อสินค้า แต่ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูกลง เนื่องจากผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้มีกำลังในการซื้อสินค้าน้อยลง ทำให้ร้านค้าจำนวนมากต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าย่ำแย่

ทั้งนี้ จากการประกาศจากสำนักจุฬาราชมนตรี ให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศดูดวงจันทร์  กำหนดวันที่ 1 เดือนเชาวาล (วันอิฎิ้ลฟิตรี)  ฮิจเราะห์ศักราช 1442 ในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564  เวลาหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า หากมีผู้เห็นดวงจันทร์ แสดงว่า วันที่ 1 เดือนเชาวาล (วันอิดิลฟิตรี)  ตรงกับวันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564  หากไม่มีผู้เห็นดวงจันทร์ วันอิดิลฟิตรี ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564


ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน

กระบี่ – เตือนภัยรูปแบบใหม่ ดาบตำรวจหนุ่มเมืองกระบี่ โดนหลอกเช่ารถเก๋งป้ายแดงไปถอดชิ้นส่วนอะไหล่ เชื่อทำเป็นขบวนการ

วันที่ 11 พ.ค.2564 ด. ต. ศุภชัย กรรมการ อายุ 44 ปี  ตำแหน่งผบ. หมู่ กก. สส. ภ. จว. กระบี่ อยู่บ้านเลขที่ 296/2 ม.7 ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่  เจ้าของรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ สีขาว ป้ายแดงทะเบียน  ก 2331 กระบี่  ได้เข้าไปตรวจสภาพความเสียหาย  ของรถคันดังกล่าวภายในศูนย์ริการฮอนด้ามะลิวัลย์กระบี่ ม.2 ต.กระบี่น้อย อ.เมืองกระบี่ หลังนายพิชานัน  หรือตั้ม  เกียรติโอฬาร  อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 408/13  ถ.อุตรกิจ ต.กระบี่ ใหญ่ อ.เมืองกระบี่   ได้เช่าไปเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา แต่กลับนำไปจอดที่อู่แห่งหนึ่งใน พื้นที่ ม.2 ต.ทับปริก อ.เมืองกระบี่  จึงตามไปเอารถคืนปรากฎว่า รถอยู่ในสภาพห้องเครื่องมีร่องรอยถูกรื้อถอดชิ้นส่วนไปหลายรายการ   จึงได้ติดตามตัวนายพิชานัน มาสอบถาม ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าได้รื้อเอาอุปกรณ์ในรถไปจริง จึงได้แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สภ.เมืองกระบี่  เมื่อวันที่9 พ.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะมาตรวจสอบความเสียหายของรถและชิ้นส่วนอะไหล่ที่หายไปเพื่อประเมินควรามเสียหายและแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาลักทรัพย์

เบื้องต้นนายภูวดล ไชยบุญ หัวหน้าช่างประจำศูนย์บริการฯ กล่าวภายหลังการตรวจสภาพรถ ว่า การถอดอะไหล่ในลักษณะดังกล่าวตนไม่เคยเจอมาก่อน เพิ่งพบเป็นเคสแรก จากการตรวจสอบสภาพรถในเบื้องต้น พบว่ามีร่องรอยถอดอุปกรณ์ เช่น  ท่อไอเสีย แคทตาไลติก   และที่ชัดเจนมีชิ้นส่วนถูกถออดออกไป2 รายการ คือ แผ่นกันความร้อนคอท่อหลังเทอร์โบ1 ชิ้น  และแผ่นกันความร้อนเทอร์โบด้านบน 1 ชิ้น ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับตัวเทอร์โบ แต่ยังไม่ทันได้ถอดเทอร์โบ นอกจากนั้นยังพบว่ามีการใส่อะไหล่มาไม่ครบ และใส่น็อตไม่ตรงด้วย รวมมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น คาดว่าไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท 

ขณะที่ ด.ต.ศุภชัย เล่าให้ฟังว่า ตนเปิดบริการให้เช่ารถเป็นอาชีพเสริมในตัวเมืองกระบี่ก่อนเกิดเหตุ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค.64 ที่ผ่านมา นายพิชานัน ฯ ผู้ต้องหาได้โทรศัพท์ติดต่อมาขอเช่ารถ พร้อมระบุเป็นรถฮอนด้าซิตี้ รุ่นใหม่ ป้ายแดง ซึ่งตนก็นมีรถรุ่นดังกล่าวเพิ่งซื้อมาได้ประมาณ 5 เดือน จึงได้ตกลงทำสัญญาเช่าเป็นเวลา1 วัน ในราคา 900 บาท โดยผู้ต้องหานัดคืนรถในเช้าวันที่ 9 พ.ค.64  โดยผู้ต้องหาได้โอนเงินมัดจำมาให้ 2 พันบาท และนัดมารับรถที่ ถนนปานุราช เขตเทศบาลเมืองกระบี่  เมื่อตรวจสอบรถในสภาพเรียบร้อย ผ็ต้องหาก็ขับรถไปทันที  ต่อมาช่วงเย็นวันเดียวกันตนสังเกตเห็นสัญญาณจีพีเอสที่ติดตัวรถ หยุดนิ่งผิดปกติเป็นเวลา 4 -5ชม.ที่ปั้มน้ำมันปตท.ไสไทย ก่อนเคลื่อนรถไปที่อู่รถยนต์แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ม.2 ต.ทับปริก และรถจอดที่อยู่ดังกล่าวตั้งแต่4โมงเย็นจนถึงเช้า 

ด.ต.ศุภชัย กล่าวอีกว่า ขณะรถจอดที่อู่ดังกล่าว พบความผิดปกติ คือสัญญาณจีพีเอสหายไปประมาณ3 ชม. ตั้งแต่5โมงเย็นถึง3ทุ่ม เมื่อเห็นผิดสังเกตุ จึงโทรศัพท์ไปสอบถามผู้ต้องหาว่าจะคืนรถตามกำหนดหรือไม่ผู้ต้องหาก็รับปาก ตนจึงถามต่อว่าทำไมมาจอดที่อู่ ผู้ต้องหาตอบว่ามาดูรถที่ซ่อมไว้ ตนจึงกำชับว่าอย่าถอดอะไหล่รถที่ให้เช่าเขาก็รับปาก ต่อมาเช้าวันที่9 พ.ค.ถึงเวลานัดรับรถคืนแต่ไม่มาตามนัด  ตนพยายามโทรติดต่อแต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้ประสาน ผช..ผญบ  ม.2 ทับบปริก มาร่วมตรวจสอบที่อู่ดังกล่าวปรากฎว่าพบรถจอดอยู่ในสภาพไม่ล๊อคประตู และเปิดไฟในรถทิ้งไว้ ตัดสัญญานภาพกล่องบันทึก ในรถออก มีร่องรอยการถอดอุปกรณ์ โดยมีน๊อตตกอยู่ในกะโปรงรถ และร่องรอยการขันน๊อตหลายจุด พร้อมพบคราบน้ำมัน ของเหลว ภายในห้องเครื่อง จึงได้นำรถ มาตรวจสอบที่ศูนย์บริการดังกล่าว

เชื่อว่าผู้ต้องหาต้องการจะถอดเทอร์โบแต่ถอดไม่ทัน จากการประมวลเหตุการณ์ตนเชื่อว่านายพิชานันไม่ได้ลงมือเพียงคนเดียว อาจจะมีผู้ร่วมขบวนการ 2-3 คน และทางเจ้าของอู่น่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะรวบรวมหลักฐานแจ้งความดำดำเนินคดีตามกฎหมาย  และให้เจ้าหน้าที่สืบสวนขยายผลว่ามีผุ้ร่วมขบวนการหรือไม่อย่างไร  และอยากฝากเตือนเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้บริการให้เช่ารถได้ระมัดระวังด้วย เพราะตอนนี้มิจฉาชีพมาในหลายรูปแบบ ด.ต.ศุภชัย กล่าว


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์ ศรี

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top