Thursday, 9 May 2024
นอร์ทไทม์

เชียงใหม่ - ทอท. ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษา โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านใหม่พัฒนาสันติฯ

วันที่ 2 เมษายน 2564 นายกฤษฎา พุกะทรัพย์ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (สายสนับสนุนธุรกิจ) พร้อมด้วยผู้บริหาร พนักงานฝ่ายกิจการเพื่อสังคม และผู้บริหาร พนักงานท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นผู้แทน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านใหม่พัฒนาสันติ (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ2 เมษายน 2558 อุปถัมภ์) ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมมอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษา จำนวน 100,000 บาท โดยมีพันตำรวจโท ผดุงเกียรติ ปัณฑรนนทกะ รองผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 และดาบตำรวจหญิง กัญญารัตน์ ขวัญทรัพย์กิจ รักษาการครูใหญ่ ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน

ทั้งนี้ ทอท.ได้ให้การสนับสนุนและดูแลโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านใหม่พัฒนาสันติฯ มาตั้งแต่ปี 2558 โดยได้สร้างอาคารเรียน และสนับสนุนงบประมาณการบริหารจัดการด้านการศึกษาของโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีศิษย์เก่าของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านใหม่พัฒนาสันติฯ ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของท่าอากาศยานเชียงใหม่ด้วย ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนในถิ่นทุรกันดารเกิดความมุ่งมั่นในการศึกษาต่อไป


ภาพ/ข่าว  นภาพร  เชียงใหม่

กระบี่ - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดประติมากรรมวงเวียน (KRABI LUCKY WINDMILL) และ งาน KRABI’S TOUCHDOWN IN THE ANDAMAN

วันที่ 2 เมษายน 2564 เวลา 18.30 น. ที่ประติมากรรมวงเวียน (KRABI LUCKY WINDMILL) บริเวณทางเข้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดประติมากรรมวงเวียน (KRABI LUCKY WINDMILL) และการจัดงาน KRABI’S TOUCHDOWN IN THE ANDAMAN โดยมีนายสมศักดิ์ กิตติธรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ให้การต้อนรับและกล่าวรายงานวัตถุประสงค์ พ.ต.ท.ม.ล.กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวต้อนรับรัฐมนตรีฯ และนางสาวศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดงาน KRABI’S TOUCHDOWN IN THE ANDAMAN มีคณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ.กระบี่ หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดกระบี่ ตัวแทนจากองค์กรภาคเอกชน สมาคมแม่บ้านองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ สภาประชาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก  

นายสมศักดิ์ กิตติธรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ได้ก่อสร้างประติมากรรมวงเวียน (KRABI LUCKY WINDMILL) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอันดามันแห่งใหม่  ลักษณะอาคารมีความสูง 14.42 เมตร เป็นทรงแปดเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.00 เมตร  ตำแหน่งที่ตั้งเป็นจุดสังเกตอย่างชัดเจน และเป็นเครื่องมือของการท่องเที่ยว  ในระบบโซเชียลในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ด้านนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว นางสาวศศิธร กิตติธรกุล พูดถึงการจัดงาน KRABI’S TOUCHDOWN IN THE ANDAMAN ในนามประธานสภาอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยว จากสภาวะวิกฤตการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ทำให้ภาคการท่องเที่ยวประสบกับปัญหา ด้านเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการ ก่อให้เกิดการว่างงานในกลุ่มพนักงาน ลูกจ้าง ที่ปฏิบัติงานในด้านการท่องเที่ยว ดังนั้น การมีส่วนร่วมที่จัดกิจกรรมกระตุ้นให้เกิดรายได้  เกิดการสร้างงานภายใต้ข้อจำกัด ที่จะทำอย่างไรให้ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่  เป็นที่ยอมรับว่ามีความพร้อม  ในระบบการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)  ประกอบกับศักยภาพของสถานที่ท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน  ยังคงโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวโลกเสมอ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ต้องขอชื่นชมจังหวัดกระบี่   ที่ทุกภาคส่วนร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในทุกด้าน เพื่อฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจอันเกิดจากผลกระทบของโควิด-19 จะเห็นได้จากวันนี้ เรามีสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวทะเลอันดามันแห่งใหม่ “ประติมากรรมวงเวียน  KRABI LUCKY WINDMILL ที่นำศาสตร์ของความเชื่อ ความโชคดี มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบได้อย่างลงตัวและงดงาม ต่อไปเราคงจะได้เห็น KRABI LUCKY WINDMILL เป็นจุดเช็คอินที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

กลุ่มกะเหรี่ยงในไทย KTG เปิดรับบริจาค สิ่งของช่วยเหลือผู้หนีภัยสงครามเมียนมา

ระบุ ผู้หนีภัยสงครามส่วนใหญ่ไม่กล้ากลับเข้าบ้าน อาศัยหลบซ่อนในป่า ขาดแคลนเสบียง  ขณะที่สถานการณ์ชายแดนวันนี้ยังเงียบสงบไม่มีผู้อพยพข้ามมาแต่อย่างใด

ณ บ้านคะปวง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน  น้องฟ้า ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับสิ่งของบริจาคศูนย์ KTG ในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง  ตัวแทน กลุ่มกระเหรี่ยงในประเทศไทย หรือ KTG  (Karen Thai Group) กำลังทำการรวบรวมสิ่งของบริจาคที่ได้จากพี่น้องกะเหรี่ยง และ ประชาชนไทย ในประเทศไทย ซี่งส่วนใหญ่เป็นข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม เสื้อผ้า และ  ผ้าใบสีฟ้า  ของใช้ยามหน้าฝน เช่น ผ้าใบกันฝน ซึ่งถ้าสถานการณ์ยึดเยื้อ พี่น้องที่หลบหนีกลางป่าจะได้มีที่พักพิงหลบฝนได้  โดยสิ่งของบริจาคได้ทยอยส่งมาอย่างต่อเนื่อง  ในวันนี้มีสิ่งของบริจาค ส่งมาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก และ กลุ่มสตรีชาติพันธ์แม่สวด รวมกันส่งสิ่งของมากับรถโดยสาร จำนวน 5 คัน  ซึ่งเจ้าหน้าที่ KTG ระบุว่า พี่น้องชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากภัยสู้รบเมียนมา ยังต้องการของบริจาคอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้หนีภัยสงครามส่วนใหญ่ไม่ได้กลับไปอยู่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย แต่ยังคงอาศัยหลับนอนตามป่า ตามเขา เนื่องจากยังหวาดกลัวภัยสงคราม

โดยสิ่งของรับบริจาคส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วย ข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม ยารักษาโรค และของใช้ยามหน้าฝน เช่น ผ้าใบกันฝน ซึ่งถ้าสถานการณ์ยึดเยื้อ พี่น้องที่หลบหนีกลางป่าจะได้มีที่พักพิงหลบฝนได้

ทั้งนี้  จากเหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้นในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ประชาชน  เด็ก  ผู้หญิงและคนชราต้องทิ้งบ้านเรือนหนีภัยสงคราม แม้ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา แต่บางส่วนไม่กล้ากลับเข้าไปอยู่ตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเดิม ยังคงหลบหนีซ่อนตัวอยู่ตามป่า และ เริ่มไม่มีเสบียง ทั้งนี้กลุ่มเครือข่ายกะเหรี่ยงในประเทศไทยจะดำเนินการขออนุญาตทางหน่วยงานรัฐในการดำเนินการส่งของออกไปช่วยเหลือพี่น้องชาวกะเหรี่ยงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากยังไม่สามารถดำเนินการส่งของไปช่วยเหลือได้ ก็จะรวบรวมไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะปกติ หรือ จนกว่า ทางการไทยอนุญาตให้ส่งออกได้เท่านั้น


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา  / ถาวร (อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน) 

จับตาการเปิด 5 จุดผ่อนปรน การค้าชายแดนไทย-เมียนมาแม่ฮ่องสอน เพื่อบรรเทาผลกระทบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าชายแดนฯ แต่ยังไม่อนุญาตให้บุคคลข้ามแดน

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ลงนามในคำสั่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเปิดการใช้ช่องทาง ณ จุดผ่อนปรนการค้า หลังปิดไปตั้งแต่ 1 พ.ย. 63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยผู้ว่าราชการได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.แม่ฮ่องสอน และคณะกรรมการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อหารือแนวทางในการเปิดจุดผ่อนปรนการค้า โดยในคำสั่งฉบับดังกล่าวได้อนุญาตให้มีการเปิดการใช้ช่องทาง ณ จุดผ่อนปรนการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าชายแดนฯ โดยจะมีผลตั้งแต่วันนี้  1 เม.ย. 64 เป็นต้นไป ประกอบไปด้วย

1.) จุดผ่อนปรนการค้าช่องทางห้วยต้นนุ่นหมู่ที่ 4 ตำบลแม่เงา อำเภอขุนยวม

2.) จุดผ่อนปรนการค้าช่องทางบ้านเสาหิน หมู่ที่ 6  ตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง

3.) จุดผ่อนปรนการค้าของทางบ้านแม่สามแลบหมู่ที่ 9 ตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย

4.) จุดผ่อนปรนการค้าของทางบ้านห้วยผึ้ง หมู่ที่ 3 ตำบลห้วยผา อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

5.) จุดผ่อนปรนการค้าช่องทางบ้านน้ำเพียงดิน หมู่ที่ 3 ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

ทั้งนี้  ให้ขนส่งเฉพาะการนำเข้า - ส่งออกสินค้าบริเวณจุดผ่อนปรนที่กำหนดเท่านั้น ยังไม่อนุญาตให้มีการเดินทางเข้า-ออก ของบุคคลทั้งชาวไทยและชาวเมียนมาผ่านช่องทางจุดผ่อนปรนการค้าทุกแห่งรวมทั้งช่องทางธรรมชาติ สินค้าทั่วไปอุปโภค บริโภค ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำร้องต่อศุลกากร โดยให้ศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสินค้าเข้าออก ส่วนสินค้าเกี่ยวกับความมั่นคง และสินค้าที่นอกเหนือจากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปให้ผู้ประกอบการยื่นคำร้องต่อศุลกากร และให้แจ้งเรื่องมายังศูนย์สั่งการชายแดนเพื่อพิจารณาประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและ  ให้ปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาโควิด-19 อย่างเคร่งครัด


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร   (อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน) 

ทหารพราน เริ่มทยอยส่งกลับผู้อพยพแล้วบางส่วน โดยห้ามสื่อมวลชนเข้าพื้นที่

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 มีรายงานข่าวว่า ชาวบ้านจากรัฐกะเหรี่ยง จำนวน 76 คน ได้อพยพมายังฝั่งไทย ก่อนถึงบ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยมี 16 ครอบครัว เป็นชาย 46 คน ผู้หญิง 30 คน ซึ่งเป็นเด็ก 15 คน  โดยทั้งหมดข้ามแม่น้ำสาละวิน มาถึงเวลาประมาณ 15.00 น.ของวันที่ 29 มีนาคม และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสาละวิน และผู้ใหญ่บ้าน เข้าไปตรวจสอบ โดยให้พักอยู่บริเวณจุดพักริมน้ำสาละวิน และมี อสม.เข้าไปคัดกรองโควิด-19 และจัดโซนที่พักอาศัยที่ปลอดภัยให้ไว้ชั่วคราว ก่อนมีนโยบายว่าดำเนินการอย่างไร

บรรดาสื่อมวลชนหลายสำนัก ทั้งสื่อไทยและต่างประเทศ ได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าหาข้อเท็จจริงในจุดที่ชาวบ้านอพยพเข้ามาซึ่งต้องเดินทางโดยรถยนต์ผ่านบ้านแม่สามแลบ แต่ทหารพราน ทพ.36 ที่จุดตรวจบ้านแม่สามแลบ ไม่ให้สื่อมวลชนหรือบุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่ายังมีสถานการณ์ความมั่นคงและสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีการปิดสถานที่ท่องเที่ยว จึงไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้ รวมทั้งมีคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงยังไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ ทำให้บรรดาสื่อมวลชนต้องนั่งรอกันอยู่ที่บ้านแม่สามแลบ

มีรายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสถานการณ์ผู้อพยพจากค่ายอิตูท่า ที่อพยพมายังฝั่งไทย ที่ห้วยแม่สะเกิบ และสบเแงะ ตั้งแต่วันที่ 27-28 มีนาคม จำนวนกว่า 3,000 คน และได้มีการผลักดันกลับไปฝั่งศูนย์พักพิงอิตูท่า รัฐกะเหรี่ยง ตั้งแต่เย็นวันที่ 29 มีนาคมนั้น ในช่วงเข้าวันนี้ยังคงมีการผลักดันชาวบ้านกลับอย่างต่อเนื่อง โดยผู้อพยพได้ถ่ายภาพยืนยันการถูกบังคับส่งกลับไว้ โดยกลุ่มผู้อพยพที่จุดสบแงะ จำนวนกว่า 300 คน ได้กลับไปยังศูนย์พักพิงอูแวโกลเมื่อเช้านี้ ส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอิตูท่า ได้ทยอยกลับไปเช่นกัน ในขณะที่เมื่อคืนกลุ่มที่กลับไปแล้ว ไม่กล้านอนในบ้าน เพราะยังหวาดกลัวเสียงระเบิดจากการโจมตีทางอากาศ จึงไปหลบอยู่ในป่ารอบ

ข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บจากการถูกโจมตีของทหารพม่า ที่หมู่บ้านเดปุนุ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองพล 5 KNU จำนวน 6 คน ตั้งแต่คืนวันที่ 27 มีนาคม ได้เดินทางมาถึงที่บ้านแม่นือท่า ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน แล้ว กำลังขออนุญาตทหารไทย ล่องเรือในแม่น้ำสาละวิน เพื่อนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลในฝั่งไทย โดยล่าสุด มีผู้ลี้ภัยที่ถูกกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 7 คน กำลังประสานขอความช่วยเหลือในการนำมารักษาที่ฝั่งไทย ซึ่งมีสถานพยาบาลใกล้ที่สุด คือที่ โรงพยาบาลส่งเสริมส่วนตำบลแม่สามแลบ และมีท่าเรือนำส่ง และได้มีการประสานงานเพื่อขอความช่วยเหลือทางสาธารณสุขมาแล้ว

 


ภาพ/ข่าว  เกียรติศักดิ์  รักสัตย์ (ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน CR.ข้อมูล – ภาพจากสำนักข่าวชายขอบ)

ราษฎรเมียนมาอพยพหลบหนีเข้าเขตไทยด้านอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

โดยเมื่อ 28 มี.ค.2564  ได้ มีราษฎรเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงจากฝั่ง สหภาพเมียนมา ได้หลบหนีการสู้รบข้ามมายังฝั่งไทย ด้านอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน  3 จุด รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1,900 คน ได้แก่

       1. จากพื้นที่ บ.เอเค อ.บือโส๊ะ จ.มือตรอ (จังหวัดจัดตั้ง KNU) รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามฝั่งไทย บริเวณ ฐานฯออเลาะ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยเข้าพักอาศัยบริเวณ ฝั่งไทย  ประมาณ 300 คน

       2.  จากพื้นที่ควบคุมผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา ห้วยอูแวโกร ด้านตรงข้ามฝั่งไทยบริเวณ บ.แม่ดึ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียงฯ โดยเข้าพักอาศัยบริเวณ พิกัด  ประมาณ 300 คน

       3. จากพื้นที่ควบคุมผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา ห้วยอีทูโกร ด้านตรงข้ามฝั่งไทยบริเวณ ฐานฯ แม่สะเกิบ บ.ห้วยกองแป ต.แม่คง อ.แม่สะเรียงฯ   โดยเข้าพักอาศัยบริเวณ   ห้วยอุมปะ ประมาณ 1,300 คน

       ทั้งนี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่า ทมม. จะปฏิบัติการตอบโต้ โจมตีทางอากาศพื้นที่ควบคุม กองกำลังKNLA พล.น้อย  5 ของกลุ่ม KNU อีกทำให้ราษฎรหวาดกลัวและวิตกกังวลต่อความปลอดภัย จึงได้พากันอพยพหลบหนีเข้ามายังฝั่งไทย

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยถึงสถานการณ์เกี่ยวกับผู้อพยพ ฯ ว่า สถานการณ์ในประเทศพม่า ได้เริ่มรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้อพยพ หลบหนีเข้ามาอาศัยในไทย ล่าสุด จำนวน 2,194 คน และคาดว่าน่าจะมีการหลบหนีเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ทางจังหวัดจะต้องรอคำสั่งจากรัฐบาลในเรื่องการเข้าไปดูแลผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้มีการวางแผนเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ที่อำเภอขุนยวม แต่เป็นพื้นที่คนละจุดกัน ซึ่งตอนนี้ผู้อพยพดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารพราน จากกรมทหารพรานที่ 36 แม่สะเรียง จัดกำลังเข้าไปควบคุมดูแลในเบื้องต้นแล้ว

ภาพ/ข่าว เกียรติศักดิ์  รักสัตย์ (ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน)

สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน จัดโครงการเสริมสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อ-จัดจ้าง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ที่ โรงแรม กัชชัน พาโนรามา กอล์ฟ คลับ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำพูน  จัดโดย สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน  โดยมีนางสาววิศรา รัตนสมัย  ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน   กล่าวรายงาน  มีนายชาตรี กิตติธนดิตถ์  ปลัดจังหวัดลำพูน หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น 58 หน่วยงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง  จำนวน 140 คน  เข้าร่วมโครงการ

สืบเนื่องจากสภาพปัญหาการกระทำความผิดและเรื่องร้องเรียนที่ สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการในปีที่ผ่านมา พบว่าในระดับประเทศและระดับจังหวัด จากข้อมูล สถิติเรื่องกล่าวหาที่สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการในปี พ.ศ. 2563 ปรากฏว่าการกระทำความผิดมีสัดส่วนสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. การจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน  1,199 เรื่อง    2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำนวน 1,024  เรื่อง โดยพบว่า จำนวน เรื่องร้องเรียนกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดการจัด จัดจ้างสูงเป็นลำดับที่ 1 ดังกล่าว หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนกล่าวหา เป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถึง 2,212 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเรื่องร้องเรียนกล่าวหาทั้งหมด

สำนักงาน ปปช. ประจำจังหวัดลำพูน จึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีการเสวนา แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560  และประเด็นปัญหาด้านพัสดุ ในเพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจให้แก่ผู้บริหาร และข้าราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดลำพูน ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยความถูกต้องโปร่งใส อันเป็นการลดปัญหาการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตลอดจนส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน  ต่อไป

ภาพ/ข่าว  นายคมศักดิ์  หล่อเถิน

รมต.กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชุมชนในพื้นที่บ้านสุเหร่าสำลี ต.ละหาร อ.บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีเพื่อเฝ้าระวังป้องกันและแลกเปลี่ยนการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่

วันที่ 24 มีนาคม 2564 เวลา 6.00 น.  นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธานปล่อยแถวชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่แพร่ระบาด ลดความเดือดร้อนของประชาชน “ชุมชนสีขาวสร้างสุข” ตามยโยบายรัฐบาล ณ ศาลาว่าการจังหวัดนนทบุรี  จากนั้นเวลา 7.30 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ ร.ต. ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์  เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. นายสุจินต์  ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และหน่วยงานภาคี ลงพื้นที่เยี่ยมชุมชนในพื้นที่บ้านสุเหร่าสำลี ตำบลละหาร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 

ซึ่งเป็นพื้นที่เครือข่ายตามกองทุนแม่ของแผ่นดิน เป็นตำบลสีขาวในในด้านการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชนร่วมกันภายในชุมชน เพื่อเฝ้าระวังป้องกันและแลกเปลี่ยนการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการปฏิบัติงานกับตัวแทนผู้นำชุมชนเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านยาเสพติดอย่างใกล้ชิดเพื่อนำไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพัฒนาในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อยากตรงประเด็น ชัดเจน พร้อมทั้งแถลงนโยบายการปฏิบัติการชุมชนสีขาวสร้างสุขครั้งที่1 / 2564 ในระหว่างวันที่ 17- 24 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายในการปฎิบัติการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่รวมจำนวน 22 จังหวัดและเป้าหมายผู้ค้าผู้เสพจำนวน 379 ราย

นายสมศักดิ์กล่าวว่าหลังจากนี้สำนักงาน ป.ป.ส.จะกำหนดให้มีการปฎิบัติการ ”ชุมชนสีขาวสร้างสุข” อย่างต่อเนื่องเพื่อให้พี่น้องคนไทยปลอดภัยจากยาเสพติด และประชาชนมีความพอใจมีความเชื่อมั่นของการแก้ไขปัญหายาเสพติดจากรัฐบาล ดังนั้น หากประชาชนพบเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดสามารถแจ้งได้ที่สายด่วน ป.ป.ส โทร 1386 โดยทุกข้อมูลของผู้แจ้งจะถูกเก็บเป็นความลับและได้รับการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วนตามนโยบายของภาครัฐ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการปราบปรามผู้ค้าในพื้นที่แพร่ระบาด นำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา เพื่อคืนคนดีสู่สังคมและให้สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติด

เชียงราย บวชป่าชุ่มน้ำ อนุรักษ์สู่ระบบนิเวช ผลักดันเข้าสู่แรมซ่าไซ

วันที่ 22 มี.ค.64 ที่ป่าส้มแสง พื้นที่ชุ่มน้ำ บ้านป่าข่า ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล จ.เชียงราย นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอขุนตาล  ได้เป็นประธานในพิธีบวชป่าส้มแสง ป่าต้นน้ำแม่น้ำอิง โดยมีนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์แม่น้ำโขงภาค เหนือ  ร่วมกับตัวแทนเครื่อข่ายองค์กรไม่แสวงผลกำไร กลุ่มรักษ์เชียงของ เครื่อข่ายนักอนุรักษ์ นายสุทธิ มะลิทอง รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย รวมไปเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และชาวบ้านบ้านป่าข่า เข้าร่วมพิธีบวชป่าในครั้งนี้

สำหรับป่าชุ่มน้ำป่าข่า เป็นป่าที่มีความพิเศษที่มีต้นชุมแสงหรือ ส้มแสง ขนาดใหญ่ ที่เป็นต้นไม้โตช้า โดยอายุกว่า 300 ปี ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์กว้างไกล ที่ไม่เคยเห็นที่อื่น ถือว่าที่นี่เป็นที่เดียวของประเทศไทยและโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วม 1-3 เดือน มีต้นไม้อยู่ไม่กี่ประเภทที่อยู่ได้ โดย 1 ในนั้นคือต้นชุมแสง ปกติมักเจอในป่ากแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขง เมื่อน้ำเอ่อขึ้นมา ซึ่งป่าชุมน้ำอิงมีพันธุ์พืช 60 - 70 ชนิด ส่วนสัตว์มีมากกว่า 200 ชนิด ช่วงนี้ชุมแสงกำลังออกออก เดือนเมษายนจะมีผล เมื่อตกลงมาจะกลายเป็นอาหารปลาและสัตว์ป่ารวมถึงนก กลายเป็นระบบนิเวศซับซ้อนและเป็นอัตลักษณ์

นายสุทธิ มะลิทอง รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า ป่าบ้านป่าข่าเป็นป่าน้ำท่วมตามฤดูกาล มีน้ำเข้ามาท่วม 1-3 เดือนฤดูฝน มีต้นไม่ไม่กี่ชนิดอยู่ได้ มีต้นชุมแสง ต้นข่อย ที่ทนทานสภาวะการถูกน้ำท่วม ป่าพวกนี้เป็นป่าริมน้ำคอยดักจับตะกอน และเวลาใกล้ปากแม่น้ำเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แม่น้ำอิงติดต่อแม่น้ำโขง ทำให้ปลาน้ำโขงเข้าแม่น้ำอิงและป่าเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัย แพร่พันธุ์ของปลา

"ป่าชุมแสงหรือส้มแสง เป็นป่าที่ทนทานและโตช้า ในป่าแห่งนี้มีอายุมายาวนาน กว่า 300 ปีถือว่าสุดยอดที่เป็นวิสัยทัศนของคนในชุมชน จริง ๆ ต้นชุมแสงมีการกระจายตัวอยู่ทุกภาค แต่การเป็นป่าผืนใหญ่มีไม่เยอะ ที่นี่เป็นจุดใหญ่ ต้นชุมแสงขนาดใหญ่ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะเรา หาป่าชุมแสงแบบนี้จากที่อื่นไม่มีแล้ว” รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย  กล่าว

ในส่วนของภาครัฐนั้นหากยกระดับเป็นพื้นที่ชุมน้ำนานาชาติได้ ก็ได้รับการสนับสนุนจากแรมซ่าไซ ชุมชนอนุรักษ์ป่าอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เป็นกลาง รับฟังความต้องการของชุมชน ยึดในเรื่องความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ และกฎหมายรองรับควรมีความชัดเจนมากขึ้นไม่ใข่แค่มติครม.


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์ มั่นใจระบบมาตรการป้องกันโควิด – 19

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 เมื่อเวลา 15.00 น. สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดแถลงข่าว การเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ ยังอยู่ในช่วงการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในระดับที่ปลอดภัย แต่ก็ยังคงต้องดำเนินการตามมาตรการป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ซึ่งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยการนำกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ชนิดตรวจวัดอุณหภูมิความร้อนมาติดตั้งบริเวณทางเข้า เพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยวก่อนการเข้าพื้นที่ รวมทั้งการแสกน QR Code ไทยชนะ การติดตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ในทุกพื้นที่รอบบริเวณ ฉีดพ่น และเช็ดถูทำความสะอาดรถให้บริการ และจุดให้บริการต่าง ๆ แก่นักท่องเที่ยว ทุก ๆ 2 ชั่วโมง รวมทั้งการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 - 2 เมตร และการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในการเข้าพื้นที่ โดยจะต้องลงทะเบียนก่อนการเข้าเที่ยวชมทุกครั้ง

โดยการเข้ามาตรวจเยี่ยมพื้นที่ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีในครั้งนี้ ได้เข้าดูกิจกรรม Behind the zoo และการให้บริการในพื้นที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ซึ่งคาดว่าในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์นี้จะมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเข้าเที่ยวชมจำนวนมาก ขอให้นักท่องเที่ยวมั่นใจในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และที่สำคัญต้องขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวในการลงทะเบียนก่อนการเข้าเที่ยวชม เพื่อเป็นช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 อีกทางหนึ่ง

และสำหรับการเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีในปีนี้ นอกจากการเน้นย้ำเรื่องมาตรการความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว ยังเน้นการจัดงานในรูปแบบการสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นร่วมกับชุมชน ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมเรียนรู้และลงมือทำ ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ อาทิ การตัดตุง การพับดอกใบเตย การจัดซุ้มสรงน้ำพระ การจัดจุดถ่ายภาพรดน้ำดำหัวตามประเพณีสงกรานต์ลานนา การจัดกาดหมั้วชุมชน เป็นต้น และกิจกรรมอื่นๆ ที่สร้างสีสันการท่องเที่ยว โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 - 17 เมษายน 2564 นี้

นอกจากนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ร่วมมือกับสายการบินไทยสมายล์, แอร์เอเชีย, นกแอร์, เวียตเจ็ท และไลอ้อน แอร์ มอบของขวัญพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยว กับกิจกรรม “บินลัดฟ้าสู่ล้านนา” ตลอดเดือนเมษายนนี้ ซึ่งในระหว่างวันที่ 1 - 30 เมษายน 2564 มอบส่วนลด 20% และพิเศษสุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาในช่วงวันสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 ที่เดินทางมากับสายการบินไทยสมายล์, แอร์เอเชีย, นกแอร์, เวียตเจ็ท และไลอ้อน แอร์ เพียงแสดงบัตรโดยสาร หรือ Boarding Pass ที่เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใน 7 วัน พร้อมบัตรประชาชน รับส่วนลด 50% ในการเที่ยวชมเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

และมอบแพ็กเกจ “ราคาเดียวได้เที่ยวได้พัก” ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนและสัมผัสบรรยากาศแบบธรรมชาติ โดยมอบราคาพิเศษที่พักเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี รีสอร์ท ในราคา 999 บาท พร้อมบัตรเข้าชมฯ 2 ท่าน โดยแสดงบัตรโดยสาร หรือ Boarding Pass พร้อมบัตรประชาชน โดยจุดหมายปลายทางในบัตรโดยสารต้องเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ภายใน 7 วัน (นับจากวันที่มาถึง) และสงวนสิทธิ์การจองล่วงหน้า

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โทร. 053 - 999000 หรือ Line@ : nightsafari, Facebook: เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari


ภาพ/ข่าว : นภาพร ขัติยะ เชียงใหม่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top