Friday, 4 July 2025
POLITICS NEWS

"แรมโบ้" ซัด "ปิยบุตร" โพสต์เฟซบุ๊กเข้าข่ายข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัยเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบคณะราษฎรหรือไม่ พร้อมแนะทำผิดต้องกล้ารับผิด หากรับกฎหมายไทยไม่ได้ ก็อย่าอยู่บนผืนแผ่นดินไทยเลยดีกว่า

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความในเฟซ บุ๊กให้จับตาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบคณะราษฎร จะปิดประตูปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ พร้อมยกวลี ปากกาอยู่ที่มัน-ประธานศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกา เขียนคำพิพากษาจนพาประเทศสหรัฐไปสู่สงครามกลางเมือง 

โดยนายเสกสกลระบุว่าการออกมาโพสต์ของนายปิยบุตรเช่นนี้ เข้าข่ายการข่มขู่การพิจารณาของศาล และยิ่งเป็นการยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่องท้าทายอำนาจตุลาการ ที่คนไทยส่วนให้ยอมรับกติกาอยู่ภายใต้กฎหมาย

นายเสกสกลยังไม่แปลกที่นายปิยบุตร ร้อนรนรีบออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมานายปิยบุตร ก็มักจะออกมาพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบัน ก้าวล่วง จาบจ้วงสถาบันไม่หยุด และถูกมองอยู่เบื้องหลัง เป็นอีแอบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร ม็อบสามกีบ เพราะหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของเยาวชนกลุ่มนี้ ในการคิดล้างสถาบัน ซึ่งไม่มีวันที่คนไทยส่วนใหญ่ที่จงรักภักดีจะยอมนายปิยะบุตรทำลายสถาบันอย่างเด็ดขาด พวกตนและประชาชนส่วนใหญ่จะปกป้องสถาบันด้วยชีวิต และนายกฯและรัฐบาลจะไม่ยินยอมให้แก้ไขม.112 และล้มล้างสถาบันอย่างแน่นอน

'อ.ไชยันต์' ตามชำแหละวิทยานิพนธ์ 'ณัฐพล'  อ้างอิงนสพ.ฉบับ 10 พ.ย. 2490 ที่ก่อตั้งปี 2500

'อ.ไชยันต์' ตามชำแหละวิทยานิพนธ์ 'ณัฐพล ใจจริง' ประเด็น 'ในหลวง ร.9 ทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน' อ้างอิงนสพ.เอกราชวันที่ 10 พ.ย. 2490 แต่นสพ.เอกราชก่อตั้ง 24 มิ.ย. 2500

10 พ.ย. 64 - ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้ 

“ทุ่นดำ-ทุ่นแดง”

กรณีการกล่าวว่า "ในหลวงทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน" ของ ณัฐพล ใจจริง

ประเด็นสำคัญอีกประเด็น คือ “ในหลวง ร.9 ทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน” ซึ่ง ณัฐพล กล่าวว่า “โดยหนังสือพิมพ์ไทยร่วมสมัยได้พาดหัวข่าวขณะนั้นว่า 'ในหลวงรู้ปฏิวัติ 2 เดือนแล้ว' ทั้งนี้ พล.ท.กาจ กาจสงคราม ให้คำสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ต่อมาว่า เขาได้เคยส่งโทรเลขลับรายงานแผนรัฐประหารให้พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า 2 เดือนก่อนลงมือรัฐประหาร”

โดย ณัฐพล อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์เอกราชวันที่ 10 พฤศจิกายน 1947

อย่างไรก็ดี สิ่งที่พวกเราต้องการบอกทุกท่านเป็นอย่างแรกคือ จะเป็นไปได้อย่างไรที่หนังสือพิมพ์เอกราชจะลงข่าวในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) ?

เนื่องจากว่า “หนังสือพิมพ์เอกราชถือกำเนิดขึ้นโดยโรงพิมพ์เอกราชได้ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน 2500” !

กล่าวคือ หนังสือพิมพ์ที่ก่อตั้งปี พ.ศ. 2500 จะนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปลงข่าว 10 ปีที่แล้วก่อนการก่อตั้งได้อย่างไร!?

(ดูประวัติการก่อตั้งจาก พัชราภรณ์ ครุฑเมือง, การดำรงอยู่ของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกราช ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวารสารสนเทศ ภาควิชาสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552)

มิหนำซ้ำ เรายังรู้สึกแปลกใจที่ ณัฐพล ใช้ปี ค.ศ. 1947 ในการระบุปี ขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ เขากลับใช้ พ.ศ. ทั้งหมด

ดังนั้น การอ้างถึง “หนังสือพิมพ์เอกราชวันที่ 10 พฤศจิกายน 1947” ของ ณัฐพลจึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีที่มาจากไหนกันแน่?

เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่า ไม่เคยปรากฏหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ขึ้นในบรรณพิภพในเวลานั้น

ประกอบทั้งการใช้ปี ค.ศ. ที่ไม่ปรากฏความต่อเนื่องสม่ำเสมอ (consistency) กับการเขียนวิทยานิพนธ์ในส่วนอื่น ๆ ของณัฐพล

เราจึงสงสัยว่าณัฐพลเอาข้อมูลในส่วนนี้มาจากไหนกันแน่ ?

หรือถ้ามีจริงทำไมเขาไม่อ้างจากหลักฐานชั้นต้นเช่นในจุดอื่น ๆ ?

นอกจากนี้ ก่อนการรัฐประหาร 2490 บรรยากาศขณะนั้นก็เป็นที่รับรู้ทั่วไป ดังปรากฏข่าวลือว่าจะต้องมีการรัฐประหารเกิดขึ้นแน่ ๆ ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง

“รองโฆษกปชป.”ขอฟาด “โอ๊ค”โหนน้ำทะเลหนุนท่วมกรุง หากระแสไม่ให้ “พ่อแม้ว-บริวาร”จางหาย  หวังได้กลับบ้านแบบเท่ๆ เย้ยทำสถิติวางมือไม่รู้กี่ครั้งแต่เดินหน้าสืบทอดอำนาจ แนะ ”ทักษิณ”ก่อนบอกคนอื่นให้ปล่อยวาง

นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความถึงปัญหาน้ำทะเลหนุนท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพฯ พร้อมแนะนำให้รัฐบาลวางมือหรือยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเลือกคนดีและคนเก่งที่มีความสามารถมาทำงานแทน ว่าถือเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า นายทักษิณและบริวาร ออกอาการดิ้นรนและทุรนทุรายเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำการทุจริตและบิดเบือนหลักการประชาธิปไตย ซึ่งล่าสุด การที่นายพานทองแท้ ออกมาโหนเรื่องน้ำทะเลหนุนทำให้ปริมาณในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นท่วมพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและบริเวณใกล้เคียง โดยเรียกร้องให้บุคคลในรัฐบาลลาออกหรือยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อที่จะได้เลือกคนเก่งๆ คนดีๆ คนที่มีความรู้เข้ามาแก้ไขปัญหานั้น ถือได้ว่า นายพานทองแท้ และ นายทักษิณ ได้เผยความในใจออกมาชนิดที่เรียกได้ว่า 'อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่' 

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า การที่บอกให้คนอื่นปล่อยวางจากอำนาจ แต่ตัวเองกลับทำสถิติวางมือไม่รู้กี่สิบครั้ง และยังเดินหน้า 'สืบทอดอำนาจ' โดยผลักดัน น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ เข้ามาควบคุมดูแลภายในพรรคเพื่อไทย และยังพยายามปล่อยชื่อเครือญาติและคนใกล้ชิดของตัวเอง เพื่อหยั่งกระแสสาวกว่า ใครควรที่จะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ให้ความสำคัญหรือผลักดันให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริงคือ น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ได้แสดงถึงวิสัยทัศน์และศักยภาพถึงการเป็นผู้นำพรรคที่จะไปเป็นผู้นำประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งตนเห็นว่า ก่อนจะแนะนำคนอื่น นายพานทองแท้ ควรจะแนะนำให้นายทักษิณ และบรรดาเครือข่ายที่หลบหนี ให้ปล่อยวางและวางมือเสียก่อน โดยการกลับมายอมรับโทษตามกฎหมาย เพราะจะได้เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า นายทักษิณและเครือข่าย เป็นผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่หมกหมุ่นเล่นละครหรือหาวิธีที่จะหาทางได้อำนาจรัฐ เพื่อสนองความต้องการของตนเองและพวกพ้องเท่านั้น  

 

'หมอวรงค์' จับตาคดีชี้ชะตา 3 แกนนำม็อบสามนิ้ว ชี้! จะเป็นบรรทัดฐานล้มล้างการปกครองหรือไม่

'หมอวรงค์' ฟันธง คดีนี้ใหญ่มาก! จับตาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นบรรทัดฐานว่าการที่ม็อบเรียกร้องเรื่อง ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์จะเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

10 พ.ย. 64 - นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า #คดีนี้ใหญ่มาก

การที่ม็อบราษฎร มีการเคลื่อนไหวเรียกร้อง "ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์" ซึ่งมีสาระใหญ่ ๆ เช่นยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ (ผู้ใดจะกล่าวฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้) รวมทั้งข้อเรียกร้องอื่น ๆ รวม 10 ข้อ

ต่อมา อ.ณฐพร โตประยูร ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ตามกระแสข่าว มีหลักฐานการรับเงินจาก NGO ต่างประเทศด้วย ไปยื่นร้องแกนนำม็อบ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดว่า

"บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้"

'ก้าวไกล’ แนะรัฐหนุน ‘แรงงานข้ามชาติ’ เข้าระบบ ชี้!! ยิ่งจับ ยิ่งส่งเสริม ‘ค้ามนุษย์’ เฟื่องฟู

เปิดประเทศสุดลักลั่น สวนความต้องการภาคเศรษฐกิจ ‘สุเทพ’ ชี้ ‘แรงงานข้ามชาติ’ ยิ่งเน้นจับ ยิ่งส่งเสริมขบวนการ ‘ค้ามนุษย์’ เฟื่องฟู

วันที่ 9 พ.ย. 64 นายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนแรงงาน พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร สะท้อนทัศนะต่อสถานการณ์แรงงานในขณะนี้ว่า เมื่อรัฐบาลต้องการเปิดประเทศ สิ่งที่ตามมาทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความต้องการแรงงานเพื่อขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติที่ยังจำเป็นอย่างมากในหลายภาคส่วน ไม่ว่าภาคประมง ภาคเกษตร ภาคท่องเที่ยว หรือภาคอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่ไม่ควรละเลยคือ ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างชาติ ซึ่งเกี่ยวพันซ้อนทับกับปัญหาหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากขบวนการค้ามนุษย์ ต้นทุนทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงทางสาธารณสุขที่อาจเกิดการระบาดของโควิด-19 ซ้ำรอยกรณีคลัสเตอร์แรงงานต่างชาติจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อกลางเดือนธ.ค. ปีก่อน สิ่งที่น่ากังวลก็คือ เริ่มปรากฏสัญญาณหลายอย่างที่ส่อไปในทางนั้น ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลและกระทรวงแรงงาน ไม่เคยมีการถอดบทเรียนเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นเลย

“กรณีคลัสเตอร์สมุทรสาคร เกิดขึ้นหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 จากคำสั่งปิดเมืองระลอกแรก ทำให้มีความต้องการแรงงานข้ามชาติสูงในภาคการผลิต แต่ภาครัฐก็ยังดำเนินนโยบายปิดชายแดนอย่างเข้มงวด ไม่ปรับตัวตามสถานการณ์จริงเพื่อทำให้การเข้ามาของแรงงานต่างชาติเป็นไปอย่างถูกกฎหมายภายใต้มาตรการสาธารณสุข ทั้งที่เรื่องนี้สามารถทำได้ ผลที่ตามมาคือ เกิดขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจสีเทาที่จะเกิดไม่ได้เลย หากไม่มีความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตกินสินบาทคาดสินบน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าหน้าที่ส่วนไหนมีหน้าที่ในการดูแลชายแดน แต่กลับปล่อยปละละเลยจนเกิดการทะลักเข้ามาของแรงงานเถื่อนได้มหาศาล สุดท้ายจึงเกิดเป็นคลัสเตอร์จังหวัดสมุทรสาครขึ้น นำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดอีกครั้ง สร้างความเดือดร้อนและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับไม่สามารถหาตัวเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในความบกพร่องเหล่านี้มารับผิดได้เลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก”

สุเทพ กล่าวต่อไปว่า เมื่อไม่มีการถอดบทเรียนจนมาถึงการเปิดเมืองในครั้งนี้ จึงยังเห็นนโยบายที่เน้นการปิดชายแดนอย่างเข้มงวดหรือทำให้เป็นเรื่องยากแบบเดิม และสวนทางกับความต้องการของภาคเศรษฐกิจเหมือนเดิม ช่วงที่ผ่านมาจึงเห็นสัญญาณการลักลอบนำเข้าแรงงานข้ามชาติอย่างผิดกฎหมายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งในส่วนที่จับกุมได้ เช่น ที่จังหวัดกาญจนบุรี วันเดียว 260 คน พบว่ามีการจ่ายกันถึงรายละ 18,000 - 23,000 บาทต่อคน ขณะเดียวกัน ส่วนที่จับกุมไม่ได้ก็มี ดังกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำและถูกเอาไปทิ้งไว้ข้างทางกว่า 20 คน ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 3 คน ในจำนวนนี้ยังพบผู้ติดเชื้อโควิด- 19 ด้วย   

“สัญญาณเหล่านี้ชัดมากว่ากำลังมีขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานระลอกใหญ่ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น หากรัฐบาลและกระทรวงแรงงานมีวิสัยทัศน์ในการมองแรงงานเป็นกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส หันมาส่งเสริมสนับสนุนสวัสดิการและการคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่ เพื่อจูงใจให้แรงงานต้องการอยู่ในระบบ เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด ทั้งแรงงานในประเทศหรือแรงงานข้ามชาติล้วนเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งที่ขาดไม่ได้ทั้งสิ้น ในทางกลับกัน หากบริหารจัดการไม่ดี ปัญหาก็จะวนลูปกลับไปเหมือนกรณีคลัสเตอร์สมุทรสาคร”  

สุเทพ กล่าวต่อไปว่า หากพิจารณาจากความต้องการของภาคเศรษฐกิจขณะนี้ คาดว่า ไทยยังมีความต้องการแรงงานต่างชาติไม่น้อยกว่า 5 แสนคน เพราะแรงงานกลุ่มเดิมที่กลับภูมิลำเนาไปยังไม่สามารถกลับเข้ามาได้หรือกลับมาได้ยาก เนื่องจากการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายมีต้นทุนสูง มีต้นทุนจากการตรวจคัดกรองตามระบบสาธารณสุขเพิ่มเข้ามา ขณะเดียวกันระบบราชการที่ล่าช้าก็เป็นอีกช่องว่างหนึ่งที่ภาคธุรกิจรอไม่ได้ ส่วนแรงงานข้ามชาติที่ตกค้างในประเทศน่าจะอยู่ประมาณหนึ่งล้านคน บางส่วนเมื่อหมดอายุลง การขึ้นทะเบียนใหม่ก็มีภาระต้นทุนแพงกว่าการใช้แรงงานผิดกฎหมาย 

ครม.เห็นชอบให้ไทยเข้าร่วมเจรจาจัดทำ FTA อาเซียน-แคนาดา เปิดประตูการค้าอเมริกาเหนือ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ว่า ครม.เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) อาเซียน-แคนาดา พร้อมทั้งเห็นชอบกรอบการเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดา ของไทย และร่างเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทำ FTA อาเซียน-แคนาดา ซึ่งจะมีการเจรจาจัดทำ FTA อาเซียน - แคนาดา ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน - แคนาดา ครั้งที่ 10 ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ การเจรจาในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยเปิดเสรีทางการค้าผ่านการลดอุปสรรคทางการค้าทางภาษีและที่มิใช่ภาษีในสินค้าทั้งหมดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งเสริมการค้าบริการในสาขาที่สำคัญ และขยายโอกาสด้านการลงทุน ซึ่งการเจรจาในชั้นนี้ยังไม่มีผลผูกผันทางกฎหมาย สำหรับสาระสำคัญของเอกสารทั้ง 2 ฉบับ มีดังนี้

1.ร่างกรอบการเจรจา FTA อาเซียน-แคนาดา ของไทย มีสาระสำคัญเป็นการ วางกรอบแนวทางการเจรจาของไทย เพื่อขยายโอกาสการค้าการลงทุน เพื่อประโยชน์ของทุกภาคส่วนในประเทศ เพื่อเจรจาให้ได้ประโยชน์ในภาพรวมสูงสุดกับประเทศ โดยคำนึงถึงความพร้อมระดับการพัฒนาและภูมิคุ้มกันของประเทศ ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 

2.ร่างเอกสารขอบเขตสาระที่จะเจรจาในการจัดทำ FTA อาเซียน-แคนาดา เป็นการสร้างพื้นฐานความเข้าใจร่วมกันระหว่างอาเซียนและแคนาดา ถึงขอบเขตประเด็นที่จะเจรจาประกอบด้วย หลักการทั่วไป วัตถุประสงค์ของการเจรจา ตลอดจนหัวข้อสำคัญในการเจรจา ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การค้าสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า กฎว่าด้วยถิ่นกาเนิดสินค้า พิธีการศุลกากรและการอานวยความสะดวกทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า แนวทางปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบการค้าและบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา ทรัพย์สินทางปัญญา แรงงาน สิ่งแวดล้อม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายแข่งขันทางการค้า วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ความร่วมมือด้านเทคนิคและเศรษฐกิจ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ความโปร่งใส การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ กลไกการจัดการเชิงสถาบัน วัฒนธรรม และเรื่องอื่นๆ ทั้งนี้ ไม่ได้เป็นการผูกมัดผลการเจรจาที่จะเกิดขึ้น

ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับการเจรจาจัดทำ FTA อาเซียน-แคนนาดา อาทิ 1.GDP ของไทยจะเพิ่มขึ้น ประมาณการได้ตั้งแต่ 7,968 – 254,953 ล้านบาท ตามสมมติฐานที่แตกต่างกัน  2.FTA ช่วยเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของไทยไปยังภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งไทยยังไม่เคยมี  FTA ด้วยมาก่อน 3.กลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกไปแคนาดาเพิ่มขึ้น อาทิ (1)สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ผักและผลไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ปรุงรส (2)ผลิตภัณฑ์ยาง เช่น ยางรถยนต์ ถุงมือยาง (3)เครื่องมือและเครื่องจักร เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ส่วนกลุ่มสินค้าที่คาดว่าไทยจะนำเข้าจากแคนาดามากขึ้น อาทิ (1)ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อหมูและเครื่องใน เนื้อปลาแช่แข็ง (2)ธัญพืช เช่นข้าวสาลี (3)ไม้แปรรูป เช่น แผ่นชิ้นไม้อัดเรียงแถว เฟอร์นิเจอร์ไม้ 

‘บิ๊กตู่’ สั่ง ครม. ชงของบฯก้อนใหญ่ ต้องส่งเอกสารล่วงหน้า 2 สัปดาห์ พร้อม ขอพรรครบ.รักษาองค์ประชุม ประกาศิตนายกฯ กฎหมายสำคัญต้องผ่าน!  ‘ดอน’ โอ่ ไทยมีสิทธิเสรีภาพมากสุดอาเซียน

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ย้ำกับที่ประชุม ครม.ถึง 2 ครั้งในเรื่องการส่งเอกสารวาระ ครม.ให้กับรัฐมนตรีทุกคน ว่า จากนี้หากเป็นวาระที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมากให้ส่งล่วงหน้า 2 สัปดาห์ เพื่อที่จะให้รัฐมนตรีได้มีเวลาศึกษาก่อน ไม่เช่นนั้นหากมาเสนอกระชั้นชิดเกินไปจะทำให้การพิจารณาน้อย ยกเว้นเป็นเรื่องที่ด่วนจริงๆ หรือเป็นเรื่องการแต่งตั้ง หากอย่างนั้นไม่เป็นไร สามารถนำเสนอเป็นวาระจรได้

ส่วนนายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ได้แจ้งต่อที่ประชุม ครม.ว่า ต่อไปรัฐมนตรีทุกคนจะต้องไปตอบกระทู้ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรทุกครั้ง หากติดภารกิจและไม่สะดวกที่จะไปตอบได้ด้วยตัวเอง ให้ส่งเอกสารมาให้ตนและนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้ไปตอบแทน นอกจากนี้ นายอนุชายังขอให้นายกฯ ช่วยประสานไปยังพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเพื่อรักษาองค์ประชุม รวมถึงแต่ละกรรมาธิการด้วย พล.อ.ประยุทธ์จึงได้ขอความร่วมมือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคว่า ให้ช่วยกันในเรื่องกฎหมายต่างๆ โดยย้ำว่ากฎหมายสำคัญต้องผ่าน

ครม.เคาะร่างสัญญาร่วมลงทุนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. รับทราบผลการคัดเลือกเอกชน ผลการเจรจา และร่างสัญญาร่วมลงทุนของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือเอฟ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้เห็นชอบแล้ว ตามมติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง กลุ่มกิจการร่วมค้าจีพีซี ซึ่งได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินของรัฐเป็นค่าสัมปทานคงที่ คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่อัตรา 100 บาทต่อทีอียู (ตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต) โดยมีระยะเวลาร่วมลงทุน 35 ปี

สำหรับกลุ่มกิจการร่วมค้าจีพีซี เป็นเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอรายเดียวที่ผ่านการประเมิน หากดำเนินการคัดเลือกใหม่อาจส่งผลให้การเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือเอฟ ล่าช้าประมาณ 2 ปี และก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การที่ปริมาณตู้สินค้าจะเกินขีดความสามารถในการรองรับในปี 68 

“นายกฯวอนทุกฝ่ายร่วมมือ ปฏิบัติตามมาตรการ สธ.หลัง ศบค.หวั่น เกิดคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อรายใหม่

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม มอบหมาย ถึงกรณี - ศบค.ห่วงเกิดคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อใหม่ อีกทั้งประชาชนบางส่วนเริ่มหละหลวมกับมาตรการป้องกัน ว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่าทุกคนจะต้องไม่ล่ะหลวมในการดำเนินตามมาตรการของกระทรวงสาธารณะสุข ทั้งภาคธุรกิจหรือธุรกิจบันเทิงจะต้องไม่เห็นแก่ตัว

ราเมศ ย้ำ องค์ประชุม “สภา”เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของ ส.ส.ทุกคน เผย จุรินทร์ กำชับ ส.ส. ลุยงานสภา เต็มที่

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีองค์ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรว่า

หลักการที่สำคัญของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรความสำคัญของหนึ่งเสียงของผู้แทนปวงชนชาวไทยสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเป็นองค์ประชุม การอภิปราย การลงมติ การสะท้อนปัญหาของประชาชน การตรวจสอบฝ่ายบริหาร การประชุมปรึกษาหารือกันในทุกเรื่อง องค์ประชุมสำคัญที่สุด หนึ่งเสียงของตัวแทนประชาชนไม่ว่าจะอยู่พรรคร่วมรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน มีส่วนสำคัญและเป็นความรับผิดชอบร่วมกันในการร่วมกันทำหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศ
ในส่วนของพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้เน้นย้ำเสมอมา ล่าสุดก่อนเปิดสมัยประชุมนี้ หัวหน้าพรรคได้กล่าวไว้ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาว่า จะมีกฎหมายเข้าที่ประชุมสภาหลายฉบับ พรรคประชาธิปัตย์มีความชัดเจนในการทำหน้าที่ในรัฐสภา เพราะผู้แทนราษฎรมีความรับผิดชอบ และพรรคเองก็กำชับตลอดว่า นอกจากนี้ยังเน้นย้ำเรื่องการลงพื้นที่การทำหน้าที่ผู้แทนในสภาถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และให้ทำงานประสานร่วมกับวิปรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญคือกฎหมายที่พรรครัฐบาลเป็นผู้เสนอ ต้องสนับสนุน และรวมไปถึงกฎหมายที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top