Tuesday, 29 April 2025
NEWS

‘ผอ.เขตฯ’ ก้มกราบ!! ครูที่เคยสอน เผย!! เจอกันโดยบังเอิญ ขณะลงพื้นที่

(7 ธ.ค. 67) นางนัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน โพสต์ภาพและข้อความแชร์เรื่องราวสุดประทับใจ ในเพจ ‘นัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา สหายใบไผ่’ ระบุว่า …

เรื่องน่าประทับใจ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้ออกไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านนคร เพื่อติดตามการขับเคลื่อนนโยบายเรียนดีมีความสุขสู่ห้องเรียน ขณะที่ลงจากรถก่อนจะขึ้นไปห้องประชุมชั้นสอง ได้ยินเสียงครูกำลังสอนนักเรียน เสียงนักเรียนหัวเราะคิกคักมาแต่ไกล จึงแวะเข้าไปดูว่าใครกำลังสอนทำไมนักเรียนมีความสุขเหลือเกิน

พอเข้าไปแค่นั้นแหละ อ้าวครูเรืองฤทธิ์ ครูที่เคยสอนเราตอนเรียนที่สันติสุขนี่หน่า แล้วคุณครูก็รายงานเรื่องการจัดการเรียนการสอนให้ฟัง (อย่างเป็นทางการ) ว่าจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เด็ก ๆ มีความสุข แล้วครูก็ถามนักเรียนว่ารูปเหมือนในจอโปรเจกเตอร์ไหม พอหันไปดู ต้องร้องอ้าวครั้งที่สองเพราะครูกำลังสอนเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ เป็นรูปที่เราถ่ายกับครูกณิศาและครูเรืองฤทธิ์ซึ่งเป็นครูดีในดวงใจของเราทั้งสองท่าน

ครูพูดกับเด็ก ๆ ด้วยความภาคภูมิใจว่า นี่คือตัวอย่างของคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจไม่เคยย่อท้อ แล้วครูก็ยื่นไมค์ให้เราได้คุยกับเด็ก ๆ พอเราพูดถึงคุณครู ทุกคนก้มหน้าก้มตาเพราะซาบซึ้งและตื้นตันใจ คุณครูก็น้ำตาซึม นักเรียนก็น้ำตาซึม เราก็น้ำตารื้นขึ้นมา ครูบอกว่าเหลืออีก 10 เดือนครูจะเกษียณแล้วนะ เด็ก ๆ นั่งนิ่งก้มหน้า มีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ผมไม่ทันตั้งตัวเลยครับเพราะมันเร็วเกินไป ในห้องเรียนเงียบไปชั่วขณะ

ขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้ได้พบครูในวันนี้ และขอบคุณที่อบรมสั่งสอนตลอด 6 ปี จนทำให้หนูมีวันนี้ได้ค่ะ

รักและเคารพเสมอ

ครูเรืองฤทธิ์_ดวงภูเมฆ

ครูดีในดวงใจ

‘ประกิต โฮลดิ้งส์’ จัดงานประกวด ‘Idea Excellence 2024’ มอบรางวัลใหญ่ พร้อมโอกาสได้ร่วมงานกับกลุ่มบริษัท

(7 ธ.ค. 67) โครงการ Idea Excellence 2024 เป็นโครงการประกวดแผนงานโฆษณาโดยเน้นความคิดสร้างสรรค์ในการวางกลยุทธ์การสื่อสาร การออกแบบสื่อ และการวางแผนการใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ จัดโดย บริษัท ประกิต โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ประกิต แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด โดยในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ @สุขุมวิท 62 ในการมอบโจทย์ที่น่าสนใจ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆที่เข้าร่วมโครงการได้ฝึกสมอง ลองภูมิกับสินค้าจริง แบรนด์จริง และสถานการณ์ทางการตลาดจริงๆ

โครงการ Idea Excellence เป็นโครงการจัดประกวดที่ทำมาต่อเนื่องและยาวนานกว่า 30 ปี เพื่อเป็นเวทีให้นิสิต นักศึกษา ที่เรียนในภาควิชาที่เกี่ยวข้องกับสายงานโฆษณา และการตลาด ที่ชอบแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ได้แสดงออก เพื่อเฟ้นหานักโฆษณา เจนใหม่ ไอเดียดุ แปลก แหวก ว้าว ทั้งสายงาน ครีเอทีฟ เออี แพลนเนอร์ คอนเทนต์ มีเดีย ป้อนเข้าสู่วงการโฆษณา

ซึ่งในปีนี้ จัดประกวดในหัวข้อ ‘วาระแห่งชาติ Next Gen Care’  กับแนวคิดใหม่ของการดูแลสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้คนรุ่นใหม่เห็นถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพร่างกายก่อนเกิดโรค ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก จากกว่า 10 คณะ/ภาควิชา ของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยในปีนี้มีทีมที่ส่งผลงานเข้าประกวดมากถึง 108 ทีม

บอกเลยว่าปีนี้ เข้มข้น ดุเดือด เชือดเฉือน เป็นที่ปวดเฮดกลุ้มฮาร์ท ของเหล่าคณะกรรมการ เพราะโจทย์ของน้องๆ เจนใหม่ คือ ซ้อมทำงานจริง ฝึกคลอดแคมเปญ ผ่านสื่อทั้ง Digital และ Traditional รวมถึงแคมเปญสร้างสรรค์ในรูปแบบอื่นๆ จากทุกๆ สมาชิกในทีมที่ปลุกระดม Insight คิดไอเดียเชิงกลยุทธ์ Creative Idea & Executions พร้อมวาง Media Strategy ต้องนำเสนอผลงานที่นำไปใช้ได้จริงต่อหน้ากรรมการในรอบสุดท้าย 

นอกจากความภาคภูมิใจ และรางวัลที่ได้รับแล้ว น้องๆ นิสิต นักศึกษาทั้ง 5 ทีม เสมือนมีตั๋ว Fast Track และโอกาสได้เข้าร่วมงานกับบริษัทในเครือ ประกิต โฮลดิ้งส์ อีกด้วย 

จับแล้ว "ดาบตำรวจ" ยิงปืนขึ้นฟ้ากลางชุมชน รรท.ผบช.ภ.2 ลั่น! ตำรวจแตกแถวดำเนินคดีไม่ไว้หน้า ให้ออกจากราชการ

เมื่อวันที่ (7 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) เปิดเผยถึงกรณีชายลักษณะคล้ายคนเมา ยิงปืนขึ้นฟ้า จำนวน 3 นัด หน้าร้านขายของชำ และร้านอาหารตามสั่งภายในซอยเขาน้อย ม.9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี เหตุเกิดช่วงบ่ายวันนี้ ว่า จากการตรวจสอบพบว่าผู้ก่อเหตุ เป็นตำรวจ ยศดาบตำรวจ ตำแหน่ง ผบ.หมู่(ป.) สภ.นาจอมเทียน ขณะนี้ได้คุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายและมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว

รรท.ผบช.ภ.2 กล่าวว่า หลังก่อเหตุตำรวจ สภ.บางละมุง เร่งตรวจสอบและสืบสวนพบว่า ดาบตำรวจนายดังกล่าวหลบหนีกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่า ยังสวมใส่เสื้อผ้าตัวที่ใช้ก่อเหตุ อยู่ในอาการมึนเมา พูดจา วกไปวนมา ในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น 
จึงเจรจาเกลี้ยกล่อมระยะหนึ่ง ต่อมาสามารถควบคุมตัวไว้ได้และตรวจยึดอาวุธปืน Smith&Wesson ขนาด .357 จำนวน 1 กระบอก และปลอกกระสุน ขนาด .357 จำนวน 3 นัด คาดว่าเป็นปลอกกระสุนที่ใช้ก่อเหตุ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางมายัง สภ.บางละมุง เมื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์ในร่างกายพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตรวจไม่พบสารเสพติด พบเพียงสารกัญชา จึงได้แจ้งข้อหาฐาน 1.พกพาอาวุธปืนติดตัวในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะฯ
2. ยิงปืนในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชนฯ
3. ขับขี่รถในขณะเมาสุรา

“สั่งการให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา เป็นตำรวจมีอาวุธปืนแล้วก่อเหตุในลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อสังคม ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง 
ทั้งนี้หากพบตำรวจกระทำความผิดต้องดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ไม่ละเว้น ดำเนินคดีอาญาพร้อมกับดำเนินการทางวินัยควบคู่กันไป ตำรวจทำผิดกฎหมายเสียเองต้องให้ออกจากราชการ“ รรท.ผบช.ภ.2 กล่าว

สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล ปฐมนิเทศ นักศึกษาหลักสูตร สสสส.รุ่นที่ 15

 

เมื่อวันที่ (4 ธ.ค.67) ที่โรงแรมเดอะเฮอริเทจ พัทยา บีช รีสอร์ทสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า นำคณะนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 15 ร่วมทำกิจกรรม 'เสริมสร้างความเป็นพลเมือง'

โดยอาจารย์กู้เกียรติ ภูมิรัตน์ ที่ปรึกษาเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ด้านการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และคณะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้ความรู้สำนึกความเป็นพลเมือง พร้อมทั้งการทำความรู้จักกัน ทำกิจกรรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน  

นอกจากนี้ได้รับเกียรติจาก นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ร่วมสังเกตุการณ์ในกิจกรรมอบรมปฐมนิเทศดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการหลักสูตรฯ ให้เกียรติบรรยายหัวข้อ 'ความคาดหวังของหลักสูตรต่อการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะเพื่อสร้างสังคมสันติสุข' พร้อมทำกิจกรรมความคาดหวังของนักศึกษา แบบทดสอบประเมินคุณลักษณะความเป็นนักศึกษา (KPI-CDG) และแบบทดสอบความรู้ (ก่อนเรียน) โดย นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล และ ดร.ชลัท ประเทืองรัตนา นักวิชาการผู้ชำนาญการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล

ผบ.ทรภ.2 ร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกล กับ ผู้บัญชาการภาคทหารเรือที่ 1 กองทัพเรือมาเลเซีย แนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระหว่างกัน 

(6 ธ.ค.67) พลเรือโท นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 (ผบ.ทรภ.2) ร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกล กับ Rear Admiral Dato' Baharudin Bin Wan Md Nor ผู้บัญชาการภาคทหารเรือที่ 1 กองทัพเรือมาเลเซีย เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระหว่างกัน ณ ห้องประชุม ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 2

โดยมี รองเจ้ากรมข่าวทหารเรือ และผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เข้าร่วมการประชุม

กองทัพเรือ ให้ความสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือกับกองทัพเรือมิตรประเทศในทุกระดับ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเลระหว่างกัน โดยการประชุมดังกล่าว นับเป็นกิจกรรมการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ในระดับพื้นที่ปฏิบัติการ

รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย สานสัมพันธ์ด้านการทหาร เสริมความเข้มแข็ง และทันสมัยให้กับกองทัพ

(6 ธ.ค.67) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กห. ได้กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ นาง Anna Hammargren (อันนา ฮัมมาร์เกรน) ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ในศาลาว่าการกลาโหม 

โดย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชื่นชมความสัมพันธ์ที่มีมาแนบแน่นอย่างยาวนาน กว่า 156 ปี ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน นํามาสู่ความร่วมมือระหว่างกัน ในหลายมิติ อาทิ การศึกษาและเทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงานและสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข รวมทั้งนโยบายป้องกันประเทศ เน้นย้ำความสัมพันธ์ความร่วมมือด้านความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยยะสําคัญ รวมทั้งยินดีที่ความร่วมมือทางทหารของทั้งสองประเทศ อันมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บังคับบัญชาและกําลังพล การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนา ขีดความสามารถด้านยุทโธปกรณ์ 

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม หวังว่าจะสามารถขยายความร่วมมือร่วมกันต่อไป ทั้งในด้านความมั่นคงทางไซเบอร์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ด้านความมั่นคง ในภูมิภาค รวมถึงพัฒนาการของการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ AI มาใช้ในกิจการทางทหาร 

อีกทั้ง เชื่อมั่นว่า ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย จะสามารถสานต่อการดำเนินงาน ระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ขอบคุณสวีเดนที่แสดงความประสงค์จะดำเนินความร่วมมือกับ กห. ในโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง และยินดีที่ บ.ขับไล่แบบ Gripen ของสวีเดนเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาของ ทอ. ด้วยมีความเข้ากันได้ของระบบที่ใช้งานในปัจจุบัน และมีความสอดคล้องกับปัจจัยด้านงบประมาณและความต้องการทางทหาร 

โครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของ กห. ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เสริมความเข้มแข็ง และทันสมัยให้กับกองทัพเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความคุ้มค่า ผลประโยชน์ที่ประเทศและประชาชน จะได้รับตอบแทนกลับคืน 

ในโอกาสนี้ ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย ได้ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ให้การต้อนรับ รวมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน

ผบ.ตร.สั่งเด็ดขาดให้ รรท.ผบช.น.เร่งคดีตำรวจจราจรกลาง 7 นาย รุมทำร้ายร่างกาย หากพบความผิดฐานใด ดำเนินการทุกข้อหา พร้อมดำเนินการทางวินัยทุกมิติ ย้ำพร้อมให้ความเป็นธรรม ทำตรงไปตรงมา รับเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สั่งขันน็อตการตั้งด่านทั่วประเทศตามระเบียบ

(6 ธ.ค.67) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) 7 นาย รุมทำร้ายร่างกายขณะตั้งด่าน ว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

ในทางคดีได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รรท.ผบช.น.) และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.ลงมาดูคดีด้วยตนเอง รวบรวมหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด กล้องติดตัว (bodycam) พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพยานอื่นๆ ทุกมิติ เพื่อไขข้อเท็จจริง ดำเนินการตามกฎหมาย เอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ  

สำหรับคดีมีความคืบหน้า มีการเรียกตำรวจทั้ง 7 นายมาแจ้งข้อกล่าวหาในเบื้องต้น รวมทั้งจะมีการพิจารณาความผิดในข้อหาอื่นด้วย หากพบพยานหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนทางวินัยได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว 
     
นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย และครอบครัว ยืนยันว่าคดีนี้จะทำตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเหลือกัน หากพบเป็นความผิดอาญาและวินัยในส่วนใดจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด รวมถึงมาตรการทางปกครองกับผู้บังคับบัญชาด้วย  ซึ่งได้กำชับเรื่องนี้กับทาง บช.น. ไปแล้ว ให้เร่งรัดดำเนินการให้ชัดเจน พร้อมกำชับการตั้งด่านของตำรวจทั่วประเทศ ให้ผู้บังคับบัญชาไปกำชับการปฏิบัติตามระเบียบและหลักยุทธวิธี ทำตามกรอบกฎหมาย ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

รู้จัก...กองทัพสหรัฐว้า (The United Wa State Army) กลุ่มชาติพันธุ์แห่งเมียนมาที่หาญกล้ารุกล้ำดินแดนไทย

(6 ธ.ค.67) ข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งที่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ ไทยต้องการให้สหรัฐว้า (กลุ่มว้าแดง) ถอนค่ายทหารของกองทัพสหรัฐว้า (The United Wa State Army : UWSA) 9 แห่งที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไป แต่ทว่ากลุ่มว้าแดงกลับไม่ตอบสนองและเรียกร้องให้มีการเจรจาทวิภาคี เรื่องนี้กลายเป็นความท้าทายในภูมิภาค ประเด็นเรื่องปัญหายาเสพติดและปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ภายในประเทศเมียนมา ‘สหรัฐว้า’ เป็นเขตปกครองตนเองในเมียนมาอย่างเป็นทางการได้รับการประกาศโดยรัฐกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2010 ซึ่งรัฐบาลเมียนมาประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มชาติพันธุ์ว้าภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘เขตพิเศษว้า’ ดินแดนดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐว้าอย่างเป็นอิสระโดยพฤตินัย เคยถูกควบคุมโดยตรงโดยกองทัพพม่าจนกระทั่งโอนไปยังสหรัฐว้าในเดือนมกราคม 2024

นานมาแล้วที่ชาติพันธุ์ว้ากระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ภูเขาในดินแดนพม่า (เมียนมาปัจจุบัน) โดยไม่มีการปกครองแบบรวมเป็นหนึ่ง ในช่วงราชวงศ์ชิงพื้นที่ดังกล่าวถูกแยกออกจากการควบคุมทางทหารของชนเผ่าไตภายใต้การปกครองของอังกฤษในพม่า ซึ่งไม่ได้ปกครองรัฐว้า และพรมแดนพม่ากับจีนก็ไม่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1940 ในช่วงสงครามกลางเมืองในจีน กองกำลังที่เหลือของกองทัพสาธารณรัฐจีน (พรรคก๊กมินตั๋ง) ได้ล่าถอยเข้ามายังดินแดนพม่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ายึดครองประเทศจีน กองกำลังของกองพลที่ 8 กองทัพที่ 237 กองพลที่ 93 และกองทัพที่ 26 ได้ยึดพื้นที่ในพม่าเป็นเวลาสองทศวรรษเพื่อเตรียมการโต้กลับพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ภายใต้แรงกดดันจากสหประชาชาติการโจมตีถูกยกเลิก และกองกำลังดังกล่าวเคลื่อนย้ายมายังทางภาคเหนือของประเทศไทย และต่อมาถูกส่งไปไต้หวัน อย่างไรก็ตามกองกำลังบางส่วนตัดสินใจที่จะอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวินต่อ กลายเป็นกลุ่มกองโจรชนเผ่าเข้าควบคุมพื้นที่โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า

ในช่วงทศวรรษ 1960 พรรคคอมมิวนิสต์พม่าสูญเสียฐานปฏิบัติการในพม่าตอนกลาง และด้วยความช่วยเหลือของคอมมิวนิสต์จีน จึงได้ขยายพื้นที่ในเขตชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีเยาวชนปัญญาชนจำนวนมากจากจีนเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และกองกำลังเหล่านี้ยังรับเอาสมาชิกกองโจรในพื้นที่เข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก พรรคคอมมิวนิสต์พม่าได้เข้าควบคุมเมืองปางคาม ซึ่งต่อมากลายเป็นฐานปฏิบัติการหลัก ตอนปลายทศวรรษ 1980 ชนกลุ่มน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าถูกแยกทางการเมืองจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (อันเป็นที่มาของชื่อ ‘กลุ่มว้าแดง’) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 1989 กองกำลังติดอาวุธของเป่าโหยวเซียง (Bao Youxiang) ประกาศแยกตัวจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและก่อตั้งพรรคสหชาติพันธุ์เมียนมา ซึ่งต่อมากลายเป็น ‘พรรคสหรัฐว้า’ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1989 กองทัพสหรัฐว้าได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบของรัฐซึ่งเข้ามาแทนที่ระบอบทหารของเนวิน หลังจากการลุกฮือ8888 หลังจากการหยุดยิง รัฐบาลเมียนมาเริ่มเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "เขตพิเศษรัฐฉานที่ 2 (เขตว้า) 

ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมาในปี 2021 สหรัฐว้าเริ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาโดยตรงมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากกลยุทธ์ 'การป้องกันล่วงหน้า' ไปเป็นการสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่มีขนาดเล็กกว่าในด้านการทหาร ซึ่งควรจะใช้เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพเมียนมาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายอิทธิพลทางการเมืองและการทหารของพวกเขาไปยังเมียนมาตอนกลาง เมื่อการสู้รบในรัฐฉานทางตอนเหนือทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน 2023 สหรัฐว้าได้แสดงจุดยืนเป็นกลางโดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 กองทัพสหรัฐว้าได้ระบุอีกครั้งว่าพวกเขาจะตอบโต้ต่อการดำเนินการทางทหารใด ๆ ที่มีต่อสหรัฐว้า

กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) มี 'กองกำลัง' จำนวน 5 กองพลที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย-พม่า ได้แก่ กองพลที่ 778 กองพลที่ 772 กองพลที่ 775 กองพลที่ 248 กองพลที่ 518 และประจำการตามชายแดนจีน-พม่าอีกสามหน่วยได้แก่ กองพลที่ 318 กองพลที่ 418 และ กองพลที่ 468 โดยกองทัพสหรัฐว้ามีกำลังพลประจำการ 30,000 นาย (แหล่งข่าวบางแหล่งระบุว่าอาจมีมากถึง 80,000 นาย) พร้อมกำลังเสริมอีก 10,000 นาย โดยเงินเดือนของทหารอยู่ที่ 60 หยวน (300 บาท) เท่านั้น ตามรายงานของ Jane's Intelligence Review เมื่อเดือนเมษายน 2008 จีนเป็นแหล่งสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์หลักให้กองทัพสหรัฐว้าแทนที่แหล่งอาวุธตลาดมืดดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทยและกัมพูชา การส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังกองทัพสหรัฐว้าจากจีนจะดำเนินการตามนโยบายระดับสูงสุดในกรุงปักกิ่ง

รายงานของ Jane's ในปี 2001 ระบุว่า กองทัพสหรัฐว้าได้จัดหาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) HN-5 N จากจีนอันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างฐานทัพใกล้ชายแดนไทย ซึ่งมีรายงานว่าที่ตั้งทางทหาร 40-50 แห่งที่ประจำการขีปนาวุธดังกล่าว ในเดือนพฤศจิกายน 2014 Jane’s รายงานเพิ่มเติมว่า กองทัพสหรัฐว้าได้จัดหาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ FN-6 เพื่อมาแทนที่ HN-5N ที่ใช้งานอยู่ ซึ่งกองทัพสหรัฐว้าได้ปฏิเสธในทันที นอกจากนี้สหรัฐว้ายังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตอาวุธจีนและกลุ่มกบฏอื่น ๆ ในเมียนมา ในปี 2012 การสนับสนุนจากจีนเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นการจัดหายานเกราะจู่โจมแบบ PTL-02 6 × 6 ที่พบเห็นในเมือง Pangkham

29 เมษายน 2013 Jane's รายงานว่า จีนได้ส่งมอบเฮลิคอปเตอร์แบบ Mil Mi-17 ซึ่งติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ TY-90 ให้กับกองทัพสหรัฐว้า แต่ถูกปฏิเสธจาก แหล่งข่าวทางทหารของจีน ไทย กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ของเมียนมา และกองทัพสหรัฐว้าเอง ในปี 2015 Jane's รายงานว่า ทหารของกองทัพสหรัฐว้าถูกถ่ายภาพขณะฝึกการใช้กับปืนใหญ่ Type 96 ขนาด 122 มม. และ ATGM HJ-8 ของจีน รายงานของ Jane’s ในเดือนธันวาคม 2008 ระบุว่า กองทัพสหรัฐว้าได้เริ่มมาผลิตอาวุธเองเพื่อเสริมรายได้จากการค้าอาวุธและยาเสพติด และเริ่มสายการผลิตอาวุธปืนแบบ AK- 47 สหรัฐว้ามีนโยบายการเกณฑ์ทหารโดยกำหนดให้ผู้ชายอย่างน้อย 1 คนในแต่ละครัวเรือนต้องประจำการในกองทัพสหรัฐว้าหรือหน่วยงานของสหรัฐว้า 

ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2002 กองทัพสหรัฐว้าเคยปะทะกับกองทัพไทย และประสบความสูญเสียค่อนข้างหนักอันเนื่องมาจากอาวุธหนักจากฝ่ายไทย จนเป็นที่มาของคำกล่าวของทหารว้าที่ว่า “ทหารว้าไม่กลัวทหารไทยเลย ถ้ารบกันแบบเห็นตัว แต่ที่กลัวที่สุดคือ ปืนใหญ่ของไทย เพราะมาแบบไม่เห็นตัว” ปัญหาความมั่นคงจากสหรัฐว้าที่ไทยเผชิญอยู่ตลอดมาก็คือ การค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของสหรัฐว้า และมีความลักลอบลำเลียงเข้าไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา และไทยได้พยายามปราบปรามภายในเขตแดนของประเทศตลอดมา ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยมีสถานการณ์ในลักษณะนี้แล้วครั้งหนึ่ง โดย พล.อ.สุรยุทธ์ เตรียมการส่งกำลังทหารม้าไปปฏิบัติการร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 แต่นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้นกลับบอกว่า กองทัพไทยทำเกินไป (กองทัพไทย Over-react) ทั้งที่ตอนนั้นมีกองกำลังว้าแดงอยู่ในสมการความขัดแย้งด้วย จึงไม่มีปฏิบัติการทางทหารในกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น และทำให้สหรัฐว้าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน สำหรับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐว้าและไทยครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 อันเนื่องมาจากที่ตั้งของค่ายทหารของสหรัฐว้า 9 รุกล้ำดินแดนไทย และกองทัพไทยได้มีการกำหนดเส้นตายเอาไว้ว่าภายในวันที่ 18 ธันวาคม UWSA ต้องมีการรื้อถอนค่ายทหารออกและเคลื่อนกำลังออกจากดินแดนไทยให้หมด ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

'ด.ต.เสน่ห์' ตร.ไทยเข็นนทท.เมาแอ๋ส่งที่พัก เผยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ห่วงลูกหลาน

(6 ธ.ค. 67) ตำรวจไทยกลายเป็นที่ชื่นชมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังคลิปวิดีโอหนึ่งเผยให้เห็นการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวสาว 2 รายที่เมาหนักจนหมดสติบนเกาะพีพี โดยเว็บไซต์ข่าวในออสเตรเลียรายงานเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา

ในคลิปวิดีโอเผยภาพ ด.ต.เสน่ห์ เจือละออง เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.เกาะพีพี ช่วยนักท่องเที่ยวหญิงอายุ 19 ปีจากออสเตรเลีย และ 23 ปีจากเยอรมนีที่หมดสติหลังจากดื่มหนักตลอดทั้งคืน เพื่อนนักท่องเที่ยวพยายามปลุกแต่ไม่สำเร็จ ด.ต.เสน่ห์จึงยืมรถเข็นจากร้านค้าในพื้นที่นำพวกเธอขึ้นรถและเข็นกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงโฮสเทล เพื่อน ๆ ของนักท่องเที่ยวร่วมมือกับ ด.ต.เสน่ห์ช่วยพาพวกเธอไปยังห้องพักอย่างปลอดภัย

ด.ต.เสน่ห์ เป็นคุณพ่อของลูกสาว 3 คน เปิดเผยว่าเขาเข้าใจหัวอกผู้ปกครองและต้องการปกป้องนักท่องเที่ยวจากอันตราย "ผมคิดว่าเราเหมือนเป็นผู้ปกครองที่พาพวกเขากลับบ้าน ทั้งสองคนเมามากจนพูดไม่ได้และยืนไม่ไหว ในสถานการณ์แบบนี้พวกเขาอาจเกิดอุบัติเหตุอย่างตกบันไดหรือทะเลได้ ผมจึงอยากมั่นใจว่าพวกเขาจะเข้านอนอย่างปลอดภัย"

ด.ต.เสน่ห์ย้ำว่า การช่วยนักท่องเที่ยวที่เมาหนักเป็นหน้าที่หนึ่งของตำรวจบนเกาะพีพี และเขาได้ทำแบบนี้มานานกว่า 2 ปีแล้ว โดยถือปฏิบัติตามโครงการ 'You drink, I drive เมาไม่ขับ กลับกับตำรวจ' ซึ่งช่วยดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เมาจนไม่สามารถกลับที่พักเองได้

"เราไม่อยากลงโทษหรือตำหนิ แต่เลือกที่จะช่วยเหลือและปกป้องพวกเขาแทน เพราะเข้าใจว่าทุกคนมาเที่ยวที่เกาะพีพีเพื่อความสนุกสนาน"

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของตำรวจไทยในสายตาชาวต่างชาติอีกด้วย

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร. 9 วันชาติ วันพ่อแห่งชาติ และวันดินโลก 5 ธันวาคม 2567

(6 ธ.ค.67) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสาทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค1) กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองพันซ่อมบำรุง กรมสนับสนุน กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เทศบาลตำบลบางเสร่ เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว คณะครู และนักเรียนโรงเรียนเกล็ดแก้ว จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' ณ โรงเรียนเกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกใน พระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ ทรงปกครองประชาราษฏร์ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อขจัดความทุกข์ยากแก่พสกนิกร ก่อให้เกิดคุณอเนกอนันต์แก่ ประเทศชาติ และกิจกรรมนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ความรักสามัคคี ระหว่าง กองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยกิจกรรม ประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์ การตัดหญ้า กวาดใบไม้ เก็บขยะ และปลูกพืชผักผลไม้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง               

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเลี้ยงไอศกรีมให้กับเด็กๆ ชั้นอนุบาลของโรงเรียนเกล็ดแก้ว สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับเด็กนักเรียนและผู้เข้าร่วมกิจกรรม

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่ภาคใต้ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม-ช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานเร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วที่สุด เผย ‘นายกรัฐมนตรี’ ห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบ 

(6 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย , ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) , พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) , นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่อุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดยะลา  โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหาพร้อมกล่าวมอบนโยบาย ณ อาคารศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมืองยะลา ก่อนเดินทางต่อไปยังอาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา เพื่อพบปะประชาชนและมอบถุงยังชีพให้ผู้แทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในหลายแห่งของพื้นที่ภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำจะเคลื่อนผ่านอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีความเสี่ยงฝนตกหนักและฝนตกหนักมากบางแห่ง รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อคลี่คลายโดยเร็วที่สุด 

นายประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้ได้เน้นย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมสรรพกำลังเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบจังหวัด ศอ.บต. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ให้พร้อมต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น และมอบ สทนช. ประสานกรมชลประทาน จังหวัด ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย เพื่อแก้ไขสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมกันนี้ สทนช. จังหวัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ต้องประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 และป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนบางลาง และการจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง และเมื่อมีผลกระทบกับประชาชน ต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

“นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำกับ สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมประชาสัมพันธ์ และจังหวัด ประชาสัมพันธ์สถานการณ์อุทกภัยและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบหมายศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ประสานและบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก และจะดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเพื่อทุกครัวเรือนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 7 อำเภอ จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ จังหวัดสงขลา 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี 4 อำเภอ จังหวัดนราธิวาส 3 อำเภอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชน โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ปริมาณฝนจะลดลง รวมทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงหลังจากนี้ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. คาดการณ์ว่าจะกลับมามีฝนตกหนักถึงหนักมากอีกครั้งในช่วงวันที่ 13 – 16 ธ.ค. 67 บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จากนั้นแนวโน้มฝนจะลดลงตามลำดับ สำหรับเขื่อนบางลางจะยังคงอัตราการระบายน้ำที่ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน ซึ่งจะต้องมีการติดตามประเมินสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายให้เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับน้ำทะเลด้วย 

โดยขณะนี้การระบายน้ำของเขื่อนบางลางยังไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำบริเวณหน้าเขื่อนปัตตานี โดยเขื่อนปัตตานีได้มีการหน่วงน้ำไว้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 67 ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงตามลำดับ โดยเฉพะเขตตัวเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี ระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และในการบริหารจัดการน้ำ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยของเขื่อนทุกแห่ง ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ส่วนหน้าจะบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่และระดมสรรพกำลังเพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด

ยกย่อง 'อาคารรพินทร' อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม เปลี่ยนโรงยิมเก่าสู่ออฟฟิศและโรงเรียนของสถาปนิก

(6 ธ.ค.67) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ประกาศมอบรางวัล UNESCO Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage Conservation ประจำปี 2024 ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่ยูเนสโก ยกย่องความพยายามของบุคคลและองค์กรต่าง ๆ ในเอเชียและแปซิฟิกในด้านการบูรณะ และอนุรักษ์อาคารที่มีคุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรมในแต่ละชาติทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยรางวัลนี้มีการมอบให้กับองค์กรต่างที่อนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมดีเด่นมาตั้งแต่ปี 2000 โดยพิจารณาจากเกณฑ์ 3 ประการ ได้แก่ ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่ ความสำเร็จเทคนิคทางสถาปัตย์ และผลกระทบด้านความยั่งยืน

ในปี 2024 คณะกรรมการตัดสินได้ประกาศยกย่องโครงการดีเด่นด้านการอนุรักษ์อาคารที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น 8 รางวัล ทั้งในประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยในปีนี้ UNESCO ได้มอบรางวัลสาขา New Design in Heritage Context ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นใหม่ที่ยังคงรักษาคุณค่าดั้งเดิมของพื้นที่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้อย่างกลมกลืน ให้แก่ อาคารรพินทร สถาบันอาศรมศิลป์ จากความเปลี่ยนแปลงอันโดดเด่นที่พัฒนาอาคารจากโรงยิมเก่าสู่พื้นที่ทำงานและห้องเรียนสำหรับเหล่าสถาปนิกและภูมิสถาปนิกของสถาบัน

UNESCO ระบุในคำแถลงว่า อาคารรพินทร สถาบันอาศรมศิลป์ ได้รับรางวัลจากยูเนสโกในหมวดการออกแบบใหม่ในบริบทมรดกทางวัฒนธรรม สำหรับความเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งในงานด้านสถาปัตย์ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน โดยเปลี่ยนจากโรงยิมเก่าที่เคยใช้ประโยชน์เพียงด้านเดียว สู่การเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนและการทำงานของเหล่าสถาปนิก ซึ่งได้ปรับปรุงโรงยิมที่ไม่ได้ใช้ให้กลายเป็นพื้นที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีเสน่ห์สำหรับสถาปนิกและนักออกแบบชุมชน

การออกแบบของอาคารได้รับการผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยและโครงสร้างเดิมได้อย่างลงตัว โดยการรักษาพื้นที่โล่งและโปร่งสูงของอาคารไว้ พร้อมกับการใช้วัสดุที่เรียบง่ายเพื่อเสริมความสวยงามและสร้างความสมดุลให้กับประวัติศาสตร์ของอาคาร นอกจากนี้ การออกแบบสีเขียวที่ใช้การระบายอากาศธรรมชาติและการจัดสวนที่ร่มรื่นยังแสดงให้เห็นถึงการมุ่งมั่นในหลักการของการสร้างอาคารที่ยั่งยืน ซึ่งทำให้โครงการนี้กลายเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ นอกเหนือจากอาคารรพินทร สถาบันอาศรมศิลป์แล้ว ในปีนี้ยูเนสโกยังได้มอบรางวัลประเภทอื่น ๆ อาทิ รางวัลอนุรักษ์ย่านประวัติศาสตร์แก่ ถนนกูนันในเมืองอี้ซิง มณฑลเจียงซู ประเทศจีน โครงการอนุรักษ์วัดอาบัทซาเยชวราร์ในเมืองธุกคัตชี รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย ได้รับรางวัลเกียรติยศ Award of Distinction ขณะที่โครงการอนุรักษ์อีกสี่โครงการได้รับรางวัลความดีเยี่ยม (Award of Merit) ได้แก่ โครงการอนุรักษ์ร้านน้ำชาเกวนหยินฮอลล์ในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน, โครงการอนุรักษ์หอเฮหลูในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน, โครงการอนุรักษ์ BJPCI ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย และโครงการอนุรักษ์หอคอยสังเกตการณ์ในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์

คุมกำเนิดเด็กแว้น! รรท.ผบช.ภ.2 แถลง ตำรวจสระแก้ว เปิดปฏิบัติการ 'เขตห้ามแว้น ปิดตำนานซิ่ง สกัดทุกความรุนแรง' ยึดรถแต่งซิ่ง 160 คัน

(6 ธ.ค.67) ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ออมสิณ บุญญานุสนธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว (ผบก.ภ.จว.สระแก้ว) แถลงผลปฏิบัติการ “เขตห้ามแว้น ปิดตำนานซิ่ง สกัดทุกความรุนแรง” กวาดล้างจับกุมยึดรถจักรยานยนต์แต่งซิ่ง ต้นเหตุก่อความเดือดร้อนรำคาญ ก่ออุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ จว.สระแก้ว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจภูธรภาค 2 จึงกำชับปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ดัดแปลง แต่งซิ่ง ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน และความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกที่เกี่ยวข้อง และสิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วสั่งการไปยังกองกำกับการสืบสวน และสถานีตำรวจทุกแห่ง เปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมยึดรถจักรยานยนต์แต่งซิ่งผิดกฎหมาย ยึดของกลางได้ ดังนี้ 

1. รถจักรยานยนต์แต่งซิ่งผิดกฎหมาย 160 คัน 
2. ท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน 95 ชิ้น 
3. อาวุธปืน 13 กระบอก กระสุน 7 นัด 

นอกจากนี้ ในระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างรถแต่งซิ่ง เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ตำรวจ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว ได้กุมแก๊งขโมยสายไฟ คุมตัวผู้ต้องหา 3 คน ขณะกำลังปีนรั้วเข้าไปในบ้านอดีตนักการเมืองเพื่อขโมยสายไฟ จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางรถยนต์ที่ใช้ในการตระเวนลักทรัพย์ พร้อมสายไฟ 7 ม้วน ยาวประมาณ 270 เมตร ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

อย่างไรก็ตามตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วได้ดำเนินการระดมกวาดล้างห้วงก่อนเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 25 พ.ย. - 4 ธค 67 มีผลการปฏิบัติสามารถจับกุม ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด 391 หมาย หมายจับคดียาเสพติด 13 หมาย หมายจับคดีอาญาทั่วไป 154 หมายและหมายศาล 224 หมาย ซึ่งมีผลการจับกุมเป็นอันดับ 2 ของตำรวจภูธรภาค 2

ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ หลังจากนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกัน แต่จะเป็นการ ปฏิบัติการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรม รูปแบบต่าง ๆ และอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและประชาชน โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ "เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน"

กองเรือยุทธการ ร่วมภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรม ตามรอยพ่อ สืบสานต่อเพื่อแผ่นดิน 5 ธันวาคม

เมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.67)  พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการ กองเรือยุทธการ เป็นประธาน ในการจัดกิจกรรม 'ตามรอยพ่อสืบสานต่อเพื่อแผ่นดิน' ณ ลานอุทยานประวัติศาสตร์ เรือของพ่อ ต.91 

ประกอบด้วย กิจกรรมเดินเทิดพระเกียรติ มีกำลังพลจากหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน พี่น้องประชาชนในพื้นที่สัตหีบ คณะครู อาจารย์ ผู้ปกครอง นักเรียนของโรงเรียนสัตหีบ เขตกองเรือยุทธการ ร่วมกันจัดกิจกรรมร้องเพลงชาติ กล่าวน้อมรำลึก ฯ การมอบรางวัลการประกวดวาดภาพ และการประกวดการเขียนเรียงความ 

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินไทย ผู้ทรงปกครองแผ่นดินด้วยหลักธรรม พระสติปัญญา เพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทย ทรงดำเนินงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมาย เพื่อพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งโครงการต่อเรือชุดเรือ ต.91 จำนวน 9  ลำ ประกอบด้วยเรือ ต.91 ถึง เรือ ต.99 ซึ่งได้ดำเนินการต่อเรือชุดดังกล่าว ในประเทศไทยทั้ง 9 ลำ ถือว่าเป็นการสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการในพระราชดำริ ให้ดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

ความปลอดภัยทางถนน หนุนลดการเจ็บตายบนท้องถนน ตั้งเป้าลดตายในกลุ่ม 'เยาวชน'

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน แพทย์ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 ภายใต้แนวคิด 'สานพลังเข้มข้น สร้างกลไกเข้มแข็ง เพื่อถนนไทยปลอดภัย : Road Safety Stronger Together' เมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม อิมแพ็ค

เมืองทองธานี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในห้องย่อยที่ 1 ระบบนิเวศความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน : Road Safety Ecosystem for Youthด้วยว่า “กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น แนวทางรถรับส่งนักเรียนหรือแนวทางการจัดทัศนศึกษาที่ปลอดภัย แต่ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติของบุคลากรทางการศึกษา ที่จะทำอย่างไรให้เป็นการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กนักเรียนเมื่อมีการเดินทาง แต่อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องความปลอดภัยทางถนนควรเป็นวาระที่สำคัญที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับครอบครัว ซึ่งก็คือการที่พ่อแม่มีวินัยจราจรให้บุตรหลานได้เห็นเป็นแบบอย่างและสถานศึกษา มาเน้นย้ำในสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่บนท้องถนน

น่าสนใจว่าประชาชนยังขาดจิตสำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน หากย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อนประเทศไทยมีความพยายามที่จะบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่เกิดเสียงตำหนิรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก ที่ไม่เห็นอกเห็นใจผู้มีรายได้น้อยที่จำเป็นต้องโดยสารท้ายรถกระบะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเรายังคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนเรื่องความปลอดภัยทางถนน จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายระบบการศึกษาของไทยและกลไกของครอบครัวว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เมื่อมีการเดินทางสัญจรเกิดขึ้น ทั้งนี้สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพหลักในการสร้างเสริมระบบนิเวศที่ปลอดภัย (Ecosystem) ในกลุ่มเด็กและเยาวชน คือการจัดให้มีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยทางถนนหรือจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงจัดให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนในชั้นเรียนนั้น ทาง ศธ. ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและดำเนินการต่อไป”

ด้านนายธนันท์ เมฆประเสริฐวนิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการ 'เด็กเริ่ม ผู้ใหญ่ร่วม' เป็นภารกิจของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกรุงเทพมหานคร (ศปถ.กทม.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 2563 โดยมีเป้าหมายและจุดเน้นคือการสร้างเยาวชนต้นแบบและผู้ริเริ่ม 'รักษ์วินัยจราจร' ที่จะเป็นกำลังสำคัญของกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มพฤติกรรมรักษ์วินัยจราจรจากตนเองส่งต่อไปยังกลุ่มเพื่อน และผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง สมาชิกอื่น ๆ บนท้องถนน รวมถึงโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 โรงเรียน ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าหากเราไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้แนวโน้มปี 2564 – 2573 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีเด็กเสียชีวิตเพิ่มอีก 30,204 คน แต่ถ้าเราลงมือเริ่มแก้ไขปัญหานี้ เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ามีการลดการตายได้ปีละ 5% ใน 10 ปีจะช่วยชีวิตเด็กและเยาวชนได้ สูงถึง 9,675 คน

ด้านนายรวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีบทเรียนสำคัญที่ดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ 5 สถาบันอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ซึ่งดำเนินงาน 5 มาตรการอย่างเข้มงวด ได้แก่ 1. ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 2.ประกาศนโยบายสถานศึกษาปลอดภัย 3.พัฒนาองค์ความรู้ด้านการขับขี่และทักษะการขับขี่ 4.ส่งเสริมการทำใบอนุญาตขับขี่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก 5.สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อมส่งผลทำให้จำนวนของการบาดเจ็บลดลง และสามารถลดผู้เสียชีวิตให้เป็นศูนย์ได้ภายในปี 2565 ความสำเร็จดังกล่าว ยท. และ สสส. จึงได้สานต่อความสำเร็จในครั้งนี้เพื่อเป้าหมายการใช้หมวกนิรภัยให้ได้ 100% ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงสร้างนิสัยความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะการดื่มไม่ขับ เคารพกฎจราจร โดยในปี 2567 ได้ขยายความร่วมมือไปยังจังหวัดขอนแก่นและเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี และนำ 5 มาตรการดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อหนุนเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกอนุกรรมการด้านเด็กและเยาวชน ในศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชลบุรี”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top