Monday, 19 May 2025
NEWS

แพทย์ไทย ใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ รักษาผู้ป่วยสมองตาย ให้รับรู้และตอบสนองได้ พ้นจากสภาวะสมองเสียหาย 

คนไทยจำนวนมากคงได้รู้จัก ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘REDGEM’ อันย่อมาจาก REjuvenating DNA by GEnomic Stability Molecule ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์อภิวัฒน์ มุทิรางกูร ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ เป็นผู้คิดค้นและพัฒนา โดย ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีคุณสมบัติในการย้อนวัยที่ DNA เป็นกลไกสำคัญที่จะใช้แก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัยได้ และยังมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยด้วย”

ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอณูพันธุศาสตร์และสภาวะเหนือพันธุกรรม ได้ค้นพบกลไกต้นน้ำของความชรา โดยพบว่า DNA ของคนหนุ่มสาวจะได้รับการป้องกันจากการมี DNA gap ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรอยแยกบนรางรถไฟที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รางรถไฟบิดเบี้ยวจากความร้อน ในขณะที่คนชราหรือเซลล์ชราจะมี DNA gap ลดลง DNA gap จึงเป็นที่มาของการพัฒนา ‘โมเลกุลมณีแดง’ หรือ REDGEM ซึ่งมีบทบาทในการสร้าง DNA gap เพื่อช่วยในการปกป้อง DNA และทำหน้าที่ป้องกันความแก่ชราใน DNA

หลังจากที่ได้มีการทดลองใช้มณีแดงศึกษาในสัตว์ทดลอง หนู หมู ลิงแสม และกระต่าย รวมแล้วหลายร้อยตัว คณะวิจัยก็พบว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ มีความปลอดภัยสูงจึงน่าที่จะเป็นความหวังในการรักษาคนไข้สมองตาย ในการทดลองครั้งหนึ่งมีการทำให้สมองส่วนทำการเคลื่อนไหวในหนูตาย และพบว่า หนูไม่สามารถขยับตัวได้ แต่เมื่อให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ปรากฏว่า หนูมีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหายเป็นปกติในเวลา 14 วัน จากการศึกษา ‘โมเลกุลมณีแดง’ ทำให้ทราบเป็นความรู้ใหม่ว่า ‘โมเลกุลมณีแดง’ สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์สมอง (ในสมองที่ถูกทำลาย) และยังทำให้เซลล์สมองที่เสียการทำงานสามารถฟื้นกลับคืนมาจนทำงานได้เป็นปกติ

และนับเป็นข่าวที่ดียิ่งของมวลมนุษยชาติ เพราะในขณะนี้ได้มีการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในมนุษย์แล้ว หลังจากผ่านการทดลองใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในสัตว์ทดลองแล้วหลายร้อยตัวอย่างปลอดภัย โดยได้ใช้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ในการทดลองรักษา ‘น้องการ์ตูน’ นส.ดวงกมล ไชยสายัณห์ ผู้ป่วยหญิง อายุ 28 ปี 11 เดือน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565 ‘น้องการ์ตูน’ มีอาการหัวใจหยุดเต้น หรือสภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ จนไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันที โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า (Sudden cardiac arrest) จนทำให้เกิดอาการสมองตาย หรืออาการบาดเจ็บของสมองอันเป็นพิษจากการขาดออกซิเจนในสมองอย่างสมบูรณ์ (Anoxic brain damages are caused by a complete lack of oxygen to the brain)

‘น้องการ์ตูน’ จึงกลายเป็นผู้ป่วยสมองตาย ซึ่งในช่วงแรก ๆ อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ และรับอาหารทางสายยาง โดยรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กระทั่งโรงพยาบาลที่ ‘น้องการ์ตูน’ พักรักษาตัวอยู่พิจารณาแล้วเห็นว่า ‘น้องการ์ตูน’ คงไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือเป็นปกติได้แล้ว จึงเสนอให้ครอบครัวพา ‘น้องการ์ตูน’ กลับไปรักษาตัวที่บ้านจังหวัดขอนแก่น แต่ครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ ไม่ยอมละทิ้งความหวังใด ๆ โดยเฉพาะคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ผู้เป็นข้าราชการเกษียณของกรมอนามัย เคยเป็นพยาบาลมาก่อน และจบปริญญาโทด้านเวชศาสตร์การกีฬาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จะเข้าใจสถานการณ์ของ ‘น้องการ์ตูน’ เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังอย่างใด คงพยายามค้นหาวิธีการรักษาที่จะช่วยให้บุตรสาวอาการดีขึ้นกว่าสภาพที่เป็นอยู่

เมื่อคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งน่าจะเป็นความหวังเดียวในการรักษาฟื้นฟู ‘น้องการ์ตูน’ ให้ดีขึ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ จึงได้ติดต่อ ศ.พญ.อารีรัตน์ สุพุทธิธาดา ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งท่านเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณแม่ของ ‘น้องการ์ตูน’ ในขณะที่เป็นนิสิตปริญญาโท และท่านได้กรุณาประสานติดต่อ ศ.ดร.นพ.อภิวัฒน์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยฯ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จึงมีการพูดคุยหารือกัน และครอบครัวของ ‘น้องการ์ตูน’ โดยคุณพ่อและคุณแม่ได้ร้องขอ และแสดงความสมัครใจที่จะให้ ‘น้องการ์ตูน’ ได้รับการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ซึ่งในปัจจุบัน คณะผู้วิจัยฯ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อณูพันธุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทยได้ทดลองทำการผลิตร่วมกัน โดยการทดลองรักษาด้วย ‘โมเลกุลมณีแดง’ ครั้งนี้ถือเป็นกระบวนการทางการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยสิ้นหวังด้วยหลักเมตตาธรรม หรือการรักษาด้วยหลักเมตตาธรรม (Compassionate treatment) ตามปฏิญญาเฮลซิงกิ ค.ศ. 2013 ของแพทยสมาคมโลก (WMA Declaration of Helsinki 2013) เป็นครั้งแรกของประเทศไทย

หลังจากที่ ‘น้องการ์ตูน’ นอนพักรักษาตัวในห้อง ICU ซึ่งแพทย์ได้ทำการรักษาตามอาการนาน 8 เดือนแล้ว แต่น้องก็ไม่มีอาการรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทางการแพทย์จัดว่า น้องอยู่ในสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) และทำได้เพียงลืมตาเมื่อตอบสนองต่อการจับตัวแรง ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่เท่านั้น อาการของน้องก่อนได้รับ‘โมเลกุลมณีแดง’ คือ
1. น้องต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหลังจากมีอาการ ประมาณ 4 สัปดาห์จึงสามารถหายใจเองได้ และได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ต่อมาอีกสัปดาห์น้องมีอาการไม่หายใจ แต่หัวใจยังทำงานจึงใช้เครื่องช่วยหายใจอีกครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วน้องก็สามารถหายใจเองได้อีก แล้วจึงไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจตั้งแต่นั้นอีก
2. น้องไม่รู้สึกตัว ไม่มีการตอบสนองต่อเสียงเรียก
3. สีหน้าและใบหน้าของน้องเรียบเฉย ไม่มีการแสดงอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ
4. น้องสามารถลืมตาขวาได้ดี เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) ตาซ้ายลืมได้น้อยมาก บางครั้งหลับตาซ้าย บางวันตาซ้ายแดงและมีอาการบวมบ้างเล็กน้อย ตาของน้องจะมองตรงและนิ่ง ไม่มองตามเสียง ดวงตาไม่มีแววตา ไม่สามารถมองตามเสียงพูด
5. น้องไม่สามารถเอียงคอไปซ้าย-ขวาได้ นาน ๆ ครั้งจะพยายามยกคอ มีอาการตัวเกร็งและงอ ขางอเมื่อถูกกระตุ้น เช่นขณะดูดเสมหะ (Suction) หรือไอ
6. ปลายมือของน้องมีสีม่วงคล้ำ (Cyanosis) มือแบออก ไม่มีการกำมือ มือมักจะมีอาการเย็นข้างใดข้างหนึ่ง ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง จับเท้าดูบางครั้งเย็นทั้ง 2 ข้าง และเท้าไม่สามารถขยับได้เลย

การตรวจร่างกายก่อนให้ ‘โมเลกุลมณีแดง’ เมื่อวันที่ 15/5/2566 อาการของ ‘น้องการ์ตูน’ คือ แขนและขาเกร็ง มือและเท้าเขียว หนังตาซ้ายตก (Ptosis) ลืมตาขวาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บ (Pain) แต่ไม่สบตา น้องสามารถขยับตัวได้อย่างช้า ๆ เกร็งงอตัว หันซ้ายได้ช้ามาก

‘น้องการ์ตูน’ ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ โดสแรกเมื่อ 15 พ.ค. 2566 โดสที่ 2 เมื่อ 23 พ.ค. โดสที่ 3 เมื่อ 30 พ.ค. และโดสที่ 4 เมื่อ 7 มิ.ย. 2566 ต่อไปนี้เป็นการสรุปอาการของ ‘น้องการ์ตูน’ หลังจากที่ได้รับ ‘โมเลกุลมณีแดง’ 4 โดสแรกของน้องในเวลา 30 วัน โดยคุณแม่ของน้องดังนี้ :
1. ดวงตา น้องสามารถลืมตาเปิดได้มากขึ้นจนตาข้างขวาสามารถลืมตาได้โตเป็นปกติ ส่วนตาข้างซ้ายซึ่งเคยลืมตาเปิดแทบไม่ได้เลยก็สามารถลืมตาได้มากกว่าครึ่งของการลืมตาปกติ และอาการแดงของตาที่น้องเคยมีก็หายแล้ว และจากที่ดวงตาเคยไร้แววตาก็สามารถมองเห็นแววตาได้
2. น้ำตา เดิมช่วง 8 เดือนน้องไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลย หลังจากได้รับยาแล้ว เมื่อแฟน เพื่อน มาเยี่ยม หรือเมื่อคุณแม่บอกให้หายเร็ว ๆ มีน้ำตาไหลออกมา 1 ถึง 2 หยด และช่วงสัปดาห์ที่ 4 ขณะคุณแม่พูดคุยเรื่องในอดีต น้องก็มีน้ำตาไหลออกมาต่อเนื่อง นานประมาน 15 ถึง 20 นาที พร้อมทั้งบีบมือแรงมากขึ้น
3. การตื่น น้องตื่นได้เร็วขึ้น เมื่อคุณแม่เรียกในขณะที่หลับอยู่ น้องสามารถตอบสนองต่อเสียงเรียก หรือพอคุณแม่แตะตัวเบาๆ ก็ลืมตาและขยับปากแสดงถึงอาการรับรู้ของน้อง
4. การรับรู้ จากการที่น้องพยายามมองตามเสียงพูดของบรรดาผู้ที่มาเยี่ยม และมีการเอียงคอหันตามเสียงพูด แสดงว่า น้องสามารถรับรู้เสียงและภาพได้
5. สีผิว สีผิวของน้องทั้งใบหน้าและแขน เปลี่ยนจากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา จากที่ผิวเคยมีสีคล้ำเป็นขาวใสขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงถึงระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้น (เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)
6. การเอียงคอ น้องสามารถเอียงคอได้ตามเสียงของเพื่ิอน ๆ ที่มาเยี่ยมเรียก โดยที่เพื่อน ๆ ยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา น้องพยายามหันตามเสียงเพื่อนทางด้านซ้ายพร้อมกับมองตา เมื่อเพื่อนที่อยู่ทางด้านขวาพูดก็จะหันมาทางด้านขวาและมองตาแต่น้องยังทำได้ไม่ทุกครั้ง
7. มือ ปลายมือทั้ง 2 ข้างของน้องจากที่คุณแม่จับแล้วรู้สึกเย็น (ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา) กลายเป็นอุ่นขึ้นเช่นเดียวกับเท้าทั้ง 2 ข้าง ปลายมือและเล็บมือที่เคยมีสีม่วงคล้ำเปลี่ยนเป็นสีขมพู แสดงให้เห็นว่า ระบบไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายดีขึ้น(เปลี่ยนเป็นสีชมพูและอุ่นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่น้องได้รับยา)
8. การบีบมือและกำมือ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มือของน้องขยับไม่ได้เลยโดยมือแบออกตลอด จากที่ไม่สามารถกำมือได้หลังจากรับยาแล้ว น้องก็สามารถกำมือและแบมือได้ และสามารถบีบมือแรงจนคุณแม่รู้สึกได้อย่างชัดเจน
9. การเหยียดขาและขยับเท้า ในช่วง 8 เดือนก่อนรับยา น้องไม่สามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้เลย หลังจากรับยาแล้ว น้องสามารถเหยียดขาและขยับเท้าได้บ้าง
10. การยกศีรษะ ยกตัว และยกแขน ในช่วง 8 เดือนที่น้องยังไม่ได้รับยา ยังไม่สามารถทำอาการเหล่านี้ได้เลย แต่หลังจากได้รับยาแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ถึง 3 เมื่อคุณแม่กระตุ้นโดยการทำกายภาพบริหารแขนให้ น้องสามารถยกศีรษะ ยกตัว และยกศีรษะและเอียงศีรษะด้วยตัวเองได้มากขึ้น

ความสำเร็จของ “โมเลกุลมณีแดง” ในการรักษา‘น้องการ์ตูน’ ผู้ป่วยสมองเสียหายถาวร จนถือได้ว่า พ้นจากสภาวะสมองเสียหายจนอยู่ใน ‘สภาพผัก’ (Anoxic brain injury vegetative state) แล้ว นับเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ หรือความสำเร็จแห่งมนุษยชาติ ด้วยเป็นการรักษาอาการของโรคในลักษณะได้ผลเป็นครั้งแรกของโลกเลยก็ว่าได้ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่นวัตกรรมที่มีคุณค่ายิ่งเกิดจากฝีมือของคณะนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ของไทย และ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะเป็นกลไกสำคัญในอันที่จะใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพในสังคมสูงวัย ตลอดจนศักยภาพเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ ‘โมเลกุลมณีแดง’ จะสามารถสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้สังคมไทย และเพิ่มรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพกับประเทศไทยอีกด้วย

เตรียมเข้า โรงเรียนนายเรือสหรัฐอเมริกา ตั้งใจจะนำความรู้ที่ได้ มาประยุกต์ใช้กับกองทัพเรือ

นางสาววาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ผู้เขียนหนังสือชุดลับ ลวง พราง และผู้ดำเนินรายการวิทยุ “ลับ ลวง พราง” ทางโมเดิร์นเรดิโอ เอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ตซ์  ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘น้องพีร์’ นักเรียนนายเรือ ยศกร บุราณ ที่สอบชิงทุนการศึกษาได้ และ มีกำหนดการจะเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 18 มิถุนายน 2566นี้ โดยมีใจความว่า ...

นักเรียน นายเรือAnnapolisคนใหม่
เตรียมไปเรียน United States Naval Academy/USNA
โรงเรียนนายเรือสหรัฐอเมริกา
‘น้องพีร์’ นักเรียนนายเรือ ยศกร บุราณ 

พลเรือตรี รังสรรค์ แตงฉิม รองผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ. ให้โอวาท และแสดงความยินดีแก่นักเรียนนายเรือ ยศกร บุราณ นักเรียนนายเรือชั้นปีที่ 1 ซึ่งจะเดินทางไปศึกษา หลักสูตรโรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ (United States Naval Academy/USNA.) สาขา Electrical Engineering/Computer Science  ที่ เมืองแอนนาโปลิส มลรัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา 
ซึ่งนักเรียนนายเรือยศกร จะการเดินทางไปศึกษาต่อ ที่โรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ เป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2566 - 30 พฤษภาคม 2570  

กองทัพเรือ ได้เคยส่งนักเรียนนายเรือไปเรียนที่โรงเรียนนายเรือประเทศสหรัฐฯ ครั้งแรกปี พ.ศ.2498 โดยส่งไปเข้าโรงเรียนนายเรือเป็นหลัก ถ้าเข้าไม่ได้ก็จะเปลี่ยนไปเข้าที่โรงเรียนยามฝั่ง 
หากเข้าทั้ง 2 โรงเรียนไม่ได้ จะให้เข้ามหาวิทยาลัย การเข้าเรียนต้องผ่านการคัดเลือกเข้มข้น  ผู้ที่กองทัพเรือส่งไปเรียนที่สหรัฐฯ ในช่วงแรกส่วนใหญ่ไปเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย มีช่วงที่ส่งไปต่อเนื่องคือระหว่างปี พ.ศ.2522-2537 จนมีนักเรียนนายเรือ เสรี ฉ่ำชื่น (ปัจจุบัน ยศ นาวาเอก) นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 28 เป็นผู้ที่สอบคัดเลือกได้เข้ารับศึกษาในโรงเรียนนายเรือสหรัฐฯ ได้เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2532 แต่เนื่องจากการคัดเลือกเข้มข้น นักเรียนนายเรือไทย จึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนได้บ้างไม่ได้บ้าง  กองทัพเรือจึงงดส่งนักเรียนนายเรือไปสหรัฐฯ ระยะหนึ่ง และมาเริ่มส่งอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2553 จนถึงปัจจุบัน

โดยที่ผ่านมากองทัพเรือไทยมีผู้สำเร็จการศึกษาจากประเทศสหรัฐฯ ระดับต่างๆ ประมาณ 20 นาย (ทั้ง ที่ แอนนาโปลิส coastguard และ มหาวิทยาลัย ไม่รวมระดับปริญญาโท)  และมีนักเรียนนายเรือไทยที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือสหรัฐจำนวน16 นาย โดยเมื่อวันที่ 26  พฤษภาคม 2566  ที่ผ่านมานักเรียนนายเรือ สุรศักดิ์  บรรดาศักดิ์ เป็นนักเรียนนายเรือไทยที่สำเร็จการศึกษาคนล่าสุด
นักเรียนนายเรือยศกรฯ หรือน้องพีร์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 63  นักเรียนนายเรือรุ่นที่ 120 จบการศึกษาชั้นมัธยมโรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล  เป็นคนจังหวัดชัยภูมิ บิดารับราชการตำรวจ และมารดาทำงานเป็นพยาบาล มีพี่น้อง 2 คน  น้องพีร์เป็นคนที่ 1 ในขณะศึกษาโรงเรียนเตรียมทหารผลการเรียนเกรดเฉลี่ยสะสม 3.95 มีความสามารถพิเศษด้านดนตรีสากล ตำแหน่งสำคัญในขณะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร หัวหน้าตอน15 ชั้นปีที่ 2 และหัวหน้านักเรียนนายเรือชั้นปีที่1 นักเรียนนายเรือรุ่นที่120  
แรงบันดาลใจของน้องพีร์ในการเข้ามาเป็นนักเรียนนายเรือนั้น เกิดจากเคยมีโอกาสได้ดูสารคดีเกี่ยวกับทหารเรือ ได้เห็น

การทำงานของทหารเรืออย่างเป็นระบบ จึงเป็นจุดประกายเล็กๆ ที่ทำให้น้องพีร์มีความสนใจในทางนี้
โดยมีครอบครัวคอยช่วยสนับสนุนอยู่ตลอด  ในการสอบคัดเลือกเข้าไปเรียนในโรงเรียนนายเรือสหรัฐอเมริกานั้น การแข่งขันค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่สมัครกับจำนวนที่รับเข้าเรียน ดังนั้นการที่ได้เป็น 1 ในหลายๆ คนที่ถูกรับเลือก

น้องพีร์มีความรู้สึกยินดีและถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งตามตั้งใจทำ โดยมีแรงบันดาลใจในการสอบทุนครั้งนี้ จากที่น้องพีร์มีความสนใจในวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตของแต่ละประเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสในการสอบทุนนั้น จึงทำให้น้องพีร์มีความตั้งใจไว้แล้วที่จะไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ 

และอีกส่วนหนึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากพี่นักเรียนนายเรือด้วยกันเอง อาทิ รุ่นพี่นักเรียนนายเรือปุญรพีฯ ที่ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายเรือสหรัฐอเมริกา ที่คอยให้คำแนะนำและการสนับสนุนกับน้องพีร์ และน้องพีร์เชื่อว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการพัฒนาในสิ่งต่างๆ การที่ได้มีโอกาสเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้จะได้รับองค์ความรู้จากทางต่างประเทศ ทั้งความรู้ด้านเทคโนโลยีและด้านอื่นๆ เพื่อจะนำองค์ความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับกองทัพเรือ ในการการพัฒนากองทัพไปให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ นักเรียนนายเรือ ยศกรฯ มีกำหนดการเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 18 มิถุนายน 2566

‘อภิชาติ ดำดี’ ชี้ประเด็นเรื่อง ‘ชุดนักเรียน’ กำหนดไว้เพื่อให้ ‘อยู่ร่วมกัน’ ได้ในสังคมเดียวกัน

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.) นายอภิชาติ ดำดี อาจารย์นักพูด นักจัดรายการชาวไทย และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดกระบี่ ได้โพสต์ข้อความ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับประเด็น เรื่องชุดนักเรียน โดยมีใจความว่า ...

จ า ก ใ จ แ ม่
๐ ขอตังค์แม่ไปโรงเรียนเพียรศึกษา
แต่ละบาทกว่าแม่หาเอามาได้
ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำเท่าใด
สู้สุดใจเพื่อให้ลูกปลูกปัญญา
๐ หิ้วปิ่นโตกับกระเป๋าใบเก่านั้น
มื้อกลางวันประหยัดไว้ไม่ซื้อหา
กับข้าวไม่เลิศล้ำธรรมดา
ตามประสาแม่ทำให้พอได้กิน
๐ ชุดนักเรียนนั้นเล่าเออเธอกับฉัน
ใส่เหมือนกันเก่าใหม่ไม่หยามหมิ่น
สวมเครื่องแบบฝึกไว้ให้เคยชิน
เมื่อขาดวิ่นแม่ซ่อมให้ไม่รีบซื้อ
๐ ลูกเอ๋ย...ไม่ได้ใส่ชุดไปรเวท
ก็ทำเกรดขึ้นได้มิใช่หรือ
เราก็มีหนึ่งสมองและสองมือ
เร่งฝึกปรือสร้างวินัยให้ชีวา
๐ ไม่มีชุดมากมายอย่างใครเขา
ชุดนักเรียนของเราก็เข้าท่า
ถ้ามานะหมั่นเพียรเรียนวิชา
ก็ก้าวหน้าแม้ชุดเราเก่ากว่าใคร...
อภิชาติ ดำดี 
16 มิ.ย. 2566

 

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์ถึงลูก อยากให้เป็นเด็กดี และอยู่ร่วมกับทุกคนในสังคม ได้อย่างมีความสุข

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงความรู้สึกที่ได้เห็นลูกสาวฝาแฝดของตน ในชุดเครื่องแบบนักเรียนและมีรอยยิ้มน่ารักสดใสตามวัย โดยระบุว่า ...

มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นลูกใส่ชุดนี้ อยากให้หนูเป็นเด็กดี มีความรู้และสามารถอยู่ร่วมกับทุกคนในสังคมได้อย่างมีความสุข

ปล.ปีนรั้วเข้าโรงเรียนผมไม่ห่วงครับ ผมห่วงเด็กปีนรั้วออกครับ

หลังจากที่ได้มีคนเห็นโพสต์ข้อความนี้แล้ว ก็ได้มีคอมเมนต์ตอบแบบน่ารักๆ ตามมาหลากหลายเช่น 

“เห็นด้วยครับ ลูกผมก็ชอบใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน เหมือนเพื่อนๆ ชีวิตวัยเรียนก็ปกติ มีความสุขดีครับ”

“เด็กน้อยของพ่อแม่น่ารักเสมอ”

“น่ารักที่สุดค่ะสาวน้อย”

“น่ารักจังเลย”

“มส.15” ติดอาวุธทางปัญญาเด็กเมืองนนท์ ร่วมศึกษา-พัฒนา ”วิสาหกิจชุมชนปากเกร็ด” สู่ความยั่งยืนทางธุรกิจ

วันที่ 16 มิถุนายน พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ประธานมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง เป็นประธานเปิด โครงการ มส.15 ส่งเสริมเยาวชน สร้างสรรค์ วิสาหกิจชุมชนยั่งยืน ณ โรงเรียนปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมี พล.อ.ดร.มารุต ปิชโชตะสิงห์ ผู้อำนวยการหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง พร้อมคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักศึกษาหลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) รุ่น 15 รวมทั้ง นายภิรมย์ ชุมนุม นายอำเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี ร่วมพิธี

โดย ดร.วรวุฒิ ไชยศร อาจารย์ประจำหลักสูตร มส. กล่าวรายงานสรุปภาพรวมโครงการ CSR สู่ความยั่งยืนว่า หลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง (มส.) รุ่น 15 เล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของหลักสูตร ในการสร้างความยั่งยืน โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

จึงจัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อสร้างเครือข่ายของภาคส่วนที่มีความแข็งแรง ทั้งด้านประสบการณ์ ความรู้ เงินทุน มาส่งเสริม สนับสนุนซึ่งกันและกัน ให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชน ที่จะเติบโตในพื้นที่ของชุมชน เป็นผู้มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลง เกิดความ
รักและหวงแหน และมีจิตสำนึกในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นของตนเอง

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกของเด็กและเยาวชนในการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนของตนเอง
เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่นำความรู้ความสามารถที่ได้รับ ไปต่อยอดสู่การพัฒนาชุมชน

สำหรับกิจกรรม เริ่มคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2-5 จากโรงเรียนปากเกร็ด โรงเรียนเตรียมอดุมศึกษาน้อมเกล้านนทบุรี และโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส ทั้งหมด 45 คน โดยแบ่งเป็นทีม มาช่วยกันออกแบบ "นวัตกรรมสร้างสรรค์วิสาหกิจชุมชน"ในพื้นที่เกาะเกร็ด โดยให้ศึกษาถึงประเด็นปัญหา แนวทางในการต่อยอดเพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชน โดยมีผู้แทน จาก มส.15 ผู้ทรงคุณวุฒิ และตัวแทนในเขตพื้นที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นกรรมการพิจารณาตัดสิน 

ผลคะแนนอันดับที่ 1 วิสาหกิจชุมชนผ้าบาติกและดอกไม้ใยบัว โรงเรียนปากเกร็ด อันดับที่ 2 วิสาหกิจชุมชนจากเส้นพลาสติก โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส (แสนสวัสดิ์วิทยาคาร) และอันดับที่ 3 วิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรและเบเกอรี่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี 

พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้ นับเป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์ มีความสาคัญ เพราะเป็ น ความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน ที่ส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีทักษะการคิดที่สร้างสรรค์ มีอาวุธทางปัญญา ที่ร่วมคิด ร่วมทำ และช่วยพัฒนาให้วิสาหกิจชุมชนของเกาะเกร็ดทั้ง 9 วิสาหกิจ ได้นำผลงานของเยาวชนไปต่อยอด พัฒนาการดำเนินธุรกิจไม่มากก็น้อย 

ด้าน ดร.เภา บุญเยี่ยม ประธาน CSR มส.15 กล่าวว่า โครงการ “ส่งเสริมเยาวชน สร้างสรรค์วิสาหกิจชุมชนยั่งยืน” ที่เกาะเกร็ด นนทบุรี ในวันนี้ มส.15 มีความตั้งใจที่จะให้เยาวชนได้ร่วมคิด ร่วมสร้างและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นตนเอง โดยเก็บข้อมูลจากการลงพื้นที่วิสาหกิจจริงๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางการแก้ไข ด้วยเครื่องมือและกระบวนการทางธุรกิจสมัยใหม่ที่เราถ่ายทอดให้ ตอบโจทก์ความต้องการของลูกค้าและนักท่องเที่ยว เป็นการเชื่อมต่อของคนต่างวัยในชุมชน เพื่อสร้างสังคมให้เติบโตเข้มแข็งและส่งต่อความยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น

“ต้องขอขอบคุณ อ.ใหม่ ลัดดาวัลย์ ชูช่วย ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการให้ความรู้กับน้องๆเยาวชน และขอบคุณเจ้าภาพ มส.15 กลุ่มม้ามังกร และกุญชรศึก จัดกิจกรรม CSR เพื่อส่งต่อความยั่งยืนในวันนี้” ประธาน CSR มส.15 กล่าว

‘สดช.’ ตรวจเยี่ยมโครงการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ เชื่อมโยงข้อมูลการแพทย์ ยกระดับการรักษาพยาบาลเพื่อ ปชช.

คณะผู้บริหาร สดช. ลงพื้นที่ม.เชียงใหม่ ติดตามผลการดำเนินงานโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ สำหรับให้บริการประชาชน (5G District)

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร พร้อมด้วย นางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อํานวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหาร และข้าราชการ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามผลการดำเนินงานโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ สำหรับให้บริการประชาชน (5G District) ณ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โดยโครงการฯ ดังกล่าว เป็นโครงการของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางและประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยี 5G ในการส่งเสริมการให้บริการการแพทย์ 5G Smart Ambulance สำหรับบริหารจัดการรถพยาบาลแบบรวมศูนย์ และ Telemedicine สำหรับโรงพยาบาลประจำอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ และโรงพยาบาลในจังหวัดใกล้เคียง รวม 20 แห่ง โดยผู้รับทุนกำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานดังกล่าวในแผนการดำเนินโครงการ มีแหล่งข้อมูล (Big Data) เพื่อนําไปวิเคราะห์และประมวลผลต่อในด้านการพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะสมต่อประชากรในท้องถิ่นระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกลุ่มข้อมูลแบบเรียลไทม์

ปัจจุบันโครงการฯ ดังกล่าว มีระบบที่สามารถเชื่อมข้อมูลได้อย่างน้อย 15 โรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ และโรงพยาบาลอื่น ๆ ในภาคเหนือ ซึ่งการทำงานของระบบแบบ Real Time สามารถพูดคุยเพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ระบบ Telemedicine ได้นำมาใช้เฉพาะเจาะจงในการติดตามรักษาโรคเรื้อรัง เช่น หัวใจขาดเลือด สมองขาดเลือด หัวใจล้มเหลว ไตเรื้อรัง เป็นต้น

‘บุฟเฟต์ทุเรียน’ ที่ปีนัง มาเลเซีย นุ่มลิ้นเหมือนกินคัสตาร์ด มีให้เลือกหลายสายพันธุ์ อิ่มได้ไม่อั้น แค่หัวละ 700 บาท!!

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘I will travel around the world’ ได้โพสต์ภาพร้อมข้อความเกี่ยว ‘บุฟเฟต์ทุเรียน MusangKing’ ที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย โดยระบุว่า…

#มาเลเซีย
ปาร์ตี้ทุเรียนบุฟเฟต์ ปีนัง ประเทศมาเลเซีย
ร้านแบบนี้ฮิตมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ทุเรียนบ้านเขาจะรอสุกหล่นจากต้นแล้วเก็บเอามาทานทุเรียนบ้าน เม็ดเล็กๆ เนื้อบางๆ ขม บ้านเขาชอบกินทุเรียนเละๆ สุกๆ ซึ่งจะแตกต่างกับบ้านเรา  

บุฟเฟต์ที่นี่ หัวประมาณ 700 บาท กินไม่อั้น มีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งก้านยาว, D24, Musang King ร้านเปิดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน 

คนที่นี่พาลูกพาหลานมากันทั้งบ้าน ฟีลเหมือนมากินร้านไอติม

สำหรับพันธุ์ Musang King รสชาติค่อนข้างติดขมนิดๆ แต่เนื้อละเอียดเหมือนคัสตาร์ด ในร้านจะมีมังคุดให้ทานปิดท้าย

อิ่มมาก ออกจากป่ามาเจอบุฟเฟต์ทุเรียน 😆

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ ‘คุณปลื้ม’ พิธีกร และผู้ดำเนินรายการข่าว กล่าวถึงกรณี ‘หยก-ธนลภย์’ เยาวชนอายุ 15 ปี

จากประเด็นถูกไล่ออกจากโรงเรียน หลังจากสวมชุดไปรเวทและย้อมสีผมไปเรียน ผ่านรายการ ‘The Daily Dose Live! ยามเช้า’ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 66 ว่า…

“ผู้ใหญ่คนไหนที่ให้ท้ายคุณ เขาไม่ได้รักคุณ นั่นคือข้อเท็จจริง ผู้ใหญ่คนไหนที่ตักเตือนคุณ ให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้น เพื่ออยู่ร่วมกับสังคมได้ นั่นคือ คนที่รักคุณจริงๆ”

 

‘ไอซ์’ ย้ำ!! ไม่ควรมีเด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา เพียงเพราะพยายามกะเทาะเปลือกขนบเแบบดิมๆ

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 นางสาวรักชนก ศรีนอก หรือ ‘ไอซ์’ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork’  เกี่ยวกับกรณี หยก-ธนลภย์ จากประเด็น ที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน หลังจากสวมชุดไพรเวตและย้อมสีผมไปเรียน ก่อนทางโรงเรียนชี้แจงว่าเป็นเพราะไม่ได้เซ็นยินยอมมอบตัวในระยะเวลาที่กำหนด 

โดยไอซ์ได้โพสต์ไว้ว่า… 

“กฏระเบียบข้อไหนกันที่บังคับให้ต้องเอาพ่อแม่มาเท่านั้นถึงจะมอบตัวได้ แล้วแบบนี้เด็กกำพร้าที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ไม่ต้องมอบตัวไม่ต้องเรียนหนังสือหรือไง ถ้ากลไกลสภาฯ ยังทำงานอยู่ไอซ์จะร้องเรื่องนี้ให้กรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องตอบคำถามสังคม

ไอซ์ขอยืนยันจุดยืน ไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยความไม่สมัครใจ ไม่ว่าด้วยกฏระเบียบข้อบังคับใดก็ตาม

ลองถามใจลึกๆ ดู ว่าควรมีเด็กคนไหนในประเทศนี้ต้องออกจากระบบการศึกษาไป เพราะสังคมบางส่วนรู้สึกว่าน้อง ‘ทำตัวไม่น่ารัก’ หรือเพราะไม่เคารพกฏระเบียบแบบเดิมๆ หรือป่าว เรากำลังต่อสู้กับขนบเดิมๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ”

‘คุณหญิงบุญเลื่อน’ อดีต ผอ.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผู้เอาตำแหน่งเป็นหลักประกัน ช่วยให้ นร.ไม่ต้องปักชื่อที่ชุด

จากกรณี ‘หยก’ เยาวชนหญิงวัย 15 ปี จำเลยคดีมาตรา 112 ที่มีอายุน้อยที่สุด นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ได้แต่งกายด้วยชุดไปรเวทเข้าเรียน และได้ถูกเชิญตัวออกจากโรงเรียน จนเกิดเป็นกระแสดรามาขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 เฟซบุ๊กเพจ ‘บูรพาไม่แพ้’ ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องเครื่องแบบชุดนักเรียน ที่กำลังมีประเด็นในสังคมอยู่ ณ ขณะนี้ โดยระบุว่า…

“ทำไม #ชุดนักเรียน ของโรงเรียน #เตรียมอุดมศึกษา จึงไม่มีชื่อโรงเรียน,เลขประจำตัว หรือชื่อนักเรียนปักติดอยู่บนเสื้อ? (เป็นเสื้อสีขาว ติดเข็ม ‘พระเกี้ยวน้อย’ เท่านั้น)

ช่วงปี 2516 กรมสามัญศึกษาได้ออกระเบียบบังคับให้ทุกโรงเรียนปฏิบัติเหมือนกันหมด คือให้นักเรียนทุกคนต้องปักชื่อย่อของโรงเรียน และชื่อของตนเองหรือเลขประจำตัวบนเสื้อ เพื่อจะทราบได้ว่า เรียนที่ไหน? และเมื่อทำผิดแล้ว จะได้ตามตัวได้ถูกคนถูกตัว

แต่นักเรียนโรงเรียนเตรียมฯ ไม่ต้อง เพราะ ผอ. ขณะนั้น เข้าชี้แจงกับทางกระทรวงว่า นักเรียนของโรงเรียนเตรียมฯ ดี และเรียบร้อยอยู่ในระเบียบทุกคนไม่จำเป็นต้อง มีชื่อโรงเรียนหรือชื่อนักเรียนติดที่อกเสื้อ 

อธิบดีฯ ก็ถามกลับมาทันทีว่า “แล้วคุณหญิงจะเอาอะไรมาเป็นหลักประกัน”
ผอ. ตอบว่า “โต๊ะกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง”

อธิบดี ถึงกับอึ้ง 

แล้วโต๊ะกับเก้าอี้ 1 ตัวนั้นสำคัญอย่างไร?

เป็น ‘โต๊ะ’ และ ‘เก้าอี้’ ของผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในขณะนั้น
‘คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู’

นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ด้วยเกียรติของ ตอ. จึงเป็นโรงเรียนเดียวในประเทศไทย ที่นักเรียนไม่ต้องปักชื่อของโรงเรียน หรือชื่อของตนเองไว้ที่อกเสื้อ โดยมีคำสั่งจากผู้อำนวยการ อาจารย์คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู ว่านักเรียนเตรียมฯ ทุกคนจะต้องติดตราสัญลักษณ์พระเกี้ยวน้อยที่อกเสื้อ หากใครถอดพระเกี้ยวออก จะถูกลงโทษ

คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู กล่าวว่า “นักเรียนเตรียมฯ แค่เห็นข้างหลังก็รู้ว่าเป็นนักเรียนเตรียมฯ”

คณะพยาบาลศาสตร์ มช. ประชุมทวิภาคีร่วมกับฝ่ายการพยาบาล รพ.มหาราชนครเชียงใหม่  

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของคณะฯ ร่วมประชุมทวิภาคีกับฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ นำโดย คุณวีรชาติ ชูฤทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล และทีมบริหารฝ่ายการพยาบาล เป้าหมายเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านวิชาการ การวิจัย และบริการวิชาการ รวมทั้งความร่วมมือด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ปรึกษาหารือด้านการเรียนการสอน การขึ้นฝึกปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาลในแต่ละหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น 

พร้อมกันนี้ คุณวีรชาติ ชูฤทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล ได้มอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีแด่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ในโอกาสที่คณะฯ ได้รับรางวัลองค์กรที่สนับสนุนการดำเนินงานและทำคุณประโยชน์ต่อชมรมผู้สูงอายุจังหวัดเชียงใหม่ จากชมรมผู้สูงอายุจังหวัดเชียงใหม่ และ มอบดอกไม้ร่วมยินดีแด่ รศ.ดร.จิราภรณ์ เตชะอุดมเดช ผู้ช่วยคณบดี ในโอกาสได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ณ ห้องเรียนศตวรรษที่ 21 อาคาร 2 คณะพยาบาลศาสตร์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2566

พัฒนชัย/เชียงใหม่

‘หยก’ เคยเป็น เด็กเรียบร้อย เรียนดี แต่ชีวิตไม่เหมือนเดิม ตั้งแต่เริ่มรู้จัก กับกลุ่มทะลุวัง

15 มิ.ย. 2566 - เพจเฟซบุ๊ก สติค่ะลูกกกก โพสต์ภาพและข้อความว่า หลายคนอาจไม่รู้ หยกสมัยก่อนเคยเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่เคยโดนคดี รักครอบครัว แต่งตัวเรียบร้อย เรียนดี

จุดเปลี่ยนชีวิตตั้งแต่หยกรู้จักกลุ่มทะลุวัง และพรรคก้าวไกล ชีวิตของหยกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ต่อต้านระบบกฎระเบียบสังคมทุกอย่าง โดนคดีมากมาย สุดท้ายครอบครัวแตกแยก....

คนกลุ่มไหนกันที่สนับสนุนและให้ท้ายเด็กจนมีพฤติกรรมแบบนี้

‘4 รองผู้ว่า กทม.’ เผย ความในใจถึง ‘ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ หลังร่วมงานเพื่อเดินหน้าพัฒนากรุงเทพฯ ครบ 1 ปี

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 66 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงผลงาน ‘365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ตามนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการทำงาน

โดยนายชัชชาติ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้เป็นการแถลงผลงานตนเอง แต่เป็นการแถลงผลงานของทีม กทม. ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งข้าราชการ บุคลากร และ ส.ก. โดยหลักการทำงานในปีแรกจะเป็นปีของการนำนโยบายมาทำ Sandbox หรือต้นแบบ โดยเริ่มต้นจากการทำต้นแบบเล็กๆ นำแนวคิดนโยบายมาทดสอบ เมื่อประสบความสำเร็จ จะเป็นการต่อยอด และขยายผลนโยบายไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการแถลง ได้มีการถามความใจในของท่านรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 4 ท่าน กับการทำงานร่วมกับท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยท่านแรก รองศาสตราจารย์วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ตอบว่า…

“จริงๆ แล้ว ผมค่อนข้างคุ้นชินกับสไตล์ารทำงานของท่านอาจารย์ชัชชาติอยู่แล้ว เพราะผมเคยช่วยงานท่านมาก่อน หากถามว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องหงุดหงิดอะไร ก็คงจะเป็นเรื่องของระบบภายในที่มีความล่าช้า และยังไม่รวดเร็วทันใจมากพอ เพราะในหลายๆ เรื่อง ผมคิดว่าเราน่าจะทำได้เร็วกว่านี้ แต่เนื่องจากติดขัดในส่วนของกระบวนการต่างๆ ทำให้การดำเนินการต่างๆ ยังไม่คล่องตัวมากเท่าที่ควรจะเป็น 1 ปีผ่านไปเร็วมากครับ นึกว่าเพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน เพราะท่านผู้ว่าฯ ก็ลงพื้นที่ตลอด และมีโจทย์ใหม่ๆ มาให้ทำ มีปัญหามาให้แก้ไขกันอยู่ทุกวัน คอยตามจัดการสะสางงานที่ได้รับคำสั่งการมาครับ”

ท่านต่อมา รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“เวลาทำงานลงพื้นที่ ท่านผู้ว่าฯ จะชอบถามคำถามว่า “ว่ายังสนุกอยู่หรือเปล่า?” ก็ขอตอบว่า สนุกค่ะ ยังอยากทำอยู่ และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากทำ ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง เคยมีความเชื่อว่าตัวเองมีความรู้เกี่ยวกับ กทม.อยู่พอสมควร แต่เมื่อเข้ามาและเจอนโยบายที่ท่านผู้ว่าฯ อยากให้ทำ มันเหมือนกับว่าเราต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมดเลย เพราะว่ารายละเอียดต่างๆ มันเยอะมาก และถนนในกรุงเทพฯ ที่เคยคิดว่ามันมีความกว้างเพียงพอ ไม่ได้เล็กอะไร เมื่อลงพื้นที่ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าถนนหนทางดูเล็กลงไปมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบมาก คือ ผู้ว่าฯ จะลงพื้นที่ไปดูงานให้ เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้บริหารคนไหน คอยลงพื้นที่ติดตามงานให้มาก่อน ตรวจเช็กความเรียบร้อย เป็นเหมือนกระบวนการตรวจสอบให้ด้วย ซึ่งตรงนี้ช่วยให้งานของรองผู้ว่าทั้ง 4 คนนั้น ลดลงไปมากพอสมควร และยังให้คำแนะนำในส่วนที่เรายังมีความบกพร่อง ว่าควรแก้ไขตรงจุดไหนเพิ่มเติม มีความท้าทายใหม่ๆ ทุกวัน ตอน 6 โมงเช้าจะมีงานใหม่ๆ ส่งมาให้ทุกวัน ก็รู้สึกดีค่ะ มีพลังงานในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม”

ท่านต่อมา นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“นอกจากการทำงานที่เราทุกคนจะมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ลักษณะของผู้บริหารที่มาจากการแต่งตั้ง และมาจากการเลือกตั้ง ย่อมมีความแตกต่างกัน ลักษณะการเข้าถึงประชาชน การใกล้ชิดกับประชาชน การยึดโยงประชาชนเป็นส่วนรวม ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น การทำงานก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วย การทำงานในตอนนี้ให้ความเป็นอิสระในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกัน เราทุกคนก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อประชาชนทุกคนที่เลือกตั้งท่านผู้ว่าฯ มา”
.
และต่อมา ท่านสุดท้าย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวความในใจว่า…

“สนุกมากครับ เหมือนเป็นงานในฝันที่เราอยากทำ ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาทำงานทุกวัน และมีความตั้งใจที่อยากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมากกว่านี้ยิ่งๆ ขึ้นไปในทุกวัน และรู้สึกว่า ถ้าพวกเรามีเวลามากกว่านี้ หรือได้ทำให้ละเอียดมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าภาพรวมจะออกมาดีกว่านี้”

นอกจากนี้ ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังได้กล่าวความในใจของตัวเองทิ้งท้ายไว้อีกด้วย “พวกเราทำงานร่วมกันเป็นทีม ผมต้องขอขอบคุณทุกๆ คน ทุกๆ ฝ่ายที่รวมแรงรวมใจกัน ตั้งแต่ท่านปลัด พี่ๆ เพื่อนๆ ตลอดจนถึงถึงเจ้าหน้าที่ กทม.ทุกท่าน ผมคิดว่าเราไม่มีดีไปกว่าทีมงานของเราได้ ต่อให้นโยบายที่เราคิดกันมาจะดีแค่ไหนก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ซึ่งเปรียบเหมือนโซ่ข้อสุดท้ายที่เชื่อมเรากับประชาชน ถ้าหากเขาไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทุกอย่างๆ ก็คงไม่มีทางออกมาดีได้ และผมต้องขอกราบเรียนตรงนี้เลยว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผลงานของชัชชาติ แต่เป็นผลงานของทีม กทม.ทุกคน และงานในหลายๆ เรื่องก็ไม่ใช่งานที่ทำให้สมัยนี้ด้วย เป็นงานที่ต่อเนื่องกันมานานแล้ว จึงขอถือว่าเวลาแถลงก็แถลงในนาม กทม.”

หน่วยมิตรประชากองบิน 46 ออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน

นาวาอากาศเอก สิระ บุญญะพาศ ผู้บังคับการกองบิน 46 พร้อมด้วย คุณ อภิชญา บุญญะพาศ ประธานชมรมแม่บ้านทหารอากาศ กองบิน 46 นำหน่วยมิตรประชากองบิน 46 ออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน 

โดยมีกิจกรรมการแสดงดนตรีของวงดุริยางค์ทหารอากาศ กองบิน 46 พิธีมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การศึกษา เลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่นักเรียน 

นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบผ้าห่มกันหนาว ชุดยาสามัญประจำบ้านให้แก่พี่น้องประชาชน การบริการตรวจโรคเบื้องต้น การให้บริการตัดผมชาย-หญิง และการแสดงเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุ ณ โรงเรียนวัดจอมทอง หมู่ที่ 5 ตำบลจอมทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี นางสุณี ไวกสิกรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ และผู้นำท้องถิ่น ให้การต้อนรับ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

“อลงกรณ์” ยกบนเพลงกราวกีฬาเตือนสติสังคมไทยรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยใจนักกีฬาพร้อมเขียนคำคม”จงต่อสู้เพื่อชัยชนะ แต่อย่าต่อสู้กับชัยชนะ

ในขณะที่สถานการณ์การเมืองกำลังร้อนแรงหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่
วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีอดีตส.ส.หลายสมัยและรักษาการรองหัวหน้าพรรคเขียนเฟสบุ๊คเรื่อง”สปิริตนักกีฬา Sportsmanship 

สปิริตกีฬา Spirit of sports”โดยนำเนื้อร้องและคลิปเพลงกราวกีฬามานำเสนอเพื่อเตือนสติสังคมไทย
ต่อเนื่องจากที่เขียนในเฟสบุ๊คก่อนหน้านี้เรื่อง สปิริตประชาธิปไตย Spirit of Democracyมีผู้เห็นด้วยอย่างมากต่อจุดยืนและแนวคิดในเรื่องดังกล่าว โดยมีข้อความดังนี้

“จงต่อสู้เพื่ออนาคต
แต่อย่าต่อสู้กับอนาคต

จงต่อสู้เพื่อชัยชนะ
แต่อย่าต่อสู้กับชัยชนะ

จงต่อสู้กับความพ่ายแพ้
แต่อย่าต่อสู้เพื่อความพ่ายแพ้

การต่อสู้มีแพ้มีชนะ
ฟังเพลงกราวกีฬา
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัยใจนักกีฬา

https://youtu.be/FLZQdgl5190

https://youtu.be/DhpXDosQbRg
“…. ..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง….

..ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว….”

เนื้อเพลง กราวกีฬา โดยเจ้าพระธรรมศักดิ์มนตรี
เพลงเก่ากว่า100ปีของเก่าดีๆควรรักษาไว้และใช้ประโยชน์จากสปิริตนักกีฬา สปิริตกีฬา

“พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.

( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา พวกเรานักกีฬา ใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหด อดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักที่หนีที่ไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า )

..ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว
ฮึม.ฮึม.ฮึม.ฮึม.
( กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮา-ไฮ ฮา-ไฮ
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่นกีฬาสากล
ตะละล้า ) กีฬา เป็นยาวิเศษ
แก้กองกิเลส
ทำตนให้เป็นคน
ผล ของการฝึกตน
เล่น กีฬาสากล
ตะละล้า ).”
อลงกรณ์ พลบุตร
15 มิถุนายน 2566


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top