Monday, 19 May 2025
NEWS

‘เอเอฟซี’ เตรียมแบน งดให้ไทยเป็นเจ้าภาพระดับนานาชาติ ทุกรายการแข่งขัน จากเหตุ ‘อุลตร้าส์ ไทยแลนด์’ จุดพลุแฟลร์ ป่วนสนาม

ควันหลงเกมชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ ไทย พ่าย เกาหลีใต้ 1-4 กระเด็นตกรอบ และชวดตั๋วไปลุยศึกชิงแชมป์โลก ที่อินโดนีเซียในช่วงปลายปีนี้ 

ปรากฎว่าหลังจบเกมที่ปทุมธานี สเตเดียม แฟนบอลกลุ่ม "อุลตร้าส์ ไทยแลนด์" เจ้าเดิม จุดพลุแฟลร์ พร้อมกับขว้างปาลงมาในสนาม ต่อหน้าเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือเอเอฟซี 

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเพิ่งจะโดนคาดโทษ และถูกปรับเงินจาก "เอเอฟซี" หลังมีการจุดพลุแฟลร์ในสนามหลายทัวร์นาเมนต์ แน่นอนว่าครั้งนี้จะถือเป็นความผิดซ้ำซาก และเตรียมรับบทลงโทษที่สูงกว่าการปรับเงิน 

จากการกระทำของแฟนบอลกลุ่มดังกล่าว อาจจะทำให้ประเทศไทยชวดเป็นเจ้าภาพในรายการระดับนานาชาติทุกรายการต่อจากนี้ 

ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่นักฟุตบอล และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช เดินไปขอบคุณแฟนบอล และเมื่อมีการจุดพลุแฟลร์นักฟุตบอล พร้อมทีมงาน เดินกลับไปยังห้องแต่งตัวทันที สร้างความไม่พอใจกับแฟนบอลกลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีการตะโกนต่อว่าน้องๆ นักเตะอีกด้วย

ผบ.ตร.พร้อม สมาคมแม่บ้านตำรวจ เร่งช่วยเหลือ สารวัตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขาดแคลนเงินส่งลูกเรียน ม.ดัง พร้อมนำเข้าโครงการแก้ไขหนี้สินการออม บริหารใช้เงิน กำชับผู้บังคับบัญชาทั่วประเทศดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ลูกน้องทุกมิติ

วันนี้ (26 มิ.ย. 66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า จากกรณีมีกระแสข่าวขอให้ช่วยเหลือสารวัตรที่มีปัญหาด้านการเงิน มีความลำบากในการส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโชเชียลนั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ตำรวจนายดังกล่าวคือ พ.ต.ท.วิริยะ  เจิมจำนงค์ สว.ฝอ.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีปัญหาทางการเงินจริง จากการค้ำประกันเงินกู้ตำรวจที่ถูกออกจากราชการและเสียชีวิต จนเป็นหนี้สิน สถานะครอบครัว ภรรยามีอาชีพค้าขาย มีบุตรสาว 1 คน  กำลังจะเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคณะวิศวกรรมศาสตร์(ไฟฟ้า)  ซึ่งบุตรสาวนายตำรวจผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีความขยันขันแข็ง ช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารกล่อง และในช่วงปิดเทอมยังทำถั่วเคลือบแก้ว ส่งตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาเงินมาจุนเจือความเป็นอยู่ในครอบครัวมาตลอด

พ.ต.ท.วิริยะฯ รับอัตราขั้นเงินเดือน ส.2  เงินเดือน 45,750 บาท จะต้องถูกหักสหกรณ์ตำรวจ 30,000 กว่า บาท  รวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในครอบครัว ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาชั้นต้น และเพื่อนร่วมงานก็ได้ช่วยเหลือด้านการเงินมาโดยตลอด   แต่ยังไม่เพียงพอ ประกอบกับบุตรสาวกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องใช้เงินอีกพอสมควร เกิดความเครียด  จึงมีการไปขอความเห็นใจจากที่ต่างๆจนเป็นข่าว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องแล้ว ได้ประสานคุณสุมนา กิติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าช่วยเหลือด่วนในส่วนของการให้ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายที่ทางสมาคมฯ ดำเนินการมาต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้น จะสามารถมอบทุนแก่บุตรข้าราชการตำรวจที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในระดับอุดมศึกษา ปีละ 40,000 บาท จำนวน 4 ปี หรือ 6 ปี ตามสาขาที่เรียน  ซึ่งในรายนี้ จะได้เข้าไปพูดคุยรายละเอียด เพื่อช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.จะเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก หากไม่เพียงพอ

ส่วน พ.ต.ท.วิริยะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำเข้าโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ เพื่อช่วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้  และทางสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะลงไปช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับการออม การบริหาร การใช้เงิน ตามโครงการ Money Management & Investment พร้อมกับช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำให้เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  โดยจะมีการเชิญ พ.ต.ท.วิริยะ ครอบครัวและบุตรสาว มาพูดคุยช่วยเหลือเยียวยาในวันนี้ช่วงบ่าย

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “การดูแลช่วยเหลือตำรวจและครอบครัวตำรวจเป็นนโยบายที่ดำเนินการมาต่อเนื่องของ ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือ มอบทุนมาตลอด  ส่วนตำรวจที่มีปัญหาหนี้สินจะนำเข้าสู่โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และ โครงการ Money Management & Investment ซึ่งสามารถช่วยเหลือ ปรับหนี้ได้หลายราย 

อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ให้สอดส่องดูแลความเป็นอยู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลสวัสดิการ ช่วยเหลือในทุกมิติ หากรายใดมีปัญหาสามารถร้องขอมาที่ ตร.ร่วมกันหาทางออก เพื่อช่วยกันดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตตำรวจให้ดีขึ้นไป สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล”

เปิดมุมมอง ‘นักธุรกิจจีน’ ยึดปรัชญา ซื่อสัตย์-ร่วมมือ มอง เทคโนโลยีเอไอ-หุ่นยนต์ กำลังเข้ามามีอิทธิพล เปลี่ยนชีวิตและธุรกิจ

เปิดมุมมอง “นักธุรกิจจีน” ผู้บริหารจากหลากหลายบริษัทชั้นนำร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ภูมิปัญญา แนวความคิดการทำธุรกิจ ในหัวข้อเสวนา “แนวความคิดและภูมิปัญญาการดำเนินธุรกิจของนักธุรกิจชาวจีน” ภายในงาน ประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention - WCEC) ครั้งที่ 16 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
คว้าโอกาสทอง ‘อาเซียน’

เกา เฉวียน ชิ่ง ประธานหอการค้าสิงคโปร์-จีน กล่าวว่า แนวการทำธุรกิจที่ดีต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ให้ความสำคัญกับคุณค่าของคน ภายใต้แนวคิดที่สอดคล้องไปกับปรัชญา ตำราพิชัยสงครามของจีน ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝน ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กล้าคิด มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ตอบแทนสังคม เพื่อทำให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุข

เช่นที่สิงคโปร์ที่วันนี้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากความซื่อสัตย์ การสร้างความไว้วางใจต่อลูกค้า คู่ค้า การตอบแทนสังคม รวมถึงความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ โดยแนวคิดดังกล่าวจะมีการสืบทอดและส่งต่อไปสู่คนรุ่นหลังต่อๆ ไป
“หากเรามีการสืบสานแนวคิดและยึดถือหลักการเช่นนี้ต่อไปจะสามารถเติบโตและคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ในอีกทางหนึ่งไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจ แต่เป็นรากฐานของการสร้างชาติและทำให้งานต่างๆ บรรลุตามวัตถุประสงค์ เชื่อว่าภูมิปัญญาที่ถูกต้องจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยสร้างความสำเร็จ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

ในยุคทองของการเติบโต ภูมิภาคอาเซียน ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ไว้วางใจ จับมือไปด้วยกันเพื่อเสริมจุดแข็ง แบ่งปันและคว้าโอกาสทองของการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค

นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจต้องมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ส่งเสริมให้ทุกกลุ่มทุกประเทศมีการพัฒนาที่สอดคล้องกันไป ลดความเหลื่อมล้ำ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างความเสมอภาค สร้างความปรองดอง ส่งเสริมให้นักธุรกิจจีนทั่วโลกร่วมมือกัน
สุดท้าย เสริมสร้างจิตวิญญาณในการสร้างนวัตกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านภูมิอากาศ ลดการใช้พลังงาน เดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายที่มีความชัดเจนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรมผลักดัน ‘แพทย์แผนจีน’ สู่สากล
หลี ฉู่ หยวน ประธานกรรมการ บริษัท กว่างโจวฟาร์มาซูติคอลกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จีนและไทยเป็นสองประเทศที่มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกันมาอย่างยาวนาน

สำหรับจีน ไทยนับเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและสานสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด กว่างโจวฟาร์มาซูติคอลเองให้ความสำคัญอย่างมากกับตลาดไทย และขณะนี้มีหลายผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาทำตลาด
อย่างไรก็ดี จากไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ต่างต้องรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ทุกฝ่ายมีการร่วมมือกัน นอกจากด้านการแพทย์ให้ความสำคัญกับปรัชญาการใช้ชีวิต เรื่องการมีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพ และมีความสุข

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการเผยแพร่การแพทย์แผนจีน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมแพทย์แผนปัจจุบัน โดยพยายามส่งเสริมให้เป็นสากลมากขึ้น ผ่านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมากกว่า 100 คน

มากกว่านั้น มีการสร้างการรับรู้ให้ตลาด โดยการสร้างศูนย์การเผยแพร่วัฒนธรรมในต่างประเทศ ทั้งมีการผลักดันโมเดลการรักษาสุขภาพรูปแบบใหม่ๆ เพื่อทำให้แพทย์แผนจีนกลายเป็นเทรนด์ระดับสากล

‘หัวเว่ย’ มุ่งสร้างคุณค่า ‘ธุรกิจ-สังคม’
เจย์ เฉิน ซีอีโอ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยุทธศาสตร์สำหรับการรับมือความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น คือความถูกต้องและความชอบธรรม เพื่อรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม

ด้วยหลักการนี้ ควรสะท้อนไปในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การวิจัย ค้นคว้า การผลิต การขาย บริการหลังการขาย เช่นที่หัวเว่ย ทุกธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ต้องเคารพกฎหมายของประเทศจีนและกฎหมายในประเทศที่ทำธุรกิจนั้น ๆ

นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับค่านิยมร่วม เพื่อตอบแทนสังคม การสร้างคุณค่าทั้งเชิงธุรกิจและสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ไม่ใช่แค่การทำรายได้ แต่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมโดยภาพรวมด้วยเทคโนโลยีไอซีที

หัวเว่ยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากว่า 30 ปี ที่ผ่านมามีความร่วมมือกับหลายภาคส่วนในหลากหลายมิติ ใช้เทคโนโลยีไอซีทีเพื่อสร้างโอกาส การจ้างงาน และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยมีมุมมองว่า ไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ แนวทางการทำงานให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่มีความถูกต้อง ชอบธรรม เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ สภาพภูมิอากาศ และตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกันเห็นถึงความสำคัญกับการมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาบุคคลากร สตาร์ตอัป ผลักดันการพัฒนาเชิงดิจิทัล
ก้าวสู่ยุคใหม่ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’

ฟัง อวิ่นโจว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด กล่าวว่า การเดินหน้าสู่ยุคแห่งรถยนต์พลังงานใหม่ ต้องมีการผสมผสานของพลังงานไฟฟ้า การเชื่อมต่อเครือข่าย และความอัจฉริยะ

โดยขณะนี้ นับว่ามีการเติบโตที่มากขึ้นและต่อเนื่อง โดยต่อไปจะไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ผสมผสานอินเทอร์เน็ต ภายใต้การผสมผสานของเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา
“การเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลและความอัจฉริยะ คือการผสมผสานและรวบรวมของทั้งพลังงาน พลังงานใหม่ การเดินทาง และเทคโนโลยี คาดว่าช่วงปี 2035-2045 จะเป็นการพัฒนาในช่วงหลัง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นว่ามีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบนิเวศรวมถึงโมเดลธุรกิจที่สมบูรณ์มากขึ้น”

เขากล่าวว่า เส้นทางนี้มีความกว้างอย่างมากและมีเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ลูกค้า นักลงทุน เป็นการยกระดับครั้งสำคัญที่ต้องมีการทำงานร่วมกัน เพื่อรวบรวมข้อมูล ประมวลผล มีการใช้เอไอมาควบคุม การเชื่อมต่อ ยกระดับความปลอดภัย การเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ส่วนของบริษัทเองเบื้องต้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในไทยได้ประมาณ 1.5 หมื่นคัน

 ‘เอไอ’ เปลี่ยนโฉมธุรกิจ-ชีวิต
หยวน ฮุย ประธานกรรมการ เสี่ยว อ้าย คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า วันนี้เทคโนโลยีเอไอรวมถึงหุ่นยนต์ กำลังเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากกับการทำงานและการใช้ชีวิตของมนุษย์
ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสของธุรกิจในแทบทุกอุตสาหกรรมที่จะนำมาปรับใช้ เพื่อพัฒนายกระดับการบริการ โดยที่ได้เห็นแล้วมีทั้งด้านการเงิน อสังหาริมทรัพย์ เฮลธ์แคร์ การดูแลสุขภาพ การนำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การออกแบบ สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนาประสบการณ์ผู้บริโภค รวมถึงการผสมผสานเมตาเวิร์สกับโลกความเป็นจริง

จากประสบการณ์ วันนี้ได้เห็นว่าธุรกิจต่างต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านความขัดแย้งระหว่างภูมิภาค อีกทางหนึ่งเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายที่ต่างต้องเผชิญ
ในภาวะที่เศรษฐกิจอยู่ช่วงขาลงและความท้าทายจำนวนมากดังกล่าว แนวคิดที่สำคัญของนักธุรกิจชาวจีนคือ การสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับทั้งตนเอง ครอบครัว สังคม เพื่อผลักดันให้เกิดอนาคตที่สดใสร่วมกัน

รวบสาวประเภทสอง รีดทรัพย์เหยื่อผ่านแอพหาคู่ เจ้าตัวอ้างเป็นแค่บัญชีม้า  ด้าน ”ผู้การจ๋อ” เตือนภัยกำลังแพร่ระบาดในโลกโซเชี่ยล 

วันที่ 26 มิถุนายน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. แถลงผลงาน นำทีมโดย พ.ต.อ.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง และ พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3ฯ  พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังชุดปฏิบัติการที่ 3/4 ร่วมกันจับกุม นายณัฐณิชา พุกเวชกิจ อายุ 27 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 100 ซอยบ้านบาตร ถนนบำรุงเมือง แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร  ข้อหารีดเอาทรัพย์ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1966/2566 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2566

พฤติการณ์ ผู้เสียหายได้พูดคุยกับคนร้ายผ่านแอพพลิเคชั่นหาคู่ เมื่อได้พูดคุยทำความรู้จักแล้วได้เปลี่ยนช่องทางการติดต่อ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้มีการถ่ายรูปตนเองติดอวัยวะเพศส่งไปให้คนร้าย หลังจากนั้น คนร้ายได้ข่มขู่ผู้เสียหายให้โอนเงินให้ ไม่เช่นนั้นจะทำการเปิดเผยภาพดังกล่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยความกลัวผู้เสียหายจึงโอนเงินไปให้ 4,000 บาท หลังจากนั้น คนร้ายได้มีการข่มขู่และขอให้โอนเงินเพิ่มให้อีกหลายครั้ง ผู้เสียหายจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน 
         
จากการซักถามผู้ต้องหาในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าได้ให้เพื่อนยืมบัญชีธนาคารของตนไปโดยตนไม่ทราบว่าเพื่อนนำบัญชีธนาคารไปก่อเหตุดังกล่าว
จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ กล่าวว่า ช่วงนี้มีคดีลักษณะดังกล่าวเป็นภัยร้ายสำหรับผู้ชายกำลังระบาดอย่างหนักในโลกโซเชี่ยลจนน่าตกใจ  สร้างความเดือดร้อนทางใจและต้องทนทุกข์จนเหยื่อหลายคนหาทางออกไม่ได้ ปัจจุบันมีผู้เสียหายหลายรายมาให้ข้อมูลผ่านทางเพจสืบนครบาล เราจะรักษาความลับ และเร่งดำเนินการปราบปราม สืบนครบาลขอให้กำลังใจท่านมีความกล้ามาให้ข้อมูล จงอย่ากลัว เพราะท่านจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนร้ายไปตลอด

ตำรวจไซเบอร์รวบเจ้าพ่อบัญชีม้า หลอกปั่นยอดไลก์แลกเงิน อึ้ง! พบเปิดกว่า 600 บัญชี

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สืบเนื่องจากคนร้ายได้หลอกลวงผู้เสียหายโดยเชิญชวนให้ทำธุรกิจโปรโมทสินค้าและโฆษณาเพื่อหารายได้พิเศษ ด้วยการกดไลก์/กดแชร์ เพิ่มยอดเข้าชม(ปั่นยอดวิว)และคอมเม้นสินค้าเพื่อรับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่น 20-30 เปอร์เซ็นต์ ตามภารกิจที่คนร้ายแจกจ่ายมาให้ โดยมีเงื่อนไขการทำงานจะต้องจ่ายเงินแรกเข้า และการจ่ายงานให้จะมากน้อยตามเงินลงทุน เมื่อเปิดบัญชีแล้ว คนร้ายจะจ่ายงานให้ โดยต้องเข้าไปชมยูทูป กดไลก์ กดแชร์ และส่งมอบงานเข้ามาในระบบ จึงจะได้รับผลตอบแทน

โดยครั้งแรก ผู้เสียหายเกิดความสนใจจึงได้ลองสมัครและโอนเงินไป 2,000 บาท จากนั้นระบบได้แจ้งให้เข้าไปกดไลก์กดติดตามสินค้าออนไลน์ เมื่อทำตามปรากฏว่าได้ค่าตอบแทนจริง จึงหลงเชื่อทำภารกิจต่อไปอีกหลายครั้ง และโอนเงินเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงภารกิจที่ 7 ปรากฏว่าไม่ได้เงินคืนโดยมิจฉาชีพอ้างว่าทำผิดกติกาและขอให้โอนเงินเพิ่มเพื่อถอนเงิน และต่อมายังถูกหลอกให้โอนเงินโดยอ้างเงื่อนไขต่างๆอีกหลายครั้ง จนผู้เสียหายโอไปทั้งสิ้น จำนวน 12 ครั้ง สูญเงินกว่า 3,171,249 บาท และจากการตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน พบว่าเกี่ยวข้องกับนายพลากร (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดสงขลา

กระทั่งเจ้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.2 ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ และได้สืบสวนทราบว่า นายพลากรฯ ถูกควบคุมตัวในคดีอื่นอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสงขลา จึงได้ทำหนังสือขออายัดตัวไว้ และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดสงขลา จึงเข้าทำการจับกุมตัว ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด” และส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สอบถามผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่รับว่าตนได้เปิดบัญชีธนาคารจำนวนมากเพื่อใช้สมัครเล่นพนันออนไลน์ และเพื่อขายให้ผู้อื่น จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่าผู้ต้องหาเคยเปิดบัญชีธนาคารแบบออนไลน์แล้วแล้วยกเลิกหลายครั้ง โดยปัจจุบัน มีบัญชีธนาคารที่ยังใช้งานได้และปิดไปแล้ว รวมทั้งสิ้นถึง 600 บัญชี

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, พ.ต.อ.ปกรณ์กิตติ์ ธนวรินทร์กุล ผกก.3 บก.สอท.2 ,พ.ต.ท.เอนก ยอดหมวก รอง ผกก.3 บก.สอท.2 ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 3 นําโดย พ.ต.ท.ศราวุธ ตะดวงดี สว.กก.3 บก.สอท.2  พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

เศรษฐีใจบุญ!! ครอบครัว “อริยะ” ถวายข้าวสาร กว่า 1,000 ถุง น้ำดื่ม เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด

ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายสมชาย เลิศอริยานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักรถขุด KOBELCO และรถบด SAKAI พร้อมศูนย์อะไหล่และศูนย์บริการครบวงจร 30 สาขา ทั่วประเทศไทย 

เดินทางพาครอบครัวเลิศอริยานันท์ เข้ากราบขอพรจากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมทั้งยังได้มอบข้าวสาร จำนวน 1,100 ถุง อีกทั้ง ยังได้มอบน้ำดื่ม จำนวน 1,100 แพค ตลอดจนทางครอบครัวเลิศอริยานันท์ยังได้มอบเงินทำบุญ อีกจำนวนกว่า 1 แสนบาท มอบให้กับท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้่ายวันเกิด 

ซึ่งได้รับความเมตตาจากท่าน  พระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ  เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์ ชัยมงคลคาถา พร้อมทั้งประพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวเลิศอริยานันท์อีกด้วย

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

เครือข่ายผู้ป่วยยื่นหนังสือ สปสช. บรรจุยาใหม่ 7 รายการ เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้บกพร่องทางจิต

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสื่อ สปสช. บรรจุยาใหม่ 7 รายการ เป็นสิทธิประโยชน์บัตรทอง 30 บาท ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้บกพร้องทางจิต ด้านเลขาธิการ สปสช. เผย เตรียมทำหนังสือประสาน คกก.พัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เหตุเป็นกลุ่มยาที่ยังไม่ขึ้นบัญชียาหลักฯ พร้อมหนุนสร้างเครือข่ายเชิงรุก ค้นหาผู้บกพร่องทางจิตในชุมชน และขยายเครือข่ายผู้ป่วย “เพื่อนช่วยเพื่อน”   

ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) - เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. และ ผศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการ สปสช. ได้รับยื่นหนังสือร้องเรียน “กรณีการเข้าไม่ถึงยาของผู้ป่วยจิตเวช” ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จาก นางนุชจารี คล้ายสุวรรณ นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนและผู้ปกครองของผู้ป่วยประมาณ 20 คน 

นางนุชจารี กล่าวว่า สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตฯ เป็นองค์การของคนพิการระดับประเทศ และเป็น 1 ใน 7 ขององค์การคนพิการตามกฎหมาย จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การปรึกษาและช่วยเหลือผู้บกพร่องทางจิต และครอบครัวให้สามารถดำเนินชีวิตอิสระในสังคมได้ รวมทั้งพิทักษ์สิทธิในด้านต่างๆ ของผู้บกพร่องทางจิตและครอบครัว พร้อมประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการวิจัยเพื่อป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ ทางการศึกษา ทางสังคม และทางอาชีพแก่ผู้บกพร่องทางจิต ส่งเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีให้กับสมาชิกและสังคม โดยสมาคมฯ มีชมรมเครือข่าย 154 ชมรม กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลา 20 ปี ได้ช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตให้สามารถกลับมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เป็นภาระของใคร อย่างไรก็ตามแม้ว่าภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จะได้มีสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการรักษาผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางจิตแล้ว ทั้งในด้านของยาจิตเวชและการรักษาพยาบาล แต่ด้วยปัจจุบันมียาจิตเวชรายการใหม่ที่มีคุณภาพและมีผลข้างเคียงน้อย แต่ยังไม่ได้บรรจุในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงยา จึงได้มายื่นหนังสือต่อ สปสช. ในวันนี้ เพื่อขอให้ผลักดันยาเหล่านี้และบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง 30 บาท เป็นการดูแลให้ผู้ป่วยจิตเวชทั่วประเทศได้เข้าถึงยาที่มีคุณภาพและประสิทธิผล ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับรายการยาจิตเวช มี 7 รายการ ดังนี้ 

1.Escitalopram ใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีประสิทธิภาพ ลดภาวะการเกิดยาไม่เข้ากัน (Drug interactions) 2.Venlafaxine ดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้ารุนแรง เป็นยาต้านเศร้ากลุ่มใหม่ ให้ผลการรักษาที่ดี 3.Aripiprazole สำหรับเด็กออทิสติก เพิ่มทางเลือกยารักษาที่ช่วยลดผลข้างเคียง 4.Paliperidone inj. ยาดูแลผู้ป่วยจิตเภท เป็นยาจิตเวชกลุ่มใหม่ ควบคุมอาการทางจิตได้ดี 5.Olanzanpine tablet. เพิ่มข้อบ่งชี้ใช้รักษาเรื่องจิตเวช 6.Long acting methylphenidate ดูแลกลุ่มเด็กสมาธิสั้น ออกฤทธิ์ระยะยาว ลดการกินยา และ 7.Long acting Aripiprazole inj. สำหรับผู้ป่วยจิตเภทและอารมณ์แปรปรวน ไม่มีผลข้างเคียงและมีความปลอดภัยสูง 

“ผู้ป่วยกลุ่มนี้ด้วยกลไกสาธารณสุขและสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้ให้การดูแลที่ดีอยู่แล้ว เพียงยังมียาบางตัวที่ผู้ป่วยได้รับแตกต่างกัน โดยผู้ป่วยที่มีฐานะยากจนยังเข้าไม่ถึงยาที่มีประสิทธิผลและผลข้างเคียงน้อย ด้วยราคาแพงจึงไม่มีสิทธิเข้าถึง ทั้งนี้ย้ำว่า การดำเนินการของสมาคมฯ เราไม่ได้ทำเพื่อผู้ป่วยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เราทำเพื่อผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางจิตทั่วประเทศ” นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิต กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช. มีความยินดีในการรับเรื่องนี้ และพร้อมที่ผลักดันเพื่อให้ผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ได้รับการรักษาที่ดีอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน โดยที่ผ่านมา สปสช. ได้มีการดำเนินการบรรจุเพิ่มสิทธิประโยชน์รายการยาใหม่อย่างต่อเนื่อง และจากรายการยาทั้ง 7 รายการ ที่ทางสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทยได้นำเสนอในวันนี้ ด้วยเป็นยาที่ยังไม่ได้ขึ้นบัญชียาหลักแห่งชาติ ดังนั้น สปสช. จะต้องทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติก่อนว่า ได้มีการพิจารณายาเหล่านี้ไปแล้วหรือไม่ ซึ่งอาจอยู่ระหว่างดำเนินการ

อย่างไรก็ตามจากข้อมูล ด้วยสมาคมฯ มีเครือข่ายชมรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศถึง 154 ชมรม มองว่าสามารถเข้ามาร่วมทำงานเชิงรุก พัฒนามาเป็นหน่วยบริการในระบบในการค้นหาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตได้ โดยประสานกับทางกรมสุขภาพจิต เป็นการทำงานป้องกัน ส่วนกรณีผู้ป่วยที่มีภาวะทางจิตแล้ว สปสช. จะประสานกับสมาคมฯ ในการรุกสร้างกลไก “เพื่อนช่วยเพื่อน” ซึ่งเป็นหลักการของมิตรภาพบำบัดที่ สปสช.สนับสนุนเครือข่ายผู้ป่วยในการต่อยอดการดูแลเพื่อให้เกิดเครือข่ายที่เข้มแข็งต่อไป และสำหรับเครือข่ายผู้ป่วยการบกพร่องทางจิตนี้ สปสช. พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  
1.สายด่วน สปสช. 1330 
2.ช่องทางออนไลน์
• ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
• Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
• ไลน์ Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิก https://lin.ee/nwxfnHw

แจกทานร่วมแสน!! พิธีอุปสมบทลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นคนดังบางพลี ”จิรายุ รุ่งเรือง”

ครอบครัวนักการเมืองท้องถิ่นคนดังของอำเภอบางพลี ตระกูลรุ่งเรือง จัดพิธีอุปสมบทให้กับลูกชาย นายจิรายุ รุ่งเรือง หรือนาคจิรายุ บุตรชายของ ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ เข้าพิธีอุปสมบททดแทนคุณบิดา มารดา และศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

นำโดย นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ นางเจียม รุ่งเรือง อดีต สจ.สมุทรปราการ พร้อมด้วย ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ อดีต รอง.ผบก.ชลบุรี ตลอดจนญาติสนิทของทางครอบครัวรุ่งเรืองร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการอุปสมบทในครั้งนี้ ยังได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณพระพรหมวชิราธิบดี อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นพระอุปัชฌาย์ในการอุปสมบท   

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเข้าศึกษาหลักธรรมคำสอน ศึกษาพระธรรมวินัย อยู่ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง เป็นระยะเวลา15 วัน เพื่อทดแทนคุณบิดา-มารดา ต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ได้รับการจัดอันดับที่ 19 ถนนที่สวยที่สุดในโลก

เฟซบุ๊ก ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี PMOC ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับการจัดอันดับที่ 19 ถนนที่สวยที่สุดในโลก โดยมีใจความว่า ...
.
ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ได้รับการจัดอันดับที่ 19 ถนนที่สวยที่สุดในโลก (The World’s 20 Most Beautiful Streets) จาก Seasia.Stats สนับสนุนการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่า โดยคงคุณค่ารากเหง้าทางประวัติศาสตร์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ เว็บไซต์ยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวอย่าง Seasia.Stats ได้จัดอันดับให้ ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ต ได้อันดับที่ 19

โดยเป็นการเผยแพร่ผ่าน Facebook ของ Seasia.Stats (https://www.facebook.com/photo/?fbid=287214243650434&set=pcb.287214280317097) เชื่อมั่นในความสวยงามทั้งทางธรรมชาติ สิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมประเพณีของไทย 

การจัดอันดับ The World’s 20 Most Beautiful Streets ในครั้งนี้ดูจากรูปแบบรายละเอียดสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และความผสมผสานของสีสันและมนต์เสน่ห์ที่ลงตัว ซึ่งซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จังหวัดภูเก็ตที่ได้อันดับที่ 19 ของการจัดอันดับถนนที่สวยที่สุดในโลก เนื่องจากซอยรมณีย์เป็นที่ตั้งของตึก และอาคารเก่าศิลปะชิโนโปรตุกีส (Sino-Portuguese) ที่เป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมของโปรตุเกสและจีน เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของศิลปะแบบภูเก็ต โดยความเก่าแก่ของตึกจะให้อารมณ์คลาสสิคและย้อนยุค ในปัจจุบันถนนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก เกสต์เฮาส์ รวมถึงที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นสถานที่ที่สวยงามมีเอกลักษณ์ และความโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต

โดย 5 อันดับแรกของถนนที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก ได้แก่ 1. ถนน Symi Harbour เมือง Livadia ประเทศกรีซ 2. ถนน Acorn เมือง Boston สหรัฐอเมริกา 3. ถนน Bo-Kaap เมือง Cape Town ประเทศแอฟริกาใต้ 4. ถนน Callejon El Asri เมือง Chefchaouen ประเทศโมร็อกโก และ 5. ถนน Rua Luis de Camoes เมือง Agueda ประเทศโปรตุเกส

นายกรัฐมนตรี ยินดีถึงการจัดอันดับถนนที่สวยที่สุดของโลกในครั้งนี้ แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ และการผสมผสานอย่างลงตัวของความเป็นตะวันตกและตะวันออก โดยรัฐบาลมีนโยบายด้านการพัฒนาควบคู่กับการอนุรักษ์พื้นที่เพื่อคงความสวยงามและความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในความสวยงามของประเทศไทย และรัฐบาลจะสืบสาน รักษา อนุรักษ์ความสวยงาม รวมทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศให้คงอยู่สืบไป

 

‘สนธิ’ แจง ปฏิบัติการ 10 ข้อ เพื่อนำไปสู่ การแบ่งแยกดินแดน ยกตัวอย่างการประท้วงในฮ่องกง สู่การพยายามเปลี่ยนแปลงใน ‘ปาตานี’ 

นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ก่อตั้งในเครือผู้จัดการ และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้จัดรายการ สนธิทอล์ค เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2566 เล่าถึง การพยายามแบ่งแยกดินแดนของ ‘ปาตานี’ ยกตัวอย่างอ้างอิงจาก ฮ่องกงโมเดล โดยนายสนธิ ได้เล่าว่า ...

ฮ่องกงโมเดล คือตัวอย่างที่บุคคลบางกลุ่ม สมคบคิดกับคนต่างชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการปกครองเป็นการขายชาติ แต่ชูป้ายว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งถึงณปัจจุบันนี้ ฮ่องกงโมเดลได้อวสานไปแล้ว เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง เป็นเหตุให้ประเทศเจ้าแห่งอาณานิคม จำเป็นต้องย้ายฐานปฏิบัติการจะให้บุคลากรต่างๆ มาที่ประเทศไทย เพื่อจะผลักดันปาตานีโมเดล เพื่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของไทย ซึ่งเนื้อหาในการปฏิบัติการเพื่อแบ่งแยกดินแดนนั้นสรุปได้ 10 ประการดังนี้

ข้อที่ 1 เขียนประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ให้แตกต่างกัน เพื่อเป็นการแบ่งแยกผู้คนออกจากกัน ใช้วัฒนธรรมมาอ้างเพื่อแบ่งแยกทางอัตลักษณ์

ข้อที่ 2 อ้างค่านิยมสากล สร้างความเชื่อว่า เป็นค่านิยมที่ต้องยึดถือเช่น ประชาธิปไตยทุนนิยมเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม

ข้อที่ 3 สร้างประวัติศาสตร์ว่าถูกกดขี่ ไม่เท่าเทียม

ข้อที่ 4 เรียกร้องโดยไม่สนใจหลักการใดๆทั้งสิ้น

ข้อที่ 5 ขยายผลจากการขับไล่ผู้นำไปสู่การเรียกร้องเอกราช

ข้อที่ 6 สร้างแนวร่วมนักการเมือง NGO สื่อมวลชน

ข้อที่ 7 การสร้างฮีโร่ในการเคลื่อนไหว ฮีโร่ผู้กล้าหาญที่จะท้าทายผู้มีอำนาจ เหมือนกับเพนกวินเหมือนกับรุ้ง แล้วลงไปสู่ในระดับเด็ก อย่างตะวัน หรือหยกและอีกหลายๆคน ยิ่งถ้าเป็นเด็กก็ยิ่งดีถ้าถูกมาตรการปราบปรามจากภาครัฐก็จะมองได้ว่าเป็นการที่ผู้ใหญ่รังแกเด็ก เป็นสงครามระหว่างรุ่นสร้างกระแสได้ว่าให้มันจบที่รุ่นเรา

ข้อที่ 8 มีการสร้างสัญลักษณ์ร่วม เพื่อให้สื่อมวลชนและสังคมจดจำได้อย่างง่ายดาย เช่นสีเสื้อ การสวมเสื้อสีดำการกางร่มสีเหลือง การปฏิวัติร่มในประเทศฮ่องกง การใช้สัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว

ข้อที่ 9 การสร้างเครือข่ายเคลื่อนไหวในระดับสากล การเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันมิได้กำหนดจำกัดอยู่แค่ภายในประเทศของตัวเองเท่านั้น แต่ประเทศที่หนุนหลังนั้นก็ได้ขยายการเคลื่อนไหวไปสู่ประเทศอื่นๆด้วย โดยอ้างพาราดอนภาพหรือความเป็นพี่เป็นน้องกัน

ข้อที่ 10 สร้างความชอบธรรมโดยการสนับสนุนของต่างชาติ เป็นการเปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงในการภายในของประเทศ

ตำรวจไซเบอร์ เปิดเผย 10 อันดับ สินทรัพย์ที่มิจฉาชีพมักนำมาแอบอ้างหลอกลวงให้ลงทุน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ในปัจจุบันกระแสความนิยมในการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่มิจฉาชีพฉวยโอกาสเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์หลอกลวงเอาทรัพย์สินของประชาชนโดยมิชอบ ทำให้ที่ผ่านมามีประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก

โดยนับตั้งแต่การเปิดศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.65 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์กว่า 23,200 ราย สูงเป็นลำดับที่ 4 หรือคิดเป็น 8.3% ของจำนวนเรื่องที่ได้รับแจ้งความทั้งหมด แต่กลับพบว่ามีมูลค่าความเสียหายกว่า 11,200 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นลำดับที่ 1 หรือคิดเป็น 28.72 % จากมูลค่าความเสียหายรวมของการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ โดยมิจฉาชีพมักจะใช้วิธีการสร้างเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ปลอม นำเสนอข้อมูล ตัดต่อ คัดลอก ภาพบุคคลที่มีชื่อเสียง องค์กรหรือบริษัทที่น่าเชื่อถือ ประกาศโฆษณาชักชวนบุคคลทั่วไปให้มาลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ มีการันตีจะได้รับผลตอบแทนสูงในเวลาอันรวดเร็ว ใช้คำโฆษณาที่สวยหรู เช่น เป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุน เพื่ออนาคตที่ดีกว่า กล้าคิด กล้าลงทุน เพียงแค่เปิดใจ เป็นต้น

รวมถึงใช้การเทคนิคการซื้อโฆษณาเพื่อง่ายต่อการเข้าถึงเป้าหมาย และในระหว่างนั้นเหยื่อจะได้พูดคุยกับบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน พูดคุย โน้มน้าวใช้จิตวิทยาล่อลวงให้เหยื่อลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ท้ายที่สุดอ้างว่าเหยื่อทำผิดกฎต่างๆ ทำให้ไม่สามารถถอนเงินจากระบบได้ นอกจากนี้แล้วการลงทุนนั้นอาจจะเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยมิจฉาชีพจะใช้วิธีการสร้างภาพว่าตน หรือธุรกิจของตนประสบความสำเร็จ ซึ่งในช่วงแรกเหยื่อก็จะได้รับผลตอบแทนจริงตามที่กล่าวอ้าง จากนั้นเหยื่อจะเกิดความโลภลงทุนเพิ่มเป็นจำนวนมาก และยังไปชวนบุคคลอื่นมาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งมิจฉาชีพก็นำเงินมาหมุนจ่ายค่าตอบแทนแก่สมาชิกอื่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีจำนวนสมาชิก และเงินลงทุนเป็นจำนวนมากแล้ว ก็จะหลบหนีไป รวมไปถึงการเข้าหาเหยื่อด้วยแอปพลิเคชันหาคู่ และใช้คำหวานโรแมนติกหลอกลวงเหยื่อ ทั้งนี้ที่ผ่านมามักจะพบสินทรัพย์ที่มิจฉาชีพนำมาหลอกลวงลงทุน ดังนี้

1.สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ฝากซื้อขายเหรียญในเว็บไซต์ปลอม หลอกให้ลงทุนซื้อเหรียญสกุลใหม่ๆ แต่สุดท้ายไม่ได้เข้าตลาดซื้อขาย ธุรกิจการขุดเหมืองสกุลเงินดิจิทัล หรือการเช่าหรือซื้อกำลังขุดสกุลเงินดิจิทัล (Cloud Mining)
2.อัตราแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ (Forex) หลอกลงทุนเก็งกำไร
3.ทองคำ เพชร
4.หุ้นต่างประเทศ
5.หุ้น กองทุนรวม ในประเทศ เช่น Amata, Gulf, PTT, CPALL, บางจาก, AOT เป็นต้น
6.อสังหาริมทรัพย์
7.สินค้าอุปโภค เช่น คดีลงทุนฟาร์มเห็ด Turtle Farm, คดีลงทุนผักผลไม้ตลาดสี่มุมเมือง
8.ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เช่น คดี พรีมายา (Primaya)
9.โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล
10.ลงทุนเล่นการพนันออนไลน์

บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนให้ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ

โฆษก บช.สอท. กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมาก็พบการกระทำความผิดในลักษณะของการหลอกลวงให้ลงทุน ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง วิธีการที่มิจฉาชีพนำมาใช้ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เพียงแต่เปลี่ยนเรื่องราวไปตามกระแสความสนใจของสังคมในปัจจุบัน โดยอาศัยความไม่รู้ และความโลภของประชาชนเป็นเครื่องมือ มักแอบอ้างภาพ หรือชื่อ ก.ล.ต. หรือหน่วยงาน บริษัท บุคคลที่มีชื่อเสียงในการโฆษณาชวนเชื่อ หรือการปลอมแปลงใบอนุญาต อ้างหรือตั้งชื่อให้ใกล้เคียงกับบริษัทที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และในปัจจุบันมิจฉาชีพสามารถเข้าถึงเหยื่อได้ง่ายมากยิ่ง ทำให้การหลอกลวงสามารถทำได้หลากรูปแบบ และหลายช่องทางมากขึ้น รวมไปถึงมิจฉาชีพก็มักจะสร้างความน่าเชื่อถือปิดช่องโหว่มากขึ้น เนื่องจากประชาชนเริ่มรู้เท่าทันจากการเตือนภัยออนไลน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ
ทั้งนี้ ขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดังนี้

1.ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ โดยการตรวจสอบว่าเว็บไซต์เปิดมานานเท่าใดแล้ว บริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือมักมีการลงทะเบียนโดเมนแบบไม่ระบุตัวตน หรือตรวจสอบตัวตนได้ยาก โดยสามารถตรวจสอบการจดทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ต่างๆ เช่น https://checkdomain.thaiware.com เป็นต้น
2.ระมัดระวังการชักชวนจากคนที่เพิ่งรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า หรือเป็นคนต่างชาติหน้าตาดี ที่เข้ามาตีสนิทแล้วชวนให้ลงทุนบนแพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชันต่างประเทศ อ้างว่าลงทุนแล้วได้ผลกำไรสูง การันตีผลกำไรแน่นอน
3.มิจฉาชีพมักอ้างว่ารู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน โดยบุคคลที่มักนำรูปและชื่อมาแอบอ้างนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงหรือมีความรู้ด้านการลงทุน พร้อมสร้างเว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกลวงเหยื่อ
5.ตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้บริษัทว่านำเงินจากไหนมาจ่ายให้ผู้ลงทุน
6.ตรวจสอบข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ว่าบริษัทมีการกล่าวถึงการหลอกลวงหรือไม่ มีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด
7.ผลตอบแทนที่ได้รับมีความสมเหตุสมผลหรือไม่ เช่น การันตีให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น รับประกันผลการตอบแทนการลงทุน
8.ไม่โอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของบุคคลธรรมดา เสี่ยงเป็นบัญชีของมิจฉาชีพหรือบัญชีม้ารับโอนเงิน
9.หลีกเลี่ยงการลงทุนหรือข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นไปได้ พึงระลึกไว้เสมอว่า “ ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย โดยเฉพาะเรื่องเงิน ” และ “ การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ ”
10.ตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ได้ที่ www.sec.or.th/seccheckfirst

ตร.ไซเบอร์รวบขบวนการหลอกให้กู้เงินออนไลน์ หลอกพระโอนเงิน 15 ครั้ง เสียหายกว่า 4 แสนบาท

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สืบเนื่องจากผู้เสียหาย(พระ) ต้องการจะกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ให้กับโยมแม่ โดยเข้าไปค้นหาใน Google พบบริการสินเชื่อออนไลน์ ผู้เสียหายได้คลิกเข้าไปลงทะเบียนเพื่อขอกู้เงิน ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายแอดไลน์ เพื่อคุยข้อความทางไลน์และถามว่าผู้เสียหายต้องการเงินเท่าไร หลังจากนั้นคนร้ายได้ส่งลิงก์ Eagleloan (rabbit.xyz) (http://b10.rabbitlon.xyz#/register) มาให้ผู้เสียหายเข้าไปสมัครในแพลตฟอร์มดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายสมัครในแพลตฟอร์มดังกล่าวเสร็จแล้ว มีข้อความเข้าว่าได้รับอนุมัติ โดยแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นผู้กู้รายใหม่ยังไม่มีประวัติการกู้กับทางบริษัทฯ คนร้ายจึงได้ส่งบัญชีธนาคารที่คนร้ายกับพวกเปิดไว้จำนวน 6 บัญชี มาให้ผู้เสียหายต้องชำระค่าบริการต่างๆ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้ทำการโอนไป จำนวน 15 ครั้ง

รวมเป็นเงิน จำนวน 408,723 บาท หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ทำการขอถอนเงินคืน ผู้ต้องหาได้แจ้งว่าต้องฝากเงินเข้าไปอีก ผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.2
รวมมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 408,723 บาท

ต่อมาศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 6 คน ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอหมายจับ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.2 ได้ออกสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ ดังนี้

1. นายฐิติวัชร ชาวอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.66          

2. นายเอกภิเชฐ ชาวอำเภอหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66

ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และโดยทุจริตหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด"

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองราย ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึกการจับกุม และนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.2 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.จักรกฤช ศรีโรจนากูร ผกก.2 บก.สอท.2 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจเพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ

วันนี้ 26 มิ.ย.66 ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ในระหว่างวันที่ 19 มิ.ย.66 ถึง 8 ก.ค.66 รวม 20 วัน โดยมีข้าราชตำรวจจากทั่วประเทศสมัครใจเข้าร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ จำนวน 38 นาย และประชาชน จำนวน 10 คน 
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.66 ระหว่างเวลา 16.30 ถึง 18.00 น. มีการประกอบพิธี
ถวายราชสักการะ พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชนาค พิธีมอบบาตรและผ้าไตร ณ มณฑลพิธีลานพระศรีมหาโพธิ์   และพิธีบรรพชาอุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร  

โดยมี พล.ต.ท.ธัชชัย  ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีฯ ภายหลังการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว
จะศึกษาพระปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
​การจัดโครงการอุปสมบทหมู่ฯ

ในครั้งนี้  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  มุ่งหวังเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้ร่วมแสดงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา รวมถึงเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้บำเพ็ญคุณงามความดี  ถือเป็นโอกาสที่จะได้เสริมสร้าง คุณธรรม จริยธรรม พัฒนากล่อมเกลาจิตใจ  ซึ่งก่อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไป

‘ดร. หิมาลัย’ ชี้ ‘หยก’ ยังมีทางเลือก หากไม่อยากใส่เครื่องแบบ แนะให้เรียน กศน.- Home School

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 66 ดร. หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เล่าถึงประเด็น เสรีภาพทางการศึกษา ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร. หิมาลัย’ โดยระบุว่า…

เรื่องของเสรีภาพในสถานศึกษา ซึ่งนำเอาน้องหยกมาเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเราก็จะรู้จักเขาในมุมของนักต่อสู้ ที่แสดงออกตามความเชื่อความคิดของตัวเอง ที่โดดเด่นที่สุดก็คือการต่อสู้ในการเรียกร้องเพื่อการต่อต้านมาตรา 112 น้องหยกมีการต่อสู้ที่ชัดเจนและรุนแรง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว

สำหรับเรื่องสิทธิเสรีภาพในโรงเรียน ซึ่งน้องหยกย้อมผมไปเรียนแต่งตัวไปรเวทตามสบายไปเรียน และเลือกเข้าเรียนเฉพาะวิชาที่ตัวเองชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ที่น้องหยกกำลังเรียกร้องนั้นมันมีความถูกต้องหรือว่ามีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน ในปี 2559 นั้นเคยมีงานวิจัย ซึ่งทำการวิจัยในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา มีการทำวิจัยว่าการแต่งเครื่องแบบนักเรียนนั้นมีผลต่อการเรียนอย่างไร ซึ่งก็ได้ผลออกมาว่าการแต่งเครื่องแบบนักเรียนนั้นจะเพิ่ม การเข้าเรียนของนักเรียนในระดับชั้นมัธยม ในขณะเดียวกันนั้นก็เพิ่มการอยู่ในห้องเรียนของครูในระดับประถม นักเรียนเมื่อใส่เครื่องแบบนักเรียนแล้วจะมีการเข้าเรียนที่ตรงเวลามากขึ้น การตั้งใจเรียนก็มีมากขึ้นและการส่งเสียงรบกวนในห้องเรียนนั้นก็มีน้อยลง เครื่องแบบนักเรียนนั้น เป็นแบรนด์เนมที่ราคาถูกที่สุดในโลก การใส่เครื่องแบบ นักเรียนนั้นจะได้รับความเอาใจใส่จากบุคคลรอบข้าง เมื่อใส่เครื่องแบบนักเรียนแล้วสังคมรอบข้างจะช่วยกันดูแล สังเกตได้ว่าเมื่อใส่เครื่องแบบนักเรียนแล้วและมีปัญหา ก็จะมีผู้ใหญ่เข้ามาถามว่ามีปัญหาอะไรมีอะไรให้ช่วยหรือไม่

ถ้าเราไม่อยากใส่เครื่องแบบนักเรียนนั้นเราก็ยังมีทางเลือกเช่นการเรียน กศน. การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งเราไม่ต้องแต่งเครื่องแบบเลย ก็แค่แต่งชุดให้สุภาพในการเข้าห้องสอบ หรือเลือกเรียนในระบบ Home School ทางเลือกเหล่านี้น้องหยกก็สามารถเลือกที่จะเรียนได้

เรื่องของหยกนั้น ยังมีกรณีเรื่องของผู้ปกครองอีกด้วย ซึ่งถ้าบุคคลที่อ้างตัวเป็นผู้ปกครองของน้องหยกนั้นไม่ใช่ผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมายการมอบตัวของน้องหยกก็ย่อมจะ ไม่ถูกต้องตามไปด้วย

‘อ.เจษฎ์’ คาดต้นเหตุสลด โรงเรียนดังย่านนางเลิ้ง ขณะซ้อมดับเพลิง บรรจุแก๊สเพิ่ม-วางตากแดด-ไม่มีวาล์วเซฟตี้

กรณีเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.66 เวลา 11.22 น. เกิดเหตุระเบิดในโรงเรียนมัธยมชื่อดัง ย่านนางเลิ้ง เบื้องต้นมีนักเรียนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

โดยมีรายงานว่า ทางโรงเรียนได้เชิญเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามเสนมา ทำการซักซ้อมการควบคุมเพลิง พร้อมวิธีการอพยพให้กับเด็กนักเรียน ระหว่างที่เจ้าหน้าที่เปิดแก๊สถังขนาด 20 กก. และทำการจุดไฟเพื่อสาธิตวิธีการดับไฟเบื้องต้น แก๊สได้รั่วไหลออกมาจนเป็นเหตุให้ระเบิดจนทำให้ผู้เสียชีวิตกระเด็นไปไกลกว่า 10 เมตร ขณะที่เจ้าหน้าที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นวิทยากร ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน

ต่อมา อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ระบุข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของเหตุถังดับเพลิงระเบิด คาดว่า เป็นเพราะถังดังกล่าวถูกนำไปบรรจุแก๊สเพิ่ม และวางตากแดดเป็นเวลานานจนอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ทำให้แรงดันขยายตัวและระเบิด เนื่องจากไม่มีวาล์วเซฟตี้ติดตั้งอยู่ครับ
พร้อมแนะนำเรื่องการเก็บรักษาดูแลถังดับเพลิง ดังนี้

หลีกเลี่ยงการติดตั้งไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง มีความชื้นสูง หรือเกิดความสกปรกได้ง่าย เช่น ตากแดด ตากฝน หรือติดตั้งใกล้จุดกำเนิดความร้อนต่างๆ เช่น เตาไฟ หรือเครื่องจักรที่มีความร้อนสูง
ทำความสะอาดตัวถัง และอุปกรณ์(สายฉีด, หัวฉีด) เป็นประจำเพื่อตรวจดูสภาพตัวถังและอุปกรณ์อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และมีสภาพใหม่อยู่เสมอ

หากเป็นเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง ควรยกถังพลิกคว่ำ-หงาย ประมาณ5-6ครั้ง ทุกๆ3-6เดือน เพื่อให้ผงเคมีมีการเคลื่อนตัวและไม่จับตัวเป็นก้อน
เครื่องดับเพลิงที่มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป ควรส่งมาตรวจสอบที่บริษัทเพื่อตรวจเช็คสภาพของตัวเครื่องและทำการถ่ายเคมีออกและบรรจุใหม่

ถ้าแรงดันในถังเกิน (OVERCHARGE) สูงกว่าแรงดันปกติ (195 psi)สภาพถังอาจจะบวมหรือแตกออก หากแรงดันขึ้นสูงเกิน 1000psi อาจทำให้เกิดอันตรายเนื่องจากถังอาจระเบิดได้!!! ควรติดต่อบริษัทให้ดำเนินการแก้ไขโดยด่วน หมายเหตุ:
เครื่องดับเพลิงชนิด CO2 จะไม่มีมาตรวัดแรงดัน ผู้ใช้สามารถตรวจวัดก๊าซ ภายในถังได้โดย วิธีชั่งน้ำหนัก หากน้ำหนักก๊าสภายในถังลดลงต่ำกว่า80 % ควรติดต่อบริษัทเพื่อทำการดำเนินการบรรจุใหม่ในทันที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top