Monday, 13 May 2024
NEWS

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เร่งแก้ประวัติอาชญากร “ลบประวัติ ล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน”พร้อมแถลงผลการปรับปรุงระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 การพิมพ์ลายนิ้วมือ พ.ศ. 2566

ด้วยปรากฎว่าปัจจุบันสังคมให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบประวัติของบุคคลมากขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งภาครัฐ และเอกชน มีความต้องการบุคคลที่ปราศจากประวัติอาชญากรรมเข้าทำงานในองค์กร/บริษัทของตน จึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ซึ่งประชาชนต้องแสดงผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมประกอบในการสมัครงานด้วย ประชาชนซึ่งเคยมีประวัติถูกฟ้องคดีอาญา แต่ศาลยกฟ้อง จะยังมีประวัติอาชญากรรมอยู่ในฐานข้อมูลของกองทะเบียนประวัติอาชญากร ทำให้อาจถูกตัดสิทธิ์ ไม่ได้รับการพิจารณาเข้าทำงาน ขาดโอกาสในการกลับไปใช้ชีวิตใหม่เฉกเช่นประชาชนคนอื่น 

ในการนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เล็งเห็นความสำคัญของเรื่องดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรเร่งศึกษาและแก้ไขระเบียบฯ ในเรื่องดังกล่าว เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้ในสังคม  และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านการทะเบียนประวัติอาชญากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเร่งด่วน โดยล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประกาศใช้ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 การพิมพ์ลายนิ้วมือ พ.ศ. 2566 แล้ว เมื่อ 27 เมษายน 2566 ซึ่งปัจจุบันระเบียบฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อ 27 พฤษภาคม 2566 


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เดิมตามระเบียบการปฏิบัติของตำรวจนั้นได้กำหนดให้นำข้อมูลและลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหามาจัดเก็บลงในฐานข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรไว้ก่อน แม้ต่อมาพนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ก็ไม่ได้นำรายชื่อของผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นออกจากทะเบียนประวัติอาชญากรโดยอัตโนมัติ แต่สถานีตำรวจเจ้าของคดีต้องรายงานผลคดีมายังกองทะเบียนประวัติอาชญากรเพื่อคัดชื่อออก ซึ่งทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงได้มีการจัดทำโครงการ “ลบประวัติ ล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน” เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้ในสังคม  โดยระเบียบฉบับนี้มีการแก้ไขปรับปรุงการจัดเก็บประวัติบุคคลออกเป็น 3 ทะเบียน ได้แก่ 
• ทะเบียนประวัติผู้ต้องหา คือข้อมูลบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล หรือฟ้องต่อศาลแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ห้ามเปิดเผย เว้นแต่ใช้เพื่องานสืบสวนสอบสวน งานสำนักพระราชวัง งานสมัครเข้ารับราชการ

• ทะเบียนประวัติผู้กระทำความผิดที่มิใช่อาชญากร คือ ข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด โดยศาลลงโทษ จำคุกไม่เกิน   1 เดือน หรือรอการลงโทษ หรือมีเพียงโทษปรับ หรือกักขัง รวมถึงกระทำผิดโดยประมาท ห้ามเปิดเผยทั่วไปเว้นแต่ใช้เพื่อ งานสืบสวนสอบสวน งานขออนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด

• ทะเบียนประวัติอาชญากร คือ ข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด โดยศาลลงโทษ จำคุกเกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป โดยไม่รอการลงโทษ ยกเว้นการกระทำผิดโดยประมาท

รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ในการลบหรือถอนประวัติอาชญากรของบุคคลที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติอาชญากร ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนอีกด้วยที่เข้าหลักเกณฑ์ตามระเบียบ เช่น เมื่อศาลยกฟ้อง อัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง เป็นต้น โดยเมื่อมีการแบ่งทะเบียนในการจัดเก็บข้อมูลตามระเบียบฯ นี้ จะทำให้มีบุคคลที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากรเพียง 3,708,359 ราย จากทั้งหมด 13,079,324 ราย

ผบ.ตร.พร้อมครอบครัวกิตติประภัสร์ มอบเงินทำบุญ 21 ล้านบาท ที่ได้จากงานพระราชทานเพลิงศพคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ ให้ รพ.ตำรวจ และรพ.รามาธิบดี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อสวัสดิ์ ด้วยการส่งต่อกำลังบุญช่วยเหลือผู้ป่วยและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางก

 

วันนี้ (27 มิ.ย.66) เวลา 10.00 น. ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และคุณแม่บัวลอย กิตติประภัสร์ พร้อมครอบครัวคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ มอบเงิน 21 ล้านบาทให้แก่ รพ.รามาธิบดีและ รพ.ตำรวจ โดยมี รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาธิบดีและกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดี และ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) รพ.ตร.เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยบุคคลากรทางการแพทย์ แขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม

สืบเนื่องจาก ผบ.ตร.และคุณแม่บัวลอย กิตติประภัสร์ พร้อมครอบครัวคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ มีความประสงค์จะนำเงินทำบุญที่ได้จากงานพระราชทานเพลิงของคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ จำนวน 21 ล้านบาท บริจาคให้โรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยแบ่งเป็น มอบให้ มูลนิธิรามาธิบดี 11 ล้านบาท ได้แก่ ทุนโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี 5 ล้านบาท ทุนเพื่อผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว 5 ล้านบาท ทุนโครงการทุนการศึกษารามาธิบดีเพื่อนักศึกษาแพทย์และพยาบาล 1 ล้านบาท


มอบให้มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจในพระบรมราชินูปถัมภ์ จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนเรื่มต้นในการจัดซื้อเครื่องเพทซีทีสแกน (PET/CT SCAN) เพื่อประสิทธิภาพสูงในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง ซึ่งถือเป็นกองทุนเริ่มต้นของการระดมจัดซื้อเครื่องดังกล่าวที่มีมูลค่าประมาณ 140 ล้านบาท สำหรับเงินร่วมทำบุญส่วนที่จะเหลือจะได้นำไปบริจาคให้ รพ.และบริจาคเพื่อการกุศลต่อไป

ทั้งนี้ ผบ.ตร.และคุณแม่บัวลอย กิตติประภัสร์ พร้อมครอบครัวคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ ได้ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเป็นอย่างสูง สำหรับปัจจัยที่ร่วมทำบุญในงานพระราชทานเพลิงของคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ ซึ่งได้นำมาบริจาคให้แก่โรงพยาบาลทั้งหมด โดยไม่หักค่าใช้จ่ายการจัดงาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อสวัสดิ์ ส่งต่อกำลังบุญในการช่วยผู้ป่วยและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ต่อไป

สมุทรปราการ-ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา “พระครูแจ้” เจ้าอาวาสวัดดังบางพลี!! แจกข้าวสารกว่า 1,000 ถุง เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระสังฆราชฯ

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า อัมพร ประสัตถพงศ์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี

ทางวัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ประกอบพิธีแจกข้าวสารแก่เด็กนักเรียน จำนวนกว่า 1,000 ถุง เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ประกอบกับ ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง มีจิตเมตตาแก่น้องๆหนูๆ นักเรียนโรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง โดยท่านพระครูแจ้ ท่านได้นำข้าวสารถุงละ 5 กิโลกรัม ที่ได้รับมอบจากทางครอบครัว “เลิศอริยานันท์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ทางครอบครัว เลิศอริยานันท์ ได้นำข้าวสาร จำนวน 1,100 ถุง พร้อมด้วย น้ำดื่ม อีกจำนวน 1,100 แพค นำมาถวายให้กับท่านพระครูแจ้

จากนั้น ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูเเจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้ประสานไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง เพื่อที่จะมอบข้าวสารให้แก่น้องๆ หนูๆ นักเรียนทุกคน นำไปให้ผู้ปกครองหุงข้าวกินที่บ้าน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้ในระดับนึง โดย ท่านพระครูแจ้ได้มอบข้าวสาร ถุงละ 5 กิโลกรัม มอบให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึงชั้น ป.6  โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง จำนวนทั้งสิ้น 1,080 คน คนละ 1 กระสอบ อีกทั้ง ยังได้มอบข้าวสารให้กับสื่อมวลชนที่ได้ไปร่วมทำข่าว อีกคนละ 1 กระสอบ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระและนำกับไปหุงกินที่บ้าน

โดยท่าน พระครูแจ้ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง กล่าวว่า ข้าวสาร และสิ่งของต่างๆ ที่ทางญาติโยมได้นำมาถวายนั้น ทางวัดบางพลีใหญ่กลางจะนำสิ่งของเหล่านั้น นำไปมอบให้กับเด็กนักเรียนรวมถึงนำไปช่วยเหลือญาติโยมที่ยากจนในเขตพื้นที่ต่างๆ ตลอดจนปัจจัยที่ญาติโยมได้นำมาถวายก็จะนำไปสมทบทุนก่อสร้างอาคารเรียนให้กับนักเรียนทางภาคใต้ ที่ตอนนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่คาดว่าคงแล้วเสร็จภายในปี 2566 นี้

อย่างไรก็ตาม ขออนุโมทนาบุญกับญาติโยมทุกคนที่มีจิตเมตตา นำข้าวสาร อาหารแห้ง รวมถึงน้ำดื่ม และปัจจัยที่นำมาถวายให้กับทางวัดบางพลีใหญ่กลางใน ครั้งนี้ สิ่งของทุกอย่างก็จะนำไปต่อยอดนำไปบริจาคให้กับญาติโยมที่ยากจนและเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่มีฐานะยากจนต่อไป ดั้งคำที่ว่า ถวายให้ฉันมา ฉันก็แจกหมด

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน
 

หมอคนดัง โพสต์ติง แอร์การบินไทย ยืนค้ำหัวให้บริการ ดาราดังโผล่เมนต์ตอบ หมดเวลาให้คนมานั่ง-หมอบคลานแล้ว

เป็นเรื่องราวที่สังคมออนไลน์กำลังให้ความสนใจ และถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก เมื่อ รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri ถึงเรื่องการให้บริการบนสายการบิน เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ความว่า

สวัสดีครับ ผมเพิ่งบินมาถึงโจฮันเนสเบิร์กเมื่อเช้านี้ โดยจะอยู่ที่นี่ 2 คืน และวันเสาร์ผมก็จะบินไปยังเกาะเซนต์เฮเลน่า ตามที่วางแผนไว้

ผมเคยเขียนถึงสายการบินไทยและการบริการ 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้นในเครื่องตอนที่ผมบินกลับจากปารีสมากรุงเทพฯ กับการบินไทยครั้งล่าสุด ในโพสต์ก่อนหน้า

ในโพสต์นี้ ผมจึงอยากนำเสนอว่า สายการบินลุฟท์ฮันซ่า (LH) ปฏิบัติกับผมอย่างเท่าเทียมกับผู้โดยสารท่านอื่น โดยมาตราฐานการบริการเดียวกันทั้งลำ
ต้องบอกว่า ตั๋วสายการบินไทยนั้นแพงมาก และการบริการก็ไม่ได้เด่น ออกจะไปทางด้อยเสียด้วยซ้ำ

ผมเคยชอบสายการบินไทย ตั้งแต่ก่อน TG จะควบรวมกิจการกับเดินอากาศไทย (TA) แต่หลังจากนั้น การบินไทยก็ดิ่งลงใน performance มีอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นคือราคา
สำหรับ สายการบินลุฟท์ฮันซ่า คือ ในเที่ยวบินมาโจฮันเนสเบิร์กเที่ยวนี้ ผู้โดยสารเต็มทุกคลาส (F/C/Y) แต่การบริการกลับทำได้ตามมาตรฐานดีมาก

ถึงผมจะเป็นผู้โดยสารเอเชีย แต่คุณแอร์เข้ามานั่งรับออเดอร์ ไม่ยืนค้ำหัวผมต่างกับแอร์การบินไทยที่ยืนค้ำหัวผมและคนไทยท่านอื่น แต่กับฝรั่งหัวทองสามารถนั่งลงบริการอย่างดี ผมเชื่อว่า ถ้าการบินไทยให้บริการอย่างเท่าเทียมกับผู้โดยสารทุกคน ไม่แปลกแยก จะได้ใจผู้โดยสารคนไทยไปเต็ม ๆ เลย

ปล. ผมเพิ่มรูปในโพสต์ 2 รูปสุดท้าย เพื่อเปรียบเทียบระหว่างการให้การบริการของพนักงานต้อนรับสายการบินไทย ในการให้บริการผู้โดยสารชาวไทยกับผู้โดยสารชาวต่างชาติ บนเครื่องการบินไทยไฟล์ทล่าสุดของผม ให้ FC ได้พิจารณา เมื่อเทียบกับการให้บริการผู้โดยสารของพนักงานต้อนรับสายการบินลุฟท์ฮันซ่าในโพสต์นี้

ติเพื่อก่อนะครับ อยากให้การบินไทยรักผู้โดยสารไทยเพิ่มขึ้นมาบ้าง หรือแค่ให้เท่าเทียมกับผู้โดยสารชาวต่างชาติ ไม่ให้เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบ ก็ยังดี

ด้าน กระติ๊บ ชวัลกร นักแสดงชื่อดัง เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย โดยว่า “หมดเวลาให้คนมานั่ง หมอบ คลาน บริการแล้วค่ะ หน้าที่ของแอร์คือ ดูแลผู้โดยสารให้ปลอดภัยไม่ได้มาเป็นทาสคลานเข่าค่ะ ถ้าอยากให้คนหมอบ ประเคน แนะนำให้ไปบวชเป็นพระค่ะ”

ตำรวจไซเบอร์​จับเครือข่ายอ้างเป็นตำรวจเมืองบุรีรัมย์ หลอกโอนเงินตรวจสอบ เหยื่อสูญเกือบ 2 ล้าน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

​สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกคนร้ายโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ แจ้งว่ามีการเอาข้อมูลผู้เสียหายไปเปิดใช้บัตรเครดิตและค้างชำระ ให้ผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์โดยให้โอนสายไปยังคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายแอดไลน์ชื่อ “สถานีตำรวจภูธรเมืองบุรีรัมย์” และได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาคนร้ายได้โอนสายให้ผู้เสียหายพูดคุยกับผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่สนทนากันเป็นเรื่องจริง ซึ่งคนร้ายได้หว่านล้อมข่มขู่ผู้เสียหายให้เกิดความกลัวว่าจะต้องถูกดำเนินคดี โดยผู้เสียหายต้องโอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จากพฤติกรรมของคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว จึงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มคนร้ายหลายครั้ง ผู้เสียหายเห็นว่าผิดปกติ เชื่อว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง จึงแจ้งความดำเนินคดี จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบรับแจ้งความออนไลน์ เรื่องขบวนการคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ พบความเชื่อมโยง 11 Case ID เสียหายรวมกว่า 1,876,000 บาท

​ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนว่า น.ส.ปราถนา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี พักอาศัยในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จนกระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 2566 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายลับ พบหญิงที่มีรูปพรรณสัณฐานตรงกับ น.ส.ปราถนาฯ จึงเดินทางไปตรวจสอบ และเข้าจับกุม ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูล
คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึก
การจับกุม และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ  พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 , พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5, ได้สั่งการ พ.ต.ท.ปริพล นาคลำภา สว.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘มจธ.’ ให้การสนับสนุน ทุนการศึกษา ‘น้องช่อฟ้า’ ย้ำเจตนา ต้องไม่มีนักศึกษาผู้ใดออกไป เพราะไม่มีค่าเล่าเรียน

ประกาศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตามที่ปรากฏเป็นข่าวสื่อมวลชนกรณีน้องช่อฟ้า สอบติด 5 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า แต่คุณพ่อไม่มีเงินส่งลูกเรียนนั้น

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยกลุ่มงานช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษา ได้ทราบเรื่องและประสานไปยังน้องช่อฟ้าในทันทีเพื่อสอบถามรายละเอียด และได้ตรวจสอบในระบบฐานข้อมูนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแล้ว ทราบว่าน้องช่อฟ้าได้ยืนยันสิทธิ์เป็นนักศึกษาเข้าศึกษาต่อที่ภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ 
มจธ. พร้อมให้การช่วยเหลือและสนับสนุนการเรียนรู้ของนักศึกษาในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง มีกลไก ในการสนับสนุนทุนการศึกษาที่เหมาะสมกับนักศึกษาทุกคนและติดตามการศึกษาของนักศึกษาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ตามเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยที่จะไม่มีนักศึกษาผู้ใดต้องออกไปเพราะไม่มีค่าเล่าเรียน และขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ร่วมกันช่วยเหลือครอบครัวของนักศึกษา

ทั้งนี้ หากนักศึกษาเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือพบเห็นเพื่อนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถประสานเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษา โทร. 0-24708097-8, 0-24708107 อีเมล [email protected]

ผบ.ทรภ.1 รับการเยี่ยมคำนับ จาก ผู้ช่วยทูตทหารเรือสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และผู้บังคับการเรือ USS Rafael Peralta (DDG-115)

วันที่ 26 มิถุนายน 2566 พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 (ผบ.ทรภ.1) มอบหมายให้ พลเรือตรี อนุพงษ์ ทะประสพ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 รับการเยี่ยมคำนับจาก น.อ. Hugh Winkel ผู้ช่วยทูตทหารเรือสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และ น.ท.Charles T. Cooper ผู้บังคับการเรือ USS Rafael Peralta (DDG-115) พร้อมคณะ เพื่อหารือ เกี่ยวกับการฝึก PASSEX (ทร.ไทย-ทร.สหรัฐ) ณ ห้องรับรองเกาะหลัก กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อีกทั้ง เป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์อันดี ของทั้งสองประเทศ อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสร้างท้องถิ่นปลอดบุหรี่พื้นที่แม่จันพื้นที่แม่สายและส่วนราชการในพื้นที่

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมานาย วรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่จันมอบหมายให้นาย สุทธิรัตน์ แสงเพ็ญจันทร์ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอแม่จันเป็นประธานเปิดบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ปลอดบุหรี่ในเขตพื้นที่อำเภอแม่จัน3ตำบลและพื้นที่อำเภอแม่สาย1ตำบล2องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการในพื้นที่ประกอบด้วยเทศบาลตำบลแม่ไร่ เทศบาลตำบลแม่จัน เทศบาลตำบลสายน้ำคำ2 เทศบาลตำบลห้วยไคร้ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไคร้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ไร่ จังหวัดเชียงรายสืบเนื่องจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการควบคุมผลิตภัณฆ์ยาสูบตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฆ์ยาสูบ พ.ศ.2560เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปี2565ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีพันธกิจหนึ่งในการบริหารสาธารณะมีศักยภาพและทรัพยากรในการป้องกันปัญหาอันเกิดจากการสูบบุหรี่ของประชากรในพื้นที่ที่รับผิดชอบโดยจากข้อมูลพบว่า9ใน10ของคนไทยที่สูบบุหรี่กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆการ

สูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสุขภาพที่สำคัญที่สุดที่ครึ่งหนึ่งของคนที่ไม่เลิกสูบจะป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาเป็นภาระต่อครอบครัวและระบบบริการสุขภาพของจังหวัดวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือความเข้าใจและสร้างกระแสความตื่นตัวในการขับเคลื่อนงานควบคุมการบริโภคยาสูบในกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

สั่งปรับ ‘เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าหญิง’ ในรัฐกลันตัน มาเลเซีย เหตุสวมเสื้อยืด-กางเกงขาสั้น ชี้!! เป็นการแต่งกาย ‘ไม่สุภาพ’

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 66 ที่เมืองโกตาบารู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย การสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ถือว่าเป็นการแต่งกายที่ ‘ไม่สุภาพ’ เมื่อไม่นานนี้ เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าสตรีแซ่หลี่ ได้รับใบสั่งกล่าวว่า เธอเปิดร้านขายเสื้อผ้าสตรีมานานกว่า 2 ปี และพบปัญหาดังกล่าวครั้งแรก เธอมักจะสวมเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น เนื่องจากธุรกิจของเธอเป็นร้านขายเสื้อผ้าและชุดลำลอง อีกทั้งในอดีตเธอยังเคยสวมกางเกงขาสั้นเวลาทำงานในร้านตัดผม และไม่เคยได้รับใบสั่งปรับ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสาวชาวจีน

ในรัฐกลันตัน แม้ว่าทุกคนจะมีอิสระในการแต่งกาย แต่ต้องเคารพซึ่งกันและกัน เคารพในวัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่างกันของรัฐฯ

โดยในหลายพื้นที่มีการอนุโลมให้ใส่กางเกงที่มีความยาวเลยเข่าได้ (ห้ามสั้นกว่าเข่า) แต่ในบางพื้นที่ก็อาจมีกฏข้อบังคับที่เคร่งครัดแตกต่างกันไป

ทั้งนี้ หากต้องการไปท่องเที่ยวในพื้นที่ใดก็ตาม ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ก่อนออกเดินทาง เพื่อเคารพต่อความแตกต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ
 

ลูกศิษย์เผย อัฐิ ‘หลวงปู่แสง’ เป็นสีขาวบริสุทธิ์  เตรียมส่งมอบแด่วัดที่หลวงปู่เคยจำพรรษา แจกให้ญาติธรรม 

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 66 ที่เมรุชั่วคราววัดป่าดงสว่างธรรม บ้านดงสว่าง ต.โคกนาโก อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา พระสงฆ์พร้อมด้วยพระอุปัฏฐาก ศิษยานุศิษย์และเจ้าพนักงานจัดเตรียมสถานที่และแปรธาตุอัฐิบนจิตกาธาน พิธีเก็บอัฐิของหลวงปู่แสง ญาณวโร โดยมีประชาชนกว่า 2,000 คนเข้าร่วม ขณะที่พระอุปัฏฐากและพระลูกศิษย์สวดขอขมากรรมก่อน เบื้องต้นพบว่าอัฐิของหลวงปู่แสง มีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์

ต่อมาเวลา 07.00 น.นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ประธานในพิธีจุดเครื่องทองน้อย เจ้าพนักงานเชิญโกศบรรจุอัฐิและลุ้งบรรจุอังคารไปยังศาลาบำเพ็ญกุศล จากนั้นเจ้าพนักงานเทียบภัตตาหารสามหาบ มีนายวิรุจ ถวายภัตตาหารสามหาบแด่พระสงฆ์ เจ้าพนักงานเชิญเจ้าภาพรับโกศอัฐิหลวงปู่แสง ญาณวโร เป็นเสร็จพิธี

นายเฉลิมชัย จันทะโคตร อายุ 44 ปี ลูกศิษย์และอดีตโฆษกหลวงปู่แสง กล่าวว่า อัฐิของหลวงปู่แสงจะนำไปประดิษฐานในผอบ จากนั้นเตรียมส่งมอบแด่วัดต่างๆ ที่ หลวงปู่แสง เคยจำพรรษาและเคยสร้างเป็นหลักก่อน ประกอบด้วยวัดป่าอรัญญาวิเวก อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ, วัดป่าอิสิปตนมฤคทายวัน อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ,วัดป่านาเกิ้งญาณวโร อ.เสนางนิคม จ.อำนาจเจริญ, วัดป่ามโนรมย์สมประสงค์ (สำนักสงฆ์ภูทิดสา) อ.ปทุมราชวงศา จ.อำนาจเจริญ, สำนักสงฆ์บ้านเวินชัย อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร, วัดป่าพุทธรัตนวนาราม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และวัดป่าดงสว่างธรรม อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร 

ส่วนวัดใดที่มีศรัทธาต่อหลวงปู่ก็สามารถนำไปประดิษฐานที่วัดได้ ส่วนศิษยานุศิษย์ทางวัดจะมีหลอดใส่ผงอังคารหลวงปู่แสง แจกให้กับญาติธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติบูชาต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับเมรุชั่วคราวทางวัดและศิษยานุศิษย์จะทำเป็นอนุสรณ์สถานพระราชทานเพลิง หลวงปู่แสง จะสร้างมณฑปขึ้นมา และทำป้ายประวัติหลวงปู่แสง เพื่อให้ทราบว่า จุดนี้คืออนุสรณ์สถานขององค์หลวงปู่

ดีอีเอส-ETDA เปิด Public Hearing ‘คู่มือการลงทะเบียนผู้ใช้งาน’ ภายใต้กฎหมาย DPS

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing) ต่อ “(ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยัน ตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการ” พร้อมเปิดเวทีระดมความเห็นต่อแนวทางการออกเครื่องหมาย แสดงการรับรอง ภายใต้กฎหมาย Digital Platform Services เพื่อเป็นกลไกเสริมในการลด ความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ดูแลผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า หลังจากที่ พ.ร.ฎ. การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ

พ.ศ. 2565 หรือ กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ก่อนที่กฎหมายฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 21 สิงหาคม 2566 นี้ ดีอีเอส ผ่านการดำเนินงานของ ETDA ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับดังกล่าว จึงได้เดินหน้าศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายลำดับรอง ภายใต้กฎหมาย DPS หลังจากนั้นจึงได้มี กระบวนการรับฟังความคิดเห็น รวมถึงการจัด Focus Group สำหรับร่างกฎหมายลำดับรอง จากหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ทั้งจากภาครัฐ เอกชน regulator ตลอดจน ผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ และประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนนำข้อเสนอแนะ ความคิดเห็น ที่ได้มาจัดทำและปรับปรุงร่างกฎหมายลำดับรองให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาได้มี การนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ และคณะอนุกรรมการกฎหมาย ภายใต้คณะกรรมการ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ในการพิจารณาไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้หลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติ ภายใต้กฎหมาย DPS มีความชัดเจน โปร่งใส สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล สามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง ที่ผ่านมา ETDA จึงได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น หรือ Public Hearing ต่อร่างกฎหมายลำดับรองไปแล้ว 3 ครั้ง จำนวน 9 ฉบับ ผ่านระบบการประชุมทางออนไลน์ และผ่านระบบกลางทางกฎหมาย โดยวันนี้ (26 มิถุนายน 2566) จะเป็นกิจกรรม Public Hearing ครั้งที่ 4 เพื่อรับฟัง

ความคิดเห็นต่อ “(ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการ เพื่อเป็น แนวทางในการปฏิบัติ แก่ผู้ให้บริการ ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ในการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการ ผ่านการลงทะเบียนการเข้าใช้งาน เพื่อให้ได้บัญชีผู้ใช้งานที่มีความน่าเชื่อถือ ระบุตัวตนได้ เพื่อเป็นประโยชย์ในการคุ้มครองผู้ใช้บริการ ลดความเสี่ยงจาก การฉ้อโกงออนไลน์ โดยเนื้อหาของ (ร่าง) คู่มือฉบับนี้จะครอบคลุมทั้งการจัดประเภทผู้ใช้บริการที่ควร พิสูจน์และยืนยันตัวตน การกำหนดระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์และยืนยันตัวตน รายการของ ข้อมูลที่จะต้องเก็บรวบรวม แนวทางการตรวจสอบข้อมูล และการแสดงสัญลักษณ์หรือข้อความว่า ผู้ใช้บริการรายนั้นได้ดำเนินการพิสูจน์และยืนยันตัวตนแล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ เรายังมีกิจกรรมการ ระดมความเห็นต่อ “แนวทางในการออกเครื่องหมายแสดงการรับรอง” เพื่อนำไปเสริมเป็นแนวคิด ในการจัดทำประกาศ คธอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกเครื่องหมายแสดงการรับรอง พ.ศ. .... ภายใต้มาตรา 27 ของ กฎหมาย DPS เพื่อเป็นกลไกช่วยผู้ใช้บริการประกอบการตัดสินใจ เลือกใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ได้รับเครื่องหมายรับรองนี้ ทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ ประกอบธุรกิจ DPS เกิดการปฏิบัติที่สอดคล้องกับกฎหมาย รวมถึงการได้รับความเชื่อมั่นจาก ผู้ใช้บริการมากขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการรับฟังความคิดเห็นและการระดมความคิดเห็นในครั้งนี้ จะถูก นำไปเป็นข้อเสนอแนะและข้อมูลสำคัญในการนำไปปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาของเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ให้มีความครบถ้วน ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถปฏิบัติตามได้จริง

สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ประกอบการ คนทำงานบน แพลตฟอร์ม ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไป ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ พัฒนาคู่มือและแนวทางทั้งสองเรื่องให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถร่วมแสดงความ คิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อร่างคู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนผู้ใช้บริการ และ แนวทางในการออกเครื่องหมายแสดงการรับรองได้ที่ระบบกลางทางกฎหมาย หรือ ที่ลิงก์ https://www.etda.or.th/th/regulator/Digitalplatform/Public-Hearing-DP.aspx ได้ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน – 26 กรกฎาคม 2566

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมทูตอินโดนีเซีย ร่วมส่งกลับผู้เสียหายค้ามนุษย์หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ NRM

วันนี้ (26 มิ.ย.66) เวลา 08.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) พร้อมด้วยคุณซุกโม ยูโวโน อัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ได้เดินทางมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อมาส่งผู้เสียหายชาวอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จำนวน 9 ราย หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการของกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) ซึ่งดำเนินการที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อเดินทางกลับไปยังประเทศอินโดนีเซียอย่างปลอดภัย

หลังจากที่เมื่อประมาณเดือน พ.ค. 66 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้รับการประสานจากสถานทูตอินโดนีเซีย กรณีมีผู้เสียหายสัญชาติอินโดนีเซียจำนวนหลายราย ถูกหลอกเดินทางไปทำงานที่ประเทศเมียนมา โดยถูกบังคับให้ทำงานหลอกผู้อื่นลงทุนเงินคริปโต ทนไม่ไหวจึงได้พยายามหลบหนีข้ามฝั่งมายังประเทศไทย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร., ภ.6 และ สตม. ประสานให้การช่วยเหลือผู้เสียหายชาวอินโดนีเซียให้สามารถข้ามฝั่งมายังประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย โดยเมื่อเดือน พ.ค.66 สามารถช่วยเหลือข้ามมาได้จำนวน 25 ราย และในเดือน มิ.ย.66 อีกจำนวน 22 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับการช่วยเหลือและนำเข้าสู่กลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) และก่อนหน้านี้ ได้ส่งผู้เสียหายกลับไปแล้วจำนวน 25 ราย เมื่อวันที่ 25 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะส่งกลับเพิ่มอีกจำนวน 9 คน ในวันนี้ ยังเหลือผู้เสียหายชาวอินโดนีเซียที่ยังอยู่ในกระบวนการอีกจำนวน 13 ราย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศ หลังจากที่ได้รับการประสานข้อมูลจากสถานทูตอินโดนีเซีย ได้สั่งการให้ ภ.6 สตม. และชุด ศพดส.ตร. ประสานช่วยเหลือเหยื่อขาวอินโดนีเซียซึ่งถูกหลอกไปทำงานที่ประเทศเมียนมา และนำมาเข้ากลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองดูแลและช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์จริงแต่ไม่ประสงค์จะดำเนินการตามกฎหมายที่ประเทศไทย จึงได้ประสานกับสถานทูตอินโดนีเซียเพื่อช่วยเหลือส่งกลับผู้เสียหายทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้ส่งกลับไปแล้วจำนวน 25 ราย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 อีกจำนวน 9 ราย ขณะนี้ยังเหลือผู้เสียหายสัญชาติอินโดนีเซียที่ยังอยู่ในกระบวนการอีก 13 ราย ซึ่งจะได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้น และส่งกลับตามความต้องการของผู้เสียหายต่อไป นับเป็นอีกครั้งที่ความร่วมมือระหว่างประเทศของไทยและอินโดนีเซียในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยดี

ผบ.ตร.พร้อม สมาคมแม่บ้านตำรวจ เร่งช่วยเหลือ สารวัตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขาดแคลนเงินส่งลูกเรียน ม.ดัง พร้อมนำเข้าโครงการแก้ไขหนี้สินการออม บริหารใช้เงิน กำชับผู้บังคับบัญชาทั่วประเทศดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ลูกน้องทุกมิติ

วันนี้ (26 มิ.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า จากกรณีมีกระแสข่าวขอให้ช่วยเหลือสารวัตรที่มีปัญหาด้านการเงิน มีความลำบากในการส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโชเชียลนั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ตำรวจนายดังกล่าวคือ พ.ต.ท.วิริยะ เจิมจำนงค์ สว.ฝอ.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีปัญหาทางการเงินจริง จากการค้ำประกันเงินกู้ตำรวจที่ถูกออกจากราชการและเสียชีวิต จนเป็นหนี้สิน สถานะครอบครัว ภรรยามีอาชีพค้าขาย มีบุตรสาว 1 คน  กำลังจะเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคณะวิศวกรรมศาสตร์(ไฟฟ้า)  ซึ่งบุตรสาวนายตำรวจผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีความขยันขันแข็ง ช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารกล่อง และในช่วงปิดเทอมยังทำถั่วเคลือบแก้ว ส่งตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาเงินมาจุนเจือความเป็นอยู่ในครอบครัวมาตลอด

พ.ต.ท.วิริยะฯ รับอัตราขั้นเงินเดือน ส.2  เงินเดือน 45,750 บาท จะต้องถูกหักสหกรณ์ตำรวจ 30,000 กว่า บาท รวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในครอบครัว ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาชั้นต้น และเพื่อนร่วมงานก็ได้ช่วยเหลือด้านการเงินมาโดยตลอด   แต่ยังไม่เพียงพอ ประกอบกับบุตรสาวกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องใช้เงินอีกพอสมควร เกิดความเครียด จึงมีการไปขอความเห็นใจจากที่ต่างๆจนเป็นข่าว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องแล้ว ได้ประสานคุณสุมนา กิติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าช่วยเหลือด่วนในส่วนของการให้ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายที่ทางสมาคมฯ ดำเนินการมาต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้น จะสามารถมอบทุนแก่บุตรข้าราชการตำรวจที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในระดับอุดมศึกษา ปีละ 40,000 บาท จำนวน 4 ปี หรือ 6 ปี ตามสาขาที่เรียน ซึ่งในรายนี้ จะได้เข้าไปพูดคุยรายละเอียด เพื่อช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.จะเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก หากไม่เพียงพอ

ส่วน พ.ต.ท.วิริยะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำเข้าโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ เพื่อช่วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้  และทางสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะลงไปช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับการออม การบริหาร การใช้เงิน ตามโครงการ Money Management & Investment พร้อมกับช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำให้เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  โดยจะมีการเชิญ พ.ต.ท.วิริยะ ครอบครัวและบุตรสาว มาพูดคุยช่วยเหลือเยียวยาในวันนี้ช่วงบ่าย

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “การดูแลช่วยเหลือตำรวจและครอบครัวตำรวจเป็นนโยบายที่ดำเนินการมาต่อเนื่องของ ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือ มอบทุนมาตลอด  ส่วนตำรวจที่มีปัญหาหนี้สินจะนำเข้าสู่โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และ โครงการ Money Management & Investment ซึ่งสามารถช่วยเหลือ ปรับหนี้ได้หลายราย 

อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ให้สอดส่องดูแลความเป็นอยู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลสวัสดิการ ช่วยเหลือในทุกมิติ หากรายใดมีปัญหาสามารถร้องขอมาที่ ตร.ร่วมกันหาทางออก เพื่อช่วยกันดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตตำรวจให้ดีขึ้นไป สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล”

‘เอเอฟซี’ เตรียมแบน งดให้ไทยเป็นเจ้าภาพระดับนานาชาติ ทุกรายการแข่งขัน จากเหตุ ‘อุลตร้าส์ ไทยแลนด์’ จุดพลุแฟลร์ ป่วนสนาม

ควันหลงเกมชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ ไทย พ่าย เกาหลีใต้ 1-4 กระเด็นตกรอบ และชวดตั๋วไปลุยศึกชิงแชมป์โลก ที่อินโดนีเซียในช่วงปลายปีนี้ 

ปรากฎว่าหลังจบเกมที่ปทุมธานี สเตเดียม แฟนบอลกลุ่ม "อุลตร้าส์ ไทยแลนด์" เจ้าเดิม จุดพลุแฟลร์ พร้อมกับขว้างปาลงมาในสนาม ต่อหน้าเจ้าหน้าที่จากสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย หรือเอเอฟซี 

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเพิ่งจะโดนคาดโทษ และถูกปรับเงินจาก "เอเอฟซี" หลังมีการจุดพลุแฟลร์ในสนามหลายทัวร์นาเมนต์ แน่นอนว่าครั้งนี้จะถือเป็นความผิดซ้ำซาก และเตรียมรับบทลงโทษที่สูงกว่าการปรับเงิน 

จากการกระทำของแฟนบอลกลุ่มดังกล่าว อาจจะทำให้ประเทศไทยชวดเป็นเจ้าภาพในรายการระดับนานาชาติทุกรายการต่อจากนี้ 

ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่นักฟุตบอล และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช เดินไปขอบคุณแฟนบอล และเมื่อมีการจุดพลุแฟลร์นักฟุตบอล พร้อมทีมงาน เดินกลับไปยังห้องแต่งตัวทันที สร้างความไม่พอใจกับแฟนบอลกลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก และมีการตะโกนต่อว่าน้องๆ นักเตะอีกด้วย

ผบ.ตร.พร้อม สมาคมแม่บ้านตำรวจ เร่งช่วยเหลือ สารวัตรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขาดแคลนเงินส่งลูกเรียน ม.ดัง พร้อมนำเข้าโครงการแก้ไขหนี้สินการออม บริหารใช้เงิน กำชับผู้บังคับบัญชาทั่วประเทศดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ลูกน้องทุกมิติ

วันนี้ (26 มิ.ย. 66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า จากกรณีมีกระแสข่าวขอให้ช่วยเหลือสารวัตรที่มีปัญหาด้านการเงิน มีความลำบากในการส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัย จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโชเชียลนั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลทราบว่า ตำรวจนายดังกล่าวคือ พ.ต.ท.วิริยะ  เจิมจำนงค์ สว.ฝอ.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีปัญหาทางการเงินจริง จากการค้ำประกันเงินกู้ตำรวจที่ถูกออกจากราชการและเสียชีวิต จนเป็นหนี้สิน สถานะครอบครัว ภรรยามีอาชีพค้าขาย มีบุตรสาว 1 คน  กำลังจะเข้าศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคณะวิศวกรรมศาสตร์(ไฟฟ้า)  ซึ่งบุตรสาวนายตำรวจผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีความขยันขันแข็ง ช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยว อาหารกล่อง และในช่วงปิดเทอมยังทำถั่วเคลือบแก้ว ส่งตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาเงินมาจุนเจือความเป็นอยู่ในครอบครัวมาตลอด

พ.ต.ท.วิริยะฯ รับอัตราขั้นเงินเดือน ส.2  เงินเดือน 45,750 บาท จะต้องถูกหักสหกรณ์ตำรวจ 30,000 กว่า บาท  รวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆในครอบครัว ทำให้รายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งที่ผ่านมา ทางผู้บังคับบัญชาชั้นต้น และเพื่อนร่วมงานก็ได้ช่วยเหลือด้านการเงินมาโดยตลอด   แต่ยังไม่เพียงพอ ประกอบกับบุตรสาวกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้ต้องใช้เงินอีกพอสมควร เกิดความเครียด  จึงมีการไปขอความเห็นใจจากที่ต่างๆจนเป็นข่าว

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบเรื่องแล้ว ได้ประสานคุณสุมนา กิติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าช่วยเหลือด่วนในส่วนของการให้ทุนการศึกษา ซึ่งเป็นนโยบายที่ทางสมาคมฯ ดำเนินการมาต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้น จะสามารถมอบทุนแก่บุตรข้าราชการตำรวจที่เรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในระดับอุดมศึกษา ปีละ 40,000 บาท จำนวน 4 ปี หรือ 6 ปี ตามสาขาที่เรียน  ซึ่งในรายนี้ จะได้เข้าไปพูดคุยรายละเอียด เพื่อช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้บังคับบัญชาระดับ ตร.จะเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก หากไม่เพียงพอ

ส่วน พ.ต.ท.วิริยะ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำเข้าโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ เพื่อช่วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้  และทางสมาคมแม่บ้านตำรวจ จะลงไปช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับการออม การบริหาร การใช้เงิน ตามโครงการ Money Management & Investment พร้อมกับช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำให้เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  โดยจะมีการเชิญ พ.ต.ท.วิริยะ ครอบครัวและบุตรสาว มาพูดคุยช่วยเหลือเยียวยาในวันนี้ช่วงบ่าย

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “การดูแลช่วยเหลือตำรวจและครอบครัวตำรวจเป็นนโยบายที่ดำเนินการมาต่อเนื่องของ ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ที่ผ่านมามีการช่วยเหลือ มอบทุนมาตลอด  ส่วนตำรวจที่มีปัญหาหนี้สินจะนำเข้าสู่โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และ โครงการ Money Management & Investment ซึ่งสามารถช่วยเหลือ ปรับหนี้ได้หลายราย 

อย่างไรก็ตาม ผบ.ตร.ได้กำชับไปยังผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ให้สอดส่องดูแลความเป็นอยู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลสวัสดิการ ช่วยเหลือในทุกมิติ หากรายใดมีปัญหาสามารถร้องขอมาที่ ตร.ร่วมกันหาทางออก เพื่อช่วยกันดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตตำรวจให้ดีขึ้นไป สามารถปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนได้อย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top