Saturday, 10 May 2025
NEWS

“บิ๊กบี้” ตรวจความพร้อม รพ. สนาม 12 พื้นที่ รวม 2,220 พร้อมรับการแพร่ระบาดโควิด-19 

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก เปิดเผยว่า ตามสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงกลาโหม ดำเนินการเตรียมโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่พบคลัสเตอร์ใหม่ในหลายพื้นที่ และมีความรุนแรงกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลต่อปริมาณเตียงในสถานพยาบาลไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย

ในการนี้ กองทัพบกซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมความพร้อม โดยจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ทั่วประเทศ สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อและเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด

ทั้งนี้กองทัพบกได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามระยะที่ 1 ใน 12 พื้นที่ รวม 2,220 เตียง โดยพิจารณาจัดตั้งในพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก, ห่างไกลจากแหล่งชุมชน อาทิ กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. จำนวน 200 นาย,กรมพลาธิการทหารบก จ.นนทบุรี 50 เตียง, ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหารเขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี 300 เตียง, กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี 740 เตียง และกองพันทหารเสนารักษ์ในทุกกองทัพภาค อีก 930 เตียง

ซึ่งเป็นการนำศักยภาพของกองทัพ ทั้งด้านบุคลากร ยานพาหนะและสิ่งอุปกรณ์ เตียงสนาม พร้อมเครื่องนอน หมอนมุ้ง ในการจัดการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ พร้อมกันนี้ในปัจจุบันโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบกทั้ง 37 แห่ง ก็ได้สนับสนุนสาธารณสุขในพื้นที่ บริการคัดกรอง ดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งสร้างการรับรู้ ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนตามมาตรการป้อง COVID-19 เพื่อให้ประชาชนได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม ลดการแพร่กระจายเชื้อไปในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทางหนึ่งด้วย

ซึ่งในวันนี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เดินทางไปตรวจความพร้อมการเตรียมการโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของCOVID-19 สนับสนุนรัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นการดูแลและสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นใน 2 พื้นที่ ได้แก่ กรมพลาธิการทหารบก, กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1

“กองทัพบกยืนยันความพร้อม และพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งได้เตรียมการวางแผนมาตั้งแต่แรกเริ่มที่พบการระบาดในประเทศ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อสามารถรับมือต่อสถานการณ์ บริหารจัดการได้อย่างทันท่วงที และเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว


 

“ผบ.ทร.” มอบนโยบาย ประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ เตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม (VTC) ร่วมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ และหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ ที่ห้องประชุม กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน อำเภอเมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี

ในการประชุมกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่ โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้หน่วยต่างๆที่เกี่ยวข้องดำเนินการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาล/สถานพยาบาล/โรงพยาบาลสนาม  เพิ่มเติมเพื่อรองรับการแพร่ระบาด ดังนี้ 

1.) ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลหลัก สามารถให้บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีหอผู้ป่วยวิกฤต ห้องแรงดันลบ หอผู้ป่วยรวม และห้องแยก รวมแล้ว 54 เตียง มีขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัย และให้การรักษา ตั้งแต่อาการเล็กน้อย จนถึงขั้นวิกฤติ

2.) ตั้งโรงพยาบาลเฉพาะโรค ได้แก่ โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ และ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ มีหอผู้ป่วยรวม จำนวน 90 เตียง มีขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย โดยเน้นในการดูแลในส่วนของกำลังพลกองทัพเรือเป็นหลัก

3.) ให้จัดตั้งคลินิก โรคระบบทางเดินหายใจ ในพื้นที่ หน่วยแพทย์ปฐมภูมิ ที่มีนายแพทย์ปฏิบัติงาน

4.) จัดตั้งพื้นที่ เฝ้าระวัง ควบคุมโรค สำหรับกำลังพลกองทัพเรือ ประกอบด้วย
- พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล / ใช้พื้นที่ สถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
- พื้นที่สัตหีบ จังหวัดชลบุรี / ใช้พื้นที่ อาคารรับรองของ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน
- พื้นที่จังหวัดจันทบุรี และตราด / ใช้พื้นที่ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ค่ายตากสิน
- พื้นที่จังหวัดสงขลา / ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือสงขลา
- พื้นที่จังหวัดนราธิวาส / ใช้พื้นที่ ค่ายจุฬาภรณ์
- พื้นที่จังหวัดพังงา และภูเก็ต ใช้พื้นที่ ฐานทัพเรือพังงา

5.) จัดตั้ง โรงพยาบาลสนาม ให้การสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี ระยอง และจันทบุรี ประกอบด้วย
- ที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
- ที่ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
- ที่สนามฝึกกองทัพเรือ บ้านจันทเขลม จังหวัดจันทบุรี
และยังให้จัดตั้งคลินิกให้บริการวัคซีน โควิด ให้กับกำลังพล และประชาชนทั่วไป มีการจัดทีมสอบสวนโรค เมื่อพบผู้ป่วยต้องสงสัยในพื้นที่ที่กองทัพเรือรับผิดขอบ และให้มีการจัดทีมคัดกรอง และตรวจ เมื่อได้รับการประสานให้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมกับหน่วยงานภายนอก

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำให้ข้าราชการกองทัพเรือ เพิ่มความระมัดระวังทั้งแก่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โดยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดตามที่รัฐบาลกำหนด และมาตรการเพิ่มเติม 18 ข้อ ตามที่ผู้บัญชาการทหารเรือเคยได้ให้ไว้แล้ว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รอบใหม่

ข่าวด่วนจากสำนักพระราชวังบักกิ้งแฮม ได้ประกาศข่าวเศร้าว่า เจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ พระสวามีแห่งสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษได้สิ้นพระชนม์อย่างสงบด้วยสิริอายุ 99 พรรษา

#เจ้าชายฟิลิป_พระสวามีสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่_2

#สิ้นพระชนม์

ทางการอังกฤษจะเริ่มพิธีไว้อาลัย ลดธงครึ่งเสาในสถานที่ราชการทุกแห่งตั้งแต่วันนี้

เจ้าชายฟิลิป ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระธิดาองค์โตของพระเจ้าจอร์จ ที่ 6 ในปี 1947 ก่อนที่จะเถลิงราชบัลลังก์เป็นสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1952

ทั้ง 2 พระองค์มีพระโอรส และพระธิดาร่วมกัน 4 พระองค์ ได้แก่...

...เจ้าฟ้าชายชาร์ล เจ้าชายแห่งเวลส์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งมกุฏราชกุมาร ทายาทลำดับ 1 แห่งราชวงศ์อังกฤษ

...เจ้าหญิงแอน

...เจ้าขายแอนดรูว์ ดยุคแห่งยอร์ค

...เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเส็ก

และร่วมพระราชกรณียกิจในราชสำนักอย่างยาวนาน จนกระทั่งต้องขอหยุดภารกิจในเดือนพฤษภาคม 2017 เนื่องด้วยปัญหาด้านพระพลานามัยและใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับในวัง Sandringham ในเมือง Norfolk

ครั้งสุดท้ายที่ชาวอังกฤษได้เห็น เจ้าชายฟิลิปในสื่ออังกฤษ คือช่วงที่ เจ้าชายฟิลิปเสด็จประทับที่โรงพยาบาล King Edward VII ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2020 นานถึง 1 เดือน และมีรับสั่งให้เจ้าฟ้าชายชาล์ส เสด็จเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์

แต่หลังจากที่เสด็จออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน ก็มีข่าวการสิ้นพระชนม์ในวันนี้

เจ้าชายฟิลิป ถือเป็นสมาชิกในราชวงศ์อังกฤษที่มีบุคลิกเฉพาะตัว เป็นนักกีฬาตัวยง มีอารมณ์ขันอยู่เสมอ

ริชาร์ด ชาร์เตอร์ส บิชอปแห่งลอนดอน ได้เคยกล่าวถึงเจ้าชายฟิลิปว่า หากมีใครสักคนที่มีโอกาสได้อภิเษกสมรสกับพระราชินีแห่งอังกฤษ หลายคนมักคิดว่าเขาคนนั้นคงมีบุคลิกอันน่าเบื่อ เต็มไปด้วยแบบแผน แต่ท่านดยุคแห่งเอดินบะระ ไม่เป็นเช่นนั้น ท่านมีความสามารถหลายอย่างน่าทึ่ง ที่ไม่เคยทำให้ใครเบื่อ


อ้างอิง:

https://www.bbc.com/news/uk-11437314

https://www.theguardian.com/uk-news/2021/apr/09/prince-philip-duke-of-edinburgh-dies?CMP=fb_gu&utm_medium=Social&utm_source=Facebook#Echobox=1617966382

ข่าวดีในวงการแพทย์วันนี้ ทีมแพทย์ญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนถ่ายปอด จากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 เรื้อรังจนปอดเสียถาวรได้แล้ว ซึ่งนับเป็นเคสการผ่าตัดเปลี่ยนปอดจากคนเป็นสู่คนเป็นได้เป็นรายแรกของโลก

ผู้ป่วยโควิด-19 รายนี้เป็นแม่บ้านชาวคันไซ ติดเชื้อ โควิด-19 ในช่วงปลายปี 2020 และเชื้อไวรัสได้เข้าไปทำลายปอดของเธอจนปอดไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ จำเป็นต้องใช้ปอดเทียมภายนอกเพื่อพยุงชีวิตไว้เท่านั้น

ทีมแพทย์จากมหาวิทยาเกียวโต นำโดย ด็อกเตอร์ ดาเตะ ฮิโรชิ ต้องหาผู้บริจาคอวัยวะให้กับแม่บ้านหญิงท่านนี้เป็นการด่วน ที่โดยทั่วไปมักเป็นผู้บริจาคที่สมองถูกทำลาย แต่อวัยวะอื่น ๆ ยังคงทำงานอยู่ แต่ทั้งนี้ก็เป็นเคสที่หายากมาก ๆ ในญี่ปุ่น และไม่รู้ว่าจะพบผู้บริจาคเช่นนี้ได้เมื่อไร

ดังนั้น สามี และลูกชาย ของคุณแม่บ้าน จึงตัดสินใจบริจาคเนื้อเยื่อปอดบางส่วนให้ หากมันจะสามารถนำไปใช้กับภรรยาของเขาได้ หลังจากนั้นทางทีมแพทย์ของด็อกเตอร์ ดาเตะ จึงได้ตัดสินใจทดลองรักษา

และน่าทึ่งอย่างมาก เพราะปรากฏว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ ทั้งสามี และ ลูกชาย สามารถบริจาคเนื้อเยื่อปอดบางส่วนได้ และปลอดภัย ส่วนแม่บ้านชาวคันไซยังคงต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลต่ออีกราว ๆ 2 เดือน โดยสภาพร่างกายถือว่าน่าพอใจ

เหตุการณ์นี้ นับเป็นการเปลี่ยนถ่ายปอด โดยผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตสมบูรณ์เป็นรายแรกของโลก หลังจากก่อนหน้านี้ที่สหรัฐอเมริกาเคยมีกรณีจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนปอดให้กับผู้ป่วยโควิด-19 เช่นเดียวกัน และได้ใช้กลยุทธที่เรียกว่า ‘Covid to Covid’ โดยใช้ปอดของผู้ที่เคยป่วยเป็น โควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่เสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นมาเปลี่ยนให้กับผู้ป่วย โควิด-19 อีกต่อหนึ่งได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นผู้บริจาคอวัยวะที่ถือว่าเสียชีวิตแล้ว

ดังนั้นความก้าวหน้าของทีมแพทย์ญี่ปุ่นในครั้งนี้ จึงกลายเป็นความหวังของผู้ป่วยโควิด-19 เรื้อรัง จนปอดได้รับความเสียหายอีกเป็นจำนวนมากทั่วโลก ที่ยังมีโอกาสหาผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต และยินดีบริจาคบางส่วนของอวัยวะอันมีค่าให้กับคนในครอบครัว ให้สามารถใช้ชีวิตได้ร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง


อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2021/04/09/asia/japan-lung-transplant-covid-intl-hnk/index.html

https://www.bbc.com/news/world-asia-56684073

โรงพยาบาลสนามเชียงใหม่ พร้อมรับมือโควิดระบาด ติดตั้งระบบเสมือนห้องความดันลบ ฟอกอากาศกำจัดเชื้อที่จะออกจากอาคารได้ปลอดภัย เปิดใช้งานแล้ว 9 เม.ย.64 เบื้องต้นรับได้ 280 เตียง แต่พร้อมขยายเพิ่มเป็น 700 เตียง

หลังจากจังหวัดเชียงใหม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นวันเดียว 36 ราย ทำให้ยอดสะสมระลอกใหม่พุ่งขึ้นเป็น 47 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกต่อเนื่อง ล่าสุดทางคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ได้สั่งเตรียมความพร้อมสำหรับโรงพยาบาลสนาม หลังประเมินสถานการณ์แล้วว่าจะรุนแรงกว่าทุกทั้งที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะส่งผลให้พื้นที่ในโรงพยาบาลแต่ละแห่งไม่เพียงพอสำหรับดูแลผู้ป่วยจำนวนมาก อีกทั้งแต่ละโรงพยาบาลก็ยังมีภาระในการดูแลผู้ป่วยทั่วไปด้วย

ดังนั้นจึงมีการเตรียมพร้อมเปิดโรงพยาบาลสนามที่ก่อนหน้านี้มีการวางแผนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยใช้อาคารของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ 7 รอบพระชนมพรรษา ซึ่งมีห้องโถงใหญ่ 3 โถง แบ่งใช้ 1 ห้องโถงติดตั้งระบบ และเตียงไว้จำนวน 280 เตียง แบ่งเป็นชาย 140 เตียง หญิง 140 เตรียม พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น

ขณะที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลสนามนั้น นายแพทย์ วรวุฒิ โฆวัชรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย ในฐานะผู้รับผิดชอบการวางแผนโรงพยาบาลสนาม เปิดเผยว่า ขณะนี้พร้อมที่จะเปิดโรงพยาบาลสนามแล้ว ซึ่งโรงพยาบาลสนามจะสามารถรองรับผู้ป่วยได้ 280 เตียง แบ่งเป็นชาย 140 และหญิง 140

ทว่าหากมีมากกว่านี้จะสามารถขยายได้อีกเป็น 3 เท่า เนื่องจากห้องโถงที่ใช้เป็นโถงแรก แต่ที่ศูนย์ประชุมแห่งนี้มีอีก 2 โถงใหญ่ โดยจะใช้รองรับผู้ป่วยที่อาการไม่หนัก สามารถช่วยเหลือตนเองได้เป็นปกติ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ก็จะมีการส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลหลักที่เตรียมไว้ โดยจะมีแพทย์พยาบาลมาตรวจสุขภาพทุกวัน

ส่วนการเลือกใช้สถานที่แห่งนี้นั้น เพราะเชียงใหม่ประสบภาวะเรื่องของมลพิษทางอากาศจากหมอกควันและไฟป่า ส่งผลให้ค่า PM 2.5 สูง ซึ่งโควิด-19 เป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจจะโจมตีที่ปอดเป็นหลัก ดังนั้นฝุ่นควันจึงจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ป่วยจึงต้องเตรียมสถานที่ที่มีระบบปรับอากาศรองรับ ทั้งส่วนของเตียงผู้ป่วย ห้องน้ำ ก็อยู่ในอาคารทั้งสิ้น สะดวกสบายกว่าที่อื่น ๆ

สำหรับโรงพยาบาลสนามในศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จะมีระบบดูดอากาศเหมือนเป็นห้องความดันลบเล็กๆ ซึ่งตั้งระบบดูดอากาศไว้ด้านนอกอาคาร เมื่อดูดออกไปก็จะมีตัวกรองเชื้อโรคที่ปลายทาง โดยอากาศที่ดูดออกไปจะถูกแสงอัลตราไวโอเลตกำจัดเชื้อ รวมทั้งตัวกรองอากาศเฮปปาอีกชั้น ทำให้มั่นใจได้ว่าอากาศที่ออกจากอาคารนี้จะปลอดเชื้อ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์นั้นจะระดมมาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งเชียงใหม่ มาเข้าเวรเป็นผลัด ผลัดละ 12 ชั่วโมง และเนื่องจากว่าคนไข้ที่ใช้โรงพยาบาลสนามจะเป็นคนไข้ที่อาการไม่รุนแรงสามารถช่วยเหลือตัวเองได้เดินไปมาเองได้ จึงจะใช้พยาบาลประมาณ 4 คนต่อจำนวนผู้ป่วยประมาณ 50 คน แต่อาจจะเพิ่มจำนวนได้ถ้าจำนวนผู้ป่วยมากกว่านี้

ทั้งนี้บรรยากาศที่โรงพยาบาลสนามช่วงเช้านี้ ทางเจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดเช็ดถูเตียงและพื้นที่ทั้งหมดอีกครั้ง เตียง ฟูก ผ้าปู หมอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม รวมทั้งตู้เก็บของ ก็เป็นของใหม่หมดที่จัดซื้อจากงบของภาครัฐร่วมกับการสนับสนุนของภาคเอกชน ด้านหน้าทางเข้ามีระบบคัดกรอง ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ห้องเปลี่ยนชุด PPE ของบุคลากรทางการแพทยที่จะเข้าออก และมีห้องพักของบุคลากรที่จะต้องมาเข้าเวร


ที่มา: http://https://mgronline.com/local/detail/9640000033943

'ชลบุรี' พบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 34 ราย โยงผับกรุงเทพฯ - คลัสเตอร์ร้านฟริ้นสโตน

“ชลบุรี” พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพิ่มอีก 34 ราย ยอดสะสม 781 ราย โยงสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ​ ผับทองหล่อ คลัสเตอร์ร้านฟริ้นสโตนมากสุด 15 ราย ยังอยู่ระหว่างรอผลตรวจ 691 ราย พร้อมออกประกาศเตือนสถานที่เสี่ยงในจังหวัด

เพจเฟซบุ๊กสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรี (สสจ.ชลบุรี) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ใน จ.ชลบุรีว่า วันนี้มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ยืนยันรายใหม่เพิ่มอีก 34 ราย ดังนี้

1.) เป็นครอบครัวผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย

2.) เป็นพนักงาน ร้าน Voice Bar 1 ราย

3.) ครอบครัวผู้ติดเชื้อที่ไปสถานบันเทิง ที่ กทม. 1 ราย

4.) ผู้ที่อาศัยจาก กทม. มารักษาที่ชลบุรี 1 ราย

5.) ผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันจากคริสตัลผับ ที่ กทม. 2 ราย

6.) เป็นพนักงานสถานบันเทิงที่ กทม. 1 ราย

7.) สัมผัสผู้ป่วยยืนยันจาก TOPONE Club ที่ กทม. 2 ราย

8.) อยู่ระหว่างรอสอบสวนโรค 10 ราย เป็นชาวไทย 8 ราย และชาวจีน 2 ราย

9.) Cluster ร้านฟริ้นสโตน 15 ราย

โดยวันนี้มีการค้นหาผู้สัมผัสทั้งหมด 691 ราย ยังอยู่ระหว่างรอผลตรวจ

ขณะนี้มีการระบาดในหลายพื้นที่ทั้ง กทม. และปริมณฑล รวมทั้งมีการนำเชื้อเข้ามาแพร่ระบาดใน จ.ชลบุรี ใน อ.ศรีราชา และ อ.เมืองชลบุรี ซึ่งกำลังดำเนินการค้นหาผู้สัมผัสให้ได้มากที่สุดเพื่อนำมารักษาไม่ให้แพร่เชื้อต่อไป

จึงขอความร่วมมือให้ผู้ที่มีความเสี่ยงตามประกาสของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19

และขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตวีถีใหม่อย่างเคร่งครัดในสุขอนามัยส่วนบุคคล และปฏิบัติตามมาตราการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัดเมื่อมีกิจกรรมที่มีคนมารวมตัวกันหมู่มาก


ที่มา:

https://www.facebook.com/318251788326658/posts/2005718322913321/

https://www.prachachat.net/general/news-645719

ศ.นพ.ยง โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้ 'โควิดสายพันธุ์อังกฤษ'​ มาจากแรงงานจากประเทศกัมพูชาและประเทศไทย ที่ข้ามฝั่งไปมาระหว่างกัน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึง การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ ที่กำลังแพร่การระบาดในประเทศไทยขณะนี้ โดยคาดว่าจะมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง 'กัมพูชา'​ ว่า...

...การระบาดของโควิด-19 ที่สมุทรสาครเป็นสายพันธุ์ 'พม่า'​ ส่วนการระบาดที่สถานบันเทิง สายพันธุ์มาจาก 'เขมร'​

ข้อมูลค่อนข้างชัดมาก มีการระบาดที่เขมรมาก่อน และผมได้ติดต่อ กับผู้ที่ผมสนิทด้วย ทำงานอยู่สถาบันปาสเตอร์ในกรุงพนมเปญ สายพันธุ์อังกฤษเริ่มระบาดในเขมร ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ และขณะนี้ยังระบาดหนักมาก

ทั้งนี้​ หมอยง​ ยังได้บอกถึงเหตุผลที่บอกว่าการระบาดที่ทองหล่อ น่าจะมาจากเขมรอีกด้วยว่า...

...การระบาดที่ทองหล่อและระบาดอย่างมากในประเทศไทยขณะนี้ โดยเฉพาะมาจากสถานบันเทิง ที่เป็นแหล่งต้นตอของการแพร่กระจายอย่างมากนั้น​ เป็นไวรัสสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7

ขณะที่แต่เดิมการระบาดที่สมุทรสาครและแพร่กระจายไปทั่วประเทศตั้งแต่เดือนธันวาคม เป็นสายพันธุ์ในกลุ่ม GH ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกับการพบในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศพม่า

ส่วนสายพันธุ์อังกฤษได้เริ่มมีการระบาดอย่างมากในประเทศเขมร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ จนกระทั่งปัจจุบันการระบาดก็ยังไม่หยุด มีผู้ป่วยในการระบาดรอบนี้ร่วม 3,000 คนและมีการเสียชีวิตมากกว่า 20 คน

ทั้งนี้​ จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก​ ได้มีการถอดรหัสพันธุกรรมของผู้ป่วยในเขมรที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานในการระบาดโรคนี้ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นสายพันธุ์ B.1.1.7

สอดคล้องกับการถอดรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์ทองหล่อ โดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก 'จุฬา'​ ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ รวมทั้งสวทช. แสดงให้เห็นว่า...

...พันธุกรรมของ 'ไวรัสสายพันธุ์ทองหล่อ'​ อยู่ในกลุ่มเดียวกับสายพันธุ์ที่ระบาดใน​ 'เขมร'​ มีความเหมือนกัน และเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อังกฤษที่ศูนย์ไวรัส ได้ถอดรหัสพันธุกรรมโควิด-19 จากผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ​ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษและยุโรป อเมริกา ความเหมือนของสายพันธุ์จะเหมือนกับสายพันธุ์ที่แยกได้จากเขมร

การระบาดในเขมรเกิดขึ้นก่อนในประเทศไทย โดยเกิดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และระบาดอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยการถอดรหัสพันธุกรรม มีความเหมือนกัน

หมอยง​ ชี้อีกว่า​ การระบาดในประเทศไทยเกิดขึ้นหลังจากการระบาดในเขมรมานานกว่า 6 สัปดาห์

ฉะนั้นเมื่อเรียบเรียงตามระยะเวลา ความเป็นไปได้จึงน่าจะเป็นจากเขมรมาประเทศไทย มากกว่าประเทศไทยไปเขมร

ข้อมูลทั้งหมด​ เป็นข้อมูลที่สนับสนุน โดยเฉพาะทางด้านสายพันธุ์ พันธุศาสตร์ ว่าการระบาดครั้งนี้ น่าจะมาจากประเทศกัมพูชา ส่วนจะมาด้วยวิธีใด ก็คงจะต้องมีการสืบหากันต่อไป


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=5494769050565667&id=100000978797641

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=5498370723538833&id=100000978797641

เชื่อเถอะว่าในชีวิตของเด็กมัธยมปลายหลาย ๆ คน ถ้าเป็นไปได้ คงอยากมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศในฐานะของนักเรียนต่างแดนสักครั้ง

แต่ก็แน่นอนว่าการจะไปตรงจุดนั้นได้ ก็จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากพอสมควร ซึ่งหลายคนอาจจะเลือกไปโครงการแลกเปลี่ยนตอน ม.ปลาย หรือบางคนก็เลือกตอนจบ ม.ปลาย โดยการสอบชิงทุนก็มี

แต่ทราบหรือไม่ว่า มีอยู่อีกหนึ่งในทุนที่เด็กๆ หลายๆ คนต่างใฝ่ฝันที่จะคว้ามาครอง นั่นก็คือ ‘ทุนคิง’ หรือทุนเล่าเรียนหลวง เพราะไม่ว่าคุณจะไปในมหาวิทยาลัยที่จำเป็นต้องใช้ปัจจัยสูงมากน้อยเพียงใด ทุนนี้สนับสนุนให้แบบครบจบ

...ว่าแต่ ‘ทุนคิง’ หรือ ‘ทุนเล่าเรียนหลวง’ คืออะไร?

ต้องเกริ่นก่อนว่าชื่อเสียงของทุนคิงนั้นเป็นทุนที่ไม่ธรรมดาเอามากๆ เพราะเป็นการแข่งขันชิงทุนที่โหดสุด ๆ บางคนถึงกับแนะนำว่าถ้าอยากได้ทุนนี้ ต้องเริ่มตั้งใจเรียนให้เก่ง ๆ ตั้งแต่ ม.4 แล้วสะสมความรู้ไว้เยอะ ๆ พอถึง ม.6 ก็สมัครสอบได้เลย

สำหรับ ทุนเล่าเรียนหลวง (King’s Scholarship) หรือที่หลายๆ คนเรียกกันติดปากว่า ‘ทุนคิง’ นั้น เป็นทุนให้นักเรียนมัธยมปลายที่ศึกษาในไทยที่จะไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในต่างประเทศ ซึ่งเป็นทุนที่โด่งดังมากที่สุด เพราะเป็น ‘ทุนให้เปล่า’ ที่ทำให้ตัวเด็ก ๆ สามารถเลือกได้เลยว่าจะเรียนอะไร เรียนที่ไหน และไม่ต้องกลับมาใช้ทุนในหน่วยงานรัฐบาล

แต่ก็จะมีข้อผูกมัดเพียงข้อเดียวคือ เมื่อเรียนจบต้องกลับมาทำงานที่ไทย ถ้าหากไม่กลับมาทำงานที่ไทยจะต้องชดใช้เงินทุนคืนทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้นปีหนึ่ง ๆ จะมีแค่ 9 ทุนต่อปีเท่านั้น แบ่งเป็นสายวิทย์-คณิต 5 ทุน / ทุนศิลป์-ภาษา 2 ทุน และทุนศิลป์-คำนวณ 2 ทุน โดยมูลค่าทุน ก็ครอบคลุมค่าเทอมทั้งหมด / ค่าหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา (เช่น ค่าคอมพิวเตอร์) / เบี้ยเลี้ยงประจำเดือน / ค่าใช้จ่ายเตรียมตัวก่อนบิน และค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (เรียกว่าเรียนฟรีกันเลยทีเดียว)

ส่วนคุณสมบัติของทุนคิงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะเปิดให้โอกาสกับคนที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีของวันที่กำหนด ศึกษาอยู่ในชั้นปีสุดท้ายของหลักสูตร ม.ปลาย ได้เกรดเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 3.50 ไม่เคยสอบตกตอนอยู่ ม.ปลาย และไม่มีพันธะสัญญาทุนอื่น ๆ

ทั้งนี้จากสถิติที่ผ่านมา (เท่าที่หาข้อมูลได้ ปีล่าสุดคือ 2018) นักเรียนทุนคิงส่วนใหญ่เลือกไปเรียนต่อที่อเมริกาถึง 86% ที่เหลือไปเลือกไปเรียนต่อที่อังกฤษ ส่วนคณะที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ก็คือ แพทยศาสตร์, นิติศาสตร์, เศรษฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งนักเรียนทุนคิงส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากโรงเรียนเตรียมอุดม

สำหรับเด็กอัจฉริยะที่สามารถคว้าทุนคิงในปีนี้นั้น เป็นเด็กสาวคนเก่งที่ชื่อ ‘น้องพลอย - พิชามญชุ์ อัศวผดุงสิทธิ์’ โดยเธอเรียนจบมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดม โครงการพัฒนาความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ (Gifted Math) เกรดเฉลี่ย 4.00 พร้อมพ่วงเหรียญทอง เคมีโอลิมปิกระดับนานาชาติ (International Chemistry Olympiad : 51th IchO)

โดยปัจจุบันเธอได้กลายเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง (สายวิทย์) ประจำปี 2563 โดยได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) นอกจากนี้ยังได้รับการตอบรับจากอีกแห่ง คือ Harvard University ซึ่งในปีนี้ได้ถูกจัดอันดับโดย QS World University Rankings 2021 ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย

ล่าสุดจากเฟซบุ๊ก Jom Jaroenta ซึ่งเป็นคุณแม่ของ น้องพลอย ได้โพสต์ว่า…

#HarvardUniversityClassOf2025

สิ้นสุดการรอคอย ข่าวดีและลุ้นนนนที่สุดในปีนี้ของการสมัครเรียนมหาวิทยาลัยระดับโลก

#SoProundOfYou พี่พลอย...ลูกสาวของแม่

Harvard announced it admitted 1,968 applicants to the Class of 2025.

A total of 57,435 applications were received, resulting in an overall admit rate of 3.4 percent.

ก็เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเด็กไทยสายมหัศจรรย์ที่เก่งกาจ จนสามารถง้างประตูรั้วสุดยอดมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Harvard และ MIT ได้พร้อม ๆ กัน ซึ่งตอนนี้เท่าที่ทราบ ดูเหมือนน้องจะเลือกลงหมุดกับ MIT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีสาขาที่สนใจได้แก่ 1.Biochemical Engineering และ 2. Data Science โดยจะเลือกอีกทีตอนปี 2 ส่วนภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในด้านการศึกษา ทาง ‘ทุนคิง’ ก็ช่วยจัดการให้ทั้งหมด

เตรียมต้อนรับอนาคตคนเก่งของชาติในเร็ววันได้เลย!!

ปรบมือ!!

ติดตามบทสัมภาษณ์เต็มๆ ของเด็กไทยคนเก่ง ‘น้องพลอย - พิชามญชุ์ อัศวผดุงสิทธิ์’ ได้ใน

Click on Clear >> https://fb.watch/4IXae4roCf/


อ้างอิง: https://www.facebook.com/100006977258422/posts/2857884234454124/

https://www.hotcourses.in.th/study-abroad-info/applying-to-university/everything-you-need-to-know-about-king%27s-scholarship/

เป็นข่าวเป็นคราวดังอยู่ในช่วงอาทิตย์นี้ สำหรับกลุ่มคนพม่าระดับไฮโซที่พยายามจะหาทางลี้ภัยออกจากเมียนมา โดยเอย่าเคยบอกแล้วว่าเป้าหมายที่คนเมียนมาต้องการไปมี 2 ประเทศหลัก ๆ คือ ประเทศสิงคโปร์ และ ‘ไทย’

สาเหตุหลักนอกจากความสะดวกสบายแล้ว อีกสาเหตุหนึ่ง คือ ชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกินของสิงคโปร์และไทย ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของคนเมียนมามาช้านานแล้ว

ดังนั้นในวันที่โควิด-19 ครองโลกและทหารครองเมือง วิธีการที่จะเดินทางออกจากประเทศได้นั้น มีแค่เพียงไม่กีวิธี

ทว่า ในส่วนของวิธีการที่สามารถนำครอบครัวทั้งหมดไปตั้งรกรากได้อย่างสบาย ในประเทศไทยก็ต้องใช้เอกสิทธิ์ที่เรียกว่า ‘Thailand Elite Card’ ซึ่งวันนี้ เอย่า อยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักว่า Thailand Elite Card มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง

Thailand Elite Card หนึ่งในโครงการที่ดำเนินการขึ้นเพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามา ทั้งเพื่อท่องเที่ยวและทำธุรกิจในประเทศไทย โดยการจ่ายเงินหลักล้าน เพื่อซื้อแพ็กเกจแลกกับ ‘สิทธิประโยชน์’ ที่จะได้รับเมื่อเดินทางหรืออาศัยอยู่ในประเทศไทย

ที่มาของ Thailand Elite Card เกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 เป็นโครงการของรัฐบาลในยุคทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ดำเนินการภายใต้บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผู้ถือหุ้นเพียงหนึ่งเดียวของบริษัทฯ

ในโครงการนี้รัฐบาลจะขายบัตร ให้กับชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าไทย โดยเฉพาะบุคคลที่ร่ำรวย ทั้งที่เข้ามาแบบนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักลงทุน รวมถึงเข้ามาท่องเที่ยว พักผ่อนระยะยาวในประเทศไทย ในราคาตั้งแต่ราว 500,000 บาท ไปจนถึง 2,000,000 บาท โดยสิทธิประโยชน์ที่จะได้ตามมา คือ สารพัดความ ‘วีไอพี’ เช่น สิทธิพิเศษสำหรับการเข้าเมือง การบริการที่สนามบิน สถานที่พักผ่อนต่าง ๆ สนามกอล์ฟ สปา โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร โรงพยาบาล ฯลฯ

อย่างไรซะ คนเมียนมากับบัตร Thailand Elite Card ค่อนข้างคู่ขนาน เพราะคนเมียนมาน้อยคนที่ต้องการจะเป็นเจ้าของ เนื่องด้วยความที่เมียนมากับไทยเป็นบ้านใกล้เรือนเคียง จึงแทบจะไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเงินเพื่อซื้อบัตร เพียงเพื่อเอาสิทธิ์พิเศษแต่อย่างใด แถมหลายคนยังมีเพื่อนที่เป็นคนไทยที่สามารถช่วยเหลือพึ่งพากันได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนเมียนมาส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้เงินกันอย่างสุรุ่ยสุร่ายอีกด้วย

แต่ในภาวะการณ์เช่นนี้ มันไม่ใช่การที่จะมาเที่ยวเหมือนอย่างในอดีต แต่เป็นการมาแบบ ‘ลี้ภัย’ ดังนั้น Elite Card จึงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกของเศรษฐีเมียนมาที่สนใจจะเดินทางมาอยู่ในประเทศไทยแบบ Long Stay

ฉะนั้นจากนี้ทางรัฐบาลคงต้องชั่งใจให้ดีว่า Elite Card จะกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างปัญหาระหว่างประเทศหรือไม่ หรือจะสนใจแค่เม็ดเงินที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ได้มองถึงเรื่องของผู้ลี้ภัยที่จะเข้ามาสร้างปัญหาหรือใช้ไทยเป็นสถานที่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาหรือไม่

งานนี้ เอย่า ว่าคงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางรัฐบาลไทยแล้วล่ะ!!


ที่มา: AYA IRRAWADEE

เข้าใจอยู่ว่าใคร ๆ ก็กลัวถูกด่า แต่นาทีนี้ใครปิดไทม์ไลน์ เท่ากับมีความผิด และใครปกปิดหลักฐาน เช่น ลบภาพสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ตนเองได้ไป ก็คงไม่ดีนัก​ ฉะนั้นเปิดตัวกันตรง ๆ สังคมน่าจะได้ประโยชน์ อย่าได้กลัว!!

ล่าสุด เพจ 'ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก' ได้โพสต์เฟซบุ๊ก อวยดาราคนจริง 'พลอย เฌอมาลย์' หลังไม่ลบรูปสถานที่เสี่ยงที่ตนไปร่วมงานว่า...

ไม่รู้จะคุณมัม พลอย เฌอมาลย์ เป็นดาราคนเดียวที่ไม่ลบรูปที่มีข่าวดารา คนดังไปงานปาร์ตี้มาที่ภาคใต้รึเปล่า แต่นี่คือหนึ่งในคนที่เออ ไปมาจริง ไม่หนี ไม่ลบรูป และพร้อมแสดงความรับผิดชอบจริง

โดยที่เจ้าตัวแจ้งในไอจีว่ากักตัวแล้ว และยกเลิกทริปพร้อมงานทั้งหมดในเดือนเมษายน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด และจะมาแจ้งผลการตรวจต่อไป

ส่วนตัวประทับใจนะ ไม่ลบแล้วทำนิ่ง เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิด พอเกิดแล้วก็รีบแก้ไขและแจ้งไทม์ไลน์และเอกสารทั้งหมดจริง ๆ

ใครดีก็อวยยศ ที่ลบแล้วเงียบอันนั้นไม่น่ารักแต่อย่างใดนะ ไม่ใช่แค่ดารา แต่ประชาชนทั่วไปก็ด้วย ถ้าเราไปงานที่ได้รับแจ้งว่ามีผู้ติดเชื้อและมีการไปที่อื่นอีกไหมหลังจากนั้น การแจ้งไทม์ไลน์อย่างไม่ปกปิดอย่างดี

มันช่วยลดเรื่องการระบาดไปได้เยอะเลยนะคะ

ขอบคุณคุณมัมค่ะ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=301049538046233&id=100044235679015

แอสตร้าเซนเนก้า แจงข้อมูลผลข้างเคียงจากวัคซีนโควิดอีกด้าน ระบุ 'ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน-เกล็ดเลือดต่ำ’ เกิดยากมาก หลังองค์การยายุโรป มีความเห็นเชื่อมโยงกับวัคซีน แต่เกิดได้ยาก ขณะที่ภาพรวมมีประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง

รายงานความคืบหน้าหลังการแถลงข่าวจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของสหราชอาณาจักร (MHRA) และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของยุโรป (EMA) เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า

เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของสหราชอาณาจักร (MHRA) และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพของยุโรป (EMA) ได้ประเมินถึงการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบได้ยากมากในประชาชนกว่า 34 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าใน สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป

ทั้งสองหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ขอให้แอสตร้าเซนเนก้าปรับเปลี่ยนข้อความบนฉลากวัคซีนที่ใช้ในสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป โดยไม่มีการระบุถึงปัจจัยเสี่ยงใด ๆ อาทิ อายุ เพศหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ซึ่งพบได้ยากมากนี้ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานทั้งสองมีความเห็นต่อเหตุการณ์นี้ว่ามีความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับวัคซีนและขอให้ระบุว่าเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ยากมาก

โดยภาพรวมแล้วทั้ง MHRA และ EMA ได้ยืนยันอีกครั้งว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถช่วยป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรงได้และประโยชน์เหล่านี้นั้น ยังคงมีมากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์

แอสตร้าเซนเนก้าได้ร่วมมืออย่างแข็งขันกับหน่วยงานต่างๆที่ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านยาเพื่อดำเนินการเพิ่มเติมข้อมูลเหล่านี้ในเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ พร้อมกันนี้กำลังศึกษาและทำความเข้าใจการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยแต่ละราย การระบาดวิทยา รวมถึงกลไกที่น่าจะเป็นไปได้ เพื่อจะอธิบายภาวะที่เกิดขึ้นได้ยากมากนี้

นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังกล่าวในวันนี้ว่า จากข้อมูลปัจจุบันนั้น ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของการเกิดภาวะนี้มีความเป็นไปได้แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ และระบุว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเฉพาะทางเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการฉีดวัคซีนและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เป็นไปได้

องค์การอนามัยโลก ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้พบได้ยากมากและมีรายงานการเกิดภาวะนี้ในตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ทั่วโลกเกือบ 200 ล้านคน

ยืนยันอีกรอบ คลิปเสียงหมอศิริราช แนะนำกินยาเขียว เพื่อรักษาโควิด-19 เป็นของปลอม ย้ำชัดไม่ใช่เสียง ‘คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช’ ซ้ำร้าย ‘ยาเขียว’ ไม่มีสรรพคุณรักษาโควิด-19

ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความในประเด็นเรื่อง คลิปเสียงหมอศิริราช แนะนำกินยาเขียว เพื่อรักษาโควิด-19 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีการส่งต่อคลิปเสียงโดยระบุว่าเป็นเสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่กล่าวถึงการรักษาโควิด-19 โดยให้รับประทานยาเขียวเพื่อทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เมื่อร่างกายเกิดความร้อนก็จะมีการขับเหงื่อและปัสสาวะออกมาซึ่งเชื้อไวรัส จะออกมาด้วยกับเหงื่อและน้ำปัสสาวะ อุจจาระนั้น ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ชี้แจงว่า เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

และข่าวนี้เป็นข่าวเก่าที่เคยมีการส่งต่อแล้ว ซึ่งการใช้ยาเขียวในการรักษาโรคเป็นองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนไทยที่ใช้กระทุ้งไข้ หัด อีสุกอีใส อีกทั้งยาเขียวยี่ห้อดังกล่าวไม่มีการบอกสูตรยาที่แน่นอน และยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้น จึงยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถใช้รักษาโรค โควิด-19 ได้

โดยยาเขียวเป็นตำรับยาไทย ตามองค์ความรู้ของแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้าน ที่มีการใช้กันมานานหลายทศวรรษ และเป็นตำรับที่ยังมีการผลิตขายทั่วไปตราบจนปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปในสมัยก่อนจะรู้จักวิธีการใช้ยาเขียวเป็นอย่างดี กล่าวคือ มักใช้ยาเขียวในเด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เช่น หัด อีสุกอีใส เพื่อกระทุ้งให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว ซึ่งยาเขียวจัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวส่วนใหญ่มีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งพิษในที่นี้หมายถึงของเสียหรือความร้อนที่อยู่ภายในร่างกายเท่านั้น

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ หากต้องการรับรู้ข่าวสารเพิ่มเติม จากข่าวประชาสัมพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://www.si.mahidol.ac.th หรือโทร. 02 4197646 ต่อ 50

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : เสียงดังกล่าวไม่ใช่เสียงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช ที่ถูกแชร์ซ้ำเมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ดังนั้น จึงยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าการกินยาเขียว สามารถใช้รักษาโรค โควิด-19 ได้

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ด่วน..!!!! ผู้อำนวยการ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ออกประกาศแจ้งให้วปอ.รุ่น 63 ตรวจหาเชื้อ - กักตัว 14 วัน หลังพบนักศึกษาติดโควิด ขณะที่ในรุ่นมี ทหาร-ตำรวจ-นักธุรกิจ-ราชการ ร่วมเรียนอื้อ

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.พล.ท.วิโรจน์ เกิดแสง ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ได้ออกประกาศวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 63 ในกรณีสถานการณ์ไม่ปกติ อันเนื่องมาจากภาวการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19

โดยระบุว่า ได้รับรายงานว่ามีนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 63 จำนวน 1 คน ติดเชื้อ และ มีนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 63 จำนวน 2 คน ขอกักตัวเนื่องจากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ประกอบกับมีข้าราชการ 1 คน ตรวจพบการติดเชื้อโควิด 19 เมื่อวันที่ 7 เมษายน จึงได้ขอยกเลิกการเดินทางไปดูกิจการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 26 - 30 เมษายน และเลื่อนการจัดสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 3 ระว่าง 20 - 22 เมษายน ไปก่อน และยกเลิกกิจกรรมการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ตังแต่ 8 เมษายน เป็นต้นไปถึง 30 เมษายน และขอให้นักศึกษา รุ่น 63 และข้าราชการ เข้ารับการตรวจ ตั้งแต่ 8 - 9 เมษายน และกักตัว 14 วัน ณ ที่พัก พร้อมรายงานในระบบทุกวัน

ทั้งนี้ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 63 มีผู้เข้ารับการศึกษา จำนวน 285 คน ประกอบด้วย ข้าราชการทหาร 94 นาย ข้าราชการตำรวจ 9 นาย ข้าราชการพลเรือน 77 คน พนักงานรัฐวิสาหกิจและองค์กรอิสระ 15 คน ภาคเอกชน 15 คน นักธุรกิจและบุคคลทั่วไป 68 คน นักศึกษาจากมิตรประเทศจำนวน 7 นาย จาก 7 ประเทศได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐเกาหลี สหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน และ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคปฐมนิเทศ และภาคการศึกษาหลัก

ป.ป.ส. จับมือขนส่ง และหน่วยงานภาคีเปิดปฏิบัติการรณรงค์ลดการใช้ยาเสพติดในผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลสงกรานต์กลับบ้านปลอดภัย ไร้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์

วันที่ 8 เมษายน 2564 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบยาเสพติด มอบหมายให้ นายสุนทร ชื่นศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ปปส.กทม. เปิดปฏิบัติการป้องกันการใช้ยาเสพติดในผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะ ประจำปี 2564 ภายใต้คำขวัญ "สงกรานต์กลับบ้านปลอดภัย ไร้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์" โดยมีหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล กรมการขนส่งทางบก บริษัทขนส่งจำกัด จำนวนกว่า 80 คน ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต) ทั้งนี้การดำเนินกิจกรรมอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-2019) ซึ่งเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุข

มติ ครม. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้มีวันหยุดยาวสงกรานต์ ประจำปี 2564 ระหว่างวันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 รัฐบาล โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้ประชาชนท่องเที่ยวตามแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) พร้อมอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับภูมิลำเนาให้ประชาชน และให้ความสำคัญเรื่องการลดความต้องการใช้ยาเสพติดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามนโยบาย สำนักงาน ป.ป.ส. กระทรวงยุติธรรม จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายลดความต้องการใช้ยาเสพติดในกลุ่มผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะ และประชาชนผู้ใช้บริการ

โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และความเข้าใจในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในการป้องกันตนเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ายาเสพติด และไม่รับฝากของจากคนแปลกหน้า เพราะจะกลายเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-2019) และเป็นไปตามหลักสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และความเข้าใจในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในการป้องกันตนเอง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ายาเสพติด และไม่รับฝากของจากคนแปลกหน้า เพราะจะกลายเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-2019) และเป็นไปตามหลักสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด


 

“ลุงพล - ป้าแต๋น” โร่ร้อง กมธ.กฎหมาย ขอความเป็นธรรมถูกสื่อคุกคาม

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ที่รัฐสภา นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎรรับเรื่องร้องเรียนจากนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล แห่งบ้านกกกอก พร้อมด้วยนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าว อาทิ อมรินทร์ทีวี ไทยรัฐทีวี และทีวีช่อง 8 คุกคามสิทธิมนุษยชน และมีการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริง จนทำให้นายไชย์พลและครอบครัวได้รับความเดือดร้อน จึงต้องมาร้องขอความอนุเคราะห์ และความเป็นธรรมต่อกรรมาธิการฯให้ช่วยให้ความเป็นธรรมด้านนายสิระ กล่าวว่า จะรับเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯเพื่อพิจารณาหาข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top