Wednesday, 7 May 2025
NEWS FEED

‘ทบ.’ ประกาศผลสอบคัดเลือก ‘นร.เตรียมทหาร’ สำหรับรอบสุดท้าย แบบทั่วไป ประจำปี 2567

(3 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า Chulachomklao Royal Military Academy’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ประกาศผลสอบรอบสุดท้ายการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ในส่วนของกองทัพบก ประจำปีการศึกษา 2567 (แบบทั่วไป) ขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ที่มีรายชื่อด้วยนะคะ”

1. โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ขอประกาศผลสอบรอบสุดท้ายการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก ประจำปีการศึกษา 2567 (แบบทั่วไป) ตามบัญชีรายชื่อ ท้ายประกาศนี้

2.ให้ผู้ที่ผ่านการสอบรอบสุดท้าย บุคคลตัวจริง และบุคคลสำรอง ดำเนินการดังนี้
2.1 วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2567 เวลา 08.00 น. - 12.00 น. รอรับการติดต่อกลับจากคณะกรรมการของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เพื่อยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบออนไลน์
2.2 วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2567 ถึงวันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม 2567 บุคคลตัวจริงทำสัญญาผ่านระบบออนไลน์กับโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ
2.3 วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567 เวลา 06.00 น. - 10.00 น. มอบตัวเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ณ โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก หากไม่ไปมอบตัวในวันและเวลาที่กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์

3. ในกรณีที่ผู้ผ่านการสอบรอบสุดท้าย บุคคลตัวจริงสละสิทธิ์ จะจัดผู้ที่สอบได้เป็นบุคคลสำรองทดแทนตามลำดับต่อไป

ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://faq.crma.ac.th/result/

‘ทอ.’ ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก เข้าเป็น ‘นักเรียนเตรียมทหาร’ ปี 2567

(3 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

ประกาศผลสอบรอบสุดท้ายคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ในส่วนของกองทัพอากาศ) ประจำปีการศึกษา 2567 คลิ๊ก http://www.admission.nkrafa.com/register/

ขอให้ผู้สอบผ่านรอบสอง นักเรียนเตรียมทหาร (ในส่วนของ ทอ.) ประจำปีการศึกษา 2567
กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง เพื่อตรวจสอบประวัติด้วยลายพิมพ์นิ้วมือ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScmfmquoGL_OHvhjrd6Fiz7qJIoGQP25q2MokaQxXb4-tQoVg/viewform?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR3CwaKorJ-U_I71hy9IyGDUSnjNOmeWHcFtF0NrAuhL2hll_Pw064plU9U_aem_ARpU4u2lL74XehdnHOjPnklJ5n--RgrsZDUwvMVk7YzSsK6E6gc7j-MYf1SN284D2Xp5nrtMXTTOgx9p8eI3VWLc   

'ชัชชาติ' ประสานเยียวยาครอบครัวผู้เสียหาย ปม 'ชายตกท่อ' ดับ ยัน!! แม้ไม่ใช่ของกทม. แต่ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

(3 พ.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงเหตุการณ์คนตกท่อกลางถนน บริเวณปากซอยลาดพร้าว 49 ว่า กรุงเทพมหานคร ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต สำหรับท่อดังกล่าวเป็นโครงการของการไฟฟ้านครหลวง เป็นท่อร้อยสายไฟซึ่งมีการปิดที่ไม่สมบูรณ์ โดยเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ทางเขตวังทองหลางได้มีการแจ้งหน่วยงานเจ้าของโครงการให้ดำเนินการซ่อม อย่างไรก็ตาม กทม.พร้อมรับหน้าที่ประสานงานเยียวยาผู้เสียหายจากหน่วยงานต้นสังกัด

โดยเหตุที่เกิดขึ้นวันนี้ เจ้าหน้าที่เทศกิจและรักษาความสะอาดฯ พบเห็นชายตกท่อของการไฟฟ้านวลจันทร์ เมื่อเวลาประมาณ 09.57 น. จึงได้ประสานสถานีดับเพลิงและกู้ภัยลาดพร้าวเร่งดำเนินการเข้าช่วยเหลือโดยการดำน้ำ พบร่างในเวลาประมาณ 11.20 น.

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวในตอนท้ายว่า ได้มีการกำชับไปยังผู้อำนวยการเขตทุกเขตแล้วว่า เรื่องนี้เราปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะแม้ไม่ใช่ท่อของเรา แต่เราก็เป็นเจ้าของบ้านซึ่งต้องคอยดูแล ให้ติดตามกำกับการก่อสร้างในพื้นที่เขตอย่างเคร่งครัด หากมีจุดที่มีความเสี่ยงอันตรายให้แจ้งผู้รับเหมาให้เร่งแก้ไขปรับปรุง ซึ่งถ้ายังไม่ดำเนินการให้นำป้ายแจ้งเตือนมาติด และใช้การดำเนินการทางกฎหมายเข้ามาร่วมด้วย พร้อมได้สั่งการให้ทุกเขตไปสำรวจการก่อสร้างในพื้นที่โดยละเอียดมากยิ่งขึ้น

'ชาวเน็ต' แหกหน้าหนุ่ม หลังโพสต์มั่วเรื่องรถไฟไทย ทั้งขนาดรางไม่เชื่อมจีน-มาเลย์ และ 'ทางคู่' ที่มิใช่ 'รางคู่'

(3 พ.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Chen Tai Shan' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า..."ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ….ประเทศไทยไม่ยอมทำรางรถไฟขนาดมาตรฐานที่สามารถเชื่อมกับโครงข่ายทั้งจีนและมาเลเซีย แต่ไปเอารางคู่แทน (ใช้เงินเยอะกว่าโครงข่ายแบบรถไฟความเร็วสูงด้วยนะ FYI)"

ก็ทำให้มีผู้สันทัดกรณีเข้ามาตอบคำถามเชิงความรู้แก่ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าว อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Wanwit Niampan ที่ได้โพสต์ข้อความตอบกลับไปว่า...

คุณไม่มีความเข้าใจเรื่อง Railway 101 เลย ขนาดทางรถไฟในโลกนี้มีมากกว่า 10 ขนาด แต่ขนาดที่มีจำนวน 'ต่อ กม. มากที่สุด' คือ 1.435 เพราะใช้เป็นเครือข่ายหลักในยุโรป และต่อมาประเทศที่มีการวางระบบโดยยุโรป และมีขนาดประเทศกว้างก็ถูกนำมาใช้ เช่น จีน, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ ซึ่งทางกว้างขนาด 1.435 มีชื่อว่า European Standard Gauge แปลว่า 'ขนาดความกว้างมาตรฐานยุโรป' แต่ไม่ได้หมายความว่ามันคือ มาตรฐานโลก

กรณีรถไฟความเร็วสูง ทำไมไม่ใช้ 1.435?

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่ใช้รถไฟความเร็วสูงเชิงพาณิชย์ประเทศแรก ซึ่งญี่ปุ่นใช้ทางกว้าง 1.067 (ขนาดที่มีระยะทางเป็นอันดับ 3 ของโลก) และไม่สามารถทำความเร็วได้ ประกอบกับมีทางโค้งและทางภูเขาเยอะ จึงต้องตัดทางใหม่เพื่อ Shinkansen โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จึงมีทางรถไฟทั้ง 1.067 และ 1.435

จากนั้นประเทศที่ผุดรถไฟความเร็วสูงมาใหม่ จึงยึดที่ 1.435 (รวมถึงยุโรปที่ใช้ 1.435 ไปเลย เพราะจะได้อัปเกรดทางเดิมได้โดยไม่ต้องสร้างเพิ่ม แต่รถจะวิ่งสูงสุดแค่ 210-230 บนทางเดิม)

สำหรับต้นทุน รถไฟความเร็วสูง 'สูงกว่ารถไฟทางคู่' ครับ มันคนละเทคโนโลยีกัน

ข้อต่อมา ทำไมต้องทำทางคู่

อันนี้แหละคือ โครงข่ายที่สมบูรณ์ที่สุดในการเข้าถึง 'พื้นที่เล็ก' แบบ INtercity รถไฟความเร็วสูงเป็นแค่ option ที่เสริมมาหลังจากที่โครงข่ายปกติมี capacity ที่สูง (เช่น โตเกียว-โอซาก้า ในยุคนั้นที่มี traffic สูงมาก และทางเดิมไม่พอกับปริมาณความต้องการ ประกอบกับมีการติดต่อกันระหว่างสองเมืองที่มีแบบตลอดแบบ Business ซึ่งกรณีนี้รถไฟความเร็วสูงมันได้ทำหน้าที่ 'เสมือนทางด่วน' ของรถยนต์ และทางรถไฟธรรมดามันคือ ทางหลวงระหว่างเมือง

ถ้าให้คุณเข้าใจง่ายที่สุด...
- รถไฟธรรมดา = ถนนหลวง
- รถไฟความเร็วสูง = ทางด่วน

ถนนหลวงที่มีแค่ 1 เลน มันจะขับคล่องไม่ได้ มันก็ต้องขยายเลน เพราะไม่ใช่ทุกเมืองที่ต้องใช้ทางด่วน ไม่ใช่ทุกปลายทางที่ต้องขึ้นทางด่วน

นอกจากนี้ ยังมีชาวเน็ตจำนวนมาก ที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวของ 'Chen Tai Shan' ต่างก็คอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า "คนโพสต์ยังแยกไม่ออกระหว่างขนาดความกว้างของราง กับ การทำทางคู่ ไม่ใช่รางคู่ รถไฟมันใช้รางคู่อยู่แล้ว" / "เมื่อคนไม่มีความรู้ไปพูดมั่ว ๆ เรื่องรถไฟ" / "ก่อนมีความเห็นควรมีความรู้ก่อน"

ส่วนเจ้าตัว เมื่อถูกชาวเน็ตท้วงติง ก็ออกมาโพสต์ตอบว่า... "เข้าใจครับและขอบคุณสำหรับความรู้ที่ให้ทุกท่านทราบในที่นี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ผู้บริหารผมไม่ขอพูดอะไรต่อครับ"

‘กมธ.อุตฯ’ ยื่นร่าง พ.ร.บ. เพิ่มโทษอาญาทิ้ง ‘กาก-สารพิษ’ จำคุก 5 ปี และปรับเพิ่มจาก 2 แสนบาทเป็น 1 ล้านบาท

(3 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร และ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงผลการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า สำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง นั้น กมธ.อุตสาหกรรม มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม ประกอบด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนายอำเภอบ้านค่าย จ.ระยอง

นายอัครเดช บอกต่อว่า เหตุเพลิงไหม้โรงงานดังกล่าวกินระยะเวลา 3-5 วัน ซึ่งสร้างมลภาวะในพื้นที่ชุมชนรอบโรงงานอย่างรุนแรง และได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยลงทะเบียน 601 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้จะสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว 100% แต่ยังมีกลุ่มควันเกิดขึ้นบางส่วนในอาคาร 4 และอาคาร 3 มี Aluminum Dose จำนวน 5 ตัน ซึ่งเป็นลาวาและพร้อมที่จะปะทุ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง และดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ประชาชนที่อยู่โดยรอบพื้นที่เกิดเหตุได้รับก๊าซพิษ และตรวจวัดพบว่าค่าสารหลายตัวเกินมาตรฐาน ดังนั้นสภาพอากาศรอบโรงงานช่วงนี้ยังไม่ปกติ กมธ.อุตสาหกรรม จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง และอย่าให้มีเหตุเพลิงไหม้ซ้ำอีก” นายอัครเดช กล่าว

นอกจากนี้ นายอัครเดช กล่าวต่อว่า สำหรับความเชื่อมโยงระหว่างโรงงานจังหวัดระยองกับโรงงานจังหวัดอยุธยานั้น ตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ อ.ภาชี ตนและกมธ.อุตสาหกรรมยังไม่ทราบ เพราะเพลิงไหม้เกิดขึ้นในช่วงเย็น แต่ได้รับทราบว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งมีความเชื่อมโยงกัน โดยเมื่อช่วงต้นปีได้ลงพื้นที่อำเภอภาชี เพราะได้รับการร้องเรียนจาก สส.ในพื้นที่ โดยพบว่ามีการเก็บสารอันตรายจำนวนมากไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานได้สั่งปิดโรงงาน ต่อมาก็มีเหตุเพลิงไหม้โดยมีสาเหตุคล้ายการวางเพลิง ดังนั้นในวันที่ 15 พ.ค.2567 ที่จะถึงนี้ กมธ.อุตสาหกรรม จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าไม่ปกติ

“เราทราบว่า โรงงานทั้ง 2 แห่ง มีความเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกันลักษณะใดจะทราบในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ รวมถึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างไรได้บ้าง เพราะเกรงว่าจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบกันอีก” นายอัครเดช กล่าว

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า กมธ.อุตสาหกรรม ได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขให้โรงงานอุตสาหกรรม เรื่องการทิ้งกากอุตสาหกรรม หรือสารเคมีตามกฎหมาย ซึ่งเดิมจะไม่มีโทษปรับ จึงทำให้ผู้ประกอบการไม่เกรงกลัว จึงได้เพิ่มความผิดอาญาโดยให้จำคุก 5 ปี และจากเดิมปรับ 200,000 บาท เพิ่มเป็น 1,000,000 บาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำความผิดกฎหมาย

“การเกิดเพลิงไหม้นั้น เป็นการเลี่ยงกฎหมายใหม่หรือไม่ ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกต เราจึงมีความเป็นห่วง และต้องให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเข้าไปตรวจสอบโรงงานที่มีกากของเสียทุกแห่ง” นายอัครเดช ย้ำ

สำหรับปัญหาดังกล่าว นายอัครเดช ย้ำว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรมเพียงแห่งเดียว โดยต้องมีความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน และหลายกระทรวงที่ต้องเข้าไปช่วยกันดูแล ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งปัญหานี้ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งตนได้เรียนท่านนายกรัฐมนตรีไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด “ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจร แห่งเดียวในภูมิภาค

คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด “ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจรแห่งเดียวในภูมิภาค ด้วยสเต็มเซลล์จากผู้อื่นที่ไม่ใช่พี่น้องในผู้ป่วยผู้ใหญ่”รองรับการบริการที่เป็นเลิศ

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดครบวงจร แห่งเดียวในภูมิภาค หลังปรับปรุงด้วยเทคโนโลยีให้ทันสมัยขึ้น เพื่อรองรับการให้บริการและการวิจัยที่เป็นเลิศ โดยมี ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นประธานในพิธีเปิด ณ ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ชั้น 11 อาคารศรีพัฒน์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เปิดเผยว่า คณะแพทยศาสตร์ มช. ได้ปรับปรุงศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ทั้งโครงสร้างด้านสถาปัตยกรรม ระบบไฟฟ้าสื่อสาร ระบบสุขาภิบาล ระบบปรับอากาศ ระบายอากาศ และระบบก๊าซทางการแพทย์ เพื่อให้เป็นห้องปลอดเชื้อปลูกถ่ายไขกระดูกที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งห้องปลูกถ่ายเซลล์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ ใช้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด มีความทันสมัยและปลอดภัยสูง เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น 

โดยเป็นลักษณะห้องแยกแบบปลอดเชื้อความดันบวก เครื่องกรองอากาศ มีการปรับอุณหภูมิและความชื้นจำนวน 10 ห้อง และห้องแยกแบบปลอดเชื้ออีก 1 ห้อง ที่มีลักษณะเป็นห้องทั้งความดันบวกและความดันลบ สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้ นอกจากนี้ภายในห้องผู้ป่วยได้มีการตกแต่งอย่างสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เนื่องจากผู้ป่วยที่เข้าทำการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่มากกว่า 1 เดือน ดังนั้นห้องผู้ป่วยจึงต้องตกแต่งอย่างสวยงาม มีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อช่วยลดความเครียดจากการรักษาเป็นระยะเวลานาน

ศูนย์ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หน่วยโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.ประกอบไปด้วยหน่วยย่อย ได้แก่ หอผู้ป่วยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด หน่วยคัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด และหน่วยเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดด้วยความเย็น โดยปรับปรุงขึ้นใหม่จากพื้นที่หอผู้ป่วยเคมีบำบัดขนาดสูงเดิม ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 และได้มีการพัฒนาการรักษาผู้ป่วยที่มากขึ้นตามลำดับ ทั้งให้การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอื่น ๆ ที่หลากหลาย 

เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบ leukemia ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง รวมถึงโรคอื่น ๆ อีกทั้งยังพัฒนาชนิดของการปลูกถ่ายที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยให้การรักษาผู้ป่วยเด็กรายแรกในปี 2562 ต่อมาได้ทำการปลูกถ่ายด้วยสเต็มเซลล์ผู้อื่นจากพี่น้อง (sibling allogeneic stem cell transplantation) ในปี 2562 และปลูกถ่ายด้วยสเต็มเซลล์จากผู้อื่นที่ไม่ใช่พี่น้อง (matched unrelated donor allogeneic stem cell transplantation) ในปี 2564

นอกจากนี้ในปี 2564 ยังได้รับการรับรองการพัฒนาเพื่อก้าวสู่การรับรองเฉพาะโรค/เฉพาะระบบ (Program Disease Specific Certification; PDSC) จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ด้วยพันธกิจและจุดมุ่งหมายของการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดแบบบูรณาการระดับมาตรฐานสากล โดยจุดเน้นของศูนย์เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคที่เจ็บป่วย รวมถึงโรคมะเร็งต่าง ๆ ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ พัฒนาทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษา มีอัตราการรอดชีวิตเทียบเท่ากับต่างประเทศ ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการเป็น “โรงเรียนแพทย์ในดวงใจ เพื่อยกระดับสุขภาพและสุขภาวะที่ยั่งยืนของมนุษยชาติ”

นภาพร/เชียงใหม่ 

“บิ๊กราญ” รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. สั่งระดมทุกหน่วยปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดทั่วประเทศ ห้วงเมษามหาสงกรานต์ จับผู้ต้องหา 321 คน ยึดทรัพย์กว่า 369 ล้านบาท

วันนี้ 3 พ.ค. 67 พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นประธานแถลงผลการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย ทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ พร้อมระบุว่า การปราบปรามยาเสพติดในทุกพื้นที่เป็นวาระเร่งด่วนของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เน้นการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อตัดวงจรและท่อน้ำเลี้ยง รวมทั้งทำลายเครือข่ายยาเสพติดทุกระดับทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. ให้ทุกหน่วยทำงานเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่และสืบสวนขยายผล ทุกคดี เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติดเอง รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่ายทั่วประเทศ ในห้วงระหว่างวันที่ ๑๐ - ๓๐ เม.ย.๖๗ ซึ่งหน่วยที่ปฏิบัติการประกอบด้วย ตำรวจภูธรภาค 1 – 9 , กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ส. ร่วมปฏิบัติในทุกพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเข้าตรวจค้น 703 เป้าหมาย และเป้าหมายจับ 209 หมายจับ ผลการปิดล้อมสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 142 คดี 143 คน จับกุมคดียาเสพติดรวม 421 คดี ผู้ต้องหา 465 คน ตรวจยึดยาเสพติดคือยาบ้า 11,833,925 เม็ด, ไอซ์ 936 กก. ,คีตามีน 0.591 กก, เฮโรอีน 22 กก., ยาอี 2 เม็ด และ อิริมินไฟท์ 80 เม็ด ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสด 5,652,429 บาท, อาวุธปืน 47 กระบอก มูลค่า 1,751,501 บาท, เครื่องกระสุนปืน 418 รายการ มูลค่า 15,404 บาท,สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน/ที่ดิน 76 รายการ มูลค่า 157,690,380 บาท, ทองรูปพรรณ 74 รายการ มูลค่า 4,981,358 บาท, รถยนต์ 191 รายการ  มูลค่า 13,898,000 บาท, รถจักรยานยนต์ 199 รายการ มูลค่า 13,902,890 บาท โทรศัพท์ 199 รายการ มูลค่า 2,413,239 บาท สมุดธนาคาร 96 รายการ และ อื่นๆ อาทิ เงินสดในบัญชีธนาคาร, เรือประมง, เรือหางโหง, คอมพิวเตอร์, Notebook, พระเครื่อง, นาฬิกา และ วิทยุสื่อสาร รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้ 172 รายการ มูลค่า69,460,752 บาท ตรวจยึดทรัพย์สินทั้งสิ้น 1,520 รายการ รวมมูลค่า 369,765,953 ล้านบาท

ซึ่ง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า จากผลการปฏิบัติในห้วง 20 วัน ของการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ 300 เครือข่าย จะเห็นว่าตำรวจทั่วประเทศได้รุกอย่างหนักเป็นรูปธรรม ทำจริง จับจริง และยึดจริง จนทำให้เครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญที่กระจายอยู่หลายพื้นที่สั่นสะเทือน โดยในขณะนี้ สำนักตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายเน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในห้วง 7 เดือน ที่ผ่านมา (ต.ค. 66 – เม.ย.67) สามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ถึง 61,196 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จำนวน 15,976 ราย หรือเพิ่มขึ้น 35.33 % ขณะเดียวกันได้เน้นการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ทำให้สามารถสกัดกั้นจับกุมยาบ้าปริมาณ 100,000 – 500,000 เม็ด จับกุมได้ 149 คดี เพิ่มขึ้น 21 คดี คิดเป็น 16.41 %, ยาบ้าตั้งแต่ 500,000 เม็ด จับกุมได้ 137 คดี เพิ่มขึ้น 52 คดี คิดเป็น 61.18 % ทั้งนี้ สามารถตรวจยึดยาบ้ารวม 522,555,662 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 166 ล้านเม็ด คิดเป็น 47.56 %, ยาอี 115,665 เม็ด เพิ่มขึ้น 15,514 เม็ด คิดเป็น 15.49 %, ยึดไอซ์ 8,407 กก. เพิ่มขึ้น 390 กก. คิดเป็น 4.84 %, ยึดคีตามีน 3,807 กก. เพิ่มขึ้น 879 กก. คิดเป็น 30.02 %, ยึดเฮโรอีน 649.27 กก. เพิ่มขึ้น 223 กก. คิดเป็น 52.33 % และ ยึดโคเคน 20 กก. เพิ่มขึ้น 10 กก. คิดเป็น 95.32 % รวมทั้งเน้นการยึดทรัพย์สินซึ่งสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน รวมมูลค่า 4,862,700,7475 บาท

'รมว.ปุ้ย' เชื่อ!! เหตุเพลิงไหม้อยุธยาเป็นการวางเพลิงทำลายหลักฐาน สั่ง!! เฝ้าระวังเข้มงวด หวั่น!! ผู้ก่อเหตุใช้ 'ภาชีโมเดล' เป็นต้นแบบ

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์เพลิงไหม้ และแนวทางการแก้ปัญหากากอุตสาหกรรม พื้นที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ใน 4 จุด ได้แก่...

จุดที่ 1 โกดังเก็บสารเคมี ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค.67

จุดที่ 2 เทศบาลตำบลภาชี เพื่อมอบอาหาร น้ำและของใช้จำเป็นให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบกว่า 100 คน โดยในจุดนี้ รมว.อุตสาหกรรม ได้กล่าวคำขอโทษที่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ พร้อมกับสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่า จะเร่งดำเนินกำจัดสารเคมีโดยเร็วที่สุด 

จุดที่ 3 บริษัท ซันเทค เคมิคอล แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด เพื่อกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เฝ้าระวังจะเกิดเหตุสารเคมีรั่วและเกิดเหตุเพลิงไหม้ 

จุดที่ 4 บริษัทเอกอุทัย ที่เกิดเหตุสารเคมีรั่วไหล จนชาวบ้านได้รับผลกระทบทั้งชีวิตความเป็นอยู่ สัตว์เลี้ยง และพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย  

จากนั้น รมว.ปุ้ย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโดยระบุว่า เบื้องต้นทุกคนเชื่อว่าการเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บสารเคมีอันตราย เป็นการลอบวางเพลิงเพื่อเผาทำลายหลักฐาน ดังนั้นจึงได้กำชับอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังเนื่องจากเกรงว่า ผู้ประกอบการนายทุน จะถือโอกาสนำกรณีของอำเภอภาชี ไปเป็นต้นแบบในการเผาทำลายของกลางอีก  

"ดิฉันได้สั่งการให้มีการปรับการบริหารจัดการ เรื่องการกำจัดกากสารเคมี จากนี้ไปจะต้องทำเป็นระบบ ให้เข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง ที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลเรียบร้อยแล้ว และต่อจากนี้ไป กระทรวงอุตสาหกรรมจะทำงานแบบบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันทำงาน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งความเป็นอยู่ สัตว์เลี้ยง พืชผลทางการเกษตร ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ดังนั้นต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้ซ้ำอีก" รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

ปปส.ภาค1 จัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเครือข่ายสื่อมวลชน เพื่อรณรงค์สร้างการรับรู้ การดำเนินงานการลดความรุนแรงของปัญหาจิตเวชจากยาเสพติดในพื้นที่ อ.สามโก้ จ.อ่างทอง

สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค1 ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีบทบาทในการประสานส่งเสริม สนับสนุนการจัดกิจกรรมในระดับพื้นที่ รวมถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการดำเนินงานลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในทุกมิติ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด สำนักงาน ปปส.ภาค 1 ได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาเครือข่ายสื่อมวลชน เพื่อเน้นกลไกลสร้างการรับรู้การดำเนินงานการลดความรุนแรงของปัญหาจิตเวชจากยาเสพติด ในพื้นที่ ปปส.ภาค 1 ประจำปี พ.ศ.2567 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมสุพร แกรนด์ โฮเต็ล อ่างทอง และศึกษาดูงานในพื้นที่อำเภอสามโก้ และอำเภอเมืองอ่างทอง เพื่อสร้างการรับรู้การดำเนินงานลดความรุนแรงของปัญหาจิตเวชจากยาเสพติดในพื้นที่ภาค 1 เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและเกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ปปส. ภาค 1 

โดยมี นายวชิระ โชติรสเศรนี นายอำเภอสามโก้ เป็นประธาน , นางจีระพรรรณ  กาญจนประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 1 และนายชาตรี จันแรง ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และอำนวยการ สำนักงาน ปปส. ภาค1 พร้อมคณะผู้จัดโครงการฯ และเครือข่ายสื่อมวลชนสนับสนุน เผยแพร่และรณรงค์ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับจังหวัด หมู่บ้าน/ชุมชน/ประชาสัมพันธ์จังหวัด/สื่อมวลชน จาก 9 จังหวัดในพื้นที่ภาค 1 รวมจำนวน 100 คน เข้าร่วมประชุมฯ

โดยพื้นที่ภาค 1 มีเป้าหมายการดำเนินงาน 2 จังหวัด 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง และอำเภอวังม่วงจังหวัดสระบุรี ซึ่งมีการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา ผู้มีอาการทางจิตจากยาเสพติดโดยการบำบัดรักษาและพื้นฟูสภาพจิตใจด้วยกลไกการขับเคลื่อน งานในระดับพื้นที่รวมถึงการพัฒนาศักยภาพทักษะการทำงานของเจ้าหน้าที่จากหน่วยภาคีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อนำไปสู่หมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

จากนั้นลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ที่บำบัดที่ได้หายป่วยโดยการบำบัดได้ประกอบอาชีพเช่นการค้าขายอาหารตามสั่งและประกอบอาชีพด้านเกษตรจำนวน 2 ราย และในช่วงบ่ายของวันที่ 30 เม.ย.67 นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เป็นประธานปิดโครงการฯ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในกระบวนการบำบัดผู้ติดยาเสพติด /ผู้ติดยา/ผู้มีอาการทางจิต /เฝ้าติดตามและดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะครอบครัวต้องให้ความใกล้ชิดบุตรหลานให้มากขึ้น 

'ครู' ระบาย!! นักเรียนเจอร้อนแค่นี้ 'ทนไม่ได้-จะทำอะไรกิน' ลั่น!! เป็นห่วงอนาคตเด็กไทย ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง

กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์ หลังเพจ ‘สมัครงาน สอบราชการ’ มีการเปิดเผยข้อความครูท่านหนึ่งได้ระบายความในใจถึงนักเรียนว่า…

“งง เด็กนักเรียนสมัยนี้มันเป็นอะไร เข้าแถวตากแดดร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และฟังครูให้โอวาส บ่นกันว่าร้อน ถ้าเข้าแถวตากแดดฝึกความอดทนแค่นี้ ยังไม่ได้ โตขึ้นพวกเธอจะเรียนจบสูง ๆ หรือทำงานดี ๆ ได้ยังไง

สมัยครูเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แดดแรงกว่านี้อีกยังทนกันได้ แต่สมัยนี้ โดนแดดนิด ๆ หน่อย ๆ บ่นว่าร้อน ตำหนิติติงอะไรก็ไม่ค่อยได้ ผู้ปกครองก็เรื่องเยอะ ถ้าเรื่องเยอะกันนักทำไมไม่สอนเองจะส่งให้เข้าโรงเรียนทำไม เป็นห่วงอนาคตเด็กไทยสมัยนี้ ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง”

งานนี้เมื่อข้อความดังกล่าวแชร์ออกไป ทำเอาชาวเน็ตจำนวนไม่น้อย เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์สนั่น ถึงประเด็นดังกล่าว โดยคอมเมนต์บางส่วน ดังนี้

-แดด 40° ให้บ่นหน่อยค่าาา
-ครูไม่รู้จักภาวะโลกเดือดเหรอครับ
-ตากแดด จะทำให้เรียนจบสูง ๆ ได้ทำงานดี ๆ หรอคะ

-การอดทนกับความร้อน ไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานเลย
-แดดสมัยก่อนกับแดดสมัยนี้ มันคนละเรื่องกันนะค่ะครู

-1. ตัวเองลำบาก ไม่จำเป็นที่คนต้องลำบากแบบตัวเอง
2. เด็กที่อื่นที่ไม่เข้าแถวกลางแดด แต่ประสบความสำเร็จ มีเยอะแยะ แดดไม่ใช่ปัจจัยต่อความสำเร็จ
3. การถูกบังคับ ไม่ใช่ หนทางที่ดีเสมอไป
4. ถ้าตากแดดดีจัง ทำไมครูไปลงมาตากแดดด้วยกัน
5. แดดยุคนี้ 40 องศา + ฝุ่น pm อันตรายต่อสุขภาพ
6. แจ้งข่าวผ่าน homeroom ได้ครับ

สิ่งที่ท้ายที่อยากจะพูดคือ เด็ก ๆ ไปโรงเรียน เพื่อหาความรู้ครับ ไม่ได้ไปเพื่อโดนอำนาจนิยมกดขี่ ถ้าระบบการศึกษาที่ผ่านมา พาประเทศมาได้แค่นี้ เปลี่ยนบ้างก็ดีครับ ให้โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยของเด็ก ๆ เถอะ

นอกจากการเปรียบเทียบยุคสมัยของครูและเด็ก บางคนก็มองไปถึงการยกเลิกการเข้าแถวร้องเพลงชาติ รวมไปถึงเครื่องแบบนักเรียน ที่ไม่สัมพันธ์กับสภาพอากาศร้อนของบ้านเรา

ขณะเดียวกัน หลายคนยังตั้งคำถามถึงมาตรการการดูแลของโรงเรียน ในขณะที่โรงเรียนอื่น ๆ หรือหลายประเทศ เริ่มผ่อนคลาย คำนึงถึงความปลอดภัย ผลกระทบต่อสุขภาพของนักเรียน โดยการยกเลิกการเรียน ในช่วงร้อนระอุไปแล้วด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top