Thursday, 8 May 2025
NEWS FEED

44 ผู้เฒ่าบนดอย ปลื้ม!! ได้ถ่ายบัตรประชาชนเป็นคนไทยเต็มตัว เผย!! "รอวันนี้มานาน" ส่วนอีกนับหมื่นในเชียงรายรอลุ้นตามติดๆ

(23 พ.ค. 67) นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เปิดเผยว่า ขณะที่กลุ่มผู้เฒ่าในจังหวัดเชียงรายอีกนับหมื่นคน ต่างรอคอยความหวังที่จะได้เป็นพลเมืองสัญชาติไทยคือกลุ่มที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่และใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้ว 3,100 คน แต่กลุ่มที่ยังไม่มีคุณสมบัติทีจะยื่นขอแปลงสัญชาติได้ คือกลุ่มที่ถือบัตรผู้ไม่มีสัญชาติไทยหรือบัตรเลข 6 จำนวน 6,501 ราย แม้มีภูมิลำเนาในประเทศไทยเกิน 40 ปี จนกลมกลืนกับสังคมไทยแล้วก็ตาม

“ผู้เฒ่ากลุ่มนี้จึงตั้งตารอคอยด้วยความหวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะปรับแนวทางการใช้ดุลพินิจในประเด็นคุณสมบัติการมีภูมิลำเนาในประเทศไทย ตามมาตรา 10(4) ใน พรบ.สัญชาติ ที่ให้ผู้ที่มีชื่อในทะเบียนประวัติตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎรและประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ สามารถยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยส่งเรื่องมาให้กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยแล้วตั้งแต่พ.ศ. 2565” นางเตือนใจกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ ที่ว่าการอำเภอแม่ฟ้าหลวง เหล่าผู้เฒ่าไร้สัญชาติที่อาศัยในประเทศไทยมากว่า 40 ปี และมีลูกหลานเป็นคนสัญชาติไทย ซึ่งมีความกลมกลืนกับสังคมไทย ได้ยื่นคำขอแปลงสัญชาติไทยตาม มาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 จนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย จำนวน 44 ราย ได้เดินทางมาถ่ายบัตรประจำตัวตั้งแต่เช้าโดยทุกคนต่างตื่นเต้นและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รอวันนี้มาเป็นเวลานาน”

นายพิซาน ผู้เฒ่าชาวอาข่า กล่าว “ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ จากร่างกายที่พึ่งผ่าตัดกระดูกทับเส้น แต่ใจสู้และดีใจที่ได้เป็นคนไทยอย่างสมบูรณ์แบบ จึงต้องเดินทางมาถ่ายบัตรทันทีในวันนี้”

ขณะที่ อภิชาต ศรีสุวรรณ์ นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง ได้เป็นประธานในพิธีมอบบัตรประจำตัวประชาชนแก่ผู้เฒ่าชาวอาข่า ไทยใหญ่ และจีนยูนนาน โดยทุกคนต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงปฎิญาณตน รับการเป็นพลเมืองไทยอย่างพร้อมเพรียง

5 เหตุผลเรื่อง 'ความประหยัด' ที่ทำให้คนทัก มักถูกด่ากลับบ่อย ทั้งที่เป็น 'ก้าวแรก' ช่วยเปลี่ยนระดับฐานะของผู้ไม่มีเงินถุงเงินถัง

(23 พ.ค. 67) คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

การบอกให้คน 'ประหยัด' ดูจะไม่ใช่แนวทางที่ผู้คนในยุคนี้ชื่นชอบสักเท่าไร อ้าปากพูดออกไป ก็เตรียมตัวโดนด่า

ให้คิดเหตุผลแบบไว ๆ ก็น่าจะมีหลายข้อ ได้แก่...

1. ลัทธิบริโภคนิยมทำงานได้เป็นอย่างดีในโลกนี้ ทำให้ของที่ต้องมีและเงินที่ต้องจ่ายมันเพิ่มขึ้นหลายรายการ คนเราเริ่มแยกไม่ออกระหว่างความต้องการกับความจำเป็น

2. รายได้ของคนทั่วไปเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเงินเฟ้อมาต่อเนื่องยาวนาน ทำให้การประหยัดในปัจจุบัน ยากและท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ การหารายได้เพิ่มและรายได้หลายทาง ยังจำเป็นเสมอ

3. สิ่งที่ตรงข้ามกับประหยัดคือ 'ฟุ่มเฟือย' หลายคนไม่ได้คิดว่าตัวเองฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ประหยัดอย่างไร ส่วนจะไม่ฟุ่มเฟือยเลยจริงไหมหรือแค่คิดไปเอง คงแล้วแต่คน ความจำเป็นของแต่ละคนต่างกัน การทำบัญชีรายรับรายจ่าย แล้วนั่งทบทวน น่าจะพอช่วยได้

4. ความเข้าใจเรื่องการเงินของคนไทยมีไม่มากพอ แค่เรื่องหนี้หลายก้อน ควรเลือกปิดอันไหนก่อน หลายคนก็อาจจะไม่รู้แล้ว

แต่เหตุหนึ่งที่สำคัญที่สุด และอาจเป็นจุดตายคือ 5. คนสมัยนี้ 'ไม่เชื่อ' ว่าการประหยัดจะทำให้รวยได้ จึงเลือกที่จะใช้เงินเพื่อหาความสุขในปัจจุบันมากกว่า

ความจริงการประหยัดก็ไม่เคยทำให้ใครรวย ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน แต่การประหยัดน่าจะเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนระดับฐานะ เมื่อประหยัดได้แล้ว หากไม่เอาเงินไปต่อยอด ก็อาจไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไรนัก แต่ถ้าไม่มีก้าวแรก ก็คงยากที่จะมีก้าวต่อไป โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้โชคดีมีเงินถุงเงินถัง ที่พาเรากระโดดจาก 0 ไปก้าวที่ 3 ที่ 5 ได้เลยแต่แรก

แต่สุดท้าย ใครจะเลือกอย่างไรก็เป็นสิทธิส่วนตัว แค่ทุกคนมีหน้าที่รับ Consequences ที่ตามมาจากการตัดสินใจของเราเท่านั้นเอง

อลังการ!! ‘Bangkok Hot Rod Custom Show 2024’ งานใหญ่ที่รวมตัว ‘รถ Custom’ มากที่สุดในไทย

เมื่อไม่นานมานี้ มีงานใหญ่สำหรับคนที่ชื่นชอบการแต่งรถ ‘Bangkok Hot Rod Custom Show 2024’ งานรวมตัวรถ Custom ที่มากที่สุดในประเทศไทย พร้อมอัดแน่นกิจกรรมล้นฮอลล์ ทั้งรถสร้าง รถคลาสสิก รถโบราณ และรถของเซเลปคนดัง 

งานนี้จัดขึ้นอย่างอลังการ ณ IMPACT Exhibition Center Hall 11-12 เมื่อวันที่ 18-19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยงานนี้ต่างชาติยกให้เป็น The Best Custom & Hot Rod Show Event In Thailand ถือเป็นเวทีกลางที่ใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นเวทีประกวดเดียวในเมืองไทย ที่ใช้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากวงการคัสต้อมระดับโลก จาก สหรัฐอเมริกา, สเปน, อิตาลี, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และบรูไน บินตรงมาร่วมตัดสินตามหลักเกณฑ์สากล โดยมีรถแต่งของคนไทยเข้าร่วมโชว์ไอเดียครั้งนี้อย่างคับคั่งกว่า 300 คัน

Bangkok Hot Rod Custom Show 2024 งานแรก และงานเดียวในไทยที่รวบรวมกองทัพรถคัสต้อม และฮอทรอท ร่วมประกวดกันมากที่สุด เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมผลงานที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ ด้านศิลปะการแต่งรถ ทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ รวมถึงรถโบราณ และรถคลาสิก ที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน

ภายในงานอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมล้นฮอลล์กันเลยทีเดียว เริ่มกันที่การประกวดรถคัสต้อม และฮอทรอท ฝีมือการสร้างรถ ตกแต่งรถโดยคนไทย

นอกจากนี้ ภายในงานก็ยังมีกิจกรรมดีดีตลอดทั้งวัน ได้ช้อปเพลิน ๆ เดินได้ทั้งวัน กับรถคัสต้อมเจ๋ง ๆ ของค่ายรถมอเตอร์ไซค์ Thai Honda, Harley Davison Thailand, Royal Enfield และสินค้าจากผู้สนับสนุน ยาง Michelin, หมวกกันน็อค CHIEF HELMET, ฟิล์มกรองแสง Lamina 

และในงานนี้ก็ยังมีของแต่งคนแต่งรถ แฟชั่น Accessories ทั้งในและต่างประเทศกว่า 80 ร้านค้าในโซน Swap Meet ที่มาในราคาพิเศษเพื่องานนี้เท่านั้น

'เชียงราย' ฉก.ทัพเจ้าตาก ตชด.327เข้าจับโกดังขนส่งแม่สาย ซุกซ่อนยาบ้า 2.2 ล้านเม็ด

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 เวลา 06.30 นาฬิกา กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังจากกองร้อยทหารม้าที่ 3 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ร่วมกับ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327

ได้ทำการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด (ปิดล้อมตรวจค้น) บริษัทขนส่งสินค้าแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ บ้านป่ายางใหม่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หลังจากสืบทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ และได้ตรวจพบรถยนต์ต้องสงสัยขับจากพื้นที่ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สายฯ เลี้ยวเข้าไปในโกดังของบริษัทขนส่งสินค้าดังกล่าว ผลการปฏิบัติตรวจพบผู้ต้องหา จำนวน 3 คน ขณะกำลังทำการแพ็คยาเสพติดเพื่อจะทำการขนส่ง จากการตรวจสอบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุอยู่ในเป้กระสอบ จำนวน 11 เป้ๆ ละ 200,000 เม็ด รวมยาบ้า จำนวนประมาณ 2,200,000 เม็ด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมและตรวจยึดรถบรรทุก 10 ล้อ จำนวน 2 คัน รถกระบะบรรทุก จำนวน 3 คัน ซึ่งเป็นรถที่ใช้ในการขนส่งสินค้า พร้อมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ จำนวน 1 คัน

ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 นาฬิกา พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้มอบหมายให้ พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก พร้อมด้วย พันเอก ไมตรี ศรีสันเทียะ เสนาธิการกองกำลังผาเมือง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่อแถลงข่าวการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว ณ หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนแม่สาย อำเภอแม่สายฯ โดยมี พลตำรวจตรี วรพัฒน์ บุญมา ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 เป็นประธานการแถลงข่าว หลังจากนั้นจึงได้นำของกลางส่งให้ สถานีตำรวจภูธรแม่สาย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งดูแลผลกระทบ ‘ไฟไหม้มาบตาพุด-ขนย้ายสารเคมี’ กำชับ!! ต้องบริหารจัดการความรู้สึกของ ปชช.ไปพร้อมๆ กัน

เมื่อวานนี้ (22 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 8/2567 โดยมีนางสาวศิรินันท์ ศิริพานิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา นายใบน้อย สุวรรณชาตรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แจ้งในที่ประชุมถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน เรื่องการส่งเสริมการปลูก การผลิต และการแปรรูปผลผลิตกาแฟ โดยได้ฝากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมไปดำเนินการพัฒนาทั้ง 4 ภูมิภาค  นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 3 วัน เพื่อแสดงความไว้อาลัยประธานาธิบดีอิหร่านถึงแก่อสัญกรรม

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รายงานลำดับเหตุการณ์ไฟไหม้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตลอดจนมาตรการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมได้ กำชับเรื่องการใช้งบประมาณและความเร่งด่วนต่อการเยียวยา โดยต้องบริหารจัดการความรู้สึกของพี่น้องประชาชนไปพร้อม ๆ กัน และต้องสื่อสารให้ชัดเจนกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ทั้งเรื่องของการจัดการขนย้ายกากสารเคมี กากแคดเมียม ฯลฯ เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมา นอกจากนี้ยังได้เร่งรัดเรื่องการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) โดยย้ำว่าต้องทำให้ถูกต้อง

‘ทุน ม.ท.ศ.’ ทุนการศึกษาพระราชทาน จาก ‘ในหลวง ร.10’ มอบโอกาสให้เด็กเรียนดี แต่ไร้ทุนทรัพย์ ให้เปล่าไม่ต้องคืน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘สำนักประชาสัมพันธ์เขต 2 กรมประชาสัมพันธ์’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับทุนการศึกษาพระราชทาน หรือ ‘ทุน ม.ท.ศ.’ ของ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ’ ที่พระองค์ทรงพระราชทานด้วยทรัพย์ส่วนพระองค์เองนั้น ในการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศมาแล้วกว่า 15 รุ่น รวมกว่า 2,411 ราย โดยระบุว่า…

ทุนการศึกษา ‘ทุน ม.ท.ศ.’ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดําริให้ดําเนินโครงการทุนการศึกษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ตั้งแต่ปี 2552 และในปี 2553 ได้มีการจัดตั้งเป็นมูลนิธิทุนพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นการเปิดโอกาสให้กับนักเรียนที่เรียนดี มีความประพฤติดี แต่ขาดโอกาสทางการศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ปวช. ปวส. ทั้งบุคคลธรรมดา และก็สามเณร

อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนทุนรายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นคุณครูอยู่ที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งคุณครูรายนี้ได้เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นตนอยู่ ม.3 ได้มีการเตรียมผลงานเพื่อที่จะเสนอขอทุน นั่นก็คือเรื่องของผลการเรียน ความประพฤติที่ดี และก็กิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยได้ทํามา เพื่อส่งไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ตนเรียนอยู่ แล้วก็มีการคัดเลือกในระดับจังหวัดที่มุกดาหาร เมื่อปี 2553 ได้รับ 2 ทุนด้วยกัน ก็คือนักเรียนชาย 1 คน นักเรียนหญิง 1 คน และหนึ่งในนั้นก็คือตนนั้นเอง

ส่วนเงินที่พระองค์ได้ทรงพระราชทานให้กับนักเรียนทุน ก็เป็นจํานวนมากทีเดียว อย่างระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คุณครูก็เล่าว่าได้ 18,000 บาทต่อปี ขณะที่ตอนเรียนระดับปริญญาตรีอุดมศึกษา ค่าเทอมไม่ต้องจ่ายสักบาท กองทุนจะเป็นคนจ่ายให้ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายรายเดือนให้เดือนละ 5,000 บาท อีกทั้งยังมีค่าหอแยกต่างหาก และค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักศึกษาอีกด้วย

ทั้งนี้ นักเรียนนักศึกษาทุนพระราชทาน หากรักษาสภาพการเป็นนักเรียนนักศึกษาทุนพระราชทาน หรือว่า ทุน ม.ท.ศ. นี้ได้จนจบการศึกษาครบตามเงื่อนไขของทุน ก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินคืนให้กับกองทุนแม้แต่บาทเดียว เป็น ‘ทุนให้เปล่า’…

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนนักศึกษาทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ มีมากกว่า 15 รุ่น และก็มีที่เรียนจบปริญญาตรีไปแล้ว 8 รุ่นด้วยกัน ซึ่งร้อยละ 80 ของนักศึกษาทุนมีงานทําแล้ว ทั้งเป็นข้าราชการ และทํางานในภาคเอกชน ส่วนร้อยละ 65 กลับไปทํางานที่บ้านเกิด

‘ฮุนได’ จับมือ ‘JWON’ เปิดประสบการณ์งานศิลป์บนรถ ‘IONIQ 5’ เน้น!! พลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (HMT) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งโลกยานยนต์ ร่วมมือกับศิลปินไทยชื่อดัง ‘JWON’ สรายุทธ คุระแก้ว นำเสนอพลังสร้างสรรค์แห่งศิลปะที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการสรรสร้างงานศิลปะหนึ่งเดียวบนรถยนต์ IONIQ 5 ในรูปแบบของ Art Car พร้อมจัดเวิร์กช็อปรอบเอ็กซ์คลูซีฟ ‘IONIQ Powering Arts x JWON’ ณ IONIQ Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานสรรค์สร้างงานศิลปะด้วยตัวเอง ไปพร้อมกับสัมผัสการบรรจบกันของความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย นอกจากนั้น ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของ JWON ที่สรรค์สร้างขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะ รวมถึงภาพที่วาดขึ้นใหม่ และรูปปั้น Dylie ขนาด 2 เมตร

ศิลปิน JWON สร้างสรรค์ศิลปะ Art Car บน IONIQ 5 ในธีม ‘Dylie, Embark on your journey to the world’ โดยนำก้อนเมฆมาเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพลังงานสะอาด ปราศจากมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจุดประกายการมุ่งหน้าสู่อนาคตที่สดใส และดีต่อชีวิตทุกคน Dylie ยังเป็นมากกว่าองค์ประกอบตกแต่ง แต่เชื่อมโยงผู้ชมเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างกลมกลืน พร้อมทั้งเป็นสัญลักษณ์แห่งเส้นทางอันเปี่ยมชีวิตชีวา บนความยั่งยืนเสมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆที่สวยงาม การผสานพรสวรรค์ทางศิลปะของ JWON เข้ากับนวัตกรรมอันล้ำหน้าของ IONIQ 5 ในครั้งนี้ จึงแสดงถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของศิลปะ ผ่านการสรรค์สร้างแรงบันดาลใจ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและความยั่งยืน จนก่อเกิดเป็นงานศิลป์บนยนตกรรม Art Car ชิ้นเอกคันแรกและมีเพียงหนึ่งเดียว

ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่การนำเสนอผลงานศิลปะผ่าน IONIQ 5 เพียงอย่างเดียว หากยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปสุดพิเศษที่ IONIQ Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสถึงการบรรจบกัน ของความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดย JWON ศิลปินผู้โด่งดังด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย ได้ร่วมแบ่งปันเทคนิคพร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมงาน ได้แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ และนำเสนอเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตนอย่างอิสระ สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการก่อตั้ง IONIQ Lab เพื่อส่งเสริมการสร้างแนวคิดใหม่และสร้างพื้นที่ในการแสดงออกให้กับทุกคน กิจกรรมเวิร์กช็อปครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนแรงบันดาลใจ ให้ผู้คนกล้าคิดบนแนวคิดที่แตกต่าง เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมไปสู่ขอบเขตแห่งการสร้างสรรค์ใหม่ไม่รู้จบ

ด้วยพรสวรรค์และสไตล์ศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของ JWON ซึ่งโด่งดังจากการจัดนิทรรศการในระดับนานาชาติมากมาย จึงถือเป็นโอกาสดีให้ IONIQ เป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่กว้างขวางขึ้น พร้อมดึงดูดความสนใจของกลุ่มผู้สนใจในงานศิลป์จำนวนมากมายังรถยนต์ไฟฟ้า IONIQ ต่อไป นอกจากนี้ การร่วมมือกับ JWON ซึ่งเป็นศิลปินไทย ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ของ IONIQ กับกลุ่มผู้บริโภคในประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมที่จะมีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

นายวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “IONIQ Lab มิใช่เพียงศูนย์นวัตกรรม หากเป็นเวทีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจ ในการก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความยั่งยืน เป็นศูนย์กลางแห่งความมุ่งมั่นและความร่วมแรงร่วมใจ ในการสร้างสรรค์อนาคตที่สดใสกว่าสำหรับทุกคน ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ยังสอดคล้องกับปณิธานของแบรนด์ ในด้านนวัตกรรม ความยั่งยืน และการนำเสนออัตลักษณ์ของบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบ เป้าหมายของเราคือการผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยี เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การสร้างโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยสไตล์ทางศิลปะที่โดดเด่นและชื่อเสียงในระดับโลกของ JWON ทำให้เราเชื่อมั่นว่า จะทำให้เราเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวงกว้างยิ่งขึ้น และสามารถนำเสนอศักยภาพของรถไฟฟ้า IONIQ ได้อย่างโดดเด่น เราจึงให้ความสำคัญกับศักยภาพของศิลปะ เพื่อใช้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการจัดงานนี้ ด้วยการผสานทักษะทางศิลปะของ JWON เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยของ IONIQ 5 จนเชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืน และสร้างแรงบันดาลใจพร้อมส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน อย่างโดดเด่นในโลกยานยนต์”

ร่วมสนับสนุนแนวคิดอากาศสะอาดเพื่อเราทุกคน ด้วยการแวะมาพบกับ Dylie พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการงานศิลป์ของ JWON ได้ที่ IONIQ Lab สถานที่ที่ศิลปะ เทคโนโลยี และแนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมมาบรรจบกัน ได้ระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม - 18 มิถุนายน 2567 โดยในนิทรรศการไม่มีได้มีเพียง IONIQ 5 Art Car เท่านั้น แต่ยังมีรูปปั้น Dylie ขนาด 2 เมตร พร้อมผลงานศิลปะจาก JWON อีกหลายชิ้นที่ไม่เคยเปิดตัวที่ไหนมาก่อน มาจัดแสดงที่นี่ ให้คุณชมก่อนใคร

'ชาวแอฟริกา' นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ในภาคเกษตร พลิกผืนทรายแห้งแล้ง เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์ 'เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์' ได้

(23 พ.ค.67) เพจ 'เกษตร นานา' ได้โพสต์ข้อความชวนประทับใจผ่านเรื่องราวของอาณาจักรเลโซโท ระบุว่า...

ชาวเลโซโท ในทวีปแอฟริกา ได้น้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยทำการเกษตรแบบผสมผสานไปใช้ในประเทศ จนสามารถพลิกฟื้นผืนดินจากทะเลทรายอันแห้งแล้งให้เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์สามารถปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ได้ โดยผ่านโครงการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในเลโซโท 

สำหรับโครงการนี้ มีการจัดตั้งศูนย์สาธิต Koete และชุมชน Makoabating เขต Matsieng กรุงมาเซรู ราชอาณาจักรเลโซโท เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำความรู้การพัฒนาการเกษตรโดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนและชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้แก่ชุมชนอื่นนำไปสู่การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน

เชียงใหม่-นบ.ยส.35 แถลงผลการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ ห้วง 6 เดือน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ห้องพลอยไพลิน โรงแรมกรีนเลค รีสอร์ท อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.นฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (ผบ.นบ.ยส.35) นางจิตติวรรณ เอมมณีรัตน์ อธิบดีอัยการภาค 5 นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย ที่ปรึกษา ป.ป.ส. นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส.ภ.5 นายศราวุธ ภักดี ผอ.ปปส.ภ.6 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผบก.ภ.จว.ตาก พ.อ.กิดากร จันทรา รอง ผบ.กล.ผาเมือง และ พ.อ.ไมตรี ชูปรีชา รอง ผบก.กกล.นเรศวร ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ ในช่วง 6 เดือน 

ตามที่ รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน 11 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย (อำเภอเวียงแหง, เชียงดาว, ฝาง, ไชยปราการ, แม่อาย, แม่จัน, แม่ฟ้าหลวง, แม่สาย, เชียงแสน, 
เวียงแก่น และ เชียงของ) ตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาร่วม 6 เดือน 

ผลการปฏิบัติการสกัดกั้น มีเหตุการณ์สำคัญ 74 เหตุการณ์ โดยมีการปะทะกับกลุ่มขบวนการ 30 ครั้ง ตรวจยึด/จับกุม 40 ครั้ง และขยายผลยึดทรัพย์ 4 ครั้ง ตรวจยึดยาบ้ารวม 129 ล้านเม็ดเศษ, ไอซ์ 1,890 กก., เฮโรอีน 249 กก., ฝิ่นดิบ 188 กก. จับกุมผู้ต้องหา 1,507 ราย กลุ่มขบวนการเสียชีวิต 25 ศพ 

ในปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายที่จะเร่งแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ายาเสพติดในทุกพื้นที่ชายแดนของประเทศ ให้เห็นผล และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 
จึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เห็นชอบให้เพิ่มพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ชายแดนภาคเหนืออีก 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปาย และปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน, อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย, อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา, อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน และ อำเภอแม่สอด, อำเภอพบพระ จังหวัดตาก

ทั้งนี้ พลเอกนฤทธิ์ ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ(ผบ.นบ.ยส.35) ได้เปิดเผยว่า ในห้วงที่ผ่านมามีการจับกุมยาบ้าได้เป็นจำนวนมากในพื้นที่รับผิดชอบ อีกทั้งยังพบว่ากลุ่มขบวนลักลอบขนยาเสพติด ใช้พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย และพื้นที่ข้างเคียงเป็นทางผ่านเพื่อส่ง ไอซ์ และ เฮโรอีน ออกไปต่างประเทศมากขึ้น จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่สำคัญเร่งด่วน และพื้นที่อนุมัติเพิ่มเติม ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 6, ตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองกำลังผาเมือง, กองกำลังนเรศวร, ผู้ว่าราชการจังหวัด เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, พะเยา, น่าน และ ตาก ปปส.ภาค 5 และ ปปส.ภาค 6 ตลอดจนที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศ และ อุตสาหกรรม ร่วมกันพิจารณาหารือ ถึงแนวทางในการขับเคลื่อนงานด้านการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติด ได้แก่การเพิ่มกำลังในพื้นที่ หรือการเพิ่มความถี่ในการปฏิบัติการ ซึ่ง นบ.ยส.35 จะต้องจัดส่วนแยกออกไปดำเนินการ ประสานการทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้ง 6 จังหวัด18 อำเภอ ให้บรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล

นอกจากนี้ นบ.ยส.35 ยังมุ่งเน้นการประสาน และหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการส่งหมายจับของผู้ต้องหา เพื่อขอความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษ ซึ่งจะต้องขอความร่วมมือ
จากสื่อมวลชน ให้ประโคมข่าวผู้ต้องหาหลบหนีข้ามแดน ก็จะเป็นการกดดันหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศเพื่อนบ้านได้เร่งรัดและให้ความสำคัญ จากกระแสสื่อสังคมอีกทางหนึ่ง

การประชุมในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ต่อทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะในเรื่องของการประสานงาน และการบูรณาการ การปฏิบัติในระดับพื้นที่ หน่วยที่มาประชุมได้ ร่วมพิจารณาการนำเสนอข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะต่างๆ อันนำไปสู่แนวทางในการปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติ เพื่อลดระดับความรุนแรงของปัญหายาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป 

‘ชาวต่างชาติ’ เล่าความประทับใจ ทำมือถือหายใน ‘แท็กซี่’ ‘คนขับ’ รีบเอามาส่งคืนให้ ถึงแม้จะอยู่ไกล หลายร้อยกิโลเมตร

(22 พ.ค.67) ชาวต่างชาติรายหนึ่งได้ตั้งกระทู้เรดดิท บอกเล่าเรื่องราวสุดประทับใจเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของคนไทยที่ทำเขาลืมไม่ลง

โดยเจ้าของกระทู้เล่าว่า เมื่อคืนก่อนเขาดื่มแอลกอฮอล์มากไปหน่อย ตื่นเช้ามาก็พบว่าโทรศัพท์ได้หายไป เขาจึงรีบเปิดโน้ตบุ๊กและเข้าเฟซบุ๊กเพื่อพูดคุยกับแฟน ต่อมานึกได้ว่าเผลอทิ้งโทรศัพท์ไว้ในโบลต์แท็กซี่ เขาจึงเข้าอีเมลเพื่อตรวจดูใบเสร็จและข้อมูลของคนขับ จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้ไปค้นหาในเฟซบุ๊ก จนพบกับคนขับ

เขารีบส่งข้อความไปหาคนขับทันที ด้านคนขับก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว โดยแจ้งว่าเจอโทรศัพท์อยู่บนรถและจะนำไปคืนให้ แต่คงต้องใช้เวลาเพราะตอนนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ (ห่างจากชลบุรีประมาณ 80 ไมล์ หรือราว 128 กิโลเมตร)

และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ทางคนขับก็ได้นำโทรศัพท์มาคืนตามที่บอกไว้ ซึ่งเขาประทับใจมากและไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรให้เพียงพอ เขาจึงให้ทิปคนขับไปจำนวนหนึ่ง พร้อมตั้งกระทู้เพื่อแบ่งปันความประทับใจครั้งนี้

ด้านความคิดเห็นชาวเน็ตนั้น ต่างเข้ามาชื่นชมในความจิตใจดีของคนขับ พร้อมเล่าประสบการณ์การทำของหายที่เมืองไทยเพียบ ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างประทับใจในความซื่อสัตย์และความใจดีของคนไทย

“คล้ายกับฉัน ตอนนั้นนั่งแท็กซี่จากสุวรรณภูมิไปนานา หอบทั้งกระเป๋าสะพายและกระเป๋าเดินทาง แล้วดันลืมโทรศัพท์ไว้บนรถ หลังจากเช็กอิน พนักงานก็เอากระเป๋าไปไว้บนห้อง แต่พอเปิดกระเป๋าก็พบว่าโทรศัพท์หายไป เลยไปล็อบบี้แล้วขอดูกล้องวงจรปิด ดูเรื่อยๆ ทายสิว่าใครจอดรถและเดินเข้ามาในล็อบบี้พร้อมโทรศัพท์ของฉัน!? คนขับแท็กซี่ เขาขับไปครึ่งทางแล้วแต่ก็วนกลับมา ฉันทั้งตกใจและโล่งใจเลยให้ทิป 1,000 บาท แต่เขาปฏิเสธ ฉันจึงยัดเงินลงในกระเป๋าของเขา พร้อมขอบคุณ”

“อย่างน้อยปีละครั้งที่ฉันลืมโทรศัพท์ไว้ในแกร็บ แต่ฉันก็ได้มันคืนมาเสมอ ไม่ว่าคนขับจะสังเกตเห็นและเอามาคืนเอง หรือฝั่งฉันจะยืมโทรศัพท์เพื่อนเพื่อโทรไปหาคนขับก็ตาม คนขับก็จะวนกลับมาภายใน 20 นาที”

“ภรรยาของฉันเคยทำโทรศัพท์หล่นไว้บนรถตุ๊กตุ๊กในกรุงเทพ ฉันพูดได้เลยว่าเธอเสียใจมาก แต่เธอก็พยายามแสดงออกว่าโอเค ฉันเลยกระหน่ำโทรหาประมาณ 100 ครั้ง และในที่สุดคนขับก็ได้ยิน และเอาโทรศัพท์กลับมาคืนให้ภรรยา”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top