Sunday, 19 May 2024
NEWS FEED

“จุรินทร์” ดันเปิดด่าน ”ตากใบ-บูเก๊ะตา” นราธิวาสสำเร็จ !!! ศอ.บต.ประกาศดีเดย์ 15 พย. นี้!

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้สัมภาษณ์ที่สนามบินดอนเมืองก่อนเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดพังงาและเข้าร่วมการประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดกระบี่ในวันที่ 15-16 พย.นี้ถึงเรื่องการผลักดันการค้าชายแดนไทยมาเลย์ว่า 

สำหรับด่านชายแดนไทย-มาเลย์มีด้วยกันรวม 9 ด่านใน 4 จังหวัด ได้แก่ สงขลา 3 ด่าน นราธิวาส 3 ด่าน สตูล 2 ด่าน และยะลา 1 ด่าน และปิดอยู่ 2 ด่านเพราะสถานการณ์โควิด ซึ่งภายหลังจากที่ตนได้เดินทางไปประชุมร่วมกับ ศอ.บต.และเอกชนของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564นั้น ตนได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศไทย เร่งเจรจาขอเปิดด่านทั้ง 2 ด่านกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อโดยเร็วที่สุดทั้งนี้เพื่อให้การค้าชายแดนระหว่างสองประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 ประเทศมาเลเซียได้มีหนังสือตอบยืนยันอย่างเป็นทางการมาแล้วว่าไม่ขัดข้องที่จะเปิดด่านทั้ง 2 ด่าน 

ประกอบด้วย (1) ด่านเป็งกาลันกูโบ (Pengkalan Kubor) ตรงข้ามด่านตากใบ และ(2) ด่านบูกิตบุหงา (Bukit Bunga) ตรงข้ามกับ ด่านบูเก๊ะตา จังหวัดนราธิวาส ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไปตามที่ฝ่ายไทยเสนอ 

กัมพูชาเปิดแดน ฉีดวัคซีนครบโดสไม่ต้องกักตัว ดีเดย์ เริ่ม 15 พ.ย. เป็นต้นไป

15 พ.ย. 64 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ว่า ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 พ.ย. เป็นต้นไป กัมพูชาจะยกเลิกมาตรการกักตัวนักเดินทางที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ครบสองโดส และมีผลการตรวจเชื้อในช่วงเวลา 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทางไม่พบการติดเชื้อไวรัส จะสามารถเดินทางในกัมพูชาได้ทั่วประเทศโดยไม่ต้องถูกกักตัวนาน 14 วันเมื่อมาถึง เป็นการยุติมาตรการกักกันของกัมพูชาที่ใช้มานานกว่า 18 เดือน

เที่ยวด้วยกันมั้ย!! ‘มูลนิธิอินเตอร์ลิ้งค์’ ชวนสัมผัสความงาม ณ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ในโครงการ “INTERLINK รักษ์บ้านเกิด”

เพราะความรัก จะนำทางเรากลับบ้าน!! มูลนิธิ อินเตอร์ลิ้งค์ให้ใจ จัดโครงการ “INTERLINK รักษ์บ้านเกิด” 

INTERLINK ชวนทุกคนไปสัมผัสความงดงาม ของ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ที่ ๆ เรา ชาว INTERLINK เรียกกันว่า“บ้าน”

???? คลิกรับชมได้เลย : https://bit.ly/30pbKW4

'พล.อ.ประวิตร'  ลงพื้นที่ สกลนคร  ตรวจติดตาม แก้ปัญหาน้ำ ระยะสั้น/ระยะยาว  สั่งเร่งพัฒนา"บึงหนองหาร" หล่อเลี้ยงชาวสกลนคร  กำชับ สนทช./จังหวัด  แก้น้ำท่วมซ้ำซาก ลดผลกระทบ ปชช. ให้รวดเร็ว

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม./ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จ.สกลนคร โดยมี นางจุรีรัตน์ เทพอาสน์  ผวจ.สกลนคร ให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้เดินทางถึง ห้องประชุม ภูริทัตโต  อาคารโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำ และแผนหลักการพัฒนา/ฟื้นฟู บึงหนองหาร จาก สทนช. ทั้งนี้หนองหาร นับเป็นบึงน้ำจืดธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 77,016 ไร่ เป็นต้นน้ำของลำน้ำก่ำ ไหลลงสู่แม่น้ำโขง  ประชาชนในพื้นที่โดยรอบหนองหาร ประกอบอาชีพทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่  มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ในพื้นที่ 33 ตำบลในเขตจ.สกลนคร และจ.นครพนม  ราษฎรได้ใช้ประโยชน์รวม 80,750 ครัวเรือน  

พล.อ.ประวิตรและคณะ ได้รับทราบความคืบหน้า การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่การบริหารจัดการทรัพยากรประมงและนิเวศสิ่งแวดล้อม จากกรมประมง ,การบริหารจัดการน้ำในหนองหาร การชะลอ   หน่วง กักเก็บน้ำ จากกรมชลประทาน ,การบรรเทาอุทกภัย การปรับภูมิทัศน์ แนวเขตการท่องเที่ยว โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง  รวมทั้งการกำหนดแนวเขตหนองหาร โดยกรมที่ดิน ซึ่งปัจจุบันได้มีการสำรวจรังวัดปักหลักเขตแล้วได้ระยะโดยรอบ 81.25 ก.ม. มีเนื้อที่ 76,322-0-38 ไร่และรับทราบ การจัดการน้ำเสียเทศบาลสกลนคร และชุมชนรอบหนองหาร จาก ก.ทรัพย์ฯ ประกอบด้วย งานหลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1)การบำบัดและฟื้นฟูคุณภาพน้ำ,2)การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ,3)การสร้างจิตสำนึก และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและ 4)การวิจัยและนวัตกรรม โดยได้ร่วมกับ ม.เกษตร วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จ.สกลนคร ในการดำเนินงาน

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบาย โดยกำชับให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เร่งรัดโครงการทั้งระยะสั้น จาก10 มาตรการรับมือฤดูฝน ซึ่งมีการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และโครงการระยะยาวที่รัฐบาลกำหนดในแผนแม่บทฯ 20 ปี เพื่อแก้ปัญหา อย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำให้จังหวัด ,กรมชลประทาน และกรมประมง ร่วมมือกันบริหารจัดการหนองหาร ในการรับมือน้ำท่วม และใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน อย่างทั่วถึง  เร่งขับเคลื่อนปรับปรุง ฟื้นฟู หนองหารให้ได้จริงจังตามแผนงาน เพื่อหล่อเลี้ยงประชาชนในพื้นที่จ.สกลนคร รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง และพัฒนากลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด อีกครั้งหนึ่ง ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ อย่างต่อเนื่อง  

ป.ป.ส. ผนึกกำลัง UNODC จัดประชุมเชิงวิชาการ “กาสิโนและองค์กรอาชญากรรม รับมือปัญหาการฟอกเงินและการลักลอบค้ายาเสพติดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มอบหมายให้ นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ   ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ส. เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยกาสิโนและองค์กรอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่างวันที่ 11 – 12 พฤศจิกายน 2564 จัดโดยสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC)

ร่วมกับ สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายที่เหมาะสมในการควบคุมกาสิโนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนำเสนอผลงานทางวิชาการ การหาความเชื่อมโยงของผู้กระทำผิดกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกาสิโน โดยมีนายเจเรมี ดักลาส (Mr. Jeremy Douglas) ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก นักวิชาการจากสถาบันการศึกษา และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าร่วมประชุม ณ เทวมันตร์ทรารีสอร์ต จ.กาญจนบุรี

นายเจเรมี ผู้แทน UNODC ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมฯ และกล่าวถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมกาสิโน ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เขตชายแดนรอยต่อ เขตปกครองพิเศษ และเขตเศรษฐกิจพิเศษ พร้อมกล่าวชื่นชมความสำเร็จของประเทศไทยในการปรับปรุงร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และการแสดงบทบาทความเป็นผู้นำดำเนินมาตรการต่อต้านการฟอกเงินของเครือข่ายยาเสพติด

นายอภิกิต ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ  กล่าวเปิดการประชุมว่า เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้เน้นย้ำและเล็งเห็นถึงความสำคัญ กำชับให้เฝ้าระวังการขยายตัวของกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน และกาสิโนออนไลน์  ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมและการสะสมเงินทุนที่ผิดกฎหมายของเครือข่ายยาเสพติด ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ซึ่งสอดคล้องตามนโยบายด้านยาเสพติดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นย้ำความร่วมมือกับต่างประเทศและการบังคับกฎหมาย

โดยการประชุมประกอบด้วยการบรรยายในหัวข้อเรื่อง 

1.องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกาสิโน โดย นายอินชิค ซิม นักวิจัยด้านยาเสพติดของ UNODC พบว่าธุรกิจกาสิโนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผ่านบล็อกเชนและการพนันออนไลน์ โดยเฉพาะ “จังเก็ต” (junket = ทัวร์เล่นกาสิโน) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากที่จะถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน  ยังไม่มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพมาควบคุมดูแล และความยากลำบากของเจ้าหน้าที่ในการจัดการกาสิโนที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และเขตการค้าเสรี 

2. กลุ่มชาติพันธุ์และนโยบายทุนจีน โดย ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

3. งานวิจัยกรณีศึกษากาสิโนคิงส์โรมัน ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดย ดร.ณัฐกรณ์ วิทิตานนท์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

4. ข้อมูลเกี่ยวกับกาสิโนในเขตปกครองพิเศษเมียนมา กาสิโนบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ไทย-สปป.ลาว และ ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะข้อมูลกลุ่มนักลงทุนในกาสิโน กลุ่มอิทธิพล และกองกำลังชนกลุ่มน้อย โดย ผู้แทนจาก สำนักงาน ป.ป.ส. 

“นายกฯ” ชวนคนไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค ปี 2565 ดัน สร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจ-พลิกฟื้นประเทศจากโควิดไปสู่อนาคต ในหัวข้อ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance.”นำร่องประชุมแรก 1-3 ธ.ค.นี้ ที่ภูเก็ต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถ้อยแถลงถึงประชาชนไทย เพื่อประกาศการเป็นเจ้าภาพเอเปคปี 2565 ว่า ไทยได้รับมอบการดำรงตำแหน่งเจ้าภาพเอเปคในปี 2565 และจะปฏิบัติหน้าที่ตลอด 1 ปี ต่อจากนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่ไทยจะเปิดตัว และขับเคลื่อนการฟื้นประเทศจากโควิดไปสู่อนาคต และแสดงความพร้อมในการต้อนรับชาวต่างชาติ ตั้งแต่ระดับผู้นำ นักธุรกิจระดับสูง สื่อชั้นนำ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆที่จะเดินทางมาประเทศไทยตลอดปีหน้า เอเปคเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไทยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ประกอบด้วยเขตเศรษฐกิจชั้นนำถึง 21 เขตเศรษฐกิจ มีจีดีพีรวมกันทั้งสิ้นกว่า 53 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,700 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าการค้ารวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าโลก

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยได้ประโยชน์จากการมีพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ได้ร่วมผลักดันแนวคิดใหม่ ที่ช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็ม อี( SMEs )การสนับสนุนบทบาทสตรีในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน การเป็นเจ้าภาพเอเปคจึงถือเป็นเกียรติ และสะท้อนความเชื่อมั่นที่สมาชิกเอเปคมีต่อไทย โดยภาคส่วนต่างๆได้ร่วมกันเตรียมการอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ภาคธุรกิจ นักวิชาการ ชุมชน จนถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อร่วมสกัดแนวคิดและวางเป้าหมายที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อคนไทย

ในการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ไทยจะขับเคลื่อนให้เอเปคพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกยุคหลังโควิดที่ยั่งยืนและสมดุล และทุกคนมีส่วนร่วม ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Economy จึงกำหนดหัวข้อหลักของการประชุมเอเปคปี 2565 คือ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance.”มีประเด็นสำคัญ 3 ด้าน คือ 1. การส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม 2. การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน และ 3. การฟื้นฟูความเชื่อมโยง โดยเฉพาะการเดินทาง และท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด ทั้งนี้การประชุมแรกของเอเปค 2565 จะจัดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 1-3 ธ.ค.นี้ และจะมีการประชุมอื่น ๆ กว่าร้อยการประชุมในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศตลอดปีหน้า ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกพื้นที่

‘หมอแล็บแพนด้า’ เตือนวัยรุ่น อย่าหาทำ เจาะเลือดใส่หลอดแก้วห้อยคอ - เสี่ยงติดเชื้อ

เพจเฟซบุ๊กหมอแล็บแพนด้าของ ทนพ. ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ หัวหน้างานตรวจโรคติดเชื้อทางโลหิตวิธีอณูชีววิทยา ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ โพสต์ภาพที่มีลักษณะของการเจาะเลือดบริเวณหลังมือและนำไปใส่ขวดแก้วเล็ก ๆ จากนั้นนำไปห้อยคอ พร้อมระบุข้อความว่า

อย่าหาทำนะครับ เจาะเลือดใส่หลอดแก้วแล้วเอามาห้อยคอ ถ้าเทคนิคการเจาะไม่สะอาดจะติดเชื้อได้ แถมบางคนจะเอามาแลกกันใส่ก็มี ระวังหลอดแตกแล้วติดเชื้อกันเด้อออ
สรรหาจริงจริ๊งงงง 5555

แรงงาน 3 สัญชาติ เฮ! ศบค. เคาะ นำเข้า MoU ตามกระทรวงแรงงานเสนอ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 18/2564 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด -19 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานจะเปิดให้มีการนำเข้าแรงงานตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คาดว่าหลังวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 นายจ้างสามารถยื่นความต้องการจ้างแรงงานที่กรมการจัดหางานได้เลย 

โดยแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อโควิด - 19 ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 สำหรับแรงงานต่างด้าวที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ต้องกักตัว 7 วัน หากฉีด 1 เข็ม หรือยังไม่เคยรับวัคซีน จะต้องกักตัว 14 วัน ระหว่างกักตัวจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี RT – PCR 2 ครั้ง โดยให้นายจ้าง/สถานประกอบการ รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยค่าสถานที่กักกัน วันละ 500 – 1,000 บาท และค่าตรวจหาเชื้อโควิด 2 ครั้ง รวม 2,600 บาท กรณีคนต่างด้าวติดเชื้อฯ นายจ้างหรือบริษัทประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่ารักษา ซึ่งวันสุดท้ายของการกักตัวแรงงานต่างด้าวที่ยังรับวัคซีนไม่ครบเกณฑ์ จะได้รับการฉีดวัคซีนโดยกระทรวงแรงงานเป็นผู้จัดหาให้ ในส่วนของเข็มที่ 2 กระทรวงแรงงานจะประสานสาธารณสุขจังหวัดปลายทางเพื่อนัดหมายฉีดวัคซีนให้แก่แรงงานต่างด้าวตามกำหนด โดยนายจ้างจ่ายแค่ค่าบริการทางการแพทย์

“กระทรวงแรงงานได้รับข้อสั่งการจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้เตรียมความพร้อมในเรื่องดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อให้นายจ้าง และสถานประกอบการมีแรงงานที่เพียงพอในการขับเคลื่อนกิจการตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ แก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมือง สามารถควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างเป็นระบบ และเพื่อให้แรงงานต่างด้าวได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข ความมั่นคง และระบบการจ้างงานของประเทศ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การนำแรงงานต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศตาม MoU ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 มีค่าใช้จ่ายรวมในการนำเข้าฯ ระหว่าง 11,490 – 22,040 บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน ประกอบด้วยค่าตรวจโควิด 2 ครั้ง 2,600 บาท ตรวจลงตราวีซ่า (2 ปี) 2,000 บาท ใบอนุญาตทำงาน (2 ปี) 1,900 บาท ตรวจสุขภาพ 6 โรค 500 บาท ค่าประกันสุภาพรวมโรคโควิด-19 (บริษัทประกันภัยเอกชน (4 เดือน)) 990 บาท ค่าบริการทางการแพทย์ (ฉีดวัคซีน) 50 บาท  และค่าสถานที่กักตัว (วันละ 500 – 1,000 บาท) กักตัว 7 วัน 3,500/7,000 บาท และกักตัว 14 วัน 7,000 – 14,000 บาท  โดยมีแนวทางการดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้ 

ชาวอินเดีย ‘แหวกว่าย’ ฟองโฟมขาวในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจคำเตือน แม้เป็นที่สุดแห่งมลพิษในน้ำ

ชาวอินเดียแตกตื่น!! หลังแม่น้ำยมุนา หนึ่งในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดีย ในรัฐอุตตราขันฑ์ ปรากฏฟองโฟมสีขาวหนาทึบ ปกคลุมไปทั่วทั้งลำน้ำ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากการปล่อยสารเคมีปนเปื้อนน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมรอบนอกกรุงนิวเดลี 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข่าวปรากฏการณ์โฟมขาวบนแม่น้ำยมุนา ที่เป็นสัญญาณเตือนของมลพิษในแหล่งน้ำในระดับรุนแรง แต่ก็มิได้ทำให้เกิดการหวาดหวั่น โดยชาวอินเดียเป็นจำนวนมากกลับแห่มาเที่ยวชม แถมทั้งมาลุยน้ำ ถ่ายรูปเซลฟี่ หรือแม้แต่ดำน้ำชำระกาย 

เหตุผลเพราะชาวฮินดูมีความเชื่อว่า นี่เป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากต้นน้ำของแม่น้ำยมุนา มาจากธารน้ำแข็งละลายจากยอดเขาบันดารปูจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยตอนล่าง มีความยาว 1,376 กิโลเมตร ก่อนจะไหลรวมกับแม่น้ำคงคาที่เมืองประยาคราช อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นมากกว่า 20 ล้านคน โดยมากกว่าครึ่งของชาวกรุงแห่งนี้ อาศัยน้ำจากแม่น้ำยมุนามาใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย

ผบ.ทบ.ร่วมประชุม “ผบ.ทบ.กลุ่มประเทศอาเซียน (ACAMM) ครั้งที่ 22  แบบออนไลน์”  มุ่งสร้างความร่วมมือทางการทหารในสถานการณ์โควิดของภูมิภาคอย่างยั่งยืน

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียนได้มีการจัดประชุมผู้บัญชาการทหารบกกลุ่มประเทศอาเซียน ครั้งที่ 22 (22nd ASEAN Chiefs of Army Multilateral Meeting – 22nd ACAMM) ผ่านระบบออนไลน์ โดยในปีนี้กองทัพบกเมียนมา เป็นเจ้าภาพ ภายใต้หัวข้อ “บทบาทของกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียน ในกระบวนการฟื้นฟูภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19” (The Role of ASEAN Armies in the Process of Rehabilitation After the COVID-19 Pandemic) 

ในส่วนของกองทัพบกไทย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เข้าร่วมประชุมในระบบดังกล่าวด้วย โดยมีผู้บัญชาการทหารบกจาก 10 ประเทศ เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ไทย, เวียดนาม, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, เมียนมา, มาเลเซีย, ลาว, อินโดนีเซีย, กัมพูชา และบรูไน 

โดยการประชุมจัดให้มีการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับบทบาทของกองทัพบกแต่ละประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมครั้งนี้ และให้กำลังใจเพื่อนสมาชิกกลุ่มอาเซียนทุกประเทศในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ คาดหวังว่าสถานการณ์ในภูมิภาคอาเซียนจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งกองทัพบกไทยได้สนับสนุนรัฐบาลแก้ไขปัญหา และคลี่คลายผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยจัดตั้ง “ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก” เพื่อบริหารจัดการและประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งด้านกำลังพล, บุคลากรทางการแพทย์ และยุทโธปกรณ์ต่างๆ มาใช้ในภารกิจช่วยเหลือประชาชน นอกจากนี้บุคลากรของกองทัพบกปฏิบัติตามมาตรการพิทักษ์พลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง และช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ว่าเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนให้ทุกประเทศทั่วโลก ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่อันส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรโลกในทุกมิติ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวได้คลี่คลายลงแล้ว กองทัพบกได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการฟื้นฟูประเทศภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตในสังคม “ปกติวิถีใหม่” พร้อมร่วมมือกับกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียนในการฟื้นฟูภายหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ผ่านกลไกต่างๆ ที่ได้จัดตั้งไว้แล้ว อาทิ ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN Centre of Military Medicine : ACMM) และการฝึกแลกเปลี่ยนในโอกาสต่างๆ มุ่งสู่การพัฒนาอาเซียนอย่างยั่งยืนภายใต้บริบทของ "ความปกติถัดไป” เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน สังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ สำหรับการประชุม ACAMM นี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ด้วยความริเริ่มของกองทัพบกไทย เป็นการประชุมหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความร่วมมือด้านการทหารระหว่างกองทัพบกกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในปี 2543, 2550, และ 2558 และจะครบวาระเป็นเจ้าภาพครั้งต่อไปในปี 2566 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top