Sunday, 11 May 2025
LITE

พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมายทั่วประเทศ แต่หากถามว่า มีพระพุทธรูปแห่งไหนที่สูงและมีขนาดใหญ่ที่สุด ต้องยกให้ ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 30 ปีก่อน ถือเป็นวันแรกที่มีการสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญนี้

กล่าวสำหรับ พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ หรือที่ชาวบ้านในพื้นที่เรียกจนติดปากว่า ‘หลวงพ่อใหญ่’ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดม่วง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นโดยดำริของ พระครูวิบูลอาจารคุณ เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วงนั่นเอง

พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 รวมระยะเวลากว่า 16 ปี โดยเป็นพระพุทธรูปที่มีความสูงจากฐานองค์พระถึงยอดเกศา 95 เมตร หรือเทียบเท่าตึก 40 ชั้น และมีความกว้างของหน้าตักอยู่ที่ 63.05 เมตร ซึ่งหากเดินรอบองค์พระ ต้องใช้เวลากว่า 3 นาที

ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับการยกให้เป็น พระพุทธรูปที่สูงที่สุดในประเทศไทย และยังจัดเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของโลกอีกด้วย ทั้งนี้พระครูวิบูลอาจารคุณ ผู้ที่มีส่วนในการสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญนี้ มิได้อยู่ร่วมในวันที่สร้างเสร็จ เนื่องจากมรณภาพลงเสียก่อน แต่ท่านก็เป็นผู้ที่ให้ชื่อพระพุทธรูปว่า พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ

โดยเจตนารมย์ของการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ เพื่ออุทิศให้แก่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบัน ‘หลวงพ่อใหญ่’ ได้กลายเป็นพระพุทธรูปสำคัญประจำจังหวัด เป็นสถานที่กราบสักการะของคนในพื้นที่ และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ


ที่มา: https://th.wikipedia.org/พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ

วันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน เกิดข่าวใหญ่ที่ผู้คนทั่วโลกต่างติดตาม เมื่อมีข่าวว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบิน MH 370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผ่านมาแล้วถึง 7 ปี ผลของการค้นหา ก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เครื่องบินลำนี้ ได้หายไปไหน?

มาเลเซียแอร์ไลน์ MH 370 ทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเดินทางไปที่ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ประเทศจีน แต่หลังจากที่บินอยู่เหนือทะเลจีนใต้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง เครื่องบินก็หายไปจากจอเรดาร์ของผู้ควบคุมจราจรทางอากาศ

มาเลซียแอร์ไลน์ MH 370 ลำนี้ บรรทุกผู้โดยสาร 227 คน จาก 15 ชาติ และมีลูกเรืออีก 12 ชีวิต ทั้งหมดได้หายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย แม้ในระยะแรก ทีมค้นหาจะออกทำการค้นหาชนิดที่เรียกว่า ‘พลิกมหาสมุทร’ โดยขยายวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ทะเลอันดามัน อ่าวเบงกอล และมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ จนเรียกว่าเป็นการค้นหาเครื่องบินหายที่กินพื้นที่กว้างที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์

แต่จนแล้วจนรอด ทีมค้นหาก็ไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่า เครื่องบินน่าจะประสบอุบัติเหตุ และตกลงที่ใด สิ่งที่พบเป็นเพียงแค่ เศษซากบางส่วนของเครื่องบิน ซึ่งยังมีความน่างุนงงยิ่งกว่า เนื่องจากแต่ละจุดที่พบเศษซากนั้น อยู่ห่างไกลกัน จนแทบจะเชื่อมโยงหาที่มาที่ไปไม่ถูก

นับถึงวันนี้ ยังมีการคาดการณ์ถึงสาเหตุของการหายสาบสูญไปในหลายทฤษฎี อาทิ การถูกจี้ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเกิดจากความดันอากาศบนเครื่องอาจทำงานผิดพลาด จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งอาจเกิดเพลิงไหม้สายไฟที่ใช้ควบคุมการบิน จนทำให้เครื่องบินบินออกนอกเส้นทาง และตกลงกลางมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ในที่สุด

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดว่า เหตุใดเครื่องบินถึงเกิดอุบัติเหตุ และที่สำคัญ ร่องรอยหลักฐานขนาดใหญ่ ที่บ่งชี้ว่า เป็น MH 370 และจุดเกิดเหตุจริงๆ นั้น ก็ยังไม่สามารถสรุปยืนยันได้จนถึงวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าบรรดาญาติของผู้ประสบเหตุ ก็ยังเฝ้ารอคำตอบที่แท้จริง ไม่ว่ามันจะเนิ่นนานสักแค่ไหนก็ตาม


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/มาเลเซียแอร์ไลน์_เที่ยวบินที่_370, https://www.thairath.co.th/news/auto/news/1997157

กบร่อนเปย์ 'กระต่ายและคริส' กำเงิน 2 พันตะลุยกิน 6 ร้านดังย่านโชคชัย 4 | กบร่อน EP.11

‘กบร่อน’ เปย์สองสาวพริตตี้ตัวแม่ ‘กระต่าย’ และ ‘คริส’ กินอาหาร 6 ร้านดัง ย่านโชคชัย 4 ในงบ 2 พันบาท งบเท่านี้จะพอเลี้ยงสองสาวไหมนะ ตามไปดูกันได้เลยย 

"กบร่อน" รายการที่ "กบ" จะพาคุณไป ร่อน ตามที่ต่าง ๆ พร้อม Guest สนุกๆ ให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ในสไตล์กบร่อน

.

.

ชวนไหว้ขอพร - แก้ปีชง ณ ศาลเจ้านาจา หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ จังหวัดชลบุรี นอกจากการแก้ปีชง แนะนำให้มาไหว้ขอพรองค์เทพประจำปีเกิด เสริมพลังชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล

วันนี้เราจะพาทุกท่านไปเยี่ยมชม ศาลเจ้านาจา จ.ชลบุรี ที่นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องการแก้ปีชงแล้ว ยังมีองค์เทพประจำปีนักกษัตร ไว้ให้สักการะ โดยในปีนักกษัตรใหม่นี้จะมีดาวดี ดาวร้าย หรือดาววิบาก “神煞”(สิ่งสั่วะ) ใดบ้าง? ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าประจำปีองค์ใด? เพื่อเสริมส่งพลังชีวิตให้มีแต่ความสุขความเจริญ การงานราบรื่น ประสบแต่ความสำเร็จ อุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่คลี่คลาย จากร้ายกลายดี มีโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง ปราศจากโรคร้ายภัยเวร ปกติสุขสมดั่งปรารถนาตลอดทั้งปี ไปติดตามกันค่ะ

หากพูดถึงชลบุรี ก็คงหนีไม่พ้นทะเลบางแสน แต่จะบอกว่าที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล เพราะวันนี้เราจะชวนทุกคนไปที่ ศาลเจ้านาจา หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท่จื้อ ตั้งอยู่ที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี ไม่ไกลจากชายหาดบางแสนมากนัก

ศาลเจ้านาจา เดิมเป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ ด้วยความเคารพศรัทธาของผู้ที่มากราบไหว้ด้วยเชื่อกันว่าให้โชคทางด้านการค้า ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกพัฒนาปรับปรุงเรื่อยมา จนปัจจุบันเป็นศาลเจ้าจีนที่ใหญ่โตสวยงามตระการตา

ศาลเจ้านาจา สร้างด้วยศิลปะแบบจีน มีองค์เทพเจ้าปางต่างๆ มากมายให้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล คนส่วนใหญ่ที่มากราบไหว้ มักมาขอเกี่ยวกับหน้าที่การงาน

ชุดของไหว้แก้ปีชง ของศาลเจ้านาจา โดยศาลเจ้าแห่งนี้มีความโดดเด่นมากด้านการมาแก้ปีชง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐาน องค์เทพเจ้าครบทุกพระองค์ ตามความเชื่อแบบจีน

ผู้ที่เกิดปีชวด  :  มีดาวดี “太陽”(ไท้เอี้ยง) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太陽星君” (ไท้เอี้ยงแชกุง)

(อยู่ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีจอ    :   มีดาวดี “太陰”(ไท้อิม)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太陰星君”(ไท้อิมแชกุง)

(ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีฉลู   :    มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太歲爺” (ไท้ส่วยเอี๊ย)ประจำปี 2564 ที่ทรงพระนามว่า “楊信大星軍”(เอี่ยสิ่งไตแชกุง)

ผู้ที่เกิดปีมะแม  :  มีดาวร้าย “歲破”(ส่วยผั่ว) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太歲爺” (ไท้ส่วยเอี๊ย) ประจำปี 2564 ที่ทรงพระนามว่า “楊信大星軍”(เอี่ยสิ่งไตแชกุง)

(ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีขาล   :  มีดาวร้าย “病符”(แป่ฮู้) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “華陀仙師” (หั่วท้อเซียงซือ)

(นอกอาคาร จุดที่ 9)

ผู้ที่เกิดปีเถาะ  :   มีดาวร้าย “天狗”(เทียงเก้า) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “華光大帝” (หั่วกวงไต่ตี่)

(นอกอาคาร จุดที่ 9)

ผู้ที่เกิดปีมะโรง  :  มีดาวดี “天德”(เทียงเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “伯公” (แป๊ะกง)

ผู้ที่เกิดปีมะเมีย : มีดาวดี “龍德”(เหล่งเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “伯公” (แป๊ะกง)

(นอกอาคาร จุดที่ 11)

ผู้ที่เกิดปีมะเส็ง  : มีดาวร้าย “白虎”(แป๊ะโฮ้ว) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “玄天上帝” (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่)

ผู้ที่เกิดปีกุน   :    มีดาวร้าย “喪門”(ซึงมึ้ง)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “玄天上帝” (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่)

(นอกอาคาร จุดที่ 16)

ผู้ที่เกิดปีวอก  :   มีดาวดี “月德”(หง่วยเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “觀世音菩薩”(กวนซืออิมผู่สัก) พระโพธิสัตย์เจ้าแม่กวนอิม

(นอกอาคาร จุดที่ 10)

ผู้ที่เกิดปีระกา  :   มีดาวร้าย “五鬼”(โหงวกุ้ย)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “文昌帝君”(บุ่งเชียงตี่กุง)

(นอกอาคาร จุดที่ 15)


เพจศาลเจ้า

https://www.facebook.com/ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ-อ่างศิลา-哪吒三太子宮-179019442244980/

วันนี้เมื่อ 339 ปีก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 คือวันที่ ‘หลวงปู่ทวด’ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด’ มรณภาพลง ขณะพำนักที่ ไทรบุรี ประเทศมาเลเซีย

สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ หรือ หลวงปู่ทวด เป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่ทวด มีความเชื่อกันว่า พระเครื่องที่สร้างเนื่องด้วยท่าน จะมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองผู้ที่บูชาได้

ตามประวัติที่เผยแพร่สืบต่อกันมายาวนาน หลวงปู่ทวด มีนามเดิมว่า ปู เป็นชาวสงขลา เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัด ’วัดกุฎีหลวง’ หรือ ‘วัดดีหลวง’ ด้วยความที่เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ท่านสมภารจึงได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสือที่สูงขึ้น จนเมื่ออายุครบอุปสมบท ท่านจึงได้บรรพชาเป็นพระสงฆ์ จากนั้นก็ได้ศึกษาวิชาจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ จนมีความรู้และเป็นผู้ทรงอภิญญามาก เคยแสดงปาฏิหาริย์หลายครั้งจนเป็นที่เลื่องลือ

โดยเฉพาะปาฏิหาริย์ ‘เหยียบน้ำทะเลจืด’ เป็นเหตุการณ์ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ จ.สงขลา ท่านถูกโจรสลัดจีนที่แล่นเรือเลียบชายฝั่ง จับขึ้นเรือไป แต่ปรากฎว่า เรือลำดังกล่าวแล่นต่อไปไม่ได้ และต้องจอดอยู่อย่างนั้นหลายวันหลายคืน เวลาผ่านไป โจรสลัดจีนบนเรือขาดน้ำจืดในการบริโภคอย่างหนัก

เมื่อถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงแสดงปาฏิหาริย์เหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลง แล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล เมื่อยกเท้าขึ้นมา ท่านก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำมาดื่ม แม้จะไม่เชื่อ แต่สุดท้ายโจรก็ตักขึ้นมา ปรากฎว่า น้ำทะเลเค็มจัดกลับกลายเป็นรสชาติจืดอย่างน่าอัศจรรย์!

ภายหลังกลุ่มโจรพากันกราบไหว้ขอขมา แล้วนำท่านล่องเรือกลับขึ้นฝั่งทันที ตำนานนี้ถูกเล่าสืบต่อกันมายาวนาน ซึ่งต่อมามีการเผยแพร่สถานที่ดังกล่าวด้วยว่า เป็นบ่อน้ำจืดกลางทะเล บริเวณเกาะนุ้ย จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

กระทั่งเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225 หลวงปู่ทวดมรณภาพลงเมื่ออายุครบ 100 ปี ที่เมืองไทรบุรี ซึ่งเดิมเคยเป็นหัวเมืองทางใต้ของไทย ภายหลังการมรณภาพ ลูกศิษย์ลูกหาได้ทำตามสิ่งที่หลวงปู่ได้สั่งเสียไว้ โดยเคลื่อนย้ายสังขารกลับมาจนถึง จ.ปัตตานี โดยผ่านเส้นทางพักการเคลื่อนย้าย จากมาเลเซียถึงปัตตานีเป็นจำนวน 18 จุด

ซึ่งจุดที่ 18 เป็นสถานที่ฌาปนกิจศพ นั่นคือ วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี โดยปัจจุบัน วัดช้างให้ หรือวัดราษฎร์บูรณะ ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ประชาชนมักเดินทางมากราบไหว้ สักการะ รวมไปถึง วัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีรูปปั้นหลวงปู่องค์ใหญ่ ก็เป็นอีกแห่งที่มีประชาชนเดินทางมากราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/364626

ในวงการพุทธศาสนาไทยในอดีต มีสมณสงฆ์ชื่อดังอยู่มากมาย และหนึ่งในนั้น คือ พระราชสังวราภิมณฑ์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ‘หลวงปู่โต๊ะ’ ซึ่งวันนี้เมื่อ 40 ปีก่อน เป็นวันที่พระครูผู้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายท่านนี้ ได้ละสังขารลง

พระราชสังวราภิมณฑ์ หรือ หลวงปู่โต๊ะ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยท่านเป็นพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ด้วยวัตรปฏิบัตอันงดงาม และเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธทุกชนชั้น

หลวงปู่โต๊ะ เกิดเมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2430 บวชเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2447 กระทั่งเมื่ออายุครบ 20 ปี จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นภิกษุสงฆ์ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2450 ณ วัดประดู่ฉิมพลี นอกจากนี้ ท่านยังได้ศึกษาปฏิบัติธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี จนต่อมาเมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 จึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี

หลวงปู่โต๊ะ ถือเป็นพระสงฆ์ที่มีศีลวัตรปฏิบัติอันงดงาม รวมถึงมีกริยามารยาทงดงาม และมีความเมตตากรุณาต่อทุกสรรพสิ่งมีชีวิต แต่อีกชื่อเสียงหนึ่งที่เป็นที่ร่ำลือ คือท่านสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้

เมื่อครั้งที่หลวงปู่โต๊ะยังมีชีวิตอยู่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในปฏิปทาและจริยาวัตรของหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง

กระทั่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2524 หลวงปู่โต๊ะถึงแก่มรณภาพลง รวมสิริอายุได้ 93 ปี 73 พรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญศพไปตั้งที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตร พระราชทานเกียรติยศศพเป็นพิเศษ เสมอพระราชาคณะชั้นธรรม พระราชทานโกศโถบรรจุศพ พร้อมฉัตรเบญจาเครื่องประกอบเกียรติยศครบทุกประการ และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่การศพโดยตลอด

นับถึงวันนี้ กว่า 40 ปีมาแล้ว แต่ชื่อเสียงของหลวงปู่โต๊ะ ก็ยังคงถูกเอ่ยถึง ในฐานะของพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม ควรค่าและเป็นตัวอย่างอันดีแก่ภิกษุสงฆ์รุ่นหลัง ให้ได้ยึดถือ และประพฤติปฏิบัติในศีลวัตรอันงดงามเหล่านี้


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชสังวราภิมณฑ์_(โต๊ะ_อินทสุวณโณ)

 

วันนี้ถูกยกให้เป็น ‘วันไทยอาสาป้องกันชาติ’ เป็นวันที่คนไทยรุ่นหลัง จะได้ร่วมรำลึกถึงเกียรติยศและความเด็ดเดี่ยวของ ‘ท้าวสุรนารีและนางสาวบุญเหลือ’ สองวีรสตรีที่ร่วมกันปกป้องอธิปไตยของชาติ ให้พ้นจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู

ย้อนกลับไปเมื่อราวปี พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์ ได้ยกกองทัพเข้าแผ่นดินไทย จนมาถึงเมืองนครราชสีมา เจ้าอนุวงศ์สามารถกวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลยขึ้นไปยังเวียงจันทน์มากมาย ซึ่งในจำนวนเชลยนั้น มีคุณหญิงโม และนางสาวบุญเหลือ รวมอยู่ด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณหญิงโม ร่วมกับ นางสาวบุญเหลือ และหลวงณรงค์สงคราม หัวหน้าชาวเมือง ได้สร้างวีรกรรม ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ โดยได้ออกกลอุบายเลี้ยงสุราอาหารแก่ทหารลาว จนเมื่อเมามาย จึงแย่งอาวุธโจมตีเหล่าทหารลาวเป็นการตลบหลัง

ทางด้านนางสาวบุญเหลือ ที่ต้องต่อสู้กับ เพี้ยรามพิชัย ขณะที่กำลังเสียท่าและวิ่งหนี นางสาวบุญเหลือตรงเข้าไปคว้าฟืนในกองไฟ แล้วตัดสินใจวิ่งเข้าไปบริเวณกองเกวียนที่บรรทุกกระสุนดินดำ ชั่ววินาทีที่เพี้ยรามพิชัยจะถึงตัว นางสาวบุญเหลือก็เอาฟืนจุดเข้าไปที่ถุงดินปืน เกิดระเบิดกองใหญ่ ส่งผลให้เพี้ยรามพิชัย และทหารลาวมากมาย รวมทั้งตัวนางสาวบุญเหลือ เสียชีวิตในทันที

เรื่องเล่าแห่งความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวในวีรกรรมของนางสาวบุญเหลือ ถูกถ่ายทอดและอยู่ในความทรงจำของลูกหลานชาวนครราชสีมาตลอดมา ต่อมาทางราชการ จึงได้ถือเอาวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันไทยอาสาป้องกันชาติ ทั้งนี้ถือเป็นการร่วมสดุดีคุณหญิงโม นางสาวบุญเหลือ ตลอดจนบรรพชนที่ได้ร่วมกันเสียสละชีวิต ปกป้องแผ่นดินของชาติในอดีต

โดยปัจจุบัน นอกจากอนุสาวรีย์ย่าโม ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ของสามัญชนสตรีคนแรกของประเทศ ที่ตั้งอยู่ที่เมืองโคราชแล้ว ยังมีอนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ ที่ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ด้วยเช่นกัน โดยวันนี้ของทุก ๆ ปี ประชาชนจะมาร่วมกันสักการะ วางพวงมาลา และเปลี่ยนผ้าตะเบงมานตามสีแห่งปี ให้กับเหล่าวีรสตรีผู้กล้า เพื่อเป็นการสดุดีในวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ได้ทำเพื่อชาติบ้านเมือง


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/regional/785630, https://th.wikipedia.org/wiki

‘กองทัพอากาศ’ เป็นหนึ่งในกองทัพไทย ที่คอยปกป้องดูแลประเทศชาติ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันประสูติของ สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘บิดาแห่งกองทัพอากาศไทย’

สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หรือ ‘ทูลกระหม่อมเล็ก’ ประสูติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2425 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 23 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีพระชนมพรรษา 16 ปี ทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารที่โรงเรียนนายร้อยมหาดเล็ก Corps de Pages ประเทศรัสเซีย ก่อนที่จะทรงสำเร็จการศึกษาด้านเสนาธิการทหารขั้นสูง และถูกแต่งตั้งยศเป็นพันเอกพิเศษในกองทัพบกรัสเซีย

ครั้นเมื่อเสด็จกลับเมืองไทย ทูลกระหม่อมเล็กทรงได้รับตำแหน่งทางการทหารสูงขึ้นเป็นลำดับ โดยเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2449 ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยหนึ่งในพระภารกิจของพระองค์คือการเผยแพร่ความรู้ทางการทหารชั้นสูงให้กับนักเรียนนายทหาร รวมถึงทรงจัดการโรงเรียนนายร้อยให้มีระเบียบแบบแผน และมีความทันสมัย เทียบเท่าตะวันตก

ในช่วงปี พ.ศ.2454 ขณะทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ทรงเห็นความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องจัดหาอากาศยานไว้ป้องกันประเทศ จึงทรงดำริจัดตั้งกิจการการบินขึ้น พร้อมให้มีการคัดเลือกนายทหาร 3 นายไปศึกษาวิชาการบินที่ประเทศฝรั่งเศส ต่อมาทรงทรงย้ายที่ตั้งแผนกการบินมาที่อำเภอดอนเมือง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2457 และทรงยกฐานะแผนกการบิน เป็นกองบินทหารบก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสู่การเป็น ‘กองทัพอากาศไทย’ ในเวลาต่อมา

ตลอดพระชนชีพ สมเด็จพระเชษฐาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมกิจการบิน ทั้งในกิจการทหารและกิจการพลเรือน ทรงวางรากฐานแนวทางเสริมสร้างกำลังทางอากาศของประเทศไทยอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้มาเป็นกองทัพอากาศไทยดังเช่นในปัจจุบัน ทั้งนี้ กองทัพอากาศไทยจึงได้ยกย่องพระองค์ว่าเป็น ‘พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย’ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในการส่งเสริมกิจการของกองทัพ ให้เจริญก้าวหน้ามาจนถึงวันนี้


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระเชษฐาธิราช_เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ_กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

วันนี้ในอดีต เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของประเทศไทย และถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดระยะเวลากว่า 87 ปี โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ รวมเวลาในการครองราชย์ 9 ปี

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร ที่นำโดย นายปรีดี พนมยงค์ และพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปประทับยังประเทศอังกฤษ โดยทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงติดต่อราชการกับรัฐบาล ที่มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ผ่านทางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งปรากฏข้อขัดแย้งต่าง ๆ ที่ไม่สามารถหาข้อยุติกันได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 จึงทรงมีพระราชหัตถเลขา ประกาศสละราชสมบัติ ส่งมายัง เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนรัฐบาล มีใจความส่วนหนึ่งว่า...

“...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร...บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้า ที่จะให้ราษฎรมีสิทธิออกเสียง ในนโยบายของประเทศไทยโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ

และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในฐานที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์…”

ภายหลังจากมีพระราชหัตเลขาสละราชสมบัติ คณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร จึงได้อัญเชิญเสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระราชนัดดาในสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นเจ้านายเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ที่ 1 ในลำดับพระราชสันตติวงศ์แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไป


ที่มา: https://www.matichonacademy.com/content/culture/article_38342

https://th.wikipedia.org/wiki, https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_1746

พาทัวร์ 'มองช้าง คาเฟ่' คาเฟ่ที่มี 'ช้าง' แห่งเดียวในพัทยา ! | Aon On Air EP.8

Aon On Air EP. นี้ อ้อนจะพาทุกคนไปเที่ยวสวนสัตว์ เอ้ย ! คาเฟ่ที่รวบรวมสัตว์มากมายหลากหลายชนิด ให้เพื่อน ๆ ได้ถ่ายรูป มีโซนสวย ๆ มากมาย นั่นก็คือที่ "มองช้าง คาเฟ่" นั้นเอง มีอะไรที่น่าสนใจในคาเฟ่นี้บ้าง ไปชมกันได้เลยค่า

.

มองช้าง คาเฟ่ ⏰ เปิดบริการ ทุกวัน 10:00 น.- 19:00 น. ???? https://goo.gl/maps/VZ5LZsixcoamchgx9

.

.

 

 

วันนี้เมื่อ 13 ปีก่อน ทักษิณ ชินวัตร เคยเดินทางกลับมาที่ประเทศไทยเป็นหนแรก หลังถูกรัฐประหาร พร้อมเหตุการณ์สำคัญ การก้มลงกราบยังพื้นของสนามบิน กลายเป็นภาพข่าวดัง ที่ถูกบันทึกเอาไว้ตามหน้าสื่อต่าง ๆ ทั่วประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เวลา 09.45 น. ทักษิณ ชินวัตร เดินทางจากฮ่องกง มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยเครื่องบิน TG 603 โดยเป็นการเดินทางกลับมาประเทศไทยเป็นครั้งแรก หลังจากรัฐบาลโดยการนำของตัวเอง ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549

เมื่อเดินทางมาถึง เจ้าตัวได้สวมกอดกับครอบครัว และทักทายบุคคลต่าง ๆ ที่มาต้อนรับ พร้อมกับก้มลงกราบกับพื้นหน้าทางออกของสนามบิน ซึ่งภาพนี้ได้กลายเป็นภาพข่าวใหญ่ของสื่อและหนังสือพิมพ์ทุกฉบับของประเทศในเวลานั้น

กล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนนตรีประเทศไทย เมื่อ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 จนถึง 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยหลังจากถูกรัฐประหารจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมี พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้าคณะ เจ้าตัวก็ได้ทำการลี้ภัยในต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน กระทั่งเดินทางกลับเมืองไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

โดยระหว่างเวลาดังกล่าว ทักษิณ ชินวัตรก็ได้เข้ามอบตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ร่วมกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา (ในขณะนั้น) ซึ่งศาลอนุมัติให้ประกันตัว แต่หลังจากนั้นทั้งสองคนได้ขออนุญาตศาลฎีกาฯ เดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลเพื่อเดินทางไปปฏิบัติภารกิจประเทศจีนและญี่ปุ่น ระบุวันเดินทางระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กระทั่งเมื่อถึงวันนัดไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาฯ ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ทั้งทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่มารายงานตัว ภายหลัง ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาลับหลัง ตัดสินให้จำคุกนายทักษิณ ชินวัตร 2 ปี ส่วนคุณหญิงพจมาน ยกฟ้อง

นับถึงปัจจุบัน ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กลับมายังประเทศไทยอีกเลย และหลบหนีคดีจากคำพิพากษาของศาลมาแล้วกว่า 13 ปี


ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/ทักษิณ_ชินวัตร

https://news.thaipbs.or.th/content/265543

ย้อนเวลากลับไปราว 50 - 60 ปีก่อน เพลงไทยที่เรียกตัวเองว่า ‘เพลงไทยลูกกรุง’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยหนึ่งในนักร้องที่จัดว่าอยู่ในระดับหัวแถวของแนวเพลงดังกล่าวนี้ มีชื่อของ ‘สุเทพ วงศ์กำแหง’ รวมอยู่ในนั้น

กว่า 60 ปีที่ขับขานบทเพลงให้ผู้คนได้รับฟัง ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือตัวอย่างของการเป็นนักร้องคุณภาพอย่างแท้จริง

เรืออากาศตรี สุเทพ วงศ์กำแหง เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมาโดยกำเนิด เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม ได้เข้ารับราชการเป็นทหารอากาศ สังกัดกองพันต่อสู้อากาศยาน ต่อมาในช่วงปีพ.ศ. 2498 ก็ได้เข้ามาประจำอยู่ที่วงดุริยางค์ทหารอากาศ ครั้นเมื่อออกจากราชการกองทัพอากาศแล้ว สุเทพก็ได้เข้าร่วมกับคณะชื่นชุมนุมศิลปิน มีโอกาสร้องเพลงทั้งในรายการวิทยุและโทรทัศน์จนมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น

สุเทพ วงศ์กำแหง กลายเป็นนักร้องที่โด่งดังมาก ๆ จากการได้ร้องเพลงคู่กับ สวลี ผกาพันธ์ นักร้องหญิงแห่งยุคในเวลานั้น จนทั้งคู่กลายเป็นนักร้องทรงพลังที่มีแฟนเพลงติดตามผลงานกันมากมาย และด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนฟัง เจ้าตัวจึงได้รับการขนานนามว่า ‘เป็นนักร้องเสียงขยี้แพรฟองเบียร์’

สุเทพ วงศ์กำแพง มีผลงานเพลงอมตะมากมาย อาทิ รักคุณเข้าแล้ว เธออยู่ไหน บ้านเรา เสน่หา ซึ่งหลาย ๆ บทเพลงก็ยังถูกศิลปินรุ่นหลัง ๆ ในวันนี้ นำไปร้องคัฟเวอร์กันอยู่เสมอ ตลอดเส้นทางอาชีพนักร้อง สุเทพ วงศ์กำแหง ได้รับรางวัลการันตีมากมาย อาทิ รางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน รางวัลเสาอากาศทองคำ และรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง รางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ในปีพ.ศ. 2533

กระทั่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พงศ. 2563 นักร้องเจ้าของฉายา เสียงขยี้แพรฟองเบียร์ท่านนี้ ก็ได้เสียชีวิตลงในบ้านพักย่านวัฒนา กรุงเทพฯ ด้วยวัย 86 ปี แม้ตัวจะจากไป แต่น้ำเสียงและบทเพลงอันเป็นอมตะ ของนักร้องที่ชื่อ ‘สุเทพ วงศ์กำแหง’ ก็จะยังคงอยู่ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและรับฟังกันตลอดไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สุเทพ_วงศ์กำแหง

คนไทยคุ้นเคยกับคำว่า ‘โครงการหลวง’ กันมายาวนาน ซึ่งวันนี้เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ถือเป็นวันแรกที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงจัดตั้ง ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ ขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขาอย่างยั่งยืน

ที่มาของ ‘โครงการหลวง’ เกิดขึ้นจากพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใย และมีพระราชปณิธานอยากให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตลอดจนสามารถสร้างรายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย

จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง ‘โครงการหลวง’ ซึ่งเป็นโครงการส่วนพระองค์ในการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการสร้างรายได้ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2512

โดยในช่วงระยะแรกนั้น ถูกจัดเป็นโครงการอาสาสมัคร ที่ได้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กองทัพอากาศ ฯลฯ มาร่วมกันพัฒนาโครงการให้เติบโต รุดหน้า และขยายออกไปในวงกว้าง

กระทั่งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โครงการหลวงจดทะเบียนเป็น ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ โดยพระราชทานเงินเพื่อเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิฯ เริ่มแรก 500,000 บาท เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ถาวรมั่นคง

นับจนถึงวันนี้ มูลนิธิโครงการหลวง ยังคงสืบสานพระราชปณิธานต่อไป โดยปัจจุบันได้ขยายโครงการออกไปใน 8 จังหวัดภาคเหนือ มีสถานีวิจัย 4 สถานี และมีศูนย์พัฒนาโครงการอีกกว่า 21 แห่ง รวมทั้งมีหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการอีกกว่า 267 หมู่บ้าน ซึ่งผลผลิตจากโครงการหลวง อาทิ ผลไม้ พืชผักปลอดสารพิษ ผลิตภัณฑ์แปรรูป ‘ดอยคำ’ ก็จัดเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง

เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คือความมุ่งหวังให้ชุมชนโครงการหลวงเติบโตอย่างมีคุณภาพ และอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งหมดถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน


ที่มา: http://www.royalprojectthailand.com/about

แม้วันนี้จะมี ‘สื่อ’ เกิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งในสื่อที่ยังมีความนิยม และทรงพลัง ต่อผู้คนในทุกระดับ นั่นก็คือ สื่อวิทยุ ซึ่งวันนี้ มีความพิเศษสำหรับแวดวงการกระจายเสียงทางวิทยุของเมืองไทย เพราะถูกยกให้เป็น ‘วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ’

ย้อนเวลากลับไปราว 91 ปีก่อน วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดการส่งวิทยุไปสู่ประชาชน โดยผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกการกระจายเสียงทางวิทยุในเวลานั้น คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และการคมนาคม ในสมัยรัชกาลที่ 7

เริ่มต้น ท่านได้ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงขึ้นที่ตึกทำการไปรษณีย์ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลวัดราชบูรณะ โดยใช้ชื่อสถานีว่า 4 พีเจ (4PJ) ต่อมา ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคล ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ก็ได้ทรงเปิดการกระจายเสียงวิทยุสู่พสกนิกรเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า ‘สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท’ ตั้งอยู่ที่วังพญาไท มีกำลังส่งกว่า 2.5 กิโลวัตต์

โดยพิธีเปิดสถานีในวันนั้น เป็นการอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันพระราชพิธีฉัตรมงคล กระจายเสียงไปสู่พสกนิกรให้ได้รับฟัง ในเวลาต่อมา จึงจัดตั้งให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ

จวบจนถึงปัจจุบัน กิจการวิทยุกระจายเสียงได้พัฒนาแพร่หลายขึ้นเป็นลำดับ จนกลายมาเป็นกลไกหนึ่งที่มีความสำคัญในกระบวนการสื่อสาร และมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข่าวสาร วิชาการ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงวันนี้ การกระจายเสียงจากวิทยุก็ยังคงมีความสำคัญ แม้จะผันผ่านไปตามกาลเวลา แต่เสน่ห์และคุณค่าก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

แจกเทคนิคปรับ ‘หน้ากากอนามัย’ ให้กระชับเข้ากับรูปหน้า หรือที่เรียกว่า ‘หน้ากากกระทง’ ช่วยป้องกันเชื้อโรคได้มากขึ้นกว่า 60%

วัคซีนโควิด – 19 มาแล้วจ้า! แต่ถึงยังไง การสวม ‘หน้ากากอนามัย’ ก็ยังเป็นของจำเป็นที่ต้องสวมใส่อยู่เสมอนะจ๊ะ ล่าสุด The States Times ไปเจอคลิปสอนวิธีการทำ ‘หน้ากากกระทง’ ซึ่งความจริงก็คือ นำหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา มาปรับรูปลักษณะให้มีความกระชับ โดยไม่เผยให้เห็นช่องโหว่บริเวณด้านข้างใบหน้าของเรา

ซึ่งจุดนี้ มีวารสารการแพทย์ของต่างประเทศ เคยมีผลวิจัยออกมาว่า จากหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา ที่สามารถกรองเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ประมาณ 38% แต่หากปรับรูปลักษณะให้เป็นแบบกระทง หรือกระชับกับใบหน้ามากขึ้น จะสามารถกรองเชื้อโรคไม่ให้ผ่านเข้าสู่ร่างกายได้สูงกว่า 60%

เมื่ออะไรดีกว่า ก็ควรต้องลองปรับกันดู แถมวิธีการทำก็ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เรามีขั้นตอนมาให้ดูกันแบบช็อตต่อช็อต หรือหากใครดูแล้วยังไม่เคลียร์ สามารถคลิ๊กตามลิ้งค์เข้าไปที่ https://www.facebook.com/jeablalanaofficial/videos/2794392337476371 จะพบกับ ‘คุณหมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์’ ที่จะมาสาธิตการทำหน้ากากกระทงให้ดูกัน

ทดลองทำกันดูนะจ๊ะ เรื่องง่าย ๆ และมีประโยชน์แบบนี้ ไม่ควรมองข้าม จัดกันได้เล้ย!


ขอบคุณเพจ: Jeab Lalana official


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top