Thursday, 28 March 2024
NEWSFEED

‘ฮูพ BNK48’ โดนจวกแรง เต้นในรพ. แฟนคลับงง ผิดตรงไหน เพราะเต้นในห้องพิเศษ

(9 มี.ค.67) ปาฏลี ประเสริฐธีระชัย หรือ ‘ฮูพ สมาชิกรุ่นที่ 3 ของ BNK48’ กลายเป็นดราม่า หลังเจ้าตัวโพสต์คลิปวิดีโอเต้นเพลงใหม่ของหนุ่มธามไทขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

คลิปวิดีโอของ ฮูพ กลายเป็นไวรัล มียอดเข้าชมนับล้านครั้ง เพราะความมีเสน่ห์เฉพาะตัวและความสวยเป๊ะแม้จะอยู่โรงพยาบาล

แต่ไม่วายกลับมีดราม่าจนได้ เมื่อชาวเน็ตส่วนหนึ่งมองว่า พฤติกรรมนี้อาจเป็นอันตรายเพราะ ฮูพ เต้นขณะที่ยังคงใส่สายน้ำเกลือ จะทำให้เลือดย้อนขึ้นรึเปล่า บางคนก็ตั้งคำถามว่าไม่รบกวนคนไข้คนอื่นเหรอ หรือ ทำไมเด็กรุ่นใหม่ต้องทำคอนเทนต์ตลอดเวลา

เป็นการจุดชนวนให้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองว่าก็ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรออกมาตอบโต้ บอกว่า ไม่รบกวนใครหรอก จากคลิปวิดีโอก็เห็นว่าอยู่ห้องพิเศษ ส่วนเรื่องอันตรายก็ไม่ต้องห่วงเพราะเขาใส่เครื่อง Infusion pump เรียบร้อย ที่เขาออกมาเต้นอาจจะเพราะว่าใกล้หายดีแล้วก็ได้

อย่างไรก็ตาม หากอยู่ในการดูแลของแพทย์ แล้วไม่รบกวนคนอื่น การเต้นในห้องพักก็อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดที่จะต้องดราม่ากันใหญ่โต

‘สวนสมดุล’ พื้นที่เชื่อมคนเมืองกับธรรมชาติเข้าด้วยกัน

ต้องยอมรับว่าวันนี้สังคมโลกในปัจจุบัน เริ่มตระหนักและพูดถึงเรื่องการให้ความสำคัญกับการต่อสู้/ฝ่าฟันปัญหาโลกร้อนและภาวะเรือนกระจกกันตั้งแต่ระดับโลก, ประเทศ มาสู่ชุมชน ภายใต้บริบทแห่งการสร้างสังคมสีเขียว ปลอดมลพิษ และลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิล เพื่อทะนุถนอมดูแลโลกใบนี้ให้อยู่กับมนุษยชาติต่อไปอีกนานแสนนานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การฟูมฟักสังคมสีเขียว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในยุคนี้ ยุคที่ทุกอย่างอิงแนบไปกับภาคอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิต และเผาผลาญทรัพยากรมหาศาล เพื่อได้มาซึ่งผลลัพธ์แห่งการแข่งขัน รวมทั้งผู้คนที่ขาดความเข้าอกเข้าใจในธรรมชาติ จนหลงลืมว่าชีวิตควรแนบชิดกับธรรมชาติในบางจังหวะ ที่หากทำได้มากเท่าไร ก็อาจจะเป็นแรงเหวี่ยงสำคัญในการปลุกจิตสำนึกแห่งความรักในโลกได้อย่างจริงจังขึ้น

การชวนมนุษย์ให้ค่อยๆ หลุดเข้ามาสู่โลกที่เป็นมิตร โลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นแห่งอายแห่งชีวิตที่คลอเคล้าบนวิถีธรรมชาติ จึงเป็นบทบาทของผู้ที่พร้อมจะสละตนมาเนรมิตบางสิ่งด้วยความตั้งใจ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของสังคม

ด้วยเหตุนี้ THE STATES TIMES จึงอยากพาผู้คนที่ยังขาดจังหวะชีวิตกับวิถีธรรมชาติ มาเริ่มต้นจากการสูดอากาศที่ ‘สวนสมดุล’ หรือ ‘Somdul Agroforestry Home’ อีกหนึ่งสถานที่ตอบโจทย์ผู้คนที่อยากซึมซับในวิถีแห่งธรรมชาติใกล้กรุง เพื่อปรับความสมดุลให้ชีวิต ผ่านกิจกรรมอันหลากหลาย ภายใต้จุดเด่นแห่งการพัฒนาเกษตรกรรมเชิง ‘วนเกษตร’ ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ความสุขอย่างยั่งยืน’

'เอี่ยม' อติคุณ ทองแตง หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Somdul Agroforestry Home’ ได้อธิบายคุณค่าแห่ง 'สวนสมดุล' ไว้อย่างน่าสนใจกับยูทูบช่อง ‘Health Addict’ โดยระบุว่า…

‘Somdul Agroforestry Home’ หรือแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ‘วนเกษตร’ เป็นการทําเกษตรที่พึ่งพาอาศัยรวมอยู่กับป่า จุดเริ่มต้นของที่นี่ (สวนสมดุล) เริ่มมาจากกลุ่มคนที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมาทั้งหมดเป็นกลุ่มนักอนุรักษ์ มีความรักในธรรมชาติเป็นพื้นฐาน และก็เริ่มมองหาธุรกิจ ที่สามารถจะอยู่ร่วมกับป่า ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งเขียว ๆ รอบ ๆ ตัวเรา

“บทสรุปที่เลือกปักหมุดใน 'วนเกษตร' เพราะผมอยากทําให้คนอื่นเห็นว่า ใครๆ ก็สามารถทําได้เหมือนกัน และเราสามารถนำผลผลิตเชิงวนเกษตรมาใช้ในเชิงธุรกิจได้” คุณเอี่ยมเกริ่น

คุณเอี่ยม อธิบายนิยามคำว่า ‘สมดุล’ เพิ่มด้วยว่า “ที่มาของคําว่าสมดุล มาจากการสร้างความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ กับ คนที่ใช้ชีวิตในเมือง ที่ยังเดินห้าง กินอาหารทั่วไป ซึ่งผมเชื่อว่าสองฝั่งนี้ ใช่ว่าจะไปด้วยกันไม่ได้ มันสามารถมาบรรจบกัน และสร้างความสมดุลได้ คนเมืองก็สามารถสร้างสีเขียว ๆ สามารถปลูกต้นไม้ สามารถดูแลระบบนิเวศรอบ ๆ เมืองได้เหมือนกัน...

“ยิ่งไปกว่านั้น เราอยากจะสร้างโลกสำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งยังเลือกใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เกิดแรงบันดาลใจ และทําให้เห็นว่าการเลือกใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่จําเป็นต้องหนีห่างไปจากธรรมชาติ หรือออกไปจากระบบนิเวศสีเขียว เพราะที่สุดแล้ว มันพึ่งพากันได้”

เมื่อข้ามผ่านคอนเซปต์แห่ง 'สวนสมดุล' ก็ได้เวลาที่คุณเอี่ยม จะอธิบายพื้นที่และหน้าที่ต่าง ๆ ในสวนแห่งนี้ โดยเขาเล่าไอเดียที่สอดแทรกในทุกๆ ส่วนของสวนสมดุลไว้อย่างน่าสนใจ ว่า...

“ที่นี่จะใช้ส่วนที่เป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร เป็นจุดสื่อสาร เพราะเป็นจุดที่จับต้องได้ง่าย ทุกคนที่มาก็ต้องกิน ต้องดื่ม และเราก็จะพูดเกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบจากธรรมชาติ วัตถุดิบออร์แกนิก หรือวัตถุดิบปลอดสารที่เรา (สวนสมดุล) ได้มาจากสิ่งที่เราปลูกเอง โดยข้างนอกรอบ ๆ จะใช้เป็นโชว์รูม ปลูกไม้ใหญ่ ๆ และต้นไม้เล็ก ๆ ร่วมกันกับการทําสวนเกษตรอินทรี...

นอกจากนี้ ก็จะมีเวิร์กช็อปเกี่ยวกับเรื่องกาแฟ คุณภาพดี, การศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศ, พาเด็กดูนก, เก็บไข่ไก่ ได้ไปสัมผัสกับไก่ที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยสัมผัส...

"สำหรับไก่ที่เลี้ยงจะเป็นไก่ไข่ และใช้สำหรับในโซนคาเฟ่ทั้งหมด สิ่งที่สําคัญที่สุดของการเลี้ยงไก่คืออาหาร เราจะใช้เป็นอาหารไก่อินทรีย์ที่ทํามาจากพวกพืชอินทรีย์ทั้งหมด มีข้าวโพดอินทรีย์ ใบข้าว" 

นอกจากในโซนคาเฟ่ สวนปลูกพืช และฟาร์มไก่ไข่แล้ว คุณเอี่ยม ยังได้พูดถึงการเลี้ยงผึ้งชันโรง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของที่นี่ด้วย 

"สำหรับเจ้าผึ้งชันโรง เป็นเหมือนเครื่องตรวจวัดสารเคมี เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีความไวต่อสารเคมีมาก หากในพื้นที่รอบ ๆ มีระดับความรุนแรงของสารเคมีมากเกินไป รังผึ้งชันโรงก็จะร่อแร่ และอาจจะตายยกรังได้ ฉะนั้นหากมีรังผึ้งชันโรงที่สมบูรณ์ แข็งแรง ก็หมายความว่า พื้นที่รอบ ๆ ปลอดภัยจากสารเคมีนั่นเอง...

"โดยการเลี้ยงผึ้งชันโรงนั้น ต้องเลี้ยงแบบกระจายตัว ต้องวางห่าง ๆ กันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่หลากหลาย อาจจะได้ผลผลิตมากถึง 2-4 เท่าเลย เนื่องจากชันโรงเป็นแมลงตัวเล็ก สามารถตอมดอกไม้เล็ก ๆ หรือสมุนไพร เป็นตัวช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีววิทยา และเมื่อได้ศึกษาลงรายละเอียดแล้ว ก็พบว่าผึ้งชันโรงไม่ได้ดุร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ พวกมันน่ารัก และไม่ได้จ้องจะทำร้ายด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ผึ้งชันโรงยังมีประโยชน์มาก ๆ และหากสูญพันธุ์ไป โลกก็จะขาดนักผสมพันธุ์เกสร จะขาดอาหาร และสุดท้ายมนุษย์ก็จะสูญพันธุ์ตามไปในที่สุด"

เมื่อถามถึงเรื่องผลตอบแทนจากการทำสวนสมดุล? คุณเอี่ยม กล่าวว่า “การที่ทําธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมในยุคนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เนื่องจากคนที่เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม อาจจะยังมีไม่มากพอ ส่งผลให้รายได้ที่จะวนกลับมาเลี้ยงชีพก็ยังไม่ได้เยอะมาก เรียกว่าต้องทนลําบากในช่วงแรกพอสมควร เพื่อหวังผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

คุณเอี่ยม กล่าวเสริมว่า “แต่ในขณะเดียวกันผมรู้สึกว่าผม ‘จําเป็น’ ต้องทํา เพื่อที่อย่างน้อยเราจะได้เป็นต้นแบบ และทําให้คนอื่นเห็นว่าสามารถทําได้จริง ๆ และหากเราสำเร็จและมีเครือข่ายอื่น ๆ ที่ทําไปด้วยกันกับเรา คนที่จะทําตามหลัง ก็จะไม่ยากลำบากอย่างที่เราเป็นแล้ว”

ในช่วงท้าย คุณเอี่ยมได้ตอกย้ำเรื่องความสมดุลไว้อีกว่า “หัวใจหลักของความสมดุลที่ดีในการใช้ชีวิต อยู่ที่ระบบนิเวศ ถ้าเกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์หรือสามารถดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ เราก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากระบบนิเวศนั้น ๆ ได้ความร่มเย็นกลับมา ได้อากาศที่ดีกลับมา เป็นผลพลอยได้ที่ทุกคนมักจะลืม เพราะมัวแต่โฟกัสที่ผลกําไรของมันว่าจะเป็นยังไง ให้ผลผลิตแบบไหน ซึ่งผมมองว่าเรื่องระบบนิเวศ เป็นเรื่องผลกระทบในระยะยาว ไม่ได้เห็นชัดเจนรวดเร็ว อาจจะไม่ใช่เพื่อรุ่นเรา แต่เพื่อรุ่นลูกหรือหลานของเราในอนาคต"

***FYI
‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home
ตั้งอยู่ในตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จากวัดบางพลับ มาอีกประมาณ 500 เมตร
เปิด วันจันทร์-อังคาร 09.00-17.00 น. วันพุธ-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี)
สอบถาม โทร. 098-362-9894 หรือ facebook.com/somdulhome 

‘หนูนิล’ ทำโอปป้า ซุปตาร์เกาหลี ‘คิมซอนโฮ’ ชะงัก มองเหลียวหลัง ขณะเดินเที่ยวในไทย จนกลายเป็น กระแสไวรัล

คิมซอนโฮ เป็นหนึ่งในนักแสดงจากประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นขวัญใจมหาชนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จะมาไทยสักกี่ครั้งก็ยังได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น อยู่เสมอ

ล่าสุด กระแสไวรัลล่าสุดของหนุ่มคิมซอนโฮกำลังถูกพูดถึงอย่างล้นหลาม เมื่อมีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งออกมาแชร์คลิปวิดีโอขณะหนุ่มซอนโฮเดินผ่านร้านค้าของตนเอง แต่แล้วจู่ ๆ หนุ่มซอนโฮก็หันไปมองสาวคนหนึ่งจนเดินกลับมาหาเลยทีเดียว

โดยผู้ใช้ติ๊กต็อก luga1550 ออกมาแชร์คลิปดังกล่าว พร้อมระบุแคปชันว่า “หนูนิลผู้ชนะแคมเปญ #คิมซอนโฮ” ซึ่งภายในคลิปแสดงภาพหนูนิลคนสวยที่เป็นแมวตัวหนึ่งกำลังนั่งเลียขนอยู่ในขณะที่ซอนโฮเดินผ่าน

งานนี้ ความสวยของหนูนิลทำเอาหนุ่มซอนโฮทนไม่ไหว จ้องมองไม่หยุดจนเดินกลับมาหาและลูบตัวไป 1 ครั้งก่อนจะเดินจากไป ถือว่าหนูนิลตกหนุ่มซอนโฮได้อย่างจังเป็นตัวแทนสาวไทยพิชิตใจหนุ่มซอนโฮ

นับตั้งแต่คลิปดังกล่าวถูกแชร์ก็มีการรับชมมากกว่า 12 ล้านครั้ง แถมหนูนิลคนงามโดนแซวยับ ที่มาของรักแรก รวมถึง “หนูนิล เธอพลาดแล้วววว นั่นคิมซอนโฮนะ” , “หนูนิล เธอจะเชิ่ดใส่คิมซอนโฮ มิได้” , “คนจะรัก อยู่เฉย ๆ เค้าก็รักอะเนาะ” , “สวยขนาดใส่เชิดใส่คิมซอนโฮ อะค่ะ”

อย่างไรก็ตาม เจ้าของโพสต์ได้เข้ามาขอบคุณทุกคนที่เอ็นดูหนูนิล พร้อมเผยว่า น้องเป็นแมวจรที่อยู่ในตลาด ผ่านไปผ่านมาแวะทักทายน้องได้ อาจหยิ่งนิดหน่อยตามหลักของคนสวย ก็อย่าถือกันเลย

เผยเบื้องหลัง เหตุใด ‘นักบอลเกาหลีเหนือ’ วิ่ง 90 นาที ไม่มีหมดแรง ขนาดคู่แข่งอย่างญี่ปุ่น ยังงง

ทำไมนักเตะเกาหลีเหนือถึง วิ่งเต็มที่ไม่มีแรงหมด และ มีพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง ทั้งๆ ที่ ไม่ได้เล่นลีกนอกประเทศเท่าไหร่

(2 มี.ค.67) ทางสำนักข่าวญี่ปุ่นก็สงสัยแบบที่หลายๆ คนสงสัยที่ว่า นักเตะเกาหลีเหนือ เวลาลงแข่งรายการใหญ่ถึงวิ่งไม่มีแรงหมด และ ดูบ้าเลือดมาก จึงได้สอบถามไปทางผู้เชี่ยวชาญเกาหลีเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งได้บอกว่า 

" ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ยอดนิยมมากในเกาหลีเหนือ แม้แต่ท่านผู้นำเกาหลีเหนือ มาดูเกมแข่งขันที่จัดขึ้นในประเทศ ทุกครั้ง รวมทั้ง ในเกาหลีเหนือก็มีลีก และ บอลถ้วย แต่ละสโมสรจะมีหน่วยงานดูแล เรียกได้ว่า แต่ละทีมเป็นตัวแทนของกระทรวงนั้นๆ ถ้าคุณได้แชมป์คุณจะได้สิทธิพิเศษ ต่างๆ เช่น ได้รถขับ มีห้องที่หรูหรา มีสวัสดิการเพิ่ม และ อื่นๆ นี้คือระบบลีกเกาหลีเหนือ ไม่แปลกที่นักเตะจะเก่ง และ วิ่งเต็มที่ เพราะใครๆ ก็อยากได้ สวัสดิการในประเทศคอมมิวนิสต์แบบนั้น "

ส่วนเกาหลีเหนือแข่งรายการระดับเอเชียหรือโลก ทำไมวิ่งไม่มีแรงหมด ฮึดสู้เหมือนกินยาม้ามา เอาแรงมาจากไหน?

ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า " หากเวทีระดับโลก และเอเชีย ถ้าได้แชมป์ หรือ เข้ารอบลึกๆ กลับประเทศไปคุณจะได้ ห้องพักอาศัยหรู ได้มีหน้าที่การงานดีขึ้น มีรถหรูขับ นาฬิกาหรูจากท่านผู้นำ ดังนั้น เขาถึงทุ่มเต็มที่ "

เมื่อวาน ญี่ปุ่น ชนะ เกาหลีเหนือไปได้ 2 - 1 ปฏิกิริยาของนักเตะเกาหลีเหนือเสียใจ จนร้องไห้ไม่หยุด ตอนแถลงข่าว โค้ชเกาหลีเหนือมีท่าทีเสียใจ อย่างชัดเจนมาก

ปล.นักบอลเกาหลีเหนือ เป็นชนชั้นแรงงาน หากได้ทำผลงานได้ ก็ได้รางวัลเป็นบ้านหลวง มีเงินเดือนเพิ่มขึ้น และ สวัสดิการดีขึ้น อาจจะได้เลื่อนขั้นในที่ทำงานด้วย ไม่แปลกที่วิ่งไม่หยุดในการแข่งขัน

'ตู่ นพพล' ปลื้ม!! ได้ร่วมถ่ายทอดบททหารกล้าปกป้องแผ่นดินไทย การแสดงละครประกอบเพลง รำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.112 ตอน ปราการเวลา

(1 มี.ค.67) นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมืออย่าง ตู่-นพพล โกมารชุน ที่เมื่อรับงานแสดงให้เห็นหน้าจอเมื่อใดก็สร้างความประทับใจให้แฟนละครมาตลอด ล่าสุดตอบตกลงรับงานแสดงนอกจออีกครั้งในรอบหลายปี ในฐานะนักแสดงนำในโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการทางด้านประวัติศาสตร์ การแสดงแสงเสียงสื่อผสมในรูปแบบมิวสิคัล รำลึกเหตุการณ์ ร.ศ.112 ตอน ปราการเวลา The Theatre จัดโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดสมุทรปราการ

งานนี้เจ้าตัวปลาบปลื้มใจที่ได้รับบทบาทเป็นตัวแทนทหารปกป้องแผ่นดินไทย โดย ตู่ นพพล เปิดเผยว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากๆ ครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมทั้งยังเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับตัวละครที่ผมเล่นจะเกิดขึ้นในร.ศ. 112 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่หลายๆ คนรู้จักกับวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 

ผมรับบทเป็นตัวแทนทหารไทยที่ได้เข้าร่วมการรบ เพื่อปกป้องไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด ซึ่งเรารักษาผืนแผ่นดินไทยไว้ได้ด้วยพระปรีชาสามารถของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และความเสียสละของทหารปี ร.ศ. 112 จนมีสมุทรปราการทุกวันนี้ ผ่านการแสดงละครประกอบเพลง ปราการเวลา The Theatre เรามีโชว์การแสดงถึง 5 องก์ ซึ่งแต่ ละองก์ จะนำเสนอเรื่องราวเต็มครบรสชาติครับ ผมขอเชิญชวนชาวสมุทรปราการ และพี่น้องที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงมาเข้าชมกันเยอะๆ นะครับ งานนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่วันที่ 14-17 มีนาคมนี้ เวลา 18.00น. เป็นต้นไป ณ ป้อมพระจุล จอมเกล้า แล้วเจอกันนะครับ”

'เอวา' พาชม 'งานพระบรมสารีริกธาตุ' ที่คุณพ่อเป็น 'ผู้ร่วมจัด-ประสานงานหลัก' งานประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่รวมใจชาวพุทธมากกว่า 4 แสนคน

(29 ก.พ.67) จากงานพิธีอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ จากอินเดีย มาที่สนามหลวง ซึ่งเปิดสักการะ 24 ก.พ.-3 มี.ค. 67 ด้านน้องเอวา หรือ เอวา ปวรวรรณ ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านช่องติ๊กต็อก @sunflowava พาชมงานพระบรมสารีริกธาตุที่มีคุณพ่อซึ่งก็คือ นายสุภชัย วีระภุชงค์ เป็นผู้ร่วมจัดและประสานงานทั้งหมด โดยระบุว่า…

“วันนี้จะมารีวิวงานพระบรมสารีริกธาตุที่คุณพ่อเป็นคนจัด ซึ่งต้องบอกก่อนว่างานนี้เป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเราเลยก็ว่าได้ โดยที่คุณพ่อนั้นเป็นผู้ประสานงานทั้งหมด เริ่มจากอย่างแรกก็จะมีการสวดพุทธมนต์ไหว้พระกัน โดยทางพี่เนสก็เริ่มสวดได้แล้วและเอวาก็สวดได้แบบไม่ต้องดูหนังสือเลยเช่นกัน ซึ่งพี่เนสก็มาช่วยดูแลงานของคุณพ่อด้วย…

แต่จะบอกว่าคนจํานวนเยอะมาก ๆ อย่างวันนี้ที่มาก็มีผู้เข้าไปร่วมสักการะแล้วทั้งหมด 400,000 คน โดยอย่างแรกก็จะมีการเวียนเทียนรอบโบสถ์ที่มีพระบรมสารีริกธาตุ แล้วคุณพ่อเอวาท่านก็สนิทกับพระหลาย ๆ รูปมากเลย เอวาก็มีบุญเราโชคดีมาก ๆ ที่ได้ขึ้นไปกราบไหว้กับคุณพ่อถึงข้างบน และคุณพ่อเอวาท่านก็ได้คุยกับพระอินเดียด้วย ซึ่งก็เป็นองค์ที่ทําให้งานนี้เกิดขึ้นได้ แล้วคุณพ่อก็เป็นคนประสานงานทั้งหมด โชคดีมาก ๆ ที่พระหลายรูปท่านเอ็นดูแล้วก็รักคุณพ่อเอวา

สำหรับใครที่อยากร่วมสักการะตอนนี้มีถึงวันที่ 3 มีนาคม อยากเชิญชวนทุกคนมากันเยอะ ๆ ส่วนใครที่ดูคลิปนี้ก็อนุโมทนาสาธุร่วมกันกับบุญใหญ่ของเอวาและครอบครัว”

‘ครูเล็ก’ โพสต์ภาพคู่ ‘ลิซ่า’ เผย “เธอเป็นคนที่อบอุ่นมาก” พร้อมคอนเฟิร์มเตรียมชิมลางซีรีส์ดัง เริ่มถ่ายทำที่ไทยแล้ว

(26 ก.พ.67) เรียกว่าแฟนๆ ทั่วโลก ต่างเซอร์ไพร์ส หลัง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ เซย์เยสชิมลางงานแสดง ใน ‘The White Lotus’ ซีซัน 3 ออริจินัลซีรีส์ของ HBO ที่จะเริ่มถ่ายทำที่เกาะสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ

โดยการันตีด้วยรางวัลเอ็มมี่ สร้างสรรค์ เขียนบท และ กำกับโดย ‘ไมค์ ไวท์’ ร่วมกับทีมนักแสดง เลสลีย์ บิบบ์, แคร์รี่ คูน, ฟรานเชสกา คอร์นีย์ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผย นักแสดงชาวไทยมากฝีมืออีกหลายชีวิต ที่ร่วมถ่ายทอดชีวิตจริงของมนุษย์สู่สายตาแฟนๆ ทั่วโลก อย่าง ครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน, ดอม เหตระกูล และ เมธี ทับทิมทอง อีกด้วย

ขณะเดียวกัน แฟนๆ ซีรีส์ ก็ยังคงร่วมลุ้นว่า ลิซ่า และนักแสดงคนอื่นๆ จากเมืองไทยจะได้รับบทบาทอย่างไรในเรื่องนี้ รวมถึงรอคอยการถ่ายทำที่ประเทศไทย

ล่าสุด ‘ครูเล็ก’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง และยังเป็นหนึ่งในนักแสดงซีรีส์เรื่องดังกล่าว ออกมาโพสต์ภาพคู่กับลิซ่าในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมแคปชันน่ารักว่า “เธอเป็นคนที่อบอุ่นมาก”

ทำเอาแฟนๆ ที่เห็นภาพนี้ ต่างอบอุ่นหัวใจ ที่ลิซ่าได้ร่วมงานกับปรมาจารย์ด้านการแสดง และบอกว่าใครที่ได้ร่วมงานกับลิซ่า ต่างชื่นชมและเอ็นดูในความน่ารัก

พร้อมคาดการณ์กันอีกว่า ลิซ่าเเละทีมซีรีส์ เรื่อง ‘The White Lotus season 3’ เดินทางมาถ่ายทำที่ประเทศไทยกันเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว

‘อ้น สราวุธ’ ถึง ‘แน็ก ชาลี’ จากใจคนดีงาม ถึงคนที่ดีงามอีกคน

จากกรณีที่ ‘แน็ก-ชาลี ไตรรัตน์’ นักแสดงและนักร้องชื่อดังแห่งวงการบันเทิง ได้ออกมาไลฟ์สดระบายความอัดอั้นตันใจ ถึงขั้นร้องไห้ออกสื่อ เมื่อไม่นานนี้ โดยเจ้าตัวได้กล่าวว่า ตนเองช่วยคนอื่น แต่กลับโดนด่าทุกวัน ทั้งๆ ที่ทำให้คนอื่นมีความสุข

ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 67 ‘อ้น-สราวุธ มาตรทอง’ นักแสดง นายแบบ และนักร้องชื่อดัง เจ้าของบทบาทมากมายในวงการบันเทิง ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านทางช่องติ๊กต็อกส่วนตัว aonsarawut929 ให้กำลังใจแก่ ‘แน็ก ชาลี’ โดยระบุว่า…

“สวัสดีครับ อ้น สราวุธครับ คลิปนี้อยากจะพูดถึงใครคนหนึ่งครับ ถ้าเกิดใครติดตามก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ค่อยพูดถึงใครเท่าไหร่ ไม่ค่อยพูดถึงบุคคลที่ 3 เพราะรู้สึกว่ามันไม่สมควร แต่คลิปนี้ผมตั้งใจพูดถึงเด็กผู้ชายที่ชื่อ ‘แน็ก ชาลี’ ครับ

ผมได้ติดตามข่าว ได้เห็นที่เขาไลฟ์ และเขาร้องไห้ และเขาพูดถึงความสุขว่า เขาหมั่นทำให้คนอื่นมีความสุข หมั่นช่วยเหลือผู้อื่น หมั่นให้สิ่งต่างๆ แก่ผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นได้มีชีวิตที่ดีขึ้น… แต่สุดท้าย สิ่งที่มันวนกลับมาหาเขา คือ เขารู้สึก ‘แห้งแล้งอยู่ข้างในใจ’ เขารู้สึกเปราะบางอยู่ในนี้

ผมก็เลยจะบอกว่า แน็กฟังพี่อ้นนะ… พี่อ้นดูแน็กมาตลอดแม้ไม่เคยได้ร่วมงานกับแน็กนะ เห็นแน็กมาตั้งแต่ภาพยนต์เรื่อง ‘แฟนฉัน’ ยังรู้สึกว่า เด็กคนนี้น่ารักจัง แล้วก็ติดตามดูงานมาตลอด แน็กเป็นหนึ่งในนักแสดงคนหนึ่งที่พี่อ้นว่ามีฝีมือมากทีเดียวนะ แล้วก็เป็นธรรมชาติมากด้วย มีช่วงหนึ่งที่แน็กหายไป พี่อ้นก็ยังคิดถึงอยู่ว่าหายไปไหน เสียดาย… แต่พอสักพักนึง แน็กกลับมาในโลกออนไลน์ โลกโซเชียล และคนก็พูดถึงความตลกโปกฮา บ้าบอนู่นนี่นั่น ซึ่งพี่อ้นชื่นชมนะ มันน่ารักดี

แต่สิ่งที่เห็นมากกว่านั้นคือ ข้างในของแน็ก ซึ่งรู้สึกว่า โอ้โห เด็กคนนี้เหมือนออกซิเจน เหมือนเป็นอากาศดีๆ ให้กับสังคม เพราะว่าการที่คนเราจะทําให้สังคมน่าอยู่ ช่วยเหลือผู้อื่น โดยที่คนอื่นจะรู้หรือไม่ก็ตาม มันเป็นสิ่งที่น่ารักมาก และแน็กก็เมตตากับสัตว์เลี้ยงมากๆ ซึ่งอ้นก็เลี้ยงสัตว์เหมือนกันน่ะนะครับ ก็เลยอยากจะบอกแน็กว่า หากแน็กเดินทางบ่อยๆ แม็กจะรู้ว่าเวลาที่เราขึ้นเครื่องบินนั้น เวลาที่เครื่องบินตกหลุมอากาศ มันจะมีเครื่องให้ออกซิเจนตกลงมา วิธีในการใช้ก็คือ เขาให้เราสวมออกซิเจนให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยสวมให้คนข้างๆ แน็กจําคำของพี่อ้นไว้นะ เราต้องแข็งแรง ถึงจะช่วยเหลือผู้อื่นให้แข็งแรงได้ คนรอบข้างจะรอดและมีความสุขได้ เราต้องแข็งแรง การที่แน็กช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุขนั้นพี่อ้นชื่นชมมาก… แต่น้องต้องแข็งแรง รักษาตัวเองไว้ให้แข็งแรง

การดูแลคนอื่นๆ เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม… แต่อย่าลืมดูแลผู้ชายที่ชื่อ ‘แน็ก ชาลี’ ด้วย อย่าลืม…

วันหนึ่งเราต้องโต ต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องแก่เฒ่าและจากไป แน็กรู้แล้วเรื่องนี้ ทุกอย่างจะมีช่วงเวลาในการเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนโฮมสเตย์ เหมือนบ้านพักชั่วคราว

ขอให้แน็กอยู่กับตรงนี้ อยู่กับหัวใจของตัวแน็กเอง ดูแลหัวใจของตัวเองให้ดี เมื่อเราแข็งแรง เราก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ และทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น เพราะคนอย่างแน็กนี่แหละ รักแน็กนะ พี่มองเห็นสิ่งที่แน็กทำนะ

อีกอย่างนึงที่อยากพูดมากเลย คือ การที่คนๆ นึงจะเอาตุ๊กแกมาตีขิมหรือตีระนาดได้เนี่ย มันต้องแบบที่สุดแล้วล่ะสําหรับพี่ พี่ขอคารวะ สู้ๆ นะน้อง รักนะแน็ก ถ้ามีโอกาสเราคงได้ร่วมงานกันครับ

ความ ‘สมดุล’ ตามรอย ‘ศาสตร์แห่งพระราชา’ ‘ปลูกชีวิต’ ด้วยพลังงานธรรมชาติ ปราศจากมลพิษ

ในระหว่างที่สังคมโลกกำลังให้ความสำคัญกับการต่อสู้กับภาวะเรือนกระจกในหลายๆ บริบทของสังคมทั้งในระดับโลก ประเทศ และชุมชน เพื่อจรรโลงโลกกลมๆ แห่งนี้ให้อยู่คู่มนุษยชาติได้นานๆ นั้น

ปรากฏการณ์ของกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องการสร้างสังคมสีเขียว ปลอดมลพิษ และลดการพึ่งพิงพลังงานฟอสซิล รวมถึงลดเลิกการใช้สารเคมีต่างๆ เพื่อต้านทานกับภัยคุกคามจากภาวะเรือนกระจก ก็เริ่มก่อตัวเพิ่มมากขึ้นตามเช่นกัน

‘Somdul Agroforestry Home’ หรือ ที่ใครหลายคนคุ้นเคยกับคำว่า ‘สมดุล’ เป็นหนึ่งในหน่วยเล็กๆ ทางสังคม ที่ออกแบบสิ่งแวดล้อมแสนสมดุลของตน ไว้ในหมวดธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การผูกรัดตนเองไว้กับวิถีแห่งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่ อัมพวา สมุทรสงคราม

‘สมดุล’ ประกอบไปด้วยพื้นที่สีเขียว ที่แวดล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ อยู่ติดริมแม่น้ำแม่กลอง มีบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นเหมือนสวนที่เปิดรับให้ทุกคนได้มาพักผ่อน แถมยังพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้ทุกคนได้เรียนรู้ พร้อมๆ ไปกับ คาเฟ่, อาหาร และเครื่องดื่ม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ต่อยอดขึ้นมาจากแนวคิด ‘อยู่อย่างเกื้อกูลธรรมชาติ’

เป้าหมายของ ‘สมดุล’ ที่แม้นจะฟังดูเหมือนลมๆ ลอยๆ แต่ ‘อติคุณ ทองแตง’ ผู้ร่วมก่อตั้งสวนสมดุล ก็บอกเสมอว่า “ความสุขอย่างยั่งยืน” คือนิยามที่ ‘สมดุล’ อยากส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจไปสู่สังคมวงกว้าง

ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย ‘อติคุณ’ เล่าว่า สวนสมดุลแห่งนี้ เกิดมาจากแรงบันดาลใจในปรัชญาของพ่อเลี่ยม บุตรจันทา ปราชญ์ชาวบ้านแห่งบ้านสวนออนซอน จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มีส่วนสำคัญในถ่ายทอดปรัชญาแห่งความสมดุลในสวนนี้ เป็นมรดกให้เขาให้นำไปสานต่อ 

โดยสาระสำคัญของปรัชญาดังกล่าว สะท้อนไปสู่ ‘การปลูกชีวิต’ โดยเฉพาะชีวิตแห่งพืชพันธุ์ให้สามารถเกื้อกูลพึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน ด้วยองค์ประกอบ ดิน, น้ำ, ลม และ แสงแดดที่เหมาะสม จนเกิดความสมบูรณ์ตามรูปแบบของธรรมชาติ  

มาถึงตรงนี้ รู้สึกได้ว่า ปรัชญา ดังกล่าวที่สะท้อนมาสู่จุดเริ่มต้นของ ‘สมดุล’ ช่างดูคุ้นเคย...

ใช่แล้ว!! เพราะนี่คือปรัชญาเพื่อพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนตามแนวทาง ‘ศาสตร์พระราชา’

‘สมดุล’ ไม่ใช่สังคมสีเขียวที่ไร้แก่นสาร หรือแค่วาดลานแลนด์สเคปเขียวๆ ให้คนรู้สึกถึงคอนเซปต์แบบเขียวๆ ให้รู้สึกว่าอินเทรนด์ แต่ ‘สมดุล’ ถูกปัดหมุดด้วยความคิดของผู้ร่วมก่อตั้ง ที่สอดรับกับรอยต่อแห่ง ‘ศาสตร์พระราชา’ ซึ่งมิได้ปฏิเสธเทคโนโลยี เพียงแต่ไม่ยอมรับการครอบงำจากเทคโนโลยี  

นัย นี้น่าสนใจ!! เพราะ ‘สมดุล’ รู้จักการควบคุมและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการเป็นเกษตรสมดุล โดยผสานองค์ความรู้จากปรัชญาของการเกษตรไทย กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยการทำให้เกิดสมดุลของดิน, น้ำ และสิ่งแวดล้อม นั่นคือ นำเอาศาสตร์แห่งดิน, ศาสตร์แห่งน้ำ และ การเคลื่อนคล้อยของลม แสงแดด และอุณหภูมิที่เหมาะสม มาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นแนวทางใหม่ คล้ายเป็นนวัตกรรม...หากแต่เป็นนวัตกรรมจากรากเหง้าเกษตรไทย ที่อุดมด้วยองค์ความรู้อันหลากหลายอยู่แล้ว

นอกจากนี้ สวนสมดุล ยังปฏิเสธสารเคมีทุกชนิด โดยผืนดินทุกตารางนิ้ว จะถูกปรับปรุงคุณภาพให้ปลอดภัยทั้งสารพิษ สารเคมี อย่างน้ำที่ใช้ในสวน ก็จะผ่านการกรองด้วยระบบกรองตามมาตรฐานคุณภาพที่สวนฯ กำหนดขึ้น ทำให้ ต้นไม้ พันธุ์พืช และผักทุกชนิด จึงปลอดภัยจากมวลสารที่อาจเป็นพิษภัยต่อมนุษย์ สัตว์ และพืช...ทุกสิ่งล้วน ‘ออแกนิค’ (Organic)

ในแง่ของพลังงาน สวนสมดุลแห่งนี้ ได้สมดุลด้านพลังงานผ่าน ‘พลังงานสะอาด’ (Green Energy) ด้วยการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ มาเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่ใช้ในทุกพื้นที่ของสวน

จากข้อมูลช่วงย้อนไปราว 5 ปีก่อน อติคุณ เล่าว่า “เราเริ่มต้นด้วยการติดตั้งแผง Transparent PV Solar Cell จำนวน 208 แผงแบบ on-Grid บนหลังคาที่จอดรถหน้าสวน มีขนาดกำลังติดตั้ง 60.14 kw สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ปีละ 88,454 Kwh หรือ 88,454 หน่วยนั่นเอง ด้วยสมการนี้เราจะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ปีละ 391,090.50 บาท หรือตกเดือนละ 32,590.87 บาท จึงเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในทางหนึ่ง ขณะเดียวกันยังสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซหลักและตัวการสำคัญที่ส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนลงได้ปีละ 68.90 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ที่มีอายุกว่า 10 ปี จำนวน 1,034 ต้นต่อปี หรือเทียบเท่ากับพื้นที่ป่าสีเขียวขนาด 184 ไร่ และเทียบเท่ากับการลดการเผาถ่านหินจำนวน 30,771.90 กิโลกรัมต่อปี หรือเท่ากับการขับรถเป็นระยะทาง 244,696 กิโลเมตรต่อปี”

อติคุณ เผยอีกว่า ผลพวงจากพลังงานสะอาดที่ผลิตจากแสงอาทิตย์นี้ ได้ถูกนำไปใช้ในร้านกาแฟ ‘Agro  forestry Café’ ไม่ว่าจะในส่วนของระบบแสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องชงกาแฟ และอุปกรณ์ประกอบการปรุงอาหารทุกชนิด เป็นการการันตีว่า ทุกเมนูกาแฟ หรือ อาหาร รวมทั้งเครื่องดื่ม น้ำดื่มต่างๆ ที่ลูกค้าได้เข้ามาใช้บริการ 

เรียกได้ว่าทุกโสตสัมผัสในบรรยากาศแห่ง สวนสมดุล ผู้คนจะมั่นใจ และสบายใจได้ว่า สิ่งแวดล้อมที่ปรากฏรายล้อมรอบพวกเขา นอกจากจะกอปรไปด้วยวัตถุดิบที่เป็นออแกนิคแล้ว ยังปราศจากมลพิษ อย่างสิ้นเชิงอีกด้วย

“เราอยากให้สวนแห่งนี้ เป็นศูนย์การเรียนรู้ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยต้นทุนด้านการเกษตร เพื่อพัฒนาเกษตรกรไทย ให้มีความเข้มแข็ง มั่นคงในอาชีพ เกษตรกรไทยไม่ควรต้องอ่อนด้วย ต้อยต่ำ อีกต่อไป” นี่คืออีกหนึ่งฝันของ อติคุณ ที่ไม่ใช่แค่เนรมิต ‘สมดุล’ ขึ้นมาเป็นเพียงแค่ที่พักผ่อนหย่อนใจ

ในขณะที่สภาวะเรือนกระจกกำลังคุกคามโลกของเราอยู่ แค่ธุรกิจที่มองเห็นและหยิบจับวัฏจักรแห่ง Green มาไหลเวียนแค่ธุรกิจเดียว ยังสร้างผลลัพธ์ในการเซฟโลกของเราได้มากขนาดนี้ แล้ว ‘คุณ’ จะไม่ลองเริ่มหันมาสร้าง ‘สมดุล’ ให้กับโลกกันบ้างหน่อยหรือ?

‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home
ตั้งอยู่ในตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จากวัดบางพลับ มาอีกประมาณ 500 เมตร
เปิด วันจันทร์-อังคาร 09.00-17.00 น. วันพุธ-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี)
สอบถาม โทร. 098-362-9894 หรือ facebook.com/somdulhome 

รู้จัก ‘สวนสมดุล’ แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแห่งอัมพวา บอกทุกที่มา ‘อาหาร-พลังงาน’ ที่ผู้บริโภคมีสิทธิ์ต้องได้รู้

บรรยากาศริมน้ำแม่กลองที่ไหลเอื่อยยามสาย ช่างดูเงียบสงบงดงามเหลือเกิน เมื่อได้เมียงมองจากพื้นที่ร่มรื่นใต้เงาไม้ของ ‘สมดุล’ (Somdul Agroforestry Home) สถานที่ที่ผสมผสานทั้งความเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร ศูนย์เรียนรู้ และวนเกษตร ซึ่งเป็นหมุดหมายของนักเดินทางที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน 

‘สมดุล’ หรือ ‘Somdul Agroforestry Home’ เปรียบตนเองเป็นบ้านที่มีความฝันจะบาลานซ์ไลฟ์สไตล์ ระหว่างชีวิตคนเมืองกับธรรมชาติให้อยู่ตรงกลาง ผ่านการทำเกษตรกรรมเชิง ‘วนเกษตร’ แบบเกษตรอินทรีย์ โดยปลูกในสิ่งที่กิน กินในสิ่งที่ปลูก แล้วถ่ายทอดออกมาในรูปแบบการบริการ อาหาร, เครื่องดื่ม, เบเกอรี ผลิตภัณฑ์แปรรูปในโซนคาเฟ่ เปิดโอกาสให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ผ่านการศึกษาภาคปฏิบัติในกิจกรรมเวิร์กช็อปต่างๆ และถ่ายทอดวิถีชีวิตองค์ความรู้ของศาสตร์วนเกษตร เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เรียกว่า ‘ความสุขอย่างยั่งยืน’

จุดหมายปลายทางแห่งนี้ เริ่มต้นจากนักศึกษาในชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเอแบค จำนวน 6 คน ได้แก่ เอี่ยม-อติคุณ ทองแตง, เม-เมธาพร ทองแตง, อู๋-บุญชู อู๋, กันต์-กันต์ คงสินทรัพย์, ไอซ์-รังสิมันตุ์ ตันติวุฒิ และเจมส์-พงศกร โควะวินทวีวัฒน์ ซึ่งทุกคนมีความสนใจในงานด้านอนุรักษ์ และใช้พื้นที่ที่มีทำการเกษตรแบบพึ่งพาตัวเอง จนกระทั่งมาลงตัวที่ ‘วนเกษตร’ หรือ การเกษตรบนพื้นที่ป่า ก่อนจะขยายมาเป็นศูนย์การเรียนรู้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน 

อติคุณ ทองแตง หนึ่งในผู้ก่อตั้งอธิบายว่า “ทุกการบริโภคในสมดุล ล้วนมีที่มาที่ไป ตั้งแต่กระบวนการผลิต อาหาร และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในคาเฟ่ จะถูกอธิบายว่ามาจากที่ไหนบ้าง มีความปลอดภัยอย่างไร เรามีฟาร์มเทเบิลส่วนหนึ่งที่ผลิตเอง และมีเครือข่ายเกษตรที่เรามั่นใจได้ในความปลอดภัย อาหารมีที่มาที่ไปอย่างไร อาหารส่วนหนึ่งเป็นออร์แกนิก ไม่มีสารเคมี และนี่คือสิ่งที่เราพยายามสื่อสาร เพราะเราเน้นเรื่องความจริงใจ ที่มาของอาหารที่จับต้องได้ ผู้บริโภคมีสิทธิ์ต้องรู้...

“เราเน้นใช้จาน แก้ว เพราะล้างได้ ใช้กระดาษ หลอดย่อยสลายได้ รวมถึงกระป๋อง อลูมิเนียม เพราะนำไปรีไซเคิลได้ 100% โดยมีจุดแยกขยะและเครื่องบีบอัดกระป๋อง ส่วนพลาสติกที่จำเป็นจริงๆ จากพวกแพ็คเกจ เราต้องคัดแยก ไม่ได้ไปทิ้งขยะรวมกับขยะทั่วไป โดยแยกไปรีไซเคิล เพื่อนำมาใช้ใหม่ ส่วนขยะที่รีไซเคิลยากจริงๆ เราส่งไปโครงการที่ผลิตพลาสติกเพื่อแปรรูปมาทำพลังงาน”

ไม่เพียงบทบาทในการมอบความสุขให้กับผู้มาเยี่ยมเยียน ‘สมดุล’ เท่านั้น หมวกอีกใบของ ‘สมดุล’ ยังให้ความสำคัญกับการเป็น ‘พลเมืองสีเขียว’ ที่คอยช่วยเหลือชุมชนโดยรอบผ่านองค์ความรู้ที่ได้จากคอนเนกชันของกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายกลุ่ม

“เราเป็นกลุ่มนักอนุรักษ์ ที่หันมาทำธุรกิจ จึงอยากทำธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน และการอนุรักษ์ เราเปิดที่นี่ขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่าการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนทำอย่างไร โดยมีคอนเนกชันกับกลุ่มอนุรักษ์หลายกลุ่ม ก็นำข้อมูลมาเผยแพร่ให้คนอื่นได้เรียนรู้...

“อย่างแนวคิดเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม ที่เป็นหนึ่งในแกนกลางสำคัญของการขับเคลื่อน เราก็ทำในรูปแบบวนเกษตร โดยใช้ภูมิปัญญาเกษตรแบบร่องสวน ทำปุ๋ยเอง เน้นเรื่อง Zero Waste โดยใช้อาหารที่เหลือจากคาเฟ่ ขยะเศษอาหาร จะนำไปแยกน้ำ แยกกาก เอาไปทำเป็นปุ๋ยหมัก และมีวิธีการจัดการการแยกขยะ เพราะขยะที่ขายไม่ได้เทศบาลจะนำไปฝังกลบ เราจึงมีเป้าหมายว่าขยะจะต้องนำไปถูกฝังกลบให้น้อยที่สุด ด้วยการคัดแยกขยะ
ขยะ เน้นเรื่องที่มาและที่ไป บรรจุภัณฑ์แบบไหนให้ปลอดภัยและจัดการง่าย เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง เป็นต้น” 

อีกหนึ่งในไฮไลต์ที่ อติคุณ มักจะนำเสนอต่อทุกคนที่มาเยือน ‘สมดุล’ คือ การให้ผู้มาเยือนได้มาศึกษาเรียนรู้ การเลี้ยง ‘ผึ้งชันโรง’ แมลงตัวจิ๋วที่เสมือนเป็นเครื่องมือรับรองคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อม

สำหรับ ‘ชันโรงหรือผึ้งจิ๋ว’ (Stingless bees) เป็นแมลงผสมเกสรจำพวกผึ้งแต่ไม่มีเหล็กไน ‘ชันโรง’ ถือเป็นแมลงที่มีวิวัฒนาการสูงกว่าผึ้งป่า และยังให้น้ำผึ้งได้อีกด้วย โดยน้ำผึ้งและเกสรของชันโรงมีราคาแพงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป เพราะมีปริมาณน้อยกว่า และหายาก เชื่อกันว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าน้ำผึ้งปกติ 

ความสำคัญที่มีต่อการเกษตรของชันโรงจะช่วยผสมเกสรพืชต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสามารถบินลอยตัวอยู่ได้นานโดยไม่จับเกาะอะไร ทำให้กระพือปีกได้นานบินร่อนลงเก็บเกสร และดูดน้ำหวานเป็นไปอย่างนุ่มนวลไม่ทำให้กลีบดอกช้ำ ขณะเดียวกัน ‘ผึ้งชันโรง’ ยังเป็นแมลงที่สามารถต้านทานเคมีได้ต่ำ เมื่อมีผึ้งชนิดนี้ในพื้นที่ไหนมี ก็เป็นการการันตีเรื่องระบบนิเวศได้ว่า ไม่มีสารเคมี สอดคล้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งพืชและดิน

หากใครที่อยากสัมผัสกับเสน่ห์แห่งวิถีธรรมชาติที่ปราศจากมลภาวะอย่างแท้จริง การเจียดเวลามา ‘สมดุล’ ชีวิตที่ ‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home ก็อาจจะทำให้คุณได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการพลิกตนให้ผู้พิทักษ์สังคมจากภัยคุกคามของภาวะเรือนกระจกได้ไม่มากก็น้อย ก็เป็นได้...

‘สวนสมดุล’ Somdul Agroforestry Home
ตั้งอยู่ในตำบลบางพรม อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ไม่ไกลจากตลาดน้ำอัมพวา จากวัดบางพลับ มาอีกประมาณ 500 เมตร
เปิด วันจันทร์-อังคาร 09.00-17.00 น. วันพุธ-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. (ปิดวันพฤหัสบดี)
สอบถาม โทร. 098-362-9894 หรือ facebook.com/somdulhome 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top