Friday, 9 May 2025
NEWSFEED

พระพรหมบัณฑิต ยกคติธรรมจาก ‘คนขับแท็กซี่’ ‘รู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง’ นำพาชีวิตเป็นสุขได้

พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร โพสต์เฟซบุ๊ก ‘คติธรรม วาทะธรรม พระพรหมบัณฑิต’ ข้อความว่า

อาตมาเรียกแท็กซี่คันหนึ่งเพื่อให้ไปส่งที่วัดมหาธาตุ ตกลงจะจ่ายค่าโดยสาร ๕๐ บาท

อาตมานั่งข้างหน้าคู่กับคนขับเมื่อรถแล่นไปพักหนึ่ง คนขับแท็กซี่ถามว่า ท่านบวชพระมานานแล้วหรือ

อาตมาตอบว่าบวชมานานแล้ว

เขาถามต่อ “ท่านบวชแล้วมีความสุขดีหรือ”

“ก็เรื่อย ๆ นะ” อาตมาตอบแล้วถามกลับไปบ้างว่า

“คุณขับแท็กซี่มานานแล้วหรือ” 

“นานแล้วครับ ผมขับแท็กซี่มา ๒๗ ปีแล้วครับ”

“ขับแท๊กซี่แล้วมีความสุขดีหรือ”

“มีความสุขมากครับ ผบขับแท็กซี่แล้วผมดับทุกข์ได้”

เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้อาตมานึกถึง เรื่องสิทธาถะที่พายเรือข้ามฟากขึ้นมาทันที

“คุณขับแท็กซี่ตลอดเวลาไม่เคยประกอบอาชีพอื่น เลยหรือ” อาตมาถามต่อ

เขาตอบว่า “ผมเคยขับรถที่กระทรวงแห่งหนึ่ง แต่ผมอยู่ไม่ได้ ผมไม่ชอบระบบราชการที่เล่นพรรคเล่นพวกกันเหลือเกิน ทำราชการต้องมีเส้นสายครับ ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน ค่าของคนอยู่ที่ว่าเป็นคนของใคร ผมเบื่อหน่ายจึงลาออกไปเป็นพนักงานขับรถที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ผมก็อยู่ไม่ได้”

“ทำไม ที่มหาวิทยาลัยนั้นก็มีการเล่นพรรคเล่นพวกกันหรือ”
.
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมขอถามหน่อย คนเราเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร คนเรียนมากเป็นคนฉลาดมากขึ้นใช่ไหม”

“ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น”

‘ลูกหนัง ศีตลา’ ถอนตัวจากวง H1-KEY แล้ว หลังเดบิวต์ผ่านมาเพียง 5 เดือนเท่านั้น

วันนี้ (25 พ.ค.2565) สำนักข่าวเกาหลีใต้ รายงานว่า บริษัท GLG ต้นสังกัดของวง H1-KEY ออกแถลงการณ์ประกาศว่าเมมเบอร์ชาวไทย ‘ลูกหนัง’ ศีตลา วงษ์กระจ่าง ถอนตัวออกจากวงเกิร์ลกรุ๊ป H1-KEY เนื่องจากเหตุผลส่วนตัว 

ทั้งนี้ ต้นสังกัด ยังระบุว่า บริษัทได้หารืออย่างจริงจังกับศีตลาและสมาชิกมาเป็นเวลานาน ก่อนจะได้ข้อสรุปหลังตัดสินใจจากภาพรวมสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมขออภัยกับการแจ้งข่าวอย่างกะทันหันในครั้งนี้ และจะพยายามเต็มที่เพื่อให้วง H1-KEY คัมแบ็กพร้อมอัลบั้มใหม่โดยเร็วที่สุด

วงเกิร์ลกรุ๊ป H1-KEY ประกอบด้วย 4 เมมเบอร์ Soei Riina Yel และ Sitala (ศีตลา) เปิดตัวมิวสิกวิดีโอซิงเกิ้ลแรกด้วยเพลง ‘Athletic Girl’ เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2565 

อย่างไรก็ตาม หลังจากการเปิดตัวเมมเบอร์ในวง ก็เกิดกระแสในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับมุมมองทางการเมืองในประเทศไทยของครอบครัวและตัวลูกหนังจนเกิดแฮชแท็กติดเทรนด์ทวิตเตอร์หลายวัน และสำนักข่าวเกาหลีใต้ก็ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับปฏิกิริยาของชาวโซเชียลในครั้งนี้ด้วย

พบ 'พระป่า' ดำรงสมณเพศอย่างสันโดษ ห่มจีวรจากเศษผ้า ไม่ฉันเนื้อสัตว์ - ไม่รับปัจจัย

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีพระภิกษุพำนักอยู่ในสำนักสงฆ์ โดยดำรงเพศสมณะ ด้วยการใช้เศษผ้าเหลือใช้ ผ้าบังสุกุล หรือผ้าห่อศพนำมาเย็บต่อกัน นำไปย้อมด้วยรากไม้ แล้วนำมานุ่งห่ม อีกทั้งยัง ฉันภัตตาหารมื้อเดียว ไม่ฉันเนื้อสัตว์ และไม่รับปัจจัย  

เมื่อเดินทางไปยังสำนักสงฆ์ดังกล่าว พบพระรูปดังกล่าว คือ พระปัญญา มังคะโล ประธานสงฆ์สำนักสงฆ์สวนกัน ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 13 ตำบลโพสังโฆ อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี  

พระปัญญา เล่าว่า ได้อุปสมบท เพื่อดำเนินตามรอยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติติธรรม ซึ่งโยมพ่อถวายที่แห่งนี้ให้เป็นสำนักสงฆ์มากว่า 20 ปี ปัจจุบันมีพระสงฆ์ 3 รูป มีโยมอุบาสก อุบาสิกา คอยหมุนเวียนมาปฏิบัติธรรมและอยู่ช่วยงาน

เมื่อถามถึงการปฏิบัติธรรมว่าพระคุณเจ้านิกายใด ปฏิบัติธรรมเช่นไร ได้คำตอบว่า ปฏิบัติมหานิกาย โดยยึดมรรค 8 ยึดตามหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การรู้สภาวะกายและจิต อบรมจิต อบรมกายตน รู้พูด รู้เดิน รู้การกระทำ และไม่ฉันเนื้อสัตว์ หรือวัตถุดิบจากสัตว์ การฉันมื้อเดียวในบาตร จากการเดินบิณฑบาต ซึ่งญาติโยมในพื้นที่จะทราบดีว่าพระที่นี่ฉันมังสวิรัติ ไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่รับกิจนิมนต์ ไม่รับสวด (นอกจากญาติโยมที่เคยมาปฏิบัติที่นี้มาขอให้สวด) และไม่รับปัจจัย 

สำหรับ สิ่งของที่ญาติโยมมาถวายส่วนใหญ่ คือ อาหารมังสวิรัติ น้ำดื่ม พระสงฆ์ที่สำนักสงฆ์สวนกันจะสีข้าวเปลือกเอง มียุ้งข้าว ทำน้ำซีอิ้วเต้าเจี้ยวเอง ปลูกพืชสมุนไพร ใช้น้ำบาดาล มีไฟฟ้าใช้เฉพาะจำเป็นและเปิดปิดตามเวลาโดยค่าไฟในแต่ละเดือนอยู่ที่ 40 บาท 

ส่วนผ้าจีวร ใช้เศษผ้าเหลือใช้ จากผ้าบังสุกุล หรือผ้าห่อศพ มาเย็บต่อกัน จากนั้นนำเปลือกไม้ต้นประดู่มาแช่น้ำในโอ่ง 1 คืน แล้วนำผ้าจีวรที่เย็บแล้วนั้นไปหมักโคลนอีก 1 คืน จนได้เป็นจีวร (พระทำเองทุกขั้นตอน)

ซอยชื่อแปลกหู ที่ตั้งสถานทูตออสเตรเลีย กับเบื้องหลังที่ทำให้ ‘ในหลวง’ ทรงแย้มพระสรวล

‘นายอัลลัน แมคคินนอน’ ท่านทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยสุดปลื้ม ‘ในหลวง’ พระราชทานชื่อซอยที่ตั้งสถานทูตฯ ‘อรุณมักกินนอน’ ตามที่สื่อไทยชอบสะกด

เรื่องราวน่ารักที่ทำเอาหลายคนยิ้มตาม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียทางการของ สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย โพสต์คลิปวิดีโอ นายอัลลัน แมคคินนอน เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย กับป้ายชื่อซอยที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า ‘ซอยอรุณมักกินนอน’ ซึ่งเป็นซอยที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย

ในโพสต์ดังกล่าว ระบุว่า “เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอัลลัน แมคคินนอน เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลลาในโอกาสที่จะพ้นจากหน้าที่ ในการนี้ท่านทูตได้ถวายรายงานถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับออสเตรเลีย และนำนามสกุลของท่านที่ถูกเขียนเป็นภาษาไทยโดยสำนักข่าวต่าง ๆ ว่า “มักกินนอน” รวมถึงชื่อเล่นที่ท่านตั้งเองว่า “อรุณ” ขึ้นกราบบังคมทูล หวังเพียงทั้งสองพระองค์ทรงแย้มพระสรวล พร้อมทั้งขอพระราชทานชื่อซอยอันเป็นที่ตั้งของสถานทูตฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อซอยว่า “ซอยอรุณมักกินนอน” ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”

ชุมชนในตำนานฉากหลักของหนังอินเดียสุดปัง “Gangubai Kathiawadi หญิงแกร่งแห่งมุมไบ”

พาไปรู้จักกับ “กามธิปุระ” ย่านโสเภณีชื่อดังในเมืองมุมไบ ที่เป็นฉากหลักในหนังอินเดียสุดปังเรื่อง “Gangubai Kathiawadi หญิงแกร่งแห่งมุมไบ” ซึ่งกำลังโด่งดัง มีคนแต่งตัวเลียนแบบคังคุไบกันว่อนโซเชียล

“Gangubai Kathiawadi” เป็นหนึ่งในภาพยนตร์บอลลีวูดของยุคนี้ พ.ศ.นี้ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่รู้จักไปในหลายประเทศทั่วโลก

Gangubai Kathiawadi (คังคุไบ กฐิยาวาฑี) หรือที่ภาษาไทยใช้ชื่อว่า “หญิงแกร่งแห่งมุมไบ” เป็นหนังอินเดียยุคใหม่สร้างขึ้นมาจากนิยายเรื่อง “Mafia Queen of Mumbai” เขียนโดย “ฮุสเซน ไซดี” (Hussain Zaidi) ซึ่งได้อ้างอิงเรื่องราวชีวิตจริงของ “Gangubai Harjeevandas” (คังคุไบ ฮาร์จีวันดัส) โสเภณีคนดังแห่งเมืองมุมไบ ที่เป็นทั้ง “แม่พระ” และ “มาเฟีย” ในคน ๆ เดียวกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวประมาณ 150 นาที เข้าฉายครั้งแรกในเทศกาลหนังเบอร์ลินเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่อินเดียเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และสามารถกวาดรายได้เบื้องต้นไปเกือบ ๆ 900 ล้านบาท จากต้นทุนประมาณ 500 ล้านบาท

จากนั้นหนังเรื่องนี้มาตอกย้ำความปังไปอีกขั้น หลังถูกนำมาออกอากาศทาง Netflix ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง มีคนสนใจในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงในบ้านเรา ชนิดที่ว่ามีการแต่งคอสเพล์ยเลียนแบบคังคุไบกันว่อนโซเชียล

Gangubai Kathiawadi นำเสนอเรื่องราวของ “คังคุไบ” ตั้งแต่ในวัยเยาว์ที่เติบโตมากับความฝันอยากเป็นนักแสดง แต่ทว่า...เธอกลับถูกสามีหลอกไปขายให้กับซ่องโสเภณีในมุมไบตั้งแต่มีอายุเพียง 16 ปี เพื่อแลกกับเงินไม่กี่ร้อยบาท

แต่คังคุไบก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาเธอต่อสู้ฟันฝ่าจากโสเภณี ไต่เต้าขึ้นมาเป็นแม่เล้า จนกลายเป็นหญิงเจ้าของซ่องผู้ร่ำรวย และมีอิทธิพลคนหนึ่งของอินเดีย จนได้ชื่อว่า “ราชินีมาเฟียแห่งมุมไบ”

‘บีม’ ปรับคอนเทนต์ เน้นเหมาะสม ไม่กระทบใคร หลัง ‘พลังใบ’ ทำพิษ ‘ตำรวจ-อัยการ’ ฟ้อง 7 ข้อหา

พลังใบให้บทเรียน “บีม ศรัณยู” เปิดใจ ขอปรับรูปแบบคอนเทนต์ เน้นเหมาะสม เป็นตัวเองแต่ต้องไม่กระทบใคร ขอบคุณภรรยาที่ช่วยเตือนสติและทำให้ตนปรับ Mindset 

จากประเด็นดราม่าที่เคยทำคลิปขับรถและขับเรือสุดหวาดเสียว ทั้งการขับรถขึ้นไปเกาะกลางถนน, ไลฟ์ขับรถด้วยความเร็ว, ขับรถมือเดียวเอามืออีกข้างจับโทรศัพท์, ใช้เข่าขับรถ, ขับเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยความเร็ว จนเป็นกระแสสังคมเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้นักแสดงหนุ่ม “บีม ศรัณยู” หรือฉายาใหม่ “บีมพลังใบ” ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทย์ ยื่นฟ้องรวมทั้งสิ้น 7 ข้อหา ซึ่งเจ้าตัวนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตและทำคอนเทนต์ลงในสื่อออนไลน์

ล่าสุด (12 พ.ค. 65) “หนุ่มบีม” เปิดใจในงานเเถลงข่าวละครเรื่องบุพเพร้อยร้ายที่ตนได้ร่วมเเสดง ว่าตนเอง “ได้รับการลงโทษตามกฎหมาย ทั้งจ่ายค่าปรับ รวมถึงทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็มีการปรับตนจำนวน 5,000 บาทด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีการโฆษณาเกินจริง ทำให้ได้เรียนรู้ว่าในอีกทาง ทั้งยังมีการปรับเรื่องคอนเทนต์ที่ไม่โผงผางเกินไป และใช้คำพูดที่เหมาะสม รวมถึงไปในสถานที่ที่ไม่กระทบ สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น แต่ยืนยันว่ายังเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม มองว่าคำพูดไม่เท่าการกระทำที่ทำให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งคนที่ช่วยเตือนสติและทำให้ตนปรับ Mindset คือภรรยาสุดที่รัก “ชาช่า ทามาดะ” ที่บอกว่าจะทำอะไรให้คำนึงถึงคนอื่นด้วย 

เด็กไทยฉลาดขึ้น!! กรมสุขภาพจิต เผยผลสำรวจ เด็ก ป 1. ไทยฉลาดขึ้น ไอคิวเฉลี่ย 102.8 ไอคิวสูงเกิน 130 มากกว่าละ 10

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงผลการสำรวจไอคิว อีคิว "เด็กไทย" ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปี 2564 ภายในงาน “เดินหน้า...สร้างเด็กไทยไอคิวดี” พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลที่ร่วมดำเนินงานพัฒนาเด็กไทยและพัฒนาสติปัญญาเด็กไทยดีเด่น จำนวน 18 รางวัล

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการสำรวจระดับสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประจำปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่า มีระดับสติปัญญา (ไอคิว) เฉลี่ย 102.8 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติและผ่านเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กำหนดให้เด็กไทยมีไอคิวไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 100 และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 พบว่า เด็กไทยมีไอคิวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 4.5 จุด ส่วนเด็กที่ไอคิวต่ำกว่า 90 ลดลงจาก 31.8% เหลือ 21.7% สะท้อนความสำเร็จจากความร่วมมือของทุกฝ่ายในการพัฒนาเด็กไทยให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ 

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีไอคิวในเกณฑ์บกพร่อง ต่ำกว่า 70 อยู่ถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดให้ไม่เกิน 2% แสดงว่ายังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่ส่งผลต่อสติปัญญาในช่วงแรกเกิดถึง 5 ปี ซึ่งพบในกลุ่มขาดโอกาสทางสังคม เช่น ครอบครัวที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เด็กที่เกิดจากมารดาวัยรุ่น ครอบครัวขาดความพร้อมในการเลี้ยงดูเด็กขณะที่ตั้งครรภ์

สำหรับเด็กที่มีระดับสติปัญญาในเกณฑ์ฉลาดมาก คือ "ไอคิวสูง" มากกว่า 130 พบสูงถึง 10.4% เป็นผลจากได้รับการส่งเสริมศักยภาพอย่างเต็มที่จากครอบครัวและสังคม ซึ่งทุกหน่วยงานควรนำมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาให้ครอบคลุมทั้งประเทศ

ส่วนผลสำรวจความฉลาดทางอารมณ์ (อีคิว) พบอยู่ในเกณฑ์ปกติ 83.4% แสดงว่าเด็กยังมีความสามารถในการรู้จัก เข้าใจ ควบคุมอารมณ์ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ เอาชนะอุปสรรคในชีวิต และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จและความสุขในอนาคต

“การที่เด็กไทยมีระดับไอคิวสูงขึ้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่พระราชทานแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนสารไอโอดีนในเด็ก ทำให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยมากขึ้น จึงขอให้กรมสุขภาพจิตและกรมอนามัยเพิ่มเรื่องความรอบรู้ด้านไอโอดีนให้แก่ อสม. เพื่ออธิบายต่อกับชาวบ้านถึงความสำคัญในการให้เด็กได้บริโภคอาหารที่มีสารไอโอดีน” นายอนุทินกล่าว

รู้จัก 'เทพ เหวย' !! นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ จาก ม.ปักกิ่ง ผู้ปฏิเสธจดหมายเชิญเรียนป.เอก ของฮาร์วาร์ด

เหวย ตงอี้ หนุ่มมาดเซอร์ ผมยุ่ง พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เคยสนใจเรื่องแฟชั่น อาจไม่ใช่สเปกของสาวๆ แต่สำหรับชาวมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยแถวหน้าของจีน เหวย ตงอี้ คืออัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ขั้นเทพ จนทุกคนพร้อมใจกันเรียกเขาว่า "เหวย เฉิน" หรือ "เทพ เหวย" โดยพร้อมเพรียง

เทพ เหวย เกิดมาพร้อมความสามารถด้านคณิตศาสตร์ระดับสูง ที่ฉายแววไกลมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนได้เป็นหนึ่งในตัวแทนทีมชาติจีนเข้าร่วมแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก และสามารถคว้าตำแหน่งอันดับ 1 เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิก ครั้งที่ 49 และ 50 ได้ถึง 2 ปีติดต่อกัน แล้วยังกวาดรางวัลการแข่งขันคณิตศาสตร์อื่นๆ มาแล้วแทบทุกสำนัก

ด้วยความสามารถระดับนี้ ทำให้เหวย ตงอี้ สามารถเข้าเรียนต่อในภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้เลยโดยไม่ต้องสอบ 'เกาเข่า' หรือการสอบระดับชาติเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของจีน 

ซึ่งภาควิชาคณิตศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งนั้น ชื่อเสียงก็ไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในคณะเสาหลักที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกให้แก่สถาบัน และยังเป็นแหล่งรวมเด็กนักเรียน และอาจารย์ชั้นหัวกะทิของจีน ที่หากใครไม่แน่จริง คืออยู่ไม่ได้ 

แต่สำหรับ เหวย ตงอี้ แล้ว ที่นี่เป็นสถาบันที่ส่งเสริมให้เขาฉายแววยิ่งขึ้นไปอีก หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นาน เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ในการฝึกสอนให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งหน้าที่ของผู้ช่วยศาสตราจารย์เหวย กลายเป็นมุกตลกในภาควิชาคณิตศาสตร์ไม่น้อย เมื่อศาสตราจารย์เจ้าของวิชาแนะนำผู้ช่วยคนใหม่ให้นักศึกษาในชั้นว่า 

"นี่คือผู้ช่วยคนใหม่ของผม หากพวกคุณสงสัยโจทย์ข้อไหน ให้มาถามผม ถ้าผมตอบไม่ได้ ผมจะถามผู้ช่วยของผมอีกที แต่ถ้าถึงขนาดที่ผู้ช่วยของผมยังตอบไม่ได้หล่ะก็ แสดงว่าโจทย์นั้นผิด" 

ถ่ายยังไงให้น่ากลัว เทคนิคถ่ายภาพผีด้วย iPhone 13 Pro ใน ‘ผี ตาม คน’ หนังสั้นจากผู้กำกับไทย ‘ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ’ 

ที่ผ่านมาแอปเปิล (Apple) จะเข้าไปทำงานร่วมกับช่างภาพ และผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังในหลากหลายประเทศ เพื่อนำเสนอผลงานทั้งภาพนิ่ง และภาพยนตร์สั้นที่ถ่ายทำด้วย iPhone แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ถูกปรับปรุงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในคราวนี้ถึงเวลาที่ผลงานของผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทยอย่าง ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ผู้กำกับภาพยนตร์สยองขวัญชื่อดังอย่าง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ ‘แฝด’ ‘สี่แพร่ง’ และ ‘ห้าแพร่ง’ ที่เลือกนำเรื่องราวของผีตาโขน กลับมาถ่ายทอดในอีกมุมมองผ่านเลนส์ของกล้อง iPhone 13 Pro

โดยผลงานเรื่อง ‘ผีตามคน’ นับเป็นภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับผีเรื่องแรกของ Apple และถือเป็นการกลับมากำกับภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 4 ปี เล่าถึงเรื่องราวของ 2 โจรวัยรุ่นที่หนีตำรวจมาพบกับร้านหน้ากากผีตาโขน และนำมาเป็นบทเรียนเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม

นอกจากนี้ ภาคภูมิ ยังยกให้ความสามารถของ iPhone 13 Pro ที่สามารถเก็บรายละเอียดในที่แสงน้อย และโหมดภาพยนตร์ (Cinematic) เป็นไฮไลต์เด่นของ iPhone 13 Pro ที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาได้อย่างประทับใจ แฝงกลิ่นอายความหลอน และน่ากลัวได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ใครที่ใช้งาน iPhone แล้วอยากตามไปถ่ายภาพแบบหลอนๆ ลองใช้งานเทคนิค และโหมดพิเศษที่มีอยู่แล้วใน iPhone ไปลองทำตามกันได้แบบง่ายๆ โดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของ iPhone 13 Pro

1.) ที่แสงน้อย ใช้มุมกว้างช่วย
ด้วยระบบการถ่ายภาพในที่แสงน้อยของ iPhone 13 Pro ซึ่งถูกออกแบบให้คำนวณสภาพแสงในเวลานั้น และปรับความเร็วชัตเตอร์ในการถ่ายภาพให้เหมาะสม ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยยังสามารถเก็บรายละเอียดได้อยู่ รวมถึงในโหมดถ่ายภาพบุคคลด้วย

ดังนั้น ถ้าใครอยากได้ฟีลบรรยากาศมืดๆ สลัวๆ ลองหยิบ iPhone 13 Pro ขึ้นมา แล้วเลือกปรับลดชดเชยแสงลงสักเล็กน้อย มองหามุมหลอนๆ อย่างการถ่ายภาพผู้หญิงผมยาว ใส่ชุดสีขาว ต้องได้ภาพที่น่าสนใจแน่นอน

ถ้ายังไม่น่ากลัว ลองปรับมุมมองเพิ่มเติมด้วยการใช้เลนส์ Ultra Wide หรือเลนส์มุมกว้าง แล้วถ่ายเสยขึ้น ที่จะทำให้ตัวแบบมีความยิ่งใหญ่ขึ้น ช่วยเปลี่ยนฟีลของภาพให้น่ากลัวขึ้นไปอีก

2.) ถ่ายให้เกิดเงาผีด้วย Long Exposure
อีกลูกเล่นน่าสนใจที่พลาดไม่ได้คือการถ่ายภาพติดวิญญาณ หรือบรรดาภาพถ่ายติดเงาผีทั้งหลาย ที่จะเล่นกับแบบที่มีการเคลื่อนไหว พร้อมนำโหมดอย่าง Long Exposure มาใช้งาน

วิธีการถ่ายก็ง่ายมากๆ แค่ปรับการชดเชยแสงลงให้ได้บรรยากาศสลัวๆ เลือกจับโฟกัสไปในจุดที่ต้องการบันทึกภาพ หลังจากนั้นนับคิวกับแบบให้ขยับในช่วงเวลาที่กดชัตเตอร์

หลังจากนั้น เปิดเข้าไปดูภาพในอัลบั้ม แล้วเปลี่ยนจาก Live view ที่มุมซ้ายบนให้กลายเป็น Long Exposure ก็จะได้ภาพถ่ายติดวิญญาณมาให้ได้เล่นกันแล้ว แน่นอนว่าโหมดนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ถ่ายเส้นสายไฟ หรือน้ำตก เพื่อให้ภาพได้ฟีลที่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ด้วย

3.) Cinematic ปรับอารมณ์ให้หลอนขึ้น
ความสามารถใหม่ที่มาใน iPhone 13 Pro เกี่ยวกับการบันทึกวิดีโอ คงหนีไม่พ้นโหมด Cinematic ที่เปิดให้เราสามารถเลือกสลับโฟกัสระหว่างจุดได้อย่างง่ายดาย แม้ในเวลาถ่าย หรือหลังจากถ่ายแล้วก็สามารถปรับแต่งทีหลังได้

แน่นอนว่าเมื่อนำมาถ่ายวิดีโอผีๆ การเลือกปรับจุดโฟกัสที่แนบเนียนจะช่วยเพิ่มบรรยากาศของความหลอนเข้าไปอีก รวมถึงช่วยนำสายตาในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจมากขึ้นด้วย ใครยังไม่ได้ลองเล่นโหมดนี้ห้ามพลาด

สืบสานกว่า 100 ปี!! ‘เครื่องแบบนักเรียน’ เมื่อแรกมีในไทย สู่ความภาคภูมิใจแห่งสถาบันศึกษา 

การแต่งเครื่องแบบมีพื้นฐานจากการแต่งตัวให้เข้ากับกาลเทศะ ความเหมาะสมของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เครื่องแบบของนักเรียนชายส่วนใหญ่ ประกอบด้วยกางเกงขาสั้นหรือกางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีขาว ขณะที่เครื่องแบบนักเรียนหญิงจะต่างกันในแต่ละประเทศและระบบการศึกษาของโรงเรียน อีกทั้งมีการออก พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน มาบังคับใช้ด้วย เพื่อส่งเสริมความมีระเบียบวินัย และเป็นการคุ้มครอง มิให้บุคคลอื่นใดแต่งเครื่องแบบนักเรียนโดยไม่มีสิทธิที่จะแต่ง

โรงเรียนในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง จากนั้นก็ทรงให้มีโรงเรียนสำหรับสามัญชนตามมา และได้มีพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน ปี 2482 ออกมาบังคับใช้

หลังจากใช้ พ.ร.บ. ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน พบว่าบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน จึงยกเลิกพระราชบัญญัติฯ ปี 2482 แล้วให้ใช้ พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551 แทน โดยกำหนดให้มีเครื่องแบบนักเรียนไว้เป็นมาตรฐานกลาง เพื่อประโยชน์ในการประหยัดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย

สำหรับวิวัฒนาการของเครื่องแบบนักเรียนไทย ดร.อาทร จันทวิมล อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ปรึกษาหอประวัติศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการได้เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า ยุคแรกของการศึกษาไทย การเรียนการสอนมีขึ้นที่วัดโดยพระเป็นผู้สอนหนังสือ ต่อมาเมื่อมีโรงเรียนหลวง โรงเรียนราษฎร์ เกิดขึ้น ก็มีการบังคับใช้ เครื่องแบบนักเรียน ตามมา

ส่วนที่มาของเครื่องแบบนักเรียน พบว่าในปี ค.ศ.1846 ได้ปรากฏภาพเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดของอังกฤษ (โอรสพระราชินีวิคตอเรีย) ทรงแต่งชุดกะลาสีเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ ชุดดังกล่าวจึงกลายเป็นที่นิยมของเด็กๆ ทั่วโลก จากนั้นมีการนำชุดกะลาสีไปเป็นแบบฟอร์มชุดนักเรียนในสหรัฐอเมริกา และแพร่ขยายต่อไปยังเยอรมนี  ญี่ปุ่น และประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยเรามีวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย อาทิ ในยุคหนึ่ง เครื่องแบบนักเรียนไทยในยุคหนึ่งต้องสวมหมวกด้วย โดยเกิดขึ้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นหมวกที่ทำด้วยวัสดุหลายรูปแบบ ฯลฯ ถือว่าเป็นยุคที่นักเรียนสวมหมวกเป็นเครื่องแบบเป็นยุคแรก 

บางโรงเรียนใช้เครื่องแบบเป็น "ชุดราชปะแตน" นอกจากนี้ยังพบว่ามีบางโรงเรียนมีเครื่องแบบนักเรียนคล้ายชุดทหาร นั่นคือ "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย" เนื่องจากโรงเรียนนี้มีจุดเริ่มต้นจากโรงเรียนในพระบรมมหาราชวัง ในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นโรงเรียนเป็นการฝึกหัดบุคคลเข้ารับราชการทหาร เครื่องแต่งกายจึงใช้แบบทหาร

ต่อมาโรงเรียนถูกเปลี่ยนฐานะเป็นโรงเรียนสำหรับพลเรือน เครื่องแต่งกายของนักเรียนจึงเปลี่ยนไป โดยในยุคแรกเครื่องแบบนักเรียนใช้เป็น "เสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมถุงเท้ายาวสีขาวพับขอบบน รองเท้าหนังสีดำ"

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 เครื่องแบบโรงเรียนนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นกางเกงตัดเป็นจีบ รูดเลยหัวเข่าคล้ายโจงกระเบน ต่อมาเปลี่ยนรูปแบบเป็นกางเกงขาสั้นแคบสีดำ เสื้อคงเดิม และสวมหมวกยาวปีกกลมคาดแถบผ้าสีเหลือง ตรงกลางหน้าหมวกมีเข็มกลัดโลหะอักษร สก. จากนั้นเครื่องแบบนักเรียนถูกเปลี่ยนอีกครั้ง กลายเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากี และพัฒนามาเป็นกางเกงขาสั้นสีดำ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top