Sunday, 13 October 2024
INSPIRE

ทำไมประเทศไทย ถึงรอดจากภัยโควิด19?

แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในประเทศไทย จะคลี่คลายลงในระดับที่ทำให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเปิดประเทศจนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไหลกลับคืนสู่ประเทศ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้อย่างรวดเร็ว

แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานี้ หากประเทศไทย ‘ยอมแพ้’ และไม่มีใครลุกขึ้นมาสู้ พวกเราคงไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีงามเฉกเช่นทุกวันนี้

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 10 เก็บเธอไว้ ข้างในจนลึกสุดใจ (อวสาน)

>> พูดคุย
ที่โรงเรียนนายร้อยจะมีคำกลอนที่ติดไว้ที่ผนังของโรงเรียนว่า ‘เรียน รัก รู้ รบ เจนจบ หมดสิ้น คืออัศวิน จปร.’ เป็นคำที่นักเรียนนายร้อยทุกคนสามารถท่องได้ โดยคำแปลแบบสรุปว่า เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้วต้องรู้ทุกเรื่อง

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว
กรกฎได้มีโอกาสเจอเขมิการะหว่างไปทำกิจกรรมที่สนามศุภชลาสัย ทว่า เขาไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอได้มากอย่างที่ใจหวัง และเขมิกาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมคุยด้วย นั่นจึงทำให้กรกฎรู้ว่า…ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง

เวลาผ่านไป กรกฎและเพื่อน ๆ ก็ขึ้นปีห้า กันแล้ว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกเลย ในขณะเดียวกันเขมิกากับสาวิตรีก็เรียนจบแล้วและกำลังจะรับพระราชทานปริญญาบัตร

ดังคำเขาว่า เวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง ตอนนี้ความเศร้าเสียใจจากอาการอกหักของกรกฎ ค่อย ๆ เลือนหายไป เขาไม่ได้คิดถึงเขมิกาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกแล้ว กรกฎกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนตอนที่ไม่รู้จักเขมิกาได้แล้ว

ที่ห้องนอนของนักเรียนนายร้อย 

จ้ำเดินเข้ามาหากรกฎพร้อมกับเอ่ยถาม

“กบ เอ้ย กรกฎ จะฝากอะไรไปให้เขมิกาไหม พอดีอาทิตย์นี้เพื่อนจะไปงานรับปริญญาสาวิตรีนะ น่าจะได้เจอกันแน่ๆ อยากฝากอะไรไหม?”

พอได้ฟังแบบนั้น กรกฎก็บอกกลับไปว่า “ฝากให้ช่วยซื้อดอกกุหลาบสีเหลืองให้เธอหนึ่งช่อ และบอกว่าจากกรกฎ”

จ้ำได้ยินแบบนั้นก็เอียงคอถามด้วยความสงสัย “มีความหมายอะไรหรือเปล่าวะ สีเหลืองเนี่ย?” 

กรกฎนิ่งไม่ตอบ จ้ำจึงเอ่ยถึงความหมายของสีดอกกุหลาบตามที่เขารู้มา

“แบบว่ากุหลาบสีดำรักอมตะ กุหลาบสีขาวรักบริสุทธิ์…”

พอเห็นเพื่อนกำลังจะร่ายยาว กรกฎก็รีบตัดบททันที

“ไม่มีอะไร พอดีเพื่อนเกิดวันจันทร์ ก็วันจันทร์สีเหลืองไง” เหมือนจ้ำจะไม่เชื่อในสิ่งที่กรกฎบอก ไม่ใช่ไม่เชื่อว่าเกิดวันจันทร์ แต่ไม่เชื่อว่าความหมายของดอกกุหลาบสีเหลืองจะมีแค่นี้ต่างหาก แต่ว่าจ้ำก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ เพราะรู้ทั้งรู้ว่ากรกฎอกหักมา และกลัวว่าจะยังทำใจไม่ได้

แค่พูดถึงเขมิกาได้ด้วยท่าทางปกติ ก็ถือว่าเก่งแล้ว

“กับสาวิตรีเป็นอย่างไรบ้าง?” ห้องเงียบได้ไม่นาน กรกฎก็ถามจ้ำกลับบ้าน จ้ำยกยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยบอก

“ก็ดีนะ เราวางแผนจะแต่งงานกัน ตอนนี้ก็ไปดูที่แถวคลองสามไว้ จะซื้อร่วมกัน แล้วตอนนี้เราก็ฝากเงินในธนาคารใช้ชื่อร่วมกัน…” จ้ำเล่าด้วยท่าทางที่มีความสุขแบบสุดๆ ไม่แปลกหากจะมีความสุขขนาดนี้เพราะจ้ำก็ฝันเอาไว้เยอะว่าจะไปได้ด้วยดีกับสาวิตรี ซึ่งพอได้ยินแบบนั้นกรกฎก็ยกยิ้มแสดงความยินดีกับเพื่อน

เพื่อนได้ดี…เราต้องดีใจด้วย

แต่อย่างที่เรารู้กัน และมันคือสัจธรรมของโลกใบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวัง

กรกฎเองก็เช่นกัน แม้จะชอบเขมิกาขนาดไหน หรือเขมิกาจะเป็นรักแรกและรักเดียวของเขา แต่ก็ไม่ได้สมหวังอย่างที่ใจนึก แต่กรกฎก็รู้สึกดีนะที่ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตเขา เขาได้รู้จักเขมิกาและเธอก็ทำให้โลกทั้งใบของกรกฎเป็นสีชมพู

แค่ช่วงเดียว…ก็ดีใจ

สิ่งที่เขมิกาคิดและพูดอาจจะถูกต้องก็ได้ การที่เธอไม่อยากคบกับกรกฎเพราะเธอไม่ต้องการเจอหน้าสุเทวาอีก เธอรู้อยู่เต็มอกว่าหากคบกับกรกฎต่อไป เธอต้องเจอสุเทวา และถึงแม้ทั้งคู่ดูจะเป็นเพื่อนที่ไม่ถูกหน้าชะตากัน แต่เพราะเรียนด้วยกัน ชั้นปีเดียวกัน วันไหนสักวันก็คงต้องกลับไปคบกันเหมือนเดิมนั่นแหละ

เขมิกาคิดถูกจริงๆ

เพราะหลังจากที่กรกฎไม่ได้ติดต่อกับเขมิกาแล้ว ชีวิตเขาก็วนเวียนอยู่แค่ในโรงเรียน และสุดท้าย กรกฎและสุเทวาก็กลับมาเป็นเพื่อนกัน เพราะทั้งคู่ไม่ได้เป็นคู่แข่งหัวใจกันอีกแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป แล้วได้ลองย้อนกลับมานึกดู ทั้งกรกฎและสุเทวาก็อาจจะหัวเราะให้กับสิ่งที่เคยทำลงไปก็ได้

มิวสิก “ด้วยเหตุและผลที่มีมากมาย…เก็บเธอไว้ข้างในจนลึกสุดใจ ได้คิดถึงเธอทุกคราว…”

เพลงนี้ กรกฎขอมอบให้เขมิกา…

อวสาน

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 9 อยากให้มันมีปาฏิหาริย์

>> พูดคุย
เรื่องเล่าชีวิตนักเรียนนายร้อย เมื่อเรียนจบจะมีพิธีโยนกระเป๋า เป็นพิธีสุดท้าย ซึ่งเป็นการแสดงออกว่าจะไม่มีการเรียนในโรงเรียนนายร้อยอีกต่อไป...

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว
กรกฎอกหักและเศร้าเป็นอย่างมาก เมื่อเขมิกาเขียนจดหมายมาตัดความสัมพันธ์ เขาเอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้กลับไปคุยกับเขมิกาเหมือนเดิม แต่ว่า...ความหวังมันริบหรี่จริงๆ 

หลังจากได้รับจดหมายตัดสัมพันธ์ได้ไม่นานนัก ก็มีกิจกรรมนอกโรงเรียนอีกครั้ง อาจารย์ให้ไปช่วยจัดแถวให้นักเรียนนักศึกษาพยาบาลเหล่าทัพในการแข่งขันกีฬา พอรู้แบบนี้ กรกฎก็รีบคว้าโอกาสไว้ จึงสมัครไปทำงานทันที

งานนี้จัดที่สนามกีฬาศุภชลาสัย ที่ๆ นักเรียนนายร้อยคุ้นเคยเป็นอย่างดี

...ด้านหลังสนามศุภฯ บริเวณลานจอดรถ นักเรียนนายร้อยที่มาช่วยงานแต่งชุดวอร์มสีดำ แถบเหลืองแดง ยืนล้อมเป็นวงกลมเพื่อฟังคำชี้แจงการทำงานจากอาจารย์ หลังจากอาจารย์แบ่งมอบงานจบแล้ว 
ก็เป็นการประสานงานระหว่างสตาฟฟ์ของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เหมือนมีปาฎิหาริย์กลุ่มสตาฟฟ์นั้นมีเขมิการวมอยู่ด้วย เธอเดินเข้ามาประสานงานกับกลุ่มของกรกฎ นี่คือปาฏิหาริย์ครั้งที่หนึ่ง

กรกฎหวังว่าจะได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเขมิกา หวังให้มีปาฎิหาริย์ครั้งที่สอง 

ปาฏิหาริย์ครั้งที่สามที่หวังคือจะได้ปรับความเข้าใจกับเขมิกา

แต่ผิดคาด เขมิกามาในชุดวอร์มใบหน้าของเธอเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้ม และแววตาของเธอไม่เป็นประกายสดใสเหมือนเก่า

“สวัสดีครับ ผมจะขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ” กรกฎพูดในจังหวะที่คุยงานจบแล้ว

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน ทุกอย่างจบแล้ว” เขมิกาพูดด้วยเสียงเรียบ แม้น้ำเสียงพูดนั้นไม่ใช่มีดแต่มันบาดลึกไปในใจของกรกฎ ตามด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า

“แค่นี้นะ”

ถึงตอนนี้กรกฎรู้แล้วว่า ปาฏิหาริย์ครั้งที่สามนั้นไม่มีจริง เขาทำได้แค่ปล่อยให้เขมิกาเดินจากไป...

กรกฎทำงานตามที่ได้รับมอบ ตอนนี้เขามองไม่เห็นใครเลย แม้จะมีนักเรียนพยาบาลเป็นพันคนในสนามศุภฯ แต่สายตาของเขามองหาแต่เขมิกาเพียงคนเดียวเท่านั้น

กรกฎต้องหอบใจช้ำๆ ของเขากลับมาที่โรงเรียน ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็คิดถึงแต่เขมิกา ยิ่งคิดถึงยิ่งเศร้า และเมื่อยิ่งเศร้าก็ยิ่งคิดถึง วนอยู่แบบนี้

...เขาภาวนาให้มีปาฏิหาริย์อีกสักครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะน้อยมากๆ ก็ตาม

มิวสิค “~เก็บเธอไว้ ข้างในจนลึกสุดใจ ได้คิดถึงเธอทุกคราว ~ เมื่อวันที่เหงาจับใจ ไม่มีใคร ฉันยังมีเธอ~”

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 8 จดหมายตัดรัก

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว 
ความรักของกรกฎกำลังไปด้วยดี ติดเพียงแค่มีสุเทวาคอยจ้องหาจังหวะเข้าหาเขมิกาตลอด 

>> พูดคุย
เรื่องเล่าชีวิตนักเรียนนายร้อยเมื่อเรียนจบชั้นปีที่ 5 แล้วก็จะติดยศ ว่าที่ร้อยตรี จากนั้นก็จะไปรับราชการในหน่วยทหารต่างๆ ทั่วประเทศ จนเมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ให้เข้าพิธีรับพระราชทานกระบี่ ก็จะกลับเข้ามาทำพิธีดังกล่าว

ตอนนี้กรกฎและจ้ำขึ้นชั้นปีที่ 4 แล้ว เหลืออีก 1 ปีเท่านั้นก็จะเรียนจบ

...แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่กรกฎเล่าให้ผมฟังว่า เขาจำวันนี้วันที่ 5 ธันวาคม 2534 ได้แม่นยำราวกับเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะว่า เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับเขมิกาในใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม...

หลังจากนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...

วันหนึ่ง พี่จามินทร์ รุ่นพี่ปีที่ 5 เรียกกรกฎเข้าไปพบในห้อง กรกฎรู้สึกผิดสังเกต เพราะปกติแล้วนักเรียนนายร้อยถูกเรียกไปพบมักเป็นเรื่องไม่ค่อยดี 

เมื่อกรกฎเข้าไป พี่จามินทร์ก็พูดกับกรกฎทันที

“น้องมีอะไรกับเขมิกาหรือเปล่า”

พี่จามินทร์พูดพร้อมชูจดหมายให้ดู 

“เขมิกา เขียนมาตัดพ้อต่อว่าน้องและส่งรูปของน้องมาในซองด้วย...”

กรกฎใจหายวาบ แต่ก็รีบตอบพี่จามินทร์ไป

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมยังไม่ได้อ่านจดหมายเลยครับ”

พี่จามินทร์ยื่นจดหมายให้พร้อมพูดปลอบ

"อย่าเพิ่งคิดอะไรไปมากนะ ค่อยหาวิธีแก้ปัญหากัน”

“ขอบคุณครับ” กรกฎตอบ พร้อมรับจดหมายแล้วรีบกลับมาที่ห้อง

พอมาถึงห้อง เขารีบเปิดอ่านจดหมายทันที

เนื้อความในจดหมาย บอกว่า

“สุเทวาเป็นคนไม่ดี ด่าว่าเพื่อนของเขมิกา และเอาเรื่องของเพื่อนเขมิกาไปเล่าในทางเสียหาย ทำให้พวกเขมิกาไม่สามารถรับได้ และในอนาคตต่อไปหากกรกฎและเขมิกาคบกันไปวันหนึ่งก็ต้องเจอกับสุเทวา ซื่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน จะทำให้มองหน้ากันไม่ติด ดังนั้นเราควรเลิกติดต่อกัน” (อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกรกฎด้วย)

นอกจากนี้ เขมิกายังส่งรูปถ่ายที่กรกฎเคยส่งไปให้ รวมถึงตัดภาพที่เคยถ่ายคู่กับเขมิกาออกไป เหลือเพียงภาพของกรกฎคืนมาเท่านั้น กรกฎมองรูปที่ขาดออกเหมือนหัวใจเขาถูกฉีกออกเช่นกัน (มันปวดร้าว)

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 7 ได้อย่าง…เสียอย่าง

>> เล่าเรื่องนักเรียนนายร้อย 
ในช่วงเทอมที่เป็นการฝึกวิชาทหาร มีวิชาที่นักเรียนนายร้อยจะเรียนเพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการรับราชการในอนาคต และเป็นเครื่องหมายที่ติดตัวไปตลอดชีวิต คือการฝึกหลักสูตรกระโดดร่ม ในตอนปลายปีชั้นปีที่ 3 อีกหลักสูตรคือการฝึกเป็นผู้นำหน่วยทหาร หรือจู่โจมซึ่งจะฝึกในปลายปีชั้นปีที่ 4

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว 
กรกฎและจ้ำได้ไปหาเขมมิกาและสาวิตรีที่วิทยาลัย จากนั้นก็ได้ไปทานข้าวด้วยกัน กรกฎรู้สึกมีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่า…สุเทวาดันรู้ข่าวเข้า ก็เลยอยากจะพาเขมิกาไปดูหนังบ้าง แถมยังเดินมาบอกกันซึ่งๆ หน้าอีก แบบนี้…เปิดฉากท้ารบชัดๆ

เมื่อสุเทวาบอกแบบนั้น การแข่งขันเพื่อยึดครองที่ว่างในหัวใจของเขมิกาเริ่มขึ้น และก็เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ สุเทวาได้พาเขมิกาไปดูหนังที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว แล้วกลับมาเล่าเรื่องไปดูหนังกับเขมิกาให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนฟัง

สัปดาห์ต่อมา
ที่โรงเรียนมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ของชมรมที่ทำร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลทุกเหล่า กิจกรรมคือ การไปเลี้ยงอาหารเด็กที่บ้านมุทิตาแถวๆ สมุทรปราการ กรกฎได้พบกับเขมิกาอีกครั้ง และไปทำกิจกรรมร่วมกัน (คือไปเลี้ยงอาหารเด็กนะครับ ผู้อ่านอย่าคิดเป็นอย่างอื่น) กรกฎชอบนะที่ได้เห็นแววตาและรอยยิ้มของเขมิกา เวลาที่เธอตักอาหารให้เด็ก

และสุเทวาก็ไม่พลาด พอรู้เรื่องที่กรกฎได้อยู่กับเขมิกา เมื่อเจอกับกรกฎก็รีบเข้ามาบอกทันที

“...อาทิตย์หน้า ผมจะชวนเขมิกาไปเที่ยวเทค เดอะพาเลซ…”

เป็นความเหมือนที่แตกต่าง ระหว่าง กรกฎและสุเทวานั้นก็คือ กรกฎชวนเขมิกาไปทำบุญ แต่สุเทวาชวนไปเที่ยว เขมิกาก็มีมารยาทซะเหลือเกิด เธอไม่ได้ปฏิเสธในน้ำใจของทั้งสองคน และเลือกที่จะไปกับทั้งสองคน แบบว่าไม่เลือกใครให้ชัดเจน

มิวสิค “...ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เลือกเดินบนทางสักทางได้ไหม เลือกมาว่าจะรักใครก็อยากให้เธอตัดใจเสียที...”

ผู้อ่านพอจะจำรุ่นพี่ปี 2 ที่พาเขมิกามางานกีฬาเหล่าได้ไหม พี่คนนี้ชื่อ ‘จามินทร์’ ตอนนี้อยู่ชั้นปีที่ 4 แล้ว

จามินทร์รู้ว่า กรกฎ กับสุเทวา แย่งสาวคนเดียวกัน และก็เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยพามาในงานกีฬาเหล่า 
ก็เลยเข้ามาคุยกบกรกฎ

“พี่เห็น น้องกับสุเทวา ขัดแย้งกันเรื่องเขมิกา พี่ว่าเป็นเพื่อนกันไม่น่าจะขัดแย้งเพราะผู้หญิงคนเดียวนะ พี่รู้จักน้องเขมิกาดีเพราะเคยทำงานชมรมค่ายอาสาด้วยกัน น้องเขาเป็นคนน่ารักอัธยาศัยดี พี่ยังชอบเลย” 

กรกฎฟังที่จามินทร์พูดก็หน้าเจื่อนลง คิดในใจ เจอคู่แข่งอีกแล้ว แต่เหมือนจามินทร์จะรู้ตัว เขาจึงหยุดไปนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ 

“ชอบในฐานะพี่น้องนะ อย่าคิดมากน่า” พูดจบจามินทร์ก็ตบที่ไหล่ของกรกฎเบาๆ

อย่างที่เคยเล่าไว้ว่าเวลาผ่านไป 3 ปี รัฐบาลและทหารที่เดินขนานกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง สายใยที่เคยผูกพันก็ขาดสะบั้นลงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 เกิดการปฏิวัติในนาม รสช. ที่เล่าให้ฟังคือแค่เปรียบเทียบช่วงเวลาเท่านั้นครับ

ในช่วงนั้นผมเรียนปี 3 แล้วและกำลังจะขึ้นปี 4 ผมต้องไปเรียนที่ลพบุรีในหลักสูตรกระโดดร่ม การเรียนเป็นระยะเวลาประมาณเดือนกว่าๆ 

ส่วนกรกฎก็ส่งจดหมายไปขอกำลังใจจากเขมิกา โดยได้ส่งรูปหล่อๆ ของเขาในชุดฝึกใส่หมวกเหล็ก ติดร่มที่ด้านหลังไปให้เธอด้วย

ส่วนเขมิกาก็ส่งรูปกลับมาเป็นรูปถ่ายคู่ในงานกิจกรรมวันเลี้ยงเด็กที่บ้านมุทิตา และพร้อมอวยพรให้กำลังใจ…กรกฎมีความสุขและมีกำลังใจมาก 

อ่าา…ผมไม่ได้เล่าถึงจ้ำเลย ผู้อ่านน่าจะคิดถึงกันพอสมควร

จ้ำนั้นมีความสุขกับสาวิตรี แบบสบายๆ ไร้คู่แข่ง ทั้งสองคิดไกลและวางแผนอนาคตร่วมกันว่าหลังจากสาวิตรีจบแล้ว 1 ปีก็พอดีที่จ้ำจบแล้วและจะแต่งงานกัน (นักศึกษาพยาบาลเรียน 4 ปี ส่วนนักเรียนนายร้อยเรียน 5 ปีครับ)

ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่พวกเราผ่านการฝึกหลักสูตรกระโดดร่มและปลอดภัยทุกคน

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 6 อาหารมื้อพิเศษ

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว 
กรกฎและจ้ำถูกกักบริเวณเนื่องจากเจอผงแป้งประหลาดในหอพัก พวกเขาจึงต้องอยู่ที่โรงเรียนต่อ โดยที่เพื่อนๆ คนอื่นได้กลับบ้าน กรกฎจึงตกลงกับจ้ำว่า หากพ้นจากการกักบริเวณแล้วจะต้องไปหาเขมิกาและสาวิตรีที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ

เรื่องเล่าทั่วไปเกี่ยวกับนักเรียนนายร้อย ในตอนเช้าของทุกวันหลังจากนักเรียนนายร้อยรับประทานอาหารเช้าแล้วก็จะมาเข้าแถว และกล่าวคำปฏิญาณตนก่อนเดินแถวไปเรียน และในตอนเย็นหลังจากเรียนเสร็จแล้ว ก็จะมาเข้าแถวเพื่อเดินแถวกลับมาที่ที่พัก ซึ่งประกอบด้วยโรงนอน และที่ทำงานของนายทหารปกครอง รวมๆ เรียกว่า 'กรมนักเรียนนายร้อย รักษาพระองค์'

จากวันที่ได้รับโทษต้องถูกกักบริเวณให้อยู่ในโรงเรียนเสาร์อาทิตย์ หลังจากนั้น จ้ำและกรกฎจะสลับกันลงมารวมแถวเป็นคนสุดท้ายเพื่อตรวจดูว่า มีผงแป้งตกอยู่ในห้องอีกหรือไม่ หรือมีใครแอบเอาแป้งมาโรยในห้องอีก

สัปดาห์นี้ผ่านไป โดยราบรื่น กรกฎและจ้ำได้กลับบ้านและจะได้ทำตามแผนที่วางไว้ 

....แผนที่จะไปหาสองสาวพยาบาลตำรวจนั่นเอง

เช้าวันเสาร์ ทั้งสองเดินทางด้วยรถเมล์สาย 29 จากอนุสาวรีย์ไปมาบุญครอง เมื่อรถเมล์มาจอดที่ป้ายตรงข้ามามาบุญครอง ทั้งสองก็เดินตัดผ่านสยามสแควร์ไปที่ข้ามถนนอังรีดูนังต์ไปที่วิทยาลัยพยาบาลตำรวจทันที

ระหว่างเดินไป ทั้งสองก็อมยิ้มไปตลอดทาง แม้แดดจะร้อน และต้องเดินไกลมากแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

จ้ำนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าจะได้เจอกับสาวิตรี แต่ทางฝั่งกรกฎกลับใจตุ้มๆ ต่อมๆ ต้องลุ้นว่าจะเจอกับเขมิกาหรือเปล่า

ทั้งสองเดินไปหยุดหน้าวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ แล้วมองหน้ากัน จากนั้นพยักหน้าและเดินเข้าไปด้านใน (ท่าทางเหมือนโจรปล้นธนาคาร อย่างไงอย่างงั้นเลย)

ทั้งสองไปพบนักศึกษาพยาบาลที่เข้าเวร เพื่อแจ้งชื่อนักศึกษาพยาบาลที่ต้องการจะพบ ทั้งสองต้องเซ็นชื่อก่อนที่จะพบกับสองสาว 

จ้ำสังเกตท่าทางเพื่อนเห็นว่ามือสั่นแปลกๆ จึงกระซิบถาม

“กรกฎเป็นอะไรวะมือสั่นๆ”

“ไม่เป็นไร” กรกฎรีบตอบปฏิเสธ แต่จริงๆ แล้วในใจเต้นระรัว ตอนที่จรดปากกากับกระดาษแล้วเขียนชื่อ 'เขมิกา'

เมื่อเซ็นชื่อเสร็จ ทั้งสองก็รอให้ประกาศเรียกชื่อสองสาว ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก แต่ในความรู้สึกของกรกฎนั้นรู้สึกว่า นานมาก...มากแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน 

ส่วนระหว่างรอก็มีสาวๆ เพื่อนพยาบาลตำรวจหลายคนต่างมาออกันที่หน้าประตู ไม่ใช่เพราะมาดูดาราหรอกนะ แต่มาดูจ้ำและกรกฎต่างหาก พวกเธอต่างยกมือปิดปาก แล้วหัวเราะเสียงดังคิกๆ กัน

“จ้ำ กูเขินว่ะ” กรกฎเห็นแบบนั้นก็รู้สึกเขิน เลยกระซิบบอก “มองเราไม่พอ แอบหัวเราะกันอีก”

“เขินอะไรวะ มึงก็ส่งตาหวานไป แล้วเก๊กหน้าหล่อไว้ ไอ้ห่า เราผู้ชายนะโว้ย” จ้ำบอก แล้วหันไปมองไปที่กลุ่มสาวๆ ก่อนจะยิ้มส่งไปให้หนึ่งที

ไม่นานสิ่งที่รอคอยนับศตวรรษ เอ้ย หลายนาที ก็ปรากฏตัวออกมา กรกฎและจ้ำยิ้มทักทายสองสาวด้วยความสุขเต็มใบหน้า 

และเพื่อไม่ให้รู้สึกเขินอายเหล่าพยาบาลสาวที่เดินผ่านไปมา จ้ำและกรกฎก็เลยชวนสาวิตรีและเขมิกาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านแถวสยามสแควร์

ผู้อ่านเดาว่า...พวกเขาจะทานอะไรกันครับ ?

'สุกี้โคคา' ?

ไม่ใช่ครับ ร้านตรงหัวมุมสยามสแควร์ซอย 7 ด้านใน ถ้าผม เอ้ย กรกฎจำไม่ผิดน่าจะชื่อร้าน 'เรือนคุณแม่' นี่แหละ

พอมาถึงทั้ง 4 คนก็พากันขึ้นไปบนชั้นสอง จ้ำและสาวิตรี สั่งอาหารมาทานกันอย่างเอร็ดอร่อยและสนุกสนาน

ส่วนกรกฎนั้น นั่งมองหน้าเขมิกาและปล่อยให้เขมิกาเป็นคนสั่งอาหารให้ โดยเขานั้น ไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย

ตำราแพทย์ต้องเขียนเรื่องการทำงานของกระเพาะขึ้นมาใหม่แล้วแหละ เพราะว่าตอนนี้หัวใจของกรกฎทำหน้าที่แทนกระเพาะอาหารไปแล้ว เพราะตอนนี้เขารู้สึกอิ่มเอมเพราะคว่มสุขที่ล้นหัวใจ

มิวสิก “~จะบอกว่ารัก เธอจะซึ้งหรือเปล่า อยากเอ่ยเรื่องราวที่มันยังค้างคาใจ ~ ได้แต่ถอนใจเก็บเอาไว้ไม่กล้าบอกเธอ ~”

ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปไว แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งจ้ำและกรกฎกลับมาเรียนด้วยหัวใจที่พองโต ทุกอย่างเป็นสีชมพูไปหมด

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 5 ผงแป้งปริศนา

>> ความเดิมตอนที่แล้ว 

กรกฎ จ้ำ และเพื่อนคนอื่น ๆ อีกหลายคนทำภารกิจส่งจดหมายหานักเรียนพยาบาลสำเร็จ พวกเขาได้รับจดหมายตอบกลับจากพวกเธอ ทำเอายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มไม่หุบไปตาม ๆ กัน

กิจกรรมภายในโรงเรียนที่สามารถพาแฟนมาร่วมงานได้ ก็มีงานเลี้ยงหลังจบกีฬาระหว่างกองร้อย หรือเรียกว่า 'สปอร์ตเดย์' และงานเลี้ยงหลังจบการฝึกวิชาทหาร หรือที่เรียกว่า 'งานกู๊ดบายซัมเมอร์'

ตอนนี้พวกนักเรียนปี 1 ได้ขึ้นชั้นมาอยู่ปี 2 แล้วแหละ

เช้าวันอังคาร ที่หน้ากองร้อยเช่นเดิม พี่ๆ ชั้นปีที่ 5 (ซึ่งปีที่แล้วเป็นชั้นปีที่ 4) ขึ้นมาชี้แจงที่ด้านหน้า ขณะที่กำลังเข้าแถวกันอยู่

“มีบัตรคอนเสิร์ตการกุศลของวิทยาลัยพยาบาลตำรวจ มีวงดนตรีนูโว มาแสดงที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวพี่จะแบ่งให้น้อง ๆ ที่ได้กลับบ้านรับบัตรไปดู เผื่อฟลุ๊คกได้แฟนโดนบังเอิญก็คราวนี้แหละ ใช่ไหมนักเรียนนายร้อยยุทธฉายา” พี่ชั้นปีที่ 5 เอ่ยบอกทุกคน ก่อนจะหันมากระเซ้าจ้ำ

จ้ำยืนในท่าตามระเบียบพักอยู่ในแถวกับเพื่อน ๆ ทำท่ายืนตรงอมยิ้มแล้วตะโกนตอบเสียงดัง “ครับ พี่ครับ”

ทำเอานักเรียนนายร้อยทุกชั้นต่างขำกันยกใหญ่ ตอนนั้นพวกเราเป็นนักเรียนชั้นเลขน้อยสุด (เพราะน้องปีหนึ่งยังอยู่รวมกันที่ตึกของกองพันที่สี่ กองพันนักเรียนใหม่)

กรกฎยืนอยู่ในแถวก็อมยิ้ม แต่ไม่ใช่เพราะจ้ำทำท่าตลก แต่เป็นเพราะเขาได้ยินคำว่า 'วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ' ซึ่งทำให้เขาคิดถึงเขมิกามากยิ่งขึ้น

กรกฎรอคอยเวลาให้ถึงวันศุกร์เร็ว ๆ

...และแล้ววันที่เขารอคอยก็มาถึงสักที

ในตอนเช้า รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ในการตรวจความสะอาดของห้องนอนได้บอกข่าวร้ายที่ฟังแล้วขนหัวลุก

“วันนี้ผมไปตรวจห้องมา ห้อง 207 มีผงแป้งอยู่ที่ท้ายเตียง ดังนั้นทั้งห้องต้องถูกกักบริเวณ เย็นนี้มารวมแถวให้แต่งชุดพละมา ห้อง 207 รับทราบ”

“ทราบ” กรกฎตอบพร้อมกับจ้ำ หัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ฝันที่จะได้เจอเขมิกา และสาวิตรี สูญสลายไปในพริบตา ทั้งสองจำได้ว่าก่อนออกจากห้องนอนภายในห้องก็เรียบร้อยดี

...แล้วผงแป้งมันมาจากไหน?

ตอนเย็นวันนั้น นักเรียนนายรัอยส่วนใหญ่แต่งเครื่องแบบกลับบ้าน ใส่หมวกหม้อตาล และถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ มารวมแถวที่ใต้ถุนกองร้อย 

หนึ่งในนั้นมีคู่แข่งหัวใจของกรฎด้วยรวมอยู่ด้วย นั่นคือ...สุเทวานี่นเอง พี่ชั้นปีที่ 4 แจกบัตรชมคอนเสิร์ตให้นักเรียนนายร้อยที่แต่งตัวเท่ๆ ยืนรออยู่

ส่วนกรกฎและจ้ำมาในชุดพละเตรียมอยู่โรงเรียน ได้แต่มองตาปริบๆ อย่างน่าเสียดาย

พี่ชั้นปีที่ 5 ให้แยกย้ายเดินทางไปกลับบ้านไปได้ สุเทวา ก็เดินมาหากรกฎพร้อมบอกว่า

“แล้วจะดูคอนเสิร์ตเผื่อนะ ฮ่า ๆ”

พี่ชั้นปีที่ 5 บอกให้นักเรียนที่ถูกกักบริเวณช่วยกันทำความสะอาดกองร้อย โดยมีรางวัลเป็นขนมปัง ขนมเค้ก น้ำผลไม้กล่อง และส้ม แบบที่แจกบนรถทัวร์ (อันที่จริง ทางโรงเรียนทำไว้แจกนักเรียนนายร้อยที่จะกลับไปบ้าน แต่ไม่มีใครอยากกิน ก็เลยเหลือมาถึงพวกที่อยู่โรงเรียน)

กรกฎและจ้ำรับงานถอนหญ้าที่อิฐรูปตัวหนอนหน้ากองร้อย ระหว่างนั่งถอนหญ้า จ้ำพูดขึ้น

“น่าเสียดาย เพราะผงแป้งบ้า ๆ นั่น ทำให้อดเจอแฟนฉันเลย”

“ไม่น่าใช่แป้งในห้องเรา” กรกฎบอก “ตอนเย็นกูกลับมาที่ห้อง ผงมันสีออกเหลืองๆ เหมือนแป้งตรางู แต่ห้องเราใช้แป้งจอห์นสันสีออกขาวนี่หว่า”

จ้ำได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโตก่อนจะพูดว่า “จำได้ไหมวันที่รวมแถวหน้ากองร้อย เมื่อเช้าใครมาเข้าแถวเป็นคนสุดท้าย”

“ไอ้สุเทวา!!” ทั้งสองพูดพร้อมกัน ราวกับรู้ใจ

จ้ำทำหน้าเซ็งปนไม่พอใจ ก่อนจะพูดด้วยความแค้นสุดขีด “อย่างนี้ต้องล้างแค้น!! วันพระไม่ได้มีหนเดียวนะเว้ย!!”

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 4 Love Letter

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว 

กรกฎเห็นเขมิกามาเชียร์กีฬากับรุ่นพี่ปี 2 แต่เขาไม่ได้เข้าไปทักเธอ เพราะหาโอกาสเหมาะๆ ไม่ได้ แต่ที่น่าเจ็บในคือศัตรูหัวใจของเขาอย่างสุเทวา กลับหาโอกาสเข้าหาเขมิกาได้ก่อนเขานั่นเอง!!

ผมขอเล่าถึงชีวิตของนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 1 ซึ่งก็คงคล้ายกับเฟรชชี่ในมหาวิทยาลัย ยังไม่รู้ประสีประสา อ่อนต่อโลก ต้องได้รับการสั่งสอนอบรมและแนะนำจากรุ่นพี่ ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร รุ่นพี่หรือนายทหารสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำตาม

เข้าตามตำหรับเพลงๆ หนึ่งที่ร้องว่า “...~อยู่อย่างคนไม่มีสิทธิ์ ก็ผิดตั้งแต่วันที่เราเกิด...จะเจ็บอย่างไรก็จะทน~...”

ภารกิจที่สองของรุ่นพี่เริ่มขึ้น เมื่อพี่ชั้นห้ามายืนที่หน้าแถวพวกเราที่หน้ากองร้อยตึกสี่เหลี่ยมประดับลายอิฐ ที่พักของเราในตอนเช้าก่อนที่เราจะเดินไปทานข้าว 

“น้องชั้นปีที่หนึ่ง วันนี้มีภารกิจต่อเนื่องมามอบให้น้องๆ ทำครับ ครั้งที่แล้วคงจำกันได้พวกเราได้ชื่อที่อยู่ของเหล่าพยาบาลแล้ว ภารกิจต่อไปคือการเขียนจดหมายไปหาเธอเหล่านั้น เขียนเสร็จแล้วไม่ต้องใส่ซอง ติดแสตมป์ ให้เอามาอ่านหน้าแถวให้เพื่อนได้ฟังว่า สำนวนใครเห่ยบ้าง เดี๋ยวค่าซองกับแสตมป์พี่ออกให้ ข้อสำคัญต้องให้เขาตอบกลับมาไม่งั้นก็ไม่ต้องกลับบ้าน”

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งภารกิจการฝึกนะครับ ถ้ามองเป็นการเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้าม อาจหมายถึงการเจรจาต่อรองก่อนที่จะเกิดสงครามในอนาคต ถ้าทำสำเร็จก็ไม่ต้องก่อสงครามให้มีใครบาดเจ็บล้มตาย (นับเป็นวิธีการสอนโดยการปฏิบัติที่แยบยลอย่างยิ่งยวด 55)

นักเรียนนายร้อยแต่ละคนรีบเขียนจดหมายแล้วนำมาอ่านหน้าแถวก่อนส่งไปหานักเรียนนักศึกษาพยาบาล ทำตามขั้นตอนที่รุ่นพี่กำหนดไว้ทุกประการ และทุกคนได้กลับบ้าน เร็วบ้าง ช้าบ้าง ทั้งนี้ก็ขึ้นกับจดหมายที่ตอบกลับมา เช่น นักเรียนนายร้อยจ้ำที่ได้กลับบ้านก่อนใครๆ เพราะสาวิตรีนั้นไม่เล่นตัว เอ้ย ตอบจดหมายมาเร็ว

ส่วนของกรกฎเขียนจดหมายไปหาเขมิกาถึง 3 ฉบับแต่ก็ไม่ได้รับจดหมายตอบกลับแม้แต่ฉบับเดียว นั่นก็หมายถึงว่า เขาจะไม่ได้กลับบ้านติดต่อกันสามอาทิตย์เลย 

...จะทำอย่างไงดี? 

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 3 อย่างเราทำได้ก็เพียงแต่มอง

>> ความเดิมตอนที่แล้ว 

นักเรียนนายร้อยก. ได้ชื่อและที่อยู่ของนักเรียนพยาบาลแล้ว แต่ทว่า...นักเรียนนายร้อยส. ก็ได้ชื่อและที่อยู่ไปเหมือนกัน ซ้ำร้ายยังมาขอจากเขมิกา นักเรียนพยาบาลสาวสวยที่นักเรียนนายร้อยก. หมายตาไว้อีกด้วย แบบนี้...เรียกว่าคู่แข่งหัวใจชัดๆ!!

>> ขอเล่าเรื่องก่อนเข้าเนื้อหา << 

นักเรียนนายร้อยไม่ได้แค่เรียนและทำกิจกรรมในเขาชะโงก ที่นครนายกเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมภายนอกอีกด้วย เช่นกีฬาเหล่า คือแข่งกีฬาระหว่างนักเรียนทหาร-ตำรวจด้วยกัน ส่วนใหญ่จะจัดที่สนามศุภัชลาศัย การสวนสนามราชวัลลภที่ลานพระราชวังดุสิต หรือลานพระบรมรูปทรงม้าในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี การร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระขนมพรรษาของในหลวง รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ที่สนามหลวง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมด้านบำเพ็ญสาธารณประโยชน์และการกุศลที่ทำร่วมกับนักเรียน นักศึกษาภายนอก หรือแม้แต่นักเรียนนักศึกษาพยาบาลของเหล่าทัพ เช่น กิจกรรมพัฒนาสังคม ก็คล้ายๆ กับกิจกรรมพัฒนาชนบท หรือออกค่ายของมหาวิทยาลัยทั่วไปครับ

>> พูดคุย << 

อ่านมาถึงตอนที่ 3 แล้ว...ผมมานั่งคิดๆ ดู ผมคิดว่าผู้อ่านคงจะอึดอัดกับชื่อย่อนักเรียนนายร้อย อย่าง ก. ข. ค. เพราะมันเหมือนลุงหนวดในมาลัยไทยรัฐ คอลัมน์หาคู่ในหนังสือพิมพ์สมัยก่อนยังไงยังงั้นเลย

ผมเลยขอใช้โอกาสนี้ตั้งชื่อใหม่เลยละกัน ผู้อ่านจะได้รู้สึกเหมือนจริงหน่อย ทั้งที่ผมเองก็ไม่อยากให้ผู้อ่านอินกับเรื่องนี้มาก เพราะทั้งหมดคือนิยายครับ

สำหรับชื่อพระเอกของเรื่องผมขอตั้งชื่อว่า 'นักเรียนนายร้อยกรกฎ' ส่วนผู้ร้ายใช้ชื่อว่า 'นักเรียนนายร้อยสุเทวา' และตัวตลกประจำเรื่องชื่อ 'นักเรียนนายร้อยยุทธ' ฉายาจ้ำ อย่างนี้นะครับ เป็นอันเข้าใจตรงกัน แต่ถ้าผู้อ่านไม่ชอบผมจะเปลี่ยนชื่อตัวละครทุกตอนไปเลยนะ ดีไหมครับ??

เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 2 คู่แข่งหัวใจ

>> ความเดิมตอนที่แล้ว
เหล่านักเรียนนายร้อยมาร่วมงานเลี้ยงโต๊ะจีนที่ทางการจัดขึ้น โดยในงาน นักเรียนนายร้อยก. ได้เจอกับนักเรียนพยาบาล และพวกเขาก็ได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน

“เชิญครับ โต๊ะนี้ว่างครับ” นักเรียนนายร้อยจ้ำ ลุกขึ้นแล้วกล่าวเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงยินดีแบบสุดๆ กลุ่มของนักเรียนพยาบาลจึงเดินเข้ามาและนั่งร่วมโต๊ะกับนักเรียนนายร้อยก. และนักเรียนนายร้อยจ้ำ 

และนี่ก็ถึงเวลาเปิดตัวตัวร้ายของเรื่องนี้แล้วครับ โดยผู้ร้ายของเรื่องก็คือ นักเรียนนายร้อยส. นั่นเอง 

นักเรียนนายร้อยส. นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ใกล้ๆ โต๊ะของนักเรียนนายร้อยก. โดยที่นักเรียนนายร้อยส. ก็มองไปที่นักเรียนพยาบาลคนเดียวกับที่นักเรียนนายร้อยก. แอบมองอยู่เช่นกัน

ไม่นานนัก อาหารว่างก็ถูกนำมาเสิร์ฟ บนจานมีอาหารหลากหลาย เช่น ข้าวเกรียบ ฮอตด็อก ไข่เยี่ยวม้า และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างคนต่างมองอย่างจดๆ จ้องๆ กัน หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดเข้าหากัน ฝ่ายแดงเริ่มก่อนด้วยการแย็บที่ใบหน้า (บรรยากาศเหมือนพากย์มวย ฮา)

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนสงวนท่าทีไม่ยอมเสียเชิง ต่างค่อยๆ ใช้ตะเกียบคีบอาหารมาใส่ที่จานอย่างระมัดระวัง 

ส่วนนักเรียนนายร้อยจ้ำนั้น เริ่มก่อนไม่รั้งรอใคร ใช้ตะเกียบคืบอาหารเข้าปากแล้วกล่าวเชิญชวนทุกคน 

“ทานเลยครับ อร่อยทุกอย่างเลยครับ” นักเรียนนายร้อยจ้ำพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เพราะอาหารที่เต็มปาก

ส่วนนักเรียนนายร้อยก. ก็ได้จังหวะเหมาะๆ จึงเป็นฝ่ายกล่าวเปิดการสนทนาก่อน

"ชื่ออะไรครับ?"

"ชื่อเขมิกาค่ะ" เสียงหวานๆ ตอบออกมาเบาๆ

พอเห็นว่าสาวที่ตัวเองชอบยอมคุยด้วย ซ้ำยังยอมบอกชื่อ นักเรียนนายร้อยก. ก็ถามอีกคำถาม เขาสังเกตจากอินทรธนูบนบ่าของเขมิกา ตัวอักษรและตัวเลขโลหะสีเงินที่เขียนว่า 'นพต ๑'

“อยู่ปีหนึ่งหรือครับ?” 

“ค่ะ” เขมิกาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหวานๆ เช่นเดิม ท่าทางของเธอดูเคอะเขิน แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมากนัก

ทั้งสองคุยกันได้แค่นั้น อาหารอีกหลายจานก็ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะแบบรัวๆ ทว่านักเรียนนายร้อยก.ไม่ได้สนใจอาหารเท่าไหร่นัก ต่างจากนักเรียนนายร้อยจ้ำที่เมามันกับรสชาติของอาหารอย่างไม่สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะเท่าไรนัก แต่ยังคงหยอดมุกตลกให้คนในโต๊ะได้หัวเราะโดยตลอด

แต่สิ่งที่ทั้งสองคนคิดเหมือนกันคือ ในวันนี้อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม พวกเขาจะต้องได้ชื่อและที่อยู่ของนักเรียนพยาบาลให้ได้ เพื่อภารกิจที่สำเร็จลุล่วงตามความมุ่งหมายของทางราชการ (ว่าเข้าไปนั่น)

ในเวลาเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรี กับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม (พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ก็เดินทางมาถึง 

ทั้งสองท่านเดินทักทาย นักเรียนนายร้อยและนักเรียนพยาบาลทุกโต๊ะ โดยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขเกิดขึ้นตลอดทั้งงาน (ตอนนั้นเป็นปี 2531 ครับ แต่หลังจากนี้อีก 3 ปี ก็ไม่มีบรรยากาศเช่นนี้แล้ว เมื่อกองทัพและรัฐบาลเริ่มห่างเหินและเดินทางเป็นเส้นขนานกัน และนำไปสู่การปฏิวัติในปี 2534)

วิธีการของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน แต่จุดมุ่งหมายเดียวกัน 

นักเรียนนายร้อยก. ใช้วิธีเนียนๆ คุยเลียบๆ เคียงๆ ไปเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เหยื่อตกใจตื่น (ล้อเล่นครับ) จนเขาขอชื่อและที่อยู่ของเขมิกาได้สำเร็จ

ส่วนนักเรียนนายร้อยจ้ำนั้น ก็เดินหน้าปฏิบัติการถามจริง ตอบตรง กับสาวน้อยอีกคนที่มีบุคลิกสนุกสนานมากที่สุดคนเดียวในโต๊ะ

“เราเป็นเพื่อนกันไหม คบกันไปดูใจกันก่อนแล้วค่อยเป็นแฟนกัน ถ้าถูกใจก็คบกันไป เพราะฉันเป็นคนไม่สนอะไรแบบสบาย สบาย สบาย” นักเรียนนายร้อยจ้ำพูดไปพลาง ร้องเพลงไปพลาง

เธอคนนี้ชื่อ สาวิตรี เธอเป็นคนสวย แต่ไม่ค่อยห่วงสวยสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังเอียนเอียงไปทางตลกมากกว่า (หมายถึงเป็นคนตลก)

ขณะที่ทั้งโต๊ะกำลังสนุกสนาน หัวเราะ พูดคุยกันไปเรื่อยๆ จู่ๆ นักเรียนนายร้อยส. ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่โต๊ะของนักเรียนนายร้อยก. และนักเรียนนายร้อยจ้ำ

นักเรียนนายร้อนส. เข้ามาใกล้กับเขมิกา แล้วโค้งตัวลงเล็กน้อย สบตา ก่อนกล่าวเบาๆ ว่า 

“สวัสดีครับ ผมชื่อส. ผมอยากรู้จักคุณ ผมขอชื่อและที่อยู่ของคุณครับ ที่โต๊ะผมมีแต่นักเรียนพยาบาลปีสองที่ดูเหมือนจะแก่กว่าผมทั้งนั้นครับ อีกอย่างถ้าคุณไม่ช่วยผม ผมโดนทำโทษแน่ๆ” นักเรียนนายร้อยส. ทำเสียงเอื่อยๆ สั่นๆ จนน่าเห็นใจ เมื่อพูดจบก็ยื่นสมุดและปากกาที่พกมาด้วยให้กับเขมิกา

เขมิกาทำหน้างงๆ ปนตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะมาเจอเหตุการณ์แปลกๆ เช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมเขียนข้อมูลลงในสมุดเล่นนั้นให้กับ นักเรียนนายร้อยส. ไป

นักเรียนนายร้อยจ้ำเห็นแบบนั้นจึงแอบกระซิบกับ นักเรียนนายร้อยก. ว่า 

“ไอ้ส. ใส่เกือก มันมาได้ไงวะ?”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top