Sunday, 18 May 2025
NEWS FEED

‘มาดามแป้ง’ สุดปลื้ม ตั๋วดู ช้างศึก ปะทะ เกาหลีใต้ ขายหมดเกลี้ยง เหตุ แฟนบอลกลับมา รัก-ศรัทธา ทีมชาติไทย เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน 

(10 มี.ค.67) ‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ปลาบปลื้มใจหลังเห็นศรัทธาทีมชาติไทย กลับมา จากที่ล่าสุดบัตรถูกจำหน่ายหมดทุกโซนเป็นที่เรียบร้อย ในเกมที่เตรียมเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ ศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 นัดที่ 4

ก่อนหน้านี้ ในเกมคัดบอลโลก ที่ ช้างศึก ประเดิมเปิดบ้านพบกับ จีน มีแฟนบอลเข้าชม 35,009 คน แต่ล่าสุดในเกม ที่เตรียมเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ บัตรถูกจำหน่ายหมดเกลี้ยงแล้ว ในทุกโซน ภายใต้ความจุ 48,900 คน ของสนามราชมังคลากีฬาสถาน

มาดามแป้ง  นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ไม่มีอะไรสำคัญ และ ยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังจากผู้เล่นคนที่ 12 แป้ง รู้สึกปลาบปลื้มใจ และ ภูมิใจที่วันนี้เห็น ศรัทธา ทีมชาติไทย กลับมา และ อยู่ในความสนใจของคนไทยอีกครั้ง เหมือนภาพบรรยากาศที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว”

“แน่นอนว่าการเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ เป็นเกมที่ยากมาก แต่ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แป้ง เชื่อว่าจะทำให้ทีมงานโค้ช และ น้อง ๆ นักฟุตบอลมีกำลังใจมากขึ้นก่อนเข้าแคมป์ วันที่ 14 มีนาคม และ เชื่อว่า เมื่อเรามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนี้ ฟุตบอล 90 นาที อะไรก็เกิดขึ้นได้”

สำหรับ ทีมชาติไทย มีโปรแกรมเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง นัดที่ 4 วันอังคารที่ 26 มีนาคม 2567 เวลา 19.30 น. ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐ ทีวี หมายเลข 32

ราชกิจจาฯ ประกาศห้ามจอดรถ บริเวณช่องเว้าเกาะกลาง ใต้สถานี BTS  เพื่อแก้ไขปัญหา รถติด-อุบัติเหตุ จัดระเบียบการจราจร

(10 มี.ค.67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการห้ามจอดรถทุกชนิดตลอดเวลา ยกเว้นรถที่ทํางานบํารุงรักษาระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสในบริเวณช่องเว้าเกาะกลางถนนทางด้านขวาของทางเดินรถใต้สถานี พ.ศ. 2567

โดยระบุว่า ด้วยได้มีการจัดทําช่องเว้าเข้าไปในเกาะกลางถนนทางด้านขวาของทางเดินรถ บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อใช้เป็นที่จอดรถเฉพาะรถที่ทํางานบํารุงรักษาระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่ปรากฏว่ามีประชาชนนํารถเข้าไปจอดในบริเวณดังกล่าว ทําให้รถที่ทํางานบํารุงรักษาระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่สามารถจอดรถได้ ประกอบกับมีการจอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจรในทางเดินรถ เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ จึงจําเป็นต้องออกประกาศข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร เพื่อจัดระเบียบการจราจรในบริเวณดังกล่าว

ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 139 (2) แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 38 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอ่านาจตามบทบัญผัติแห่งกฎหมายที่ตราชึ้นเพื่อความั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยของประชาชน และคําสั่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ที่ 62/2566 ลงวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2566 แต่งตั้งผู้บัญชาการตํารวจนครบาลหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทน เป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร จึงได้ออกข้อบังคับไว้ ดังนี้

ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า “ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการห้ามจอดรถทุกชนิดตลอดเวลา ยกเว้นรถที่ทํางานบํารุงรักษาระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ในบริเวณช่องเว้าเกาะกลางถนนทางด้านขวาของทางเดินรถใต้สถานี พ.ศ. 2567”

ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ 3 ห้ามหยุดหรือจอดรถทุกชนิดตลอดเวลา ยกเว้นรถที่ทํางานบํารุงรักษาระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ในบริเวณช่องเว้าเกาะกลางถนนทางด้านขวาของทางเดินรถใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ดังต่อไปนี้

1.สถานีห้าแยกลาดพร้าว
2.สถานีพหลโยธิน
3.สถานีรัชโยธิน
4.สถานีเสนานิคม

5.สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
6.สถานีกรมป่าไม้
7.สถานีบางบัว
8.สถานีกรมทหารราบที่ 11
9.สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ

10.สถานีพหลโยธิน 59
11.สถานีสายหยุด
12.สถานีสะพานใหม่
13.สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช

14.สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ
15.สถานีแยก คปอ.
16.สถานีบางจาก
17.สถานีปุณณวิถี

18.สถานีอุดมสุข
19.สถานีบางนา
20.สถานีแบริ่ง
21.สถานีกรุงธนบุรี

22.สถานีวงเวียนใหญ่
23.สถานีโพธิ์นิมิต
24.สถานีตลาดพลู
25.สถานีวุฒากาศ
26.สถานีโรงจอดและซ่อมบํารุงรถไฟฟ้าบางหว้า

ข้อ 4 นับตั้งแต่วัน เวลา ที่ข้อบังคับนี้ใช้บังคับ ให้ยกเลิก ข้อบังคับ กฎ ระเบียบ คำสั่งใดที่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับนี้

ประกาศ ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

'สุริยะ' เยือน 'ฝรั่งเศส' ร่วมหารือพัฒนา อุตสาหกรรมการบิน ของไทย  พร้อมชวนภาคเอกชน ร่วมลงทุน 'ธุรกิจอากาศยาน - แลนด์บริดจ์'

(10 มี.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ร่วมประชุมหารือกับนาย Damien Cazé ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (DGAC France) ณ โรงแรม Prince de Galles กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยได้หารือในหลายประเด็นสำคัญถึงความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้า และยั่งยืนในระยะยาวต่อไป 

ทั้งนี้ ตนได้แสดงความขอบคุณ DGAC France ที่มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนาน และสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ (Memorandum of Understanding on Technical Cooperation) มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การแก้ไขปัญหาด้านการบินในช่วงที่ผ่านมามีประสิทธิผลที่ดี อีกทั้งยังทำให้การพัฒนาระบบการบินของไทยมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาใหม่ ๆ ที่มีความสำคัญต่อบทบาทของไทยในฐานะรัฐภาคีขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สำหรับการหารือครั้งนี้ ได้พิจารณาถึงการเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศทางการบินในอนาคต ซึ่งจะมีอากาศยานไร้คนขับ (Drone) หลากหลายประเภทเข้ามาใช้งาน ทั้งการใช้งานสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป และความท้าทายในการนำอากาศยานประเภท eVTOL (Electric Vertical Take - offand Landing) ซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ หรือ UAM (Urban Air Mobility) ที่เป็นการใช้อากาศยานขนาดเล็กในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในระดับการบินต่ำในเขตเมืองเข้ามาใช้งาน

นอกจากนี้ ยังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการยกระดับการดำเนินงานด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อภาคการบินในปัจจุบัน รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมการบิน ได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในภาคการบิน (Decarbonization) ผ่านการใช้เชื้อเพลิงพลังงานที่ยั่งยืน (SAF: Sustainable Aviation Fuel) ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญของโลกในปัจจุบัน และเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

ขณะเดียวกัน ในการหารือครั้งนี้ ยังได้เชิญชวนภาคเอกชั้นนำจากภูมิภาคยุโรปมาร่วมลงทุนกับประเทศไทย ได้แก่ บริษัท SATYS (ซาทิส) บริษัทสัญชาติฝรั่งเศสที่ดําเนินกิจการด้านทําสีอากาศยาน และตกแต่งภายในอากาศยานและรถไฟ ดําเนินงานให้กับ Airbus, Boeing, Stelia Aerospace และ Air France อีกทั้งเชิญชวนบริษัท Volocopter (โวโล คอปเตอร์) บริษัทสัญชาติเยอรมันที่ดําเนินการด้านการพัฒนาการเคลื่อนย้ายทางอากาศในเขตเมืองและชานเมือง (UAM) และมีการผลิตยานพาหนะที่สามารถบินขึ้นและลงจอดในแนวดิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (eVTOL) อาทิ VoloCity และ VoloConnect หรือที่เรียกว่าแท็กซี่อากาศ (Air Taxi) ที่จะให้บริการขนส่งผู้โดยสาร และ VoloDrone ที่จะให้บริการขนส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัยและปลอดมลพิษ 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า นอกจากการหารือด้านการบินแล้ว ในโอกาสนี้ ยังได้ประชุมหารือกับบริษัท CMA CGM จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการขนส่งทางทะเล อันดับที่ 3 ของโลก และบริษัท Artelia จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษา ออกแบบ และควบคุมงานก่อสร้างที่มีสาขากว่า 40 ประเทศทั่วโลก เพื่อนำเสนอโครงการและเชิญชวนนักลงทุน พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อนำมาพัฒนารูปแบบการลงทุนในโครงการฯ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว ได้ให้ความสนใจและสอบถามรายละเอียดโครงการฯ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ โดยได้มีการแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อ เพื่อประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดต่อไป

“การเดินทางมาประชุมร่วมกับฝรั่งเศสในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศสแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีในการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการขนส่ง และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจกับภาคเอกชน อันจะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคตต่อไป” นายสุริยะ กล่าว

‘ธนกร’ ฝากผู้ว่าฯ-ตำรวจ ลงพื้นที่เข้มแหล่งท่องเที่ยว หวั่นลักลอบขายบริการ หลังเกิดเหตุ กลุ่มสาวประเภทสอง รุมทำร้ายฝรั่งที่ภูเก็ต กังวลภาพลักษณ์ ของประเทศ

(10 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงเหตุวิวาททำร้ายร่างกายระหว่างสาวประเภทสองในพื้นที่อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต กับนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาติ ว่า  ที่จังหวัดภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก และในช่วงนี้ ก็พบว่ามีเหตุที่ไม่ควรเกิดขึ้นหลายกรณี  ตั้งแต่กรณีฝรั่งชาวสวิสฯ มาเฟียรัสเซียและล่าสุด เกิดเหตุกลุ่มสาวประเภทสองรวมทำร้ายนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาติขึ้นอีก จึงอยากขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ฝ่ายปกครอง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงไปตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเข้มงวด ว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องใด ตนมองว่าการทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายใช้ความรุนแรงไม่ควรเกิดขึ้น และหากมีสาเหตุมาจากการตกลงกันไม่ได้เรื่องการขายบริการของสาวประเภทสอง  เจ้าหน้าที่ก็ต้องหามาตรการในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ให้กลุ่มดังกล่าวใช้แหล่งท่องเที่ยวบางหน้าเป็นที่รับลูกค้าลักลอบขายบริการได้ ซึ่งกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวอย่างมาก

ทั้งนี้เมื่อรัฐบาลเดินหน้านโยบาย วีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวหลายประเทศ ย่อมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น  ตนจึงอยากฝากผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศ ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวและเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่น่าประทับใจเพราะหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก ก็จะทำให้เกิดการสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้เติบโตตามมา  แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อาจกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในประเทศได้  ส่วนที่เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องได้รับการแก้ไขและดำเนินคดีตามกฎหมาย

“ขอฝากท่านผู้ว่าฯภูเก็ต ฝ่ายปกครองรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงไปตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว อย่าให้เกิดการใช้แหล่งท่องเที่ยวมาบังหน้าเพื่อลักลอบขายบริการทางเพศ เพราะจะทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวมไปด้วย นอกจากนั้น อยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญทุกจังหวัดด้วยไม่ใช่แต่เฉพาะภูเก็ตเท่านั้น”นายธนกรกล่าว

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง!! Carbon Pricing กุญแจสำคัญสู่ Net Zero ตอบโจทย์ธุรกิจในโลกยุคใหม่ ช่วยต่อลมหายใจให้โลกใบเก่า

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'Carbon Pricing กุญแจสู่ Net Zero' เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงสุดเป็นอันดับ 9 ของโลก ที่จะได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่มากับภาวะโลกร้อน 

ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาเราต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า ที่รุนแรงที่สุดดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 และฝุ่น PM 2.5 ซึ่งยังคงหลอกหลอนเราอยู่ในปัจจุบัน

แม้ว่าไทยจะไม่ใช่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก แต่ก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความกดดันที่จะต้องมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ 

แรงกดดันดังกล่าวมาจากทั้งองค์การระหว่างประเทศ ตลาดเงินตลาดทุน Supply Chains ในภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนผู้บริโภคและ NGO ต่าง ๆ

นายกรัฐมนตรีไทยได้ประกาศในที่การประชุม COP 26 ที่ Glasgow สหราชอาณาจักร ว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 ซึ่งแม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ก็ยังล่าช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ รวมทั้ง มาเลเซีย, ลาว และกัมพูชา

เป้าหมายดังกล่าว กอปรกับแรงกดดันจากทุกภาคส่วน ยังคงความจำเป็นให้ต้องมี Roadmap ที่ชัดเจนและเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดในด้านทรัพยากรและขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย 

ดังนั้น การใช้กลไกตลาด จึงน่าจะเป็นกุญแจสำคัญของเส้นทางไปสู่เป้าหมาย Net Zero การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) อาจกระทำโดยการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และการจัดระบบซื้อขายคาร์บอนผ่านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต

ประการแรก การจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่สะท้อนต้นทุนทางสังคม เป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ กรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานที่มีประสบการณ์จัดเก็บภาษีบาป (Sin Tax) อยู่ในปัจจุบัน ทั้งจากสุรา, ยาสูบ และน้ำตาล จึงไม่มีปัญหาในการเพิ่มคาร์บอนเข้าไปในรายการสินค้าบาปแต่อย่างใด แต่ปัญหาอยู่ที่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อประชาชนในระยะสั้น, ความสามารถในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีสู่พลังงานสะอาด และที่สำคัญที่สุดความกล้าหาญทางการเมืองของรัฐบาล

ประการที่สอง การซื้อขายคาร์บอนผ่านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะในยุโรป สำหรับในประเทศไทยก็มีพัฒนาการในระดับที่น่าพอใจ แต่ยังต้องกระตุ้นให้เกิดสภาพคล่องมากกว่านี้ 

กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับใหม่ ซึ่งกำลังจะออกมาบังคับใช้ในเร็ววันนี้ จะมีการกำหนดระดับการปล่อยคาร์บอนภาคบังคับของธุรกิจขนาดใหญ่ในบางสาขาอุตสาหกรรม และน่าจะช่วยให้ตลาดคาร์บอนของไทยมีความคึกคักมากขึ้นทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง รวมทั้งยกระดับคาร์บอนเครดิตของไทยให้เป็นมาตรฐานสากล 

ดังนั้น จึงเชื่อมั่นได้ว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ประเทศไทยน่าจะสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนในระดับภูมิภาคได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการกำหนดราคาคาร์บอนจะเป็นหัวใจของเส้นทางเดินสู่ Net Zero ก็ตาม แต่คงไม่เพียงพอที่จะยับยั้งความเสื่อมโทรมของสภาพภูมิอากาศได้ 

ฉะนั้น ประเทศไทย จำเป็นต้องระดมทรัพยากรและสรรพกำลังทุกภาคส่วนมาร่วมกันแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติในวันนี้ และก็จำเป็นที่ต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนเป้าหมายเดิมที่ประกาศไว้ด้วย

กรมอุทยานฯ เคาะมาตรการเยียวยา หากถูกลิงทำร้าย ตายได้ 1 แสน บาดเจ็บได้ไม่เกิน 3 หมื่น

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.67) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวถึงกรณีมีประชาชนในจังหวัดลพบุรีถูกลิงแสมทำร้ายจากการเข้าแย่งอาหาร จนประสบเหตุล้มลงได้รับบาดเจ็บ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และได้ลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจหาผู้รับผิดชอบ ว่าได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าเยี่ยมแล้ว เพื่อซักถามอาการบาดเจ็บและหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำชับให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำหนดแนวทางแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มให้ ลิง เป็นสัตว์ชนิดหรือประเภทสัตว์ป่าที่สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบเหตุได้ ตามหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่าทำร้าย ซึ่งเดิมกำหนดให้จ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาได้เฉพาะกรณีที่ถูก ช้างป่า และ กระทิง ทำร้าย เพื่อให้สามารถนำเงินอนุรักษ์สัตว์ป่ามาช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ถูกลิงทำร้ายร่างกายบาดเจ็บ

หลักเกณฑ์ฯการช่วยเหลือเยียวยากรณีถูกสัตว์ป่าดังกล่าวทำร้าย หากเสียชีวิต หรือทุพพลภาพจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา 100,000 บาท กรณีบาดเจ็บให้จ่ายตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท จ่ายค่าเสียโอกาสในการทำงานวันละ 300 บาท ไม่เกิน 180 วัน ตามความเห็นแพทย์

ซึ่งได้ให้สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าดำเนินการโดยเร่งด่วนแล้ว ในส่วนการแก้ปัญหาเบื้องต้น แนะนำให้ติดไฟส่องสว่างมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกลิงทำร้าย เพื่อให้ประชาชนสังเกตเห็นลิงได้ชัดเจน และติดป้ายเตือนระวังลิงทำร้ายร่างกาย

อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวต่ออีกว่า ลิงแสมตัวดังกล่าวคาดเป็นลิงในกลุ่มประชากรใหม่ที่แยกตัวออกมาจากฝูงลิงเดิมที่แออัดและอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ลิงออกมารวมฝูงใหม่ใกล้พื้นที่แหล่งอาหาร เช่น ตลาดนัด หรือในพื้นที่ชุมชน หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะเข้าติดตามและจัดการแก้ปัญหาให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่ร่วมกับจังหวัด

นักบิน ‘บาติกแอร์’ งีบหลับขณะควบคุมเครื่อง เหินฟ้าไปจาการ์ตา เหตุ นอนน้อย ผู้โดยสาร ระทึกกันทั้งลำ คณะกรรมการด้านปลอดภัย สั่งสอบด่วน

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.67) คณะกรรมการด้านความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซียหรือ KNKT มีคำสั่งให้เปิดการสอบสวนหลังเกิดเหตุที่น่าตกใจกับสายการบินบาติก แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นในเครือไลอ้อนกรุ๊ป โดยนักบินและผู้ช่วยนักบินได้เกิดหลับพร้อมๆกันนานถึง 28 นาที ขณะบินจากสุลาเวสีตะวันออกเฉียงใต้ไปกรุงจาการ์ตา ซึ่งใช้เวลาบินราว 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเหตุเกิดขึ้นวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา เคราะห์ดีที่เครื่องบินแอร์บัส A320 พร้อมผู้โดยสาร 153 ชีวิตและลูกเรือ 4 ชีวิตเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย

รายงานระบุว่ากระทรวงคมนาคมอินโดนีเซียได้ตำหนิบาติกแอร์อย่างรุนแรงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่เอ็ม คริสตี้ เอ็นดาห์ เมอร์นี ผู้อำนวยการการขนส่งทางอากาศให้เรียกร้องให้สายการบินต่างๆทบทวนและให้ความสำคัญกับเวลาพักผ่อนของนักบินว่าต้องเพียงพอ โดยเฉพาะเที่ยวบินกลางคืน

ด้านบาติกแอร์ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าปฏิบัติตามนโยบายว่าด้วยเรื่องเวลาพักผ่อนของนักบินรวมทั้งมาตรการความปลอดภัยอย่างครบถ้วนทุกอย่าง และล่าสุดได้สั่งพักงานนักบินทั้งคู่ชั่วคราว

ทั้งนี้รายงานเผยว่าวันเกิดเหตุ นักบินพักผ่อนไม่พอ และได้ขออนุญาตผู้ช่วยนักบินงีบหลับ ผู้ช่วยนักบินจึงทำหน้าที่แทน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฎว่าผู้ช่วยนักบินก็เผลอหลับเช่นกัน โดยหอการบินที่สนามบินจาการ์ตาเผยว่านักบินทั้งคู่ขาดการติดต่อเป็นเวลา 28 นาที เมื่อติดต่อไปก็ไม่ตอบกลับ พอนักบินตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเครื่องกำลังบินออกนอกเส้นทาง ถึงได้รู้ว่าผู้ช่วยเผลอหลับจึงรีบปลุกและปรับเปลี่ยนเส้นทางการบินใหม่จนมาถึงสนามบินจาการ์ตาอย่างปลอดภัย โดยนักบินทั้งสองคนเป็นชาวอินโดนีเซีย

หลังเกิดเหตุ KNKT ได้แนะให้บาติก แอร์ค่อยหมั่นตรวจเช็คห้องนักบิน และกำชับให้นักบินและลูกเรือต้องพักผ่อนให้พอก่อนออกบิน

แว้นวิภาฯ โดนข้อหาใหม่ ร่วมกันพยายามแข่งรถในทาง ปรับหนัก ริบรถ ทำทัณฑ์บนบริการสังคม1ปี

แค่คิด ก็ผิดแล้ว ออกมารวมตัวจะแข่งรถ แว้นวิภาฯ โดนข้อหาใหม่ ร่วมกันพยายามแข่งรถในทาง ปรับหนัก ริบรถ ทำทัณฑ์บนบริการสังคม1ปี

วันนี้( 10 มี.ค.67 ) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานป้องกันและปราบปรามการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น แข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณี จับกุมกลุ่มรถจักรยานยนต์ออกมารวมตัวกันเตรียมแข่งรถ บน ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ว่า ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ผ่านสายด่วน 1599 และ 191 ว่าพบรถจักรยานยนต์ รวมกลุ่มกันหลายคัน บนถนนวิภาวดีรังสิต ช่วงเวลากลางคืน จากนั้นจะแข่งกันตลอดคืน สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับพี่น้องประชาชนที่พักอาศัยในละแวกนั้น จึงได้สั่งการให้ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) นำโดย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ บัณฑิตย์ ผบก.จร., พ.ต.อ.จามร ทองพรรณ รอง ผบก.จร., พ.ต.อ.พารินท จันทร์เลิศ ผกก.2 บก.จร. และ พ.ต.ท.อัษฎาวุธ ขวัญเมือง รอง ผกก.งานศูนย์ควบคุมจราจรวิภาวดีรังสิตทางพิเศษ กก.2 บก.จร. ดำเนินการลงพื้นที่สืบสวนวางแผน และนำมาซึ่งการจับกุม โดยเมื่อวันที่ 8 มี.ค.67 เวลา 03.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มรถจักรยานยนต์ได้ จำนวน 7 คัน , รถยนต์กระบะ 1 คัน พร้อมด้วยผู้ต้องหา 7 คน ทราบชื่อในภายหลัง คือ 1.นายธรรมรัสมิ์ อายุ 27 ปี , 2.นายอภิวัฒน์ อายุ 19 ปี , 3.นายอนุสรณ์ อายุ 26 ปี , 4.นายธาวิน อายุ 20 ปี , 5.นายธรรมนูญ อายุ 23 ปี , 6.นายคชรัตน์ อายุ 21 ปี และ 7.นายธนกร อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย ให้การรับสารภาพว่าพวกตนได้มารวมตัวกันบน ถ.วิภาวดีรังสิต เพื่อจะแข่งรถกันบนถนนจริง ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวางแผนเข้าจับกุมตัว 

ต่อมาศาลแขวงดอนเมือง พิพากษาจำเลยที่ 1-6 จำคุก 1 เดือน ปรับ 6,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 7 เจ้าของรถยนต์กระบะ (ผู้สนับสนุนแข่งรถในทาง) จำคุก 20 วันปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกรอ 1 ปี บริการสังคม 24 ชั่วโมง และศาล“ ริบรถจักรยานยนต์และรถยนต์ของกลางทุกคัน”

นอกจากนี้ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้คณะทำงานป้องกันและปราบปรามการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น แข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งการโพสต์ชักชวน เชิญชวน บนสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็ดี ทั้งการรวมตัวบนท้องถนนก็ดี โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุร้ายที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษกฯ กทม. แจง ความคืบหน้า การบริหารจัดการ  หลังมีข้อวิจารณ์ ละเลยการดูแลพื้นที่ ย้ำมี 3 แผนเพื่อเดินหน้าปรับปรุง

เมื่อวานนี้ (9 มี.ค.67) นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และโฆษกกรุงเทพมหานคร ชี้แจงประเด็นที่มีข้อวิจารณ์ว่า กทม. ปล่อยให้ 'คลองโอ่งอ่าง' หมดคุณค่า Landmark ใน 3 ประเด็น คือ

ประเด็นที่หนึ่ง ความคืบหน้าการบูรณาการจัดการพื้นที่บริเวณคลองโอ่งอ่าง รวมทั้งมาตรการส่งเสริมฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ ตามที่มีข้อสังเกตคลองโอ่งอ่างถูกปล่อยทิ้งร้าง

สำนักงานเขตพระนครได้ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับแกนนำ อาทิ ผู้ค้าเดิมในพื้นที่สะพานเหล็ก ผู้ประกอบในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อวางแผนฟื้นฟูถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง ทั้งนี้ ได้มีมาตรการในการส่งเสริมฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยวางแผนไว้ 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ภายใน 2 เดือน เริ่มต้นเปิดตัวดึงอัตลักษณ์ของสะพานเหล็กในการจัดเทศกาลและกิจกรรม ในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ระยะกลาง ภายใน 4 เดือน ใช้การประเมินและปรับรูปแบบกิจกรรมหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมระยะสั้น พร้อมประชุมร่วมกับแกนนำและผู้ค้าถึงแนวทางการต่อยอดถนนคนเดินให้ยั่งยืน เช่น การทดลองจัดกิจกรรมสั้นๆ ช่วงสุดสัปดาห์ โดยให้แกนนำขับเคลื่อนทั้งหมด และสำนักงานเขตเป็นที่ปรึกษา ระยะยาว ภายใน 6-8 เดือน ทดลองเปิดโอกาสให้แกนนำ บริหารจัดการด้วยตนเอง เมื่อครบ 8 เดือน จะประเมินครั้งสุดท้าย ก่อนถอดบทเรียน ขยายผลในพื้นที่อื่นต่อไป

ประเด็นที่สอง บริเวณทางเท้าริมคลองด้านหลังโรงแรมมิราม่า ซึ่งมีผู้นำรถยนต์มาจอด ทั้งที่ทางเท้าบริเวณดังกล่าวเพิ่งปรับปรุง รวมถึงมีคนเร่ร่อนมาอาศัยหลับนอน ตั้งวงดื่มสุรา และตกปลา ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกังวลเรื่องความปลอดภัย

สำหรับการแก้ไขปัญหาจอดรถยนต์ในถนนหรือทางเท้าคลองโอ่งอ่าง ขณะนี้สำนักการโยธาอยู่ระหว่างปรับปรุงและยังไม่ได้ส่งมอบงาน ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่เทศกิจได้ประชาสัมพันธ์งดการจอดในพื้นที่ดังกล่าว และในอนาคตทางผู้รับจ้างจะพิจารณาติดตั้งอุปกรณ์กั้นรถยนต์เข้ามาจอด สำหรับปัญหาคนเร่ร่อน นอนทางเดิน เจ้าหน้าที่จะเพิ่มความถี่และกำชับตรวจตราไม่ให้มีการหลับนอนในที่สาธารณะ พร้อมจัดระเบียบอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเด็นการนั่งดื่มสุราและตกปลา เจ้าหน้าที่จะขอความร่วมมือ หากพบว่ามีการฝ่าฝืน จะว่ากล่าวตักเตือน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยวของ กทม. และสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชน

ประเด็นที่สาม สภาพน้ำในคลองโอ่งอ่าง ตามที่มีข้อสังเกตพบว่ามีขยะลอย น้ำเริ่มเน่าเสีย และส่งกลิ่นเหม็นสำนักงานเขตพระนครและสำนักการระบายน้ำ ได้ร่วมลงพื้นที่สำรวจคลองโอ่งอ่าง เพื่อตรวจสอบท่อระบายน้ำเสียที่ปล่อยลงคลองโอ่งอ่างโดยตรง ซึ่งได้ตรวจพบจุดปล่อยน้ำเสีย ทราบถึงปัญหาและพร้อมดำเนินการปรับปรุงเพื่อนำน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำต่อไป

ชาวเน็ตวิจารณ์สนั่น หลังเพจ ‘ฟุตบาทไทยสไตล์’ โพสต์ภาพรถจอดแน่นทางเดิน ทำให้พื้นพัง เกะกะ ทางเท้า ล่าสุดเขตพระนคร เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ (7 มี.ค.67) เพจ 'ฟุตบาทไทยสไตล์' ได้โพสต์ภาพทางเท้าบริเวณ ริมคลองโอ่งอ่าง ฝั่งหลังโรงแรมมิราม่า ในพื้นที่ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ที่เพิ่งปูพื้นใหม่ได้ไม่ถึง 5 เดือน แต่ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดรถของประชาชนไปแล้ว โดยทางเพจระบุข้อความว่า "ฝากเรื่องหน่อยครับ ริมคลองโอ่งอ่าง ฝั่งหลังโรงแรมมิราม่า เพิ่งปูพื้นใหม่ได้ไม่ถึง 5 เดือน ก็ทำเป็นที่จอดรถไปแล้ว เคยลองไปเดินเหมือนกระเบื้องบางแผ่นจะหลุดร่อนแล้วด้วยครับ "

จากนั้น 'สำนักงานเขตพระนคร' ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์ว่า “ได้จัดเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทศกิจเข้าดำเนินการ ตั้งแผงเหล็กติดป้ายประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือ มิให้จอดรถบริเวณทางเท้าริมคลองโอ่งอ่าง และติดประกาศแจ้งข้อกฎหมาย กับเจ้าของรถยนต์ที่จอดรถบริเวณดังกล่าวได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้หากมีการฝ่าฝืนจักได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”

นอกจากนี้ มีชาวเน็ตแห่คอมเมนต์วิจารณ์ถึงผู้ที่นำรถมาจอดเป็นจำนวนมากเช่น 
สิ่งที่แก้ไขยากก็คือสันดานที่ชอบเอาเปรียบสังคม

ปัญหาคือมีรถแล้วไม่มีที่จอดเลยมาเบียดเบียนที่สาธารณะ 

สมควรเอาเสากั้นนะครับ กันรถมักง่ายที่ไม่อยากเสียค่าจอดริมคลอง 

ริมคลองน้ำใสสะอาดมากๆครับ ทางเขตควรดูแล เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top