Saturday, 17 May 2025
NEWS FEED

ผู้บัญชาการทหารเรือ รุดเยี่ยมกำลังพล เรือหลวงคีรีรัฐ ที่ได้รับบาดเจ็บ

เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 14 มีนาคม 2567 พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อเยี่ยมกำลังพลเรือหลวงคีรีรัฐ ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกระสุนปืนของเรือหลวงชลบุรี ที่ขัดข้องลั่นใส่บริเวณท้ายเรือจนเกิดเพลิงไหม้ ความเสียหายเล็กน้อยแต่มีกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการสำลักควันไฟจำนวน 14 นาย โดย ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มีความห่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอาการของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ได้สั่งการให้ดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ โดยในขณะนี้กำลังพลที่มีอาการไม่รุนแรง และอยู่ในระหว่างการพักฟื้นสังเกตุอาการ เพื่อรอ การพิจารณาจากแพทย์ให้กลับบ้าน จำนวน 9 นาย 

ส่วนผู้ป่วยที่เฝ้าระวัง จำนวน 5 นาย คณะแพทย์ได้ส่งการรักษาด้วย HYPERBARIC CHAMBER หรือ การบำบัดด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง โดยในจำนวนนี้อยู่ ระหว่างการพิจารณาถอดเครื่องช่วยหายใจ 2 นาย   

ในส่วนของสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุยังคงอยู่ในระหว่างการสอบสวน ของคณกรรมการซึ่ง ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้ พลเรือเอก ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยต้นสังกัดและหน่วยเทคนิค เพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยให้รายงานผลให้ทราบภายใน 3 วัน ทั้งนี้กองทัพเรือจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบในโอกาสต่อไป

'อลงกรณ์-ชัชชาติ' ผนึกความร่วมมือ 'กทม.-จีน' แก้ปัญหาพีเอ็ม2.5และลดโลกร้อนพร้อมเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท ประธานที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยเปิดเผยวันนี้(15 มี.ค.)ภายหลังนำคณะสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีกว่า10คนเข้าพบหารือกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและคณะผู้บริหารกทม.ที่ศาลาว่าการ กรุงเทพมหานคร เพื่อกระชับความสัมพันธ์พร้อมหารือความร่วมมือระหว่างกันในด้านของสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดว่า

การพบปะหารือครั้งนี้เป็นไปด้วยบรรยากาศของความร่วมมือในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์การเป็น“มหานครโซลาร์เซลล์”และ“กรุงเทพสีเขียว2030 “ของกรุงเทพมหานครโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้ย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนและความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและประเทศจีนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง 

อีกทั้งประเทศจีนยังเป็นตัวอย่างในที่ดีในเรื่องของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดซึ่งกรุงเทพมหานครมีกลไกและแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหาpm.2.5 การส่งเสริมพลังงานสะอาด การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(EV) การมีจุดบริการบรรจุไฟฟ้า(EV Charging points)และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดคาร์บอนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนาเมือง
โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สรุปเป้าหมายของกรุงเทพมหานครในด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด ซึ่งจะเป็นโครงการที่สามารถประสานความร่วมมือระหว่างกันได้ในอนาคต ได้แก่ 

1. การโปรโมตการใช้รถ EV ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีโครงการเปลี่ยนรถขยะจากระบบน้ำมันมาเป็นระบบ EV จำนวน 2,000 คัน
2. การเพิ่มจุดชาร์จรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้มีการเปิดให้ยื่นข้อเสนอในการติดตั้งจุดชาร์จรถไฟฟ้า 40 จุด
3. การพิจารณาทำโรงเผาขยะเพื่อผลิตไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการหาผู้ลงทุนและผู้ดำเนินการ 
4. การทำให้กรุงเทพมหานครเป็นมหานครโซลาร์เซลล์ เนื่องจากพื้นที่กรุงเทพฯ มีแดดทั้งปี โดยมีโครงการจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ในทุกหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร 
5. การพิจารณาโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลม เนื่องจากกรุงเทพฯ มีพื้นที่ชายทะเลอยู่ประมาณ 5 กิโลเมตร ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้ประธานที่ปรึกษาฯ ต่อศักดิ์ โชติมงคล เป็นผู้ประสานความร่วมมือหลัก

นายอลงกรณ์ อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่งและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารกทม.และแสดงความชื่นชมผู้ว่ากรุงเทพมหานครและคณะที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด การขับเคลื่อน“กรุงเทพสีเขียว2030”(Green Bangkok 2030” ความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon neutrality)และซีโร่คาร์บอน(Zero carbon)โดยเป็นภารกิจของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนในปีค.ศ.2050และ2065ตามลำดับ ซึ่งความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครกับประเทศจีนในครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการปูทางสู่วาระครบรอบ50ปีในความสัมพันธ์ทางการฑูตของ2ประเทศในปี2568นับแต่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี2518ซึ่งม.ล.สุภาพ ปราโมชผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเซียได้ร่วมคณะไปด้วยในครั้งนั้นและสานต่อภารกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการเดินทางไปจีนถึง148ครั้งเพื่อสานสัมพันธ์2ประเทศจนถึงทุกวันนี้โดยคณะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีได้ตอบตกลงและพร้อมสนับสนุนข้อริเริ่มว่าด้วยความร่วมมือของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอย่างกระตือรือร้นและจะเร่งดำเนินการต่อเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

สำหรับการประชุมหารือเมื่อวันที่14มีนาคม2567มีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายไทภัทร ธนสมบัติกุล ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง นายประพาส เหลืองศิรินภา ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม นางสาวพรรณราย จริงจิตร ผู้อำนวยการสำนักงานการต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมให้การต้อนรับ คณะสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจีนด้านพลังงานสะอาด ซึ่งนำโดยนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่หนึ่ง และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์ หม่อมหลวงสุภาพ ปราโมช ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย นางสาวประจงจิต พลายเวช รองประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมฯ นางสาวอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมฯ นายธัชธรรม พลบุตร และนายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด กรรมการบริหารมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย

‘คุณตาวัย 77’ อดีตเจ้าของบริษัท ชีวิตพลิกผันล้มละลายจากพิษเศรษฐกิจ ตัดสินใจ!! ผันตัวมา ‘ขายไอติม’ สร้างอาชีพ จนกลับมาลืมตาอ้าปากได้

(15 มี.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พบกับร้านขายไอศกรีมที่เปิดท้ายรถทำเป็นร้าน ซึ่งจอดอยู่บริเวณลานจอดรถ หน้าสถานีรถไฟสุรินทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ อีกทั้งนอกจากจะขายไอศกรีมแล้ว ยังเป็นคนคิดสูตรทำไอศกรีมผลไม้เองอีกด้วย

ทางด้าน นายพรเทพ สกลกาญจนพร อายุ 77 ปี (เจ้าของร้านไอศกรีมผลไม้สด) เล่าว่า ตนเปิดร้านนี้มาประมาณ 6 เดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ลองผิดลองถูกมาร่วมๆ 1 ปีได้ กว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และเริ่มขายจริงๆ จังๆ มาได้ประมาณ 6 เดือน ถือว่าผลตอบรับจากลูกค้านั้นโอเคมากๆ มีลูกค้าจอดรถเข้ามาอุดหนุนตลอด นอกจากที่ตนขายอยู่หน้าสถานีรถไฟสุรินทร์แล้ว ลูกค้าที่มาจากจังหวัดใกล้เคียงก็มีรถแวะมาอุดหนุนด้วยเช่นกัน ซึ่งตนได้ลูกค้าที่มาอุดหนุนช่วยโพสต์ช่วยแชร์ในสื่อออนไลน์ เป็นการช่วยโปรโมตการขายด้วย พร้อมกับแปะเบอร์โทรให้ลูกค้าโทรสอบถามคือเบอร์ 083-2183618

นายพรเทพ สกลกาญจนพร ยังเล่าต่ออีกว่า ก่อนหน้านี้ตนทำเปิดบริษัท (สิ่งทอ) เป็นของตัวเองมาก่อน อยู่ในกรุงเทพฯ และเนื่องจากพิษเศรษฐกิจทำให้ล้มละลาย ก่อนจะปิ๊งไอเดียว่าอยากจะทำไอศกรีมผลไม้สดขาย เนื่องจากตนเคยเป็นนักชิมไอศกรีมมาก่อน ตอนนี้ตนเริ่มรับสอนทำไอศกรีม ทำส่งโรงทาน ก็เลยเริ่มมีคนให้ความสนใจมาศึกษาวิธีการทำไอศกรีมของตนมากขึ้น และมีคนให้ความสนใจเดินทางมาจากหลายๆ จังหวัด เพื่อมาเรียนสูตรไอศกรีมผลไม้ เช่น จังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดสุพรรณบุรี, จังหวัดอ่างทอง, จากบางบัวทอง, จากพุทธมณฑลสาย 4 เพราะยังไม่ค่อยมีคนทำขาย จนวันนี้ก็พอที่จะได้ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

ตำรวจภาค 4 ลุยปราบปรามเชิงรุก เด็ดปีกนักค้ารายย่อย จ.นครพนม

สืบเนื่องจาก พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้เปิดปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 ปูพรมจับกุมนักค้ายาเสพติดรายย่อยทั่วภาคอีสานตอนบน เมื่อวันที่ 3 ก.พ.67 ที่ผ่านมา ซึ่งกวาดล้างจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่ตำรวจภาค 4 ได้ผู้ต้องหา 309 ราย ของกลาง ยาบ้า 1,418,412 เม็ด ยึดและอายัดทรัพย์สิน 1,318 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 171,605,208 บาท นั้น

ตำรวจภาค 4 ได้สืบสวนหาข่าวนักค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยทราบว่า หลังจากการกวาดล้างจับกุมครั้งใหญ่ผ่านไประยะหนึ่ง มีนักค้ายาเสพติดลักลอบเข้าไปค้ายาเสพติดในพื้นที่ จ.นครพนม อีก พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 จึงได้สั่งการให้กวาดล้างจับกุมทันที  เมื่อวันที่ 14 มี.ค.67 พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.4 พร้อมหมายค้นศาลจังหวัดนครพนม เข้าปิดล้อมตรวจค้น 4 เป้าหมายใน อ.นาหว้า จ.นครพนม สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ จำนวน 8 ราย พร้อมยาเสพติดของกลาง คือ ยาบ้าจำนวน 2,115 เม็ด, ปืนอัดลม (แรงดันสูง) จำนวน 3 กระบอก  และยึดอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ 4 รายการ คือ 1.รถยนต์กระบะโตโยต้า สีดำ ทะเบียน บษ 7854 สกลนคร จำนวน 1.คัน 2.โฉนดที่ดิน จำนวน 2 แปลง รวมเนื้อที่ 7-5-69 ไร่ 3.สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 5 เล่ม 4.บัตรกดเงินสด (ATM) จำนวน 3 ใบ รวมมูลค่าประมาณ 5,000,000 บาท โดยกล่าวหาว่า มียาเสพติดให้โทษประเภท 1(เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการกระทำให้กิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐฯ , มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย และมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ฯลฯ          

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการกวาดล้างนักค้ารายย่อยของตำรวจภาค 4 ที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จ.นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายในการสกัดกั้น ปราบปราม ทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อลดความรุนแรงและความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติด ซึ่งตำรวจภาค 4 ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นมาตลอด นอกจากนี้ตนได้สั่งกำชับให้ตำรวจทั้ง 252 สภ. ลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อหาข้อมูลการข่าวของผู้ค้ายาเสพติดทุกระดับทั้ง รายย่อย รายใหญ่ หากพบให้จับกุมทุกราย พร้อมทั้งยืนยัน นักค้ายาต้องไม่มีที่ยืนในพื้นที่ ผบช.ภ.4 กล่าวในที่สุด

มุกดาหาร -กกล.สุรศักดิ์มนตรี ตรวจยึดหมูเถื่อน ขณะเตรียมลักลอบส่งข้ามแม่น้ำโขง

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ร.ท.ภานุพงษ์ คงรัตน์ ผู้บังคับหมวดปืนเล็กที่ 2 กองร้อยทหารราบ กองกำลัง(กกล.)สุรนารี ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบขนหมูหนีภาษี ไม่ผ่าน พรบ.ศุลกากร ข้ามแม่น้ำโขงไปยังฝั่ง สปป.ลาว  จึงได้บรูณาการร่วมกับ ชปข.กอ.รมน. , ขกท.กกล.สุรศักดิ์มนตรี, ชรต.209 กอ.รมน.ภาค 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลาดตระเวนในพื้นที่ บ.ทรายทอง ม.6 ต.บางทรายน้อย อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร กระทั่งเวลา 19.10 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลประมาณ 10 -15 คน กำลังขนสิ่งของต้องสงสัยลงมาบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณดังกล่าว จึงได้แสดงตนเพื่อทำการขอตรวจค้น แต่กลุ่มคนดังกล่าวเมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้แสดงอาการตื่นตกใจและได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป  จากการตรวจสอบพื้นที่พบรถเข็นบรรทุกหมูจำนวน 3 ตัว จึงได้ทำการตรวจยึดไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259-777

ตร. เตือน ระวัง 5 บัญชีโซเชียลอันตราย แนะ ไม่รับแอด ไม่คุยแชต ไม่โอนเงิน

วันนี้ (15มีนาคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพยังคงมีการพัฒนารูปแบบในการหลอกลวงพี่น้องประชาชนอยู่เสมอ มีการนำหลักจิตวิทยามาปรับใช้ใช้ในการหลอกล่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพมักสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อ เช่น สร้างบัญชีปลอมเป็นบุคคลมีชื่อเสียง สร้างบัญชีปลอมเป็นหน่วยงานของรัฐ สร้างบัญชีที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง(บัญชีอวตาร) หรืออ้างว่าตนเองมีฐานะร่ำรวย เป็นต้น

โดยรูปแบบของบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ต้องระวัง เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพมี 5 รูปแบบดังต่อไปนี้

1. “หนุ่มหล่อสาวสวย” แอดท่านเป็นเพื่อน โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพื่อพยายามสานสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว ซึ่งจะนำไปสู่การหลอกลวงเอาทรัพย์สิน หรือหลอกให้ส่งภาพลามก

2. “อวดร่ำอวดรวย” โดยมักจะมีการโพสต์ในทำนองว่าได้เงินจากการลงทุน หรือทำธุรกิจบางอย่าง ซึ่งได้ผลตอบแทนสูง ซึ่งจะนำไปสู่การหลอกลวงชวนลงทุน หรือ Hybrid Scam

3. “ต่างชาติวัยเกษียณ” ส่งข้อความมาหาหรือแอดท่านเป็นเพื่อน เพื่อสานสัมพันธ์เชิงชู้สาว จากนั้นอ้างว่าจะย้ายมาอยู่ประเทศไทย และจะส่งทรัพย์สินมาให้ แต่ติดอยู่ที่ศุลกากร หลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้มิจฉาชีพ

4. “หน่วยงานรัฐ(ปลอม)รับช่วยเหลือ” ลงโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ อ้างหน่วยงานของรัฐเปิดบริการรับแจ้งความ หรือให้ความช่วยเหลือในการติดตามทรัพย์สินจากคนร้าย จากนั้นจะหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงิน โดยอ้างว่าเป็นขั้นตอนในการติดตามเงินคืน หรือค่าใช้จ่ายในการติดตามคดี

5. “แอคหลุม แอคปลอม” แชร์แต่ข่าว ร้านอร่อย ที่เที่ยวสวย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แอดท่านมาเป็นเพื่อน ต้องระวัง เพราะอาจเป็นมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสเข้ามาส่องบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของท่าน หรือเอาภาพของท่านไปใช้ในการสร้างบัญชีปลอมของมิจฉาชีพ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอแนะนำให้พี่น้องประชาชน “ไม่รับแอด ไม่คุยแชต ไม่โอนเงิน” บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะดังกล่าว เพื่อลดโอกาสที่ท่านจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ ที่สร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เช็กลิสต์!! แรงหนุนโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง วิชาสาระร่วมสมัย-ครู ต้องไม่ถูกคุกคาม

(15 มี.ค. 67) จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อสอบรายวิชาสาระร่วมสมัย รหัสวิชา ส33250 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลังสื่อมวลชนหยิบข้อความที่โพสต์ผ่านสังคมออนไลน์ โดยกล่าวหาว่า เป็นภัยคุกคาม ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริง และให้ยกเลิกข้อสอบดังกล่าว รวมไปถึงการข่มขู่คุกคามครูผู้สอนรายวิชาดังกล่าวจากบุคคลต่างๆ

ทั้งนี้ ต่อจากกรณีดังกล่าวเครือข่ายครู นักการศึกษา นักเรียนและคนทำงานเห็นว่า ประเด็นหัวข้อในการสอบรายวิชานั้น เป็นประเด็นร่วมสมัยที่มีการถกเถียงและเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และรายวิชาสาระร่วมสมัยอยู่ในกลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ ที่มีหัวใจอยู่ที่การเรียนรู้โลกกว้าง การตั้งคำถามต่อปรากฎการณ์ที่อยู่ในสังคมไทยจึงเป็นเรื่องปกติวิสัย ทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนได้สืบสอบ อภิปราย พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ประเมินค่า การวิพากษ์วิจารณ์และรู้เท่าทันโลก การสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ตลอดจนยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตและอยู่ร่วมกันในสังคมปัจจุบัน

นอกจากนั้น รายวิชาดังกล่าวยังมีรูปแบบการวัดประเมินผลที่หลากหลายและครูผู้สอนมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ การข่มขู่คุกคาม และการสั่งยกเลิกข้อสอบดังกล่าวจากประเด็นหัวข้อที่ถูกกล่าวหาว่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาตินั้น จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณค่าและมีความหมาย ตลอดจนเป็นหลักประกันว่า ต้องไม่มีการใช้อำนาจหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจทั้งโดยราชการหรือบุคคลอื่น ในการลิดรอนหรือจำกัดสิทธิของผู้สอนและผู้เรียนในอันที่จะเสนอ ถกเถียง และแสดงออกซึ่งข้อเท็จจริงและความเห็นของตนในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความรู้และความเป็นไปของสังคมอันเป็นพื้นฐานสำคัญข้อหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย เราไม่อาจสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจได้ หากเสรีภาพทางวิชาการไม่ได้รับการคุ้มครอง

ในการนี้ เครือข่ายครู นักการศึกษา นักเรียนและคนทำงาน จึงขอแสดงจุดยืนต่อกรณีข้อสอบรายวิชาสาระร่วมสมัย โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้

1. ปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ อันหมายรวมถึงความเป็นอิสระของผู้สอนในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมการสอน การจัดกระบวนการเรียนรู้และการวัดประเมินผล การเลือกประเด็นหรือกำหนดเนื้อหาของเรื่องที่จะสอน การกำหนดวิธีการสอน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงและความคิดเห็นในชั้นเรียน การปิดกั้นและตัดสินว่าข้อสอบดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสมเพียงเพราะหัวข้อเรื่องที่ใช้นั้นไม่เป็นธรรม ความมั่นคงของชาติไม่ควรถูกตีความให้กว้างจนปิดกั้นการเรียนรู้และการพัฒนาความรู้ความเข้าใจทางสังคมของเยาวชนและประชาชน ซึ่งแท้จริงแล้วคือรากฐานสำคัญของประเทศชาติ การจัดการเรียนการสอนที่ใช้ประเด็นทางสังคม เป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิดวิเคราะห์ ประเมินค่า สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมที่แตกต่างหลากหลาย และเท่าทันโลก ซึ่งล้วนแต่เป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ในฐานะพลเมืองและพลโลก

2. ต้องยุติการคุกคาม ข่มขู่ และใส่ความเพื่อสร้างความเข้าใจผิดในสังคมต่อตัวบุคคล และกระบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริงจะต้องให้อำนาจสถานศึกษาดำเนินการโดยปราศจากการแทรกแซงที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวให้เกิดขึ้นในสังคม

3. ยืนหยัดเคียงข้าง และเป็นกำลังใจให้ครู อาจารย์ และนักการศึกษาในฐานะผู้กระทำการ (Agency) ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งในการจัดการเรียนรู้ การสร้างสรรค์หลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การวัดประเมินผล และนวัตกรรมทางการศึกษาที่จะช่วยยกระดับคุณภาพผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ มีชุดคุณค่าประชาธิปไตยที่เป็นสากล ตลอดจนมีความกล้าหาญในการแสดงจุดยืนและการตั้งคำถามต่อสังคม

"ศาสตร์จะงอกงามหากมีการแลกเปลี่ยนอย่างเสรี"
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

>> เครือข่ายครู นักการศึกษา นักเรียนและคนทำงาน

1. ครูขอสอน
2. สังคมศึกษาทะลุกะลา
3. Inskru -พื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน
4. สหภาพคนทำงาน Workers' Union
5. ก่อการครู
6. อะไรอะไรก็ครู
7. นักเรียนเลว
8. มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) Makhampom
9. ก่อการสิทธิเด็ก
10. Math misconcepts
11. PLC Reform
12. BlackBox
13. คลินิกวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
14. ศูนย์พหุวัฒนธรรมและนโยบายการศึกษา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
15. วันนั้นเมื่อฉันสอน

>> ร่วมลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์
https://forms.gle/UVwYj4dsUWJhsLzF7

'แป้ง กราฟิตี้' ทิ้งคำถามชวนคิดหลังดู '2475 Dawn of Revolution' หวังฝั่งโปร 'ปรีดี' มีข้อมูลมาโต้ข้อมูลจากหนัง มากกว่าคารม-วาทกรรม

(14 มี.ค. 67) นายสมรนนท์ แย้มอุทัย หรือ 'แป้ง' ศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดัง เจ้าของ X แมวของ Headache @headachestencil ได้โพสต์ถึง แอนิเมชั่น อย่าง 2475 Dawn of Revolution 'รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' หลังได้ดู โดยมีเนื้อหาดังนี้...

รีวิว เเอนิเมชั่น 2475 จากมุมมองของผมนะครับ

- ด้านภาพ น่าจะได้ทีมงานหลายคนหลายทีมมาจอยกันแหงๆ ลายเส้นปนกันบันเทิงมาก แต่ชอบลายเส้นพวกรายละเอียดสถาปัตยกรรมต่างๆ มาก สวยสัส แต่เสียดายตัวละครหลัก ดันทำเป็นการ์ตูนแบบโบราณไปหน่อย ตอนก้านกล้วยเราไปถึงเลเวลนั้นกันแล้ว ไม่น่าดึงกลับมาเป็นการ์ตูนขยับปากแหง่บๆ แบบนี้

- สงสัยตั้งแต่ต้นจนจบ ปลาหมึกจะสื่อแทนอะไร ปลาหมึกมาบ่อยมาก บ่อยจนอยากแดก

- หนังนานชิบหาย นานแบบเด็กที่ไม่อินมานั่งดูแล้วหลับแน่นอน ข้อมูลแน่นมากช่วงแรกจนจับใจความยาก พอพ้นช่วงอัดข้อมูลค่อยพอรับสารง่ายขึ้น ยิ่งช่วงท้ายๆ ถ้าใครที่ไม่ได้อินหรือจมกับข้อมูลที่เคยเรียนหรือเคยฟังมาก่อน มานั่งฟัง นั่งดูดีๆ จะอินได้เลยทีเดียวแหละ ช่วงท้ายๆ น่าจะเป็นจุดที่ทำให้หลายๆ คนต้องคิดและมองอะไรเปลี่ยนไปได้บ้างถ้าไม่อคติเกินไป ถามว่า propaganda มั้ย มีบ้างอยู่แล้วหนังก็ชัดเจนนะว่าทำมาทำไม แต่หลายคีย์เวิร์ดในหนัง แม่งก็คือคำพูดที่ออกมาจากปากม็อบเองด้วยซ้ำ หลายๆ เรื่องเหมือนหนังแค่อยากเตือนให้อย่าเชื่อหรือฟังอะไรจากด้านเดียวมากกว่า แล้วถ้าไม่อคติแต่ต้น หนังดูพยายามให้คนไทยรักกันมากกว่าจะมาเสี้ยมให้แตกแยกกว่าเดิมนะ

- ในส่วนของข้อมูลเนื้อหา หลายข้อมูลดูแล้วก็แอบตกใจนะ เราอ่านและเรียนประวัติศาสตร์กันจากผู้ชนะเป็นคนเขียนเสมอมา พอลองมาเจอข้อมูลจากอีกมุมแล้วคิดตามก็มีหลายอย่างต้องเอ้ะบ้างแหละ ยิ่งเหล่าคนที่เทิดทูนปรีดีทั้งหลายคงไม่ชอบเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าคุณจะบอกว่าคุณตาสว่าง โดยคุณเลือกรับสารด้านเดียว คุณใช้แค่ตากับหูครับ ยังไม่ทันได้ใช้สมอง ถ้ามีสมองก็รับสารมากขึ้น แล้ววิเคราะห์เองอีกรอบ น่าจะดีกว่างมโข่งกันแบบนี้

- สรุปโดยรวมเลยคือหนังไม่แย่เลยนะ ถ้าว่างๆก็ควรลองนั่งดู แต่ต้องมีสมาธินะ เปิดๆไปทำอย่างอื่นไปดูไปไม่น่าเวิร์ค ถามว่าดูแล้วรักเจ้าขึ้นมั้ย? ถ้าใครที่ไม่อคติอยู่ก็น่าจะมีสะเทือนใจกันบ้างแหละ ส่วนคนที่เทิดทูนอยู่แล้วก็น่าจะมีโกรธและเห็นใจเจ้ามากกว่า บทถือว่าดีเลยนะ เลี่ยงคำเสี้ยมและดูพยายามจริงๆที่จะให้คนไทยดูแล้วกลับมารักกัน และหาทางทำให้ชาติ กษัตริย์ และประชาชน อยู่ร่วมกันไปต่อแบบมีเอกลักษณ์ของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องไปพยายามเป็นแบบคนนั้นคนนี้ เพราะเรามีดีของเราพอ ปัญหาทุกวันนี้มันเกิดจากการอยากเปลี่ยนประเทศให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ตามอย่างเขา เรามีวิถีของเรา เรามีอะไรหลายๆอย่างของเราเอง ทำไมต้องไปอยากเป็นแบบคนอื่นเขาด้วยล่ะ ทำไมเราถึงไม่ทำตัวให้คนอื่นเขาอยากเป็นแบบเราล่ะ

- สุดท้ายเข้าใจโพสต์ของสมเจียมวันก่อนละ ตอนนี้สิ่งที่อยากเห็นคือฝั่งที่เรียกว่าเป็นฝั่งเดียวกับปรีดี จะมีข้อมูลอะไรมาโต้แย้งข้อมูลใหม่ๆ ในหนังมั้ย? หรือจะใช้เพียงคารมและวาทกรรมเช่นเดิม? แล้วก็ส่งคนไปติดคุกเรียกร้องความสนใจโลกผ่าน NGO ที่เดินหาแดกกับความขัดแย้งในประเทศกันสลอนเต็มไปหมดอยู่แบบนี้? ลองคิดกันดูดีๆนะครับ ว่าตกลงประเทศวุ่นวายเพราะใครกันแน่?

‘อินฟอร์มาฯ - ทาร์ซัสกรุ๊ป - กยท.’ ผนึกกำลังจัดงาน ‘TyreXpo Asia 2024’ รวบรวมอุตสาหกรรม ‘ยางล้อ’ ระดับนานาชาติ ห้ามพลาด!! 15-17 พ.ค.นี้

(14 มี.ค.67) อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผนึกกำลัง ทาร์ซัส กรุ๊ป พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมยาง นำโดย การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกันจัดงาน ‘TyreXpo Asia 2024’ งานแรกในไทยที่รวบรวมอุตสาหกรรมยางล้อระดับนานาชาติแบบครบวงจร วางเป้าเสริมแกร่งผู้ประกอบการ ตามนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางไทย เปิดเวทีเจรจาธุรกิจ เชื่อมโอกาสทางการค้าและสร้างเครือข่ายให้กับห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยางไทยแบบครบวงจร พร้อมจัดงานครั้งแรกในไทยระหว่างวันที่ 15 - 17 พฤษภาคม 2567 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

อุตสาหกรรมยางพาราไทยคือหนึ่งฟันเฟืองหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยที่ผ่านมาไทยถือเป็นผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับในประเทศไทยมีโอกาสที่ดีจากหลากหลายปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็น การฟื้นตัวของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการสูงขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับถุงมือยาง อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็หนุนความต้องการยางในการก่อสร้างเช่นกันและที่สำคัญคือมาตรการของภาครัฐในการรักษาเสถียรภาพราคายางให้กับกลุ่มเกษตรกร และเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางอย่างแท้จริง  ทางอินฟอร์มาฯ ได้จัดงาน ‘TyreXpo Asia 2024’ โดยครั้งนี้ได้พันธมิตรที่สำคัญอย่าง ทาร์ซัส กรุ๊ป และความร่วมมือที่ดีจากการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งเรามีเป้าหมายที่ตรงกันคือมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมยางในประเทศไทยเปิดพื้นที่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่สำคัญทั้งจากความต้องการภายในประเทศและเทรนด์ใหม่ๆ ของตลาดโลก เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญทั้งภาคการผลิต แปรรูปผลิตภัณฑ์และส่งออกยางของอาเซียนในอนาคต

นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รองผู้ว่าการด้านปฏิบัติการ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ยางพาราภายในประเทศ ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราโลก กยท. จึงมุ่งเดินหน้าบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบตามนโยบาย ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ ของรัฐบาล และข้อสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เร่งขับเคลื่อนนโยบายและแนวทางเพื่อให้สอดรับกับนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางต่างๆ ซึ่งสามารถดูดซับปริมาณผลผลิตยางออกจากตลาดได้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าของยางไทยในตลาดโลก โดยการยกระดับผลผลิตยาง และการจัดการระบบยางของไทยให้เป็นไปตามความต้องการและมาตรฐานสากล เช่น กฎระเบียบ EUDR 

“วันนี้รัฐบาลไทยมองเห็นโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าและการดำเนินธุรกิจ เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบยางที่สำคัญ และมีการจัดการระบบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบยาง สามารถดึงนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ถือเป็นโอกาสดีในการทำเกษตรอุตสาหกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ยางพารา และยังสร้างความมั่งคั่งให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน” นายสุขทัศน์ กล่าว    

นายสุขทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘งานมหกรรม TyreXpo Asia 2024’ ในครั้งนี้ เป็นงานมหกรรมยางล้อระดับนานาชาติที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นเวทีแสดงความพร้อมของไทยในเรื่อง EUDR ที่ผู้ใช้ยางสามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จากยางพาราไทยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน และตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดยางได้จริง โดยงานนี้ได้รวมเหล่าผู้ผลิตและผู้ค้าในอุตสาหกรรมยางล้อกว่า 250 แบรนด์ ถือเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญ และเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยางพาราไทยเป็นอย่างมาก กยท. มองว่าโอกาสนี้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมยางล้อในไทยที่กำลังเติบโตตามกลไกการตลาด และเป็นก้าวที่สำคัญในการบริหารจัดการยางพาราให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอดรับนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจของอุตสาหกรรมยางพาราในประเทศไทย โดยส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ซึ่งขณะนี้ กยท. ร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งเตรียมแปรรูปวัตถุดิบยางพาราเป็นยางล้อที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งกำเนิดได้ทุกเส้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้ยางในประเทศและสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน

นายอัลวิน เซียว รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ - เอเชียและสิงค์โปร์ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า การจัดงาน TyreXpo Asia 2024 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยถือเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญในการรวมเครือข่ายผู้พัฒนา ผู้ผลิต ผู้ค้าและผู้ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางล้อมากที่สุดในเอเชีย - แปซิฟิก ซึ่งสามารถขยายการเข้าถึงตลาดใหม่ๆที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางล้อ รวมถึงแนวปฏิบัติตลอดจนการนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาปรับใช้ในการยกระดับอุตสาหกรรมในอนาคต

สำหรับการจัดงานดังกล่าวในกรุงเทพฯ ครั้งนี้จะดึงดูดผู้ซื้อที่มีศักยภาพจากทั่วภูมิภาคกว่า 5,000 คน โดยได้รวบรวมแบรนด์ชั้นนำด้านยางล้อและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องอีกว่า 250 แบรนด์ เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศได้ขยายตลาดยางล้อ ที่ครอบคลุมไปถึงการซ่อมแซม บำรุงรักษายานยนต์ อุปกรณ์อะไหล่ยางยนต์ และอุปกรณ์เสริมยางล้อ พร้อมกันนี้จะได้พบกับโชว์เคสหรือการนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมาพัฒนา รวมถึงขนทัพผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแชร์ประสบการณ์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจจากอุตสาหกรรมยางในอนาคต

ตลอดการจัดงานทั้ง 3 วัน งานแสดงดังกล่าวมุ่งเป้าเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายให้เกิดการขยายผลในมิติต่างๆ โดยภายในงานได้เชิญผู้ซื้อจากต่างประเทศกว่า 100 คน ร่วมเจรจาเพื่อต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจ รวมทั้งมีการจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับองค์ความรู้และนวัตกรรมการหล่อดอกยางและอีกหลายหัวข้อครอบคลุมอุตสาหกรรมยางล้อ เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและเสริมแกร่งในเรื่องข้อมูลเชิงลึกอันจะนำไปสู่การกำหนดแนวทาง กลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมต่อไป 

เตรียมตัวพบกับงาน TyreXpo Asia ครั้งแรกในไทยกับงานแสดงอุตสาหกรรมยางล้อระดับนานาชาติ มาร่วมสร้างโอกาสและพบกับผู้เชี่ยวชาญจากแวดวงยางล้อ ที่มีศักยภาพจากทั่วภูมิภาคกว่า 5,000 คน โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 - 17 พฤษภาคม 2567 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ ติดตามข่าวสารและรายละเอียดของการจัดงานได้ที่ www.tyrexpoasia.com

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! มุมดี ‘ปรีดี’ ช่วยไทยรอดสงครามโลกครั้งที่ 2 ลดบาป 'ต้นคิดการปฏิวัติ 2475' ก่อนคณะราษฎรสิ้นอำนาจ

(14 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความรีวิวแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยระบุว่า…

ผมเพิ่งดู ‘แอนิเมชั่น ๒๔๗๕’ จบลงด้วยความประทับใจ และขอเสนอมุมมองที่อาจจะแตกต่างกับผู้ชมทั่วไปบ้าง  ดังนี้

- อยากให้เราย้อนกลับไปดูสถานการณ์ของยุโรปใน ปี ค.ศ. 1926 หรือ 6 ปี ก่อนการปฏิวัติ 2475 (ค.ศ. 1932) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกคณะผู้ก่อการปฏิวัตินัดประชุมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อคิดก่อการปฏิวัติในนามของ ‘คณะราษฎร’.... คนพวกนี้คือ Mastermind หรือกลุ่มต้นคิดการปฏิวัติ 2475

- ยุโรปในปี ค.ศ. 1926 คือเพิ่งผ่านการปฏิวัติบอลเชวิค (การปฏิวัติรัสเซีย) ในปี ค.ศ. 1917 มาแค่ 9 ปี หลังจากที่เลินนิน ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติรัสเซีย เจ้าลัทธิมาร์กซ-เลนิน เพิ่งเสียชีวิตใน ปี ค.ศ. 1924 ‘ระบอบสตาลิน’ (ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ) เพิ่งจะก่อตัวในรัสเซีย

ขณะนั้น ‘ความจริงของการปฏิวัติสังคมนิยม’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันยูโทเปียอีกต่อไป

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เด็กบ้านนอกจากสยาม อย่างนายปรีดี จะตื่นเต้นกับการปฏิวัติรัสเซียในระดับคลั่งไคล้ มิหนำซ้ำ เขาคือผู้นำทางความคิดเพียงคนเดียวของคณะก่อการกลุ่มนี้ ขณะที่สมาชิกผู้ก่อการคนอื่น ไม่ได้มีองค์ความรู้เรื่องการปฏิวัติรัสเซียแบบนายปรีดี พวกเขาแค่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงนำระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในประเทศสยามตามแบบอังกฤษ เพื่อทำให้สยามเป็นอารยประเทศเท่านั้น

- ผมคิดว่าความต้องการให้มีระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ของคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้มีความชอบธรรมนะ เพราะมันคือทิศทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสยามอยู่แล้ว แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ตัวนายปรีดีต่างหาก คือ ‘ความแปลกแยก’ ในหมู่คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ เพราะตัวนายปรีดีคนเดียวเท่านั้นที่มีหัวเอียงซ้ายตามโมเดลการปฏิวัติบอลเชวิก ขณะที่ผู้ก่อการคนอื่นแค่อยากเร่งกระบวนการ Modernization ของสยามเท่านั้นเอง

นี่คือความย้อนแย้งแบบปฏิบท (Paradox) ของการปฏิวัติ 2475

กล่าวคือ ถ้าไม่มีนายปรีดีมาเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการตั้งแต่แรก การปฏิวัติ 2475 น่าจะไม่ประสบความสำเร็จและลงเอยด้วยการเป็นกบฏ เหมือนกลุ่มทหารหนุ่มในสมัยรัชกาลที่ 6 ก่อนหน้านี้

ถ้าไม่มีนายปรีดี คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ก็แทบไม่ต่างจากกลุ่มกบฏทหารหนุ่มก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

- ‘ใบปลิว Fake News’ ที่นายปรีดีจงใจเขียน เพื่อโจมตี บิดเบือนใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์ และเอามากระจายแจกจนเป็น ไวรัล ไปทั่วกรุงช่วงนั้น คือจุดเริ่มต้นของ ‘ความเลวร้าย’ ที่ ‘อุตส่าห์ปฏิวัติสำเร็จ แต่ไม่สามารถรักษาการปฏิวัติอย่างเป็นระบบได้’ สุดท้ายก็แค่ได้ ‘คณะผู้นำทหารกลุ่มใหม่’ มาเถลิงอำนาจรัฐ และหลงไหลในอำนาจรัฐที่ตัวเองครอบครองอยู่เท่านั้น

โดยที่คนสุดท้ายที่ชนะใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ นี้ นายทหารหนุ่มที่ชื่อ แปลก พิบูลสงคราม (ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อการรองจากนายปรีดีที่เป็นหัวหน้า) ที่สุดท้ายนายแปลกก็ทำตัวเป็น ‘เจ้าคนใหม่’ ในระบอบฟาสซิสต์ไทยอยู่ช่วงหนึ่งเสียเอง ไม่ต่างจากบทบาทของนายฮุนเซนในเขมร

- จึงไม่แปลก ที่ช่วงสุดท้าย หรือ End Game ใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐระหว่างนายปรีดี หัวหน้าคณะผู้ก่อการ กับนายแปลก รองหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอันเบ็ดเสร็จของนายแปลก ในปี พ.ศ. 2490 หรือ 15 ปีหลังการปฏิวัติ 2475

- ความย้อนแย้งอีกอันหนึ่ง คือคุณูปการของนายปรีดีในวัยกลางคน ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’ ที่ช่วยให้ประเทศไทยหลุดรอดจากหายนะของผู้นำประเทศอย่างนายแปลกที่พาประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น

- โดยส่วนตัว ผมไม่อาจยอมรับนายปรีดีในวัย 32 ที่ก่อการปฏิวัติ 2475 ได้  ... ในสายตาของผม นายปรีดีตอนนั้นเป็นแค่ปัญญาชนที่ร้อนวิชา คลั่งการปฏิวัติรัสเซีย และขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความเป็นจริงของคนไทยและสังคมไทย

แต่ผมเคารพในคุณูปการของนายปรีดี ที่มีวุฒิภาวะแล้วในวัยกลางคนในฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทย  ... เพราะเขาเองก็เติบใหญ่ทางความคิดและมีประสบการณ์ทางโลกจนเจนจัดแล้ว

มันจึงเป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่งของตัวนายปรีดีเอง ที่เริ่มจากเป็นตัวการให้เกิดกลียุคในบ้านเมืองโดยการปฏิวัติ 2475 แต่สุดท้ายก็เป็นนายปรีดีนี่แหละที่เป็น ฮีโร่ช่วย save ประเทศไทยจากวิกฤตช่วงนั้นเอาไว้ได้ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top