Thursday, 19 June 2025
ECONBIZ

'ก.อุตฯ' หนุนดัดแปลงรถน้ำมันเป็น EV นำร่อง 4 แสนคัน หวังประคอง 'ช่าง-อู่' ช่วงเปลี่ยนผ่านไม่ให้ล้มหาย

(5 ม.ค.67) นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ในฐานะฝ่ายเลขาฯ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion)

ขณะนี้ได้มีการทบทวนคณะกรรมการใหม่ จาก 29 หน่วยงาน เหลือ 16 หน่วยงาน เช่น สภาพัฒน์ ซึ่งจะดูเรื่องของงบประมาณ รวมถึงดึงหน่วยงานมันสมองของประเทศอย่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

โดยได้เสนอชื่อให้กับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อแต่งตั้งและนำเสนอบอร์ด EV และคาดว่าเดือน ม.ค. 2567 จะได้เห็นแนวทางการทำ EV Conversion จากคณะอนุกรรมการชัดเจนขึ้น

โดยแนวทางดังกล่าว จะเริ่มที่ทำการศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โดยจะเริ่ม 1.ศึกษาและทดลองการดัดแปลงรถบรรทุก รถสาธารณะ รถขนส่งน้ำ รถขยะ ให้วิ่งในระยะสั้น จำกัดระยะทาง เพื่อดูความปลอดภัย ดูโครงสร้างตัวรถ ดูสถิติว่ามีการกลับมาชาร์จบ่อยเพียงใด

2.ความสามารถในการใช้ รวมถึงการดีไซน์รถ เช่น รถบรรทุกต้องใช้แบตเตอรี่ใหญ่ขนาดใด ความจุเท่าไร ตำแหน่งของแบตเตอรี่ต้องห่างจากกันชนหน้า กันชนข้างเท่าไร เพราะจะมีผลต่อความปลอดภัยทั้งตัวผู้ขับและคนทั่วไปเมื่อมีการชนเกิดขึ้น

“เราได้มีการเสนอมาตรการไปแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งได้จัดทำเกือบครบแล้ว โดยเฉพาะมาตรฐานของส่วนที่สำคัญ ๆ อย่างแบตเตอรี่และสายไฟ แต่ในบอร์ด Conversion จะดูว่า หลังจากมีการ Convert จากรถ ICE มาเป็น EV แล้ว ทำอย่างไรมันถึงจะปลอดภัยและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ล่าสุดอยู่ระหว่างการทบทวนรายชื่อคณะกรรมการใหม่ จากนั้นจะเริ่มประชุมแนวทางกันต่อไป”

นายปริพัตร บูรณสิน คณะทำงานการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กล่าวว่า บอร์ด EV ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) ขึ้นเมื่อต้นปี 2566 เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงในประเทศ หรือกลุ่มรถยนต์สันดาป

โดยเฉพาะรถกระบะ ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนที่สูงมาก อย่างที่ทราบกันว่าการนํารถเก่าที่ใช้น้ำมันมาเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนใหม่มาเป็นระบบไฟฟ้า 100% จะเปลี่ยนทั้งเทคโนโลยีที่ใช้ จํานวนชิ้นส่วน จาก 30,000 ชิ้น เหลือเพียง 3,000 ชิ้นเท่านั้น

ดังนั้น หัวใจสําคัญของ EV Conversion อยู่ที่ EV Kit หรือชุดมอเตอร์และระบบไฟฟ้า ซึ่งมีราคา 400,000-800,000 บาท ถือว่าสูงมาก หากรัฐมีการสนับสนุนรถ EV Conversion สามารถลดราคาเหลือ 300,000 บาทต่อคัน

โดยเฉพาะรถกระบะ เพราะรถกระบะทั่วประเทศมี 7 ล้านคัน ส่วนที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป มีถึง 4 ล้านคัน หากดึงส่วนนี้มาดัดแปลงแค่ 10% หรือ 4 แสนคัน จะทำให้มีเงินหมุนในประเทศกว่า 120,000 ล้านบาท ไปที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนและอู่ในประเทศ

“รถเก่าเรามีมากและมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเป็นฐานการผลิตใหญ่ การจะไป EV ก็จะนานหน่อย ดังนั้นอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าดัดแปลงจะช่วยคงอาชีพช่าง อู่ พวกกลุ่มชิ้นส่วนไว้ก่อน เพราะหากรัฐทิ้งรถสันดาปแบบฉับพลันไป อู่กว่า 2 หมื่นแห่งจะหายไปด้วย เราต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ไม่พร้อม ซัพพลายเชนไม่พร้อม แต่ทั้งโลกต้องเดินไปในเรื่องของ EV ดังนั้นช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จึงสำคัญมาก”

แหล่งข่าวจากสถาบันยานยนต์กล่าวว่า มาตรการสนับสนุนได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เสนอให้มีมาตรการทางการเงินและมาตรการที่ไม่ใช่การเงิน เพื่อสนับสนุน 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ทำการดัดแปลงน้ำมันให้เป็นไฟฟ้า เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้า ยกเว้นภาษีสรรพสามิต ในระยะ 5 ปี สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนของแบตเตอรี่ที่ใช้ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง

2.กลุ่มผู้ใช้ยานพาหนะและผู้เดินรถ เช่น มาตรการช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการประกันภัย อุดหนุนค่าใช้จ่ายทางด่วน 3.กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบสายส่งและระบบอัดประจุไฟฟ้า เช่น สนับสนุนค่าไฟฟ้าในการอัดประจุ สนับสนุนค่าติดตั้งเครื่องอัดประจุไฟฟ้าประจำบ้าน สนับสนุนให้หน่วยงานเอกชนติดตั้งสถานีอัดประจุบนพื้นที่จอดรถและผู้ให้บริการ

ส่วนมาตรการที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การเปิดอู่รถดัดแปลงจะได้ลดหย่อนภาษี ภาครัฐสนับสนุนการฝึกอบรม โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักภาษีได้ 200% อนุญาตให้ข้าราชการที่ใช้รถไฟฟ้าดัดแปลงมาอัดประจุได้ที่หน่วยงานตนเอง

‘Finstable’ ผนึกภาครัฐ จัดงาน ‘B2GC’ ที่ภูเก็ต 17-19 ม.ค.นี้ หารือแนวทางใช้ประโยชน์ ‘บล็อกเชน’ ยกระดับ ‘ไทย’ หลากมิติ

(5 ม.ค. 67) บริษัท ฟินสเตเบิ้ล จำกัด (Finstable) ผู้นำด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนในประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), Thai Blockchain Services Infrastructure (TBSI), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) ผนึกกำลังจัดการประชุม Blockchain to Government Conference (B2GC) โดยจังหวัดภูเก็ตจะเป็นเจ้าภาพ ในระหว่างวันที่ 17 - 19 มกราคม 2567 นี้

สำหรับการประชุมครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่นำรัฐบาลและผู้นำด้านบล็อกเชนระดับโลกมาพบกัน เพื่อเป็นการประชุมและหารือเกี่ยวกับแนวทางในโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐานของระบบบล็อกเชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นประตูที่จะนำไปสู่ประเทศที่มีการพัฒนาและรวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น พร้อมทำให้เกิดประโยชน์ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริงแก่ประชาชนชาวไทย 

ในขณะเดียวกันที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ บล็อกเชนเป็นระบบปฏิบัติการอัจฉริยะที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของความเชื่อมั่น ความปลอดภัย และรวมไปถึงการกระจายอำนาจสู่หน่วยงานต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย

ทั้งนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชน นับเป็นเทคโนโลยี ที่ได้รับการยอมรับในความแข็งแกร่งของระบบบันทึกข้อมูลที่โปร่งใสและยังสามารถกระจายอำนาจไปสู่ภายในระบบของประเทศไทย ที่สามารถเดินหน้าทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ โดยได้รับรองความถูกต้องของข้อมูลและสร้างความเชื่อมั่นในโครงสร้างฐานเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงกลยุทธ์เทคโนโลยีบล็อกเชนจะสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก พร้อมยกระดับเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น บริการสาธารณะของประเทศไทย จะสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การประชุม B2GC ครั้งนี้ จะจัดขึ้นที่ Blockchain Technology Center (BTC) จังหวัดภูเก็ต โดยเนื้อหาการประชุมจะเน้นบทบาทของบล็อกเชนในการยกระดับความสามารถภาครัฐและผลประโยชน์ต่อประชาชน โดยมีวิทยากรระดับโลกทั้งในและต่างประเทศมาเข้าร่วมงานด้วย รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง นักวิชาการ และแขกคนสำคัญระดับ VIP อาทิ คุณประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, คุณโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าการจังหวัดภูเก็ต, ศ.(พิเศษ)ธงทอง จันทรางศุ และ คุณวิชัย ทองแตง 

โดยงานประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีชื่อเสียง รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิด้านบล็อกเชนระดับโลก อาทิ Dr. Xiao Feng (CEO) Hashkey Group, Dr. Xinxi Wang (Co-Founder) Litecoin Foundation, Zack Gall (Co-founder & CCO) EOS Network, Alex Blagirev (Strategic Initiatives Officer) SingularityNET, และ Sebastian R. Cabrera (VP of Product, National ID) Polygon Labs

พร้อมกลุ่มผู้นำทางด้านบล็อกเชนไทย อาทิ คุณชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ประธานบริษัท Velo Labs, คุณสำเร็จ วจนะเสถียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีบริษัท Bitkub Blockchain Technology, คุณกัญญารัตน์ แสงสว่าง Head of Growth (Thailand) จาก The Sandbox, คุณสถาพน พัฒนะคูหา ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารบริษัท SmartContract Blockchain Studio และพ.ญ. นวพร นะลิตา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารบริษัท Crypto City Connext

สำหรับเนื้อหาการประชุม B2GC ทั้ง 3 วันนั้น ในวันที่ 1 จะกล่าวถึงการทำงานของบล็อกเชนและการประยุกต์ใช้ ตามด้วยการประชุมในวันที่ 2 ซึ่งมุ่งเน้นหัวข้อการประชุมที่ถูกเลือกโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลและคณะกรรมการจัดงาน และวันสุดท้ายจะมีการหารือครั้งสำคัญ รวมถึงการปราศรัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวง ภายใต้แผนงาน ‘The Growth Engine of Thailand’ โดยโฟกัส 3 ด้านสำคัญคือ การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ, การสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ด้านดิจิทัลของประเทศรวมถึงการพัฒนาบล็อกเชนระดับโลกอีกด้วย

ผู้ที่สนใจร่วมงาน สามารถส่งคำถามหรือลงทะเบียนรอรับสิทธิ์เข้าร่วมงานได้บนเว็บไซต์ https://B2GC.finstable.co.th

'รมว.ปุ้ย' เตรียมร่วมประชุมโต๊ะกลมเรื่องแร่ธาตุที่ซาอุฯ พร้อมหารือดันอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ศูนย์กลางอาเซียน

(5 ม.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีกำหนดการร่วมคณะกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ เพื่อหารือความร่วมมือในการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในการประชุมฟอรั่มแร่ธาตุแห่งอนาคต (Future Minerals Forum หรือ FMF) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 มกราคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติคิง อับดุล อาซิซ (King Abdul Aziz International Conference Center) ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย

นางสาวพิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า การประชุม FMF เป็นเวทีหารือเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญด้านแร่ธาตุในระดับพหุภูมิภาค โดยหัวข้อสำคัญของการหารือในปีนี้ จะเน้นไปที่การพัฒนากรอบยุทธศาสตร์และการกำหนดเป้าหมายระดับภูมิภาคในการจัดหาแร่ธาตุที่สำคัญ (Critical minerals) การสร้างห่วงโซ่คุณค่าหรือซัพพลายเชนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของโลก การสร้างขีดความสามารถผ่านศูนย์ความเป็นเลิศด้านแร่ (Centers of Excellence) และการกำหนดแนวทางสนับสนุนการผลิตแร่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีเวทีการประชุมย่อยในระดับเจ้าหน้าที่อีกกว่า 75 เรื่อง 

ด้าน นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อความสามารถในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและสังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ต้องใช้แร่จำนวนมากในการผลิต การขยายตัวของการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้ความต้องการแร่เพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านวัตถุดิบเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มของความต้องการใช้แร่เหล่านี้เพิ่มขึ้นภายใต้นโยบายส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน 

ดังนั้น การหารือความร่วมมือในครั้งนี้เป็นโอกาสในการเชื่อมโยงการลงทุนในระดับพหุภูมิภาคเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเชิงวัตถุดิบแก่ภาคอุตสาหกรรมของไทยได้

“นอกจากการเข้าร่วมประชุมโต๊ะกลมเรื่องแร่ธาตุแห่งอนาคตแล้ว นางสาวพิมพ์ภัทราฯ ยังมีกำหนดร่วมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรณีของซาอุดีอาระเบีย เพื่อผลักดันความร่วมมือในการลงทุนด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ รวมทั้งร่วมหารือกับ Saudi Standards, Metrology and Quality Organization หรือ SASO หน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องมาตรฐานต่างๆ ของซาอุฯ ซึ่งเป็นตลาดสินค้าฮาลาลขนาดใหญ่ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาหารฮาลาลในภูมิภาค (Halal Hub) ที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและแถบตะวันออกกลาง ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย” นายอดิทัตฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘นายกฯ’ พร้อมตั้ง ‘สำนักงานส่งเสริมอาหารฮาลาล’ รองรับการพัฒนา-ส่งออกฮาลาลไทย กระตุ้น ศก. ปี 67

(5 ม.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ระบุว่า… “ไทยมีศักยภาพสูง และพร้อมส่งออกอาหารฮาลาล โดยรมว.อุตสาหกรรม, เลขาธิการ BOI, รองผู้ว่าการนิคมแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นำเสนอแผนการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยปี 67 โดยตั้งสำนักงานส่งเสริมอาหารฮาลาล (องค์กรมหาชน) เพื่อทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ และพัฒนาด้านอาหารฮาลาลอย่างจริงจัง”

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “จากนั้นพูดคุยถึงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากประเทศใกล้เคียง อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน ซาอุดีอาระเบีย และกระทรวงอุตสาหกรรมเล่าถึงความคืบหน้าเรื่องการปลูก และการแปรรูปโกโก้ ที่ผมได้สั่งการไป เพราะเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงในตลาดโลก กระทรวงฯ ได้เริ่มโครงการนี้แล้วที่ จ.สระแก้ว เพื่อเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดต่าง ๆ”

‘Bolt’ เปิดตัวมาตรการรักษา ‘ความปลอดภัย’ ในไทย เพิ่มขั้นตอนตรวจสอบใบหน้าคนขับ - ปุ่มช่วยเหลือฉุกเฉิน

(4 ม.ค. 67) โบลท์ (Bolt) ผู้นำด้านแอปพลิเคชันการเดินทางจากยุโรปประกาศเปิดตัวมาตรการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในประเทศไทยในวันนี้ โดยมาตรการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยนี้จะประกอบไปด้วย การตรวจสอบภาพถ่ายหน้าของคนขับ และมาตรการความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางสำหรับการเดินทางผ่านยานพาหนะในแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นการสนับสนุนความปลอดภัยของผู้ขับขี่เเละผู้โดยสารจากฝ่ายด้านความปลอดภัยที่ได้รับการฝึกอบรมภายในบริษัท

โดยการตรวจสอบภาพถ่ายหน้าของคนขับ เป็นมาตรการใหม่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตนของผู้ขับขี่ และลดการแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยโดยรวมในการใช้บริการของทั้งผู้โดยสารและผู้ขับขี่ผ่านแอปพลิเคชันโบลท์

และภายในมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยเพิ่มเติมในการเดินทาง โบลท์จะมีระบบในการเชื่อมต่อกับผู้โดยสารและคนขับผ่านแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติ เมื่อยานพาหนะหยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลาที่ผิดสังเกต เพื่อเป็นการยืนยันว่าทั้งผู้โดยสารเเละผู้ขับขี่ไม่ตกอยู่ภายในอันตรายใดๆ ซึ่งระบบจะให้ทางผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับตัวเลือกในการโทรติดต่อกับศูนย์บริการฉุกเฉินโดยตรง ให้ข้อมูลของการเดินทาง และขอความช่วยเหลือจากโบลท์ได้ด้วยการแจ้งเตือนในแอปพลิเคชัน

ในอนาคตโบลท์มีการวางแผนที่จะนำระบบตรวจสอบความปลอดภัยในการเดินทางอื่นๆ เพิ่มเติมในการใช้งานแอปพลิเคชัน เช่น การแจ้งเตือนเมื่อมีการออกนอกเส้นทางและการสิ้นสุดการเดินทางที่ล่าช้า

โดยมาตรการในอนาคตเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนต่อเนื่องของโบลท์ในการพัฒนาทางด้านความปลอดภัยในแพลตฟอร์มของตน เพื่อให้โบลท์สามารถให้การสนับสนุนที่ดียิ่งขึ้นสำหรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือในการระบุและป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้

นอกจากนี้ ระบบที่ช่วยให้การเดินทางของโบลท์ปลอดภัยสำหรับคนขับและผู้โดยสารมีเพิ่มเติมดังนี้

ระบบความปลอดภัย (Safety Toolkit) ภายในแอปพลิเคชัน เช่น การแชร์ทริปเพื่อแบ่งปันตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์กับเพื่อนและครอบครัว
ปุ่มช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Assist) เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารสามารถแจ้งให้หน่วยงานตำรวจท้องถิ่นทราบโดยรวดเร็วและเป็นส่วนตัวในกรณีที่ผู้โดยสารรู้สึกไม่สบายในระหว่างการเดินทาง และรายงานไปยังทีมสนับสนุนลูกค้าของโบลท์

นายณัฐดนย์ สุขศิริฐานันท์ ผู้จัดการประจำโบลท์ ประเทศไทย ได้กล่าวว่า “สำหรับโบลท์ ความปลอดภัยคือความสำคัญอันดับต้นๆ และเรามีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในผลิตภัณฑ์และการเพิ่มมาตรการสำหรับระบบความปลอดภัยในแอปพลิเคชันของโบลท์ เพื่อนำเสนอให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีประสบการณ์การเรียกรถที่มีคุณภาพที่ดี การเพิ่มมาตรการใหม่เกี่ยวกับการตรวจสอบความปลอดภัยในการเดินทางคือการพัฒนาล่าสุดในความพยายามต่อเนื่องของเราที่จะทำให้การขอความช่วยเหลือสำหรับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นไปได้โดยง่ายที่สุดเมื่อมีความต้องการในระหว่างการเดินทางของโบลท์ และระบุสิ่งที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยป้องกันการเกิดอันตรายของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร”

การเปิดตัวมาตรการใหม่ทางด้านความปลอดภัยของโบลท์ขณะโดยสารเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระยะยาวของการพัฒนา เพื่อสนับสนุนทีมความปลอดภัยของ Bolt ในการตรวจสอบทุกสิ่งที่ผิดปกติเมื่อการโดยเริ่มต้นผ่านแอปพลิเคชัน

นอกจากนี้ บริษัทได้นำมาตรการต่อไปนี้เข้าสู่แอปพลิเคชัน เพื่อให้ลูกค้าของโบลท์ได้รับประสบการณ์การโดยสารที่ปลอดภัย และโบลท์กำลังนำเสนอมาตรการและระบบความปลอดภัยเพิ่มเติมในแอปพลิเคชันที่หลากหลายซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยมีมาตรการความปลอดภัยดังนี้ :

ปุ่ม SOS: ช่วยให้ผู้โดยสารและคนขับสามารถติดต่อกับตำรวจได้โดยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว
แชร์ทริปของฉัน: คุณลักษณะนี้ช่วยให้ผู้โดยสารและคนขับสามารถแชร์ลิงก์ของข้อมูลการเดินทางแบบเรียลไทม์ของพวกเขา
ระบบ unmatch คนขับและผู้โดยสาร: หากผู้โดยสารหรือคนขับให้คะแนนทริปของพวกเขาด้วยดาวเพียงดวงเดียว ผู้ถูกร้องเรียนจะไม่สามารถให้บริการหรือรับบริการจากผู้โดยสารหรือผู้ขับขี่รายเดิมโดยอัตโนมัติ

‘สตาร์บัคส์’ โอด!! ต้นทุนเพิ่ม ขอขึ้นบางเมนู 5-10 บาท หลังขึ้นครั้งล่าสุดปี 2563 เคาะ!! 4 ม.ค.67 เริ่มวันแรก

(4 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านกาแฟ สตาร์บัคส์ เตรียมปรับขึ้นราคาเครื่องดื่มและอาหาร บางรายการในระดับประมาณ 5-10 บาท เริ่มต้นวันที่ 4 มกราคม 2567 นี้ เป็นวันแรก

โดยจากการสอบถามพนักงานร้าน ระบุว่า สินค้าที่ขึ้นราคาประกอบด้วย เครื่องดื่มปั่นทุกเมนู ส่วนเครื่องดื่มอื่น ๆ บางเมนูขนาด Tall จะยังคงเป็นราคาเดิม ส่วนกลุ่มอาหารจะขึ้นราคา เช่น แซนด์วิชจะขึ้นเป็นบางรายการ

การปรับราคาครั้งนี้จะมีผลในทุกช่องทางทั้งหน้าร้านและการสั่งออนไลน์ผ่านแพล็ตฟอร์มต่าง ๆ เช่น LINEMAN, Grab ฯลฯ

ขณะที่สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ยังไม่ให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ แต่แหล่งข่าวรายหนึ่ง อธิบายว่า การปรับขึ้นราคาเป็นผลจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้ต้องปรับราคาขายให้สัมพันธ์กับต้นทุน

อย่างไรก็ตาม พร้อมการปรับขึ้นราคานี้ สตาร์บัคส์ได้เปิดตัวเมนูใหม่ 4 เมนู คือ ไอซ์ เวียนนา ครีมมี ลาเต้, เวียนนา ครีมมี แฟรบปูชิโน่, ไอซ์ ฮันนี่ พลัม เพียว มัทฉะ ลาเต้ และ ไอซ์ พีช พลัม เพิร์ลส อู่หลง

รวมถึงขนมสำหรับเทศกาลวาเลนไทน์อีกหลายเมนู อาทิ ช็อกโกแลตลาวาเค้ก, มาการองราสเบอร์รี่, โดนัทสอดไส้ราสเบอร์รี่, บราวนี่คัพรสช็อกโกแลต และอื่น ๆ

ทั้งนี้ที่ผ่านมาสตาร์บัคส์ ประเทศไทย เคยปรับขึ้นราคาในระดับประมาณ 5 บาท มาแล้ว อาทิ เมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 2.5 ปี โดยขึ้นราคาทุกรายการยกเว้นเมนูปั่น ด้วยเหตุผลเรื่องต้นทุนสินค้า

‘เคทีซี’ เปิดตัว ‘บัตรเครดิตดิจิทัล’ ตั้งเป้า 1 แสนใบในปีนี้ พร้อมเผยเพิ่มชำระขั้นต่ำ 5% เป็น 8% ไม่กระทบเป้ารวม

(4 ม.ค.67) นางประณตยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดเผยว่า เคทีซีได้เปิดตัว ‘บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล’ (KTC DIGITAL CREDIT CARD) นวัตกรรมของความปลอดภัยขั้นกว่าครั้งแรกในประเทศไทยด้วย 3 จุดเด่น ดังนี้…

- Digital First สมาชิกสามารถใช้จ่ายได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสแกนจ่ายด้วย QR Pay และผูกบัตรกับระบบชำระเงินบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กูเกิล เพย์ (Google Pay) หรือ สวอทช์ เพย์ (Swatch Pay) เป็นต้น

- Dynamic CVV ตัวเลขหลังบัตรที่เป็นรหัสความปลอดภัย จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการร้องขอและสามารถใช้งานได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อการขอ 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนการขอ) เพื่อสร้างความมั่นใจให้สมาชิกเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผูกบัตรที่ร้านค้าออนไลน์ ด้วยเลขหลังบัตร (CW) เพื่อยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือบริการ 

- Numberless Card บัตรพลาสติกใสโปร่งแสง ไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตร และไร้แถบแม่เหล็ก เพื่อเสริมความปลอดภัยเมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร้านค้าทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าบัตร

"ปัจจุบันตัวเลขการใช้งานของผู้ถือบัตรเครดิตเคทีซีเปลี่ยนแปลงไป โดยมีสัดส่วนผู้ใช้บัตรในการใช้จ่ายซื้อสินค้า-บริการ 46% และผู้ที่ไม่ยื่นการ์ดในการใช้จ่ายเท่ากับ 55% จากช่วงก่อนโควิดที่มีสัดส่วน 70% และ 30% เนื่องมาจากความนิยมในการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลในเรื่องการถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การออกบัตรเคทีซี ดิจิทัลถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยของบัตรเครดิต โดยจะช่วยลดความกังวลให้ลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิต ซึ่งจะรองรับการใช้ทั้งช่องทางดิจิทัล และการใช้บัตรพลาสติกที่เป็น Number Less ซึ่งจะแก้ pain point ของผู้ถือที่กังวลเรื่องตัวเลขสำคัญที่หลังบัตร"

นางประณตยา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเคทีซีมีมาร์เกตแชร์ประมาณ 12% จากมูลค่ารวมการใช้ของอุตสาหกรรมที่ 2.2 ล้านล้านบาท เป้าหมายในปีนี้คาดการณ์ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 15% จากปีก่อนที่เติบโตได้สูงกว่าเป้าหมายที่ 10% เล็กน้อย มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 1.3% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ประมาณ 3% และตั้งเป้าหมายยอดบัตรใหม่ในปีนี้ที่ 230,000 บัตร ซึ่งจะรวมถึงบัตร Digital ที่ตั้งเป้าไว้ 100,000 บัตรด้วย โดยในขณะนี้จะเริ่มต้นจากบัตรแพลทินัม และหากผลตอบรับดีไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำต่อเนื่องไปสู่บัตรอื่นต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันเคทีซีมีจำนวนบัตร 2.62 ล้านบัตร เป็นบัตรแพลทินัม 2.28 ล้านบัตร โดยแบ่งเป็นบัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัม 60% และบัตรเครดิตแพลทินัม มาสเตอร์การ์ด 40%

สำหรับการกำหนดเพิ่มการชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% นั้น ไม่น่าจะกระทบมากนัก โดยผู้ถือบัตรเคทีซีมีสัดส่วนจ่ายเต็มจำนวน 70% ที่เหลือจ่ายชำระไม่เต็มและส่วนใหญ่จ่ายสูงกว่า 5% ขณะที่ฐานลูกค้าของเคทีซีเป็นกลุ่มที่มีรายได้ 15,000-30,000 บาทต่อเดือนในสัดส่วน 65% อีก 35% เป็นกลุ่มรายได้ 30,000-50,000 บาท และ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมนั้น เคทีซียึดหลักการให้ข้อมูล เงื่อนไข ข้อกำหนดอย่างชัดเจนอยู่แล้ว รวมถึงการไม่กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายหรือก่อหนี้อย่างเกินตัวอยู่แล้ว

ด้าน น.ส.สุชชวี บรรจบดี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดดิจิทัล ‘เคทีซี’ กล่าวว่า สมาชิกต้องการบัตรพลาสติกสามารถแสดงความประสงค์ขอรับบัตรผ่านแอป KTC Mobile ได้ด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่โหลดแอป KTC Mobile ทั้งสิ้นประมาณ 2.2 ล้านราย คิดเป็น 88% ของจำนวนสมาชิกทั้งพอร์ต โดยแอป KTC Mobile จัดเป็นช่องทางที่สมาชิกเข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนพฤติกรรมของสมาชิกที่มีความคุ้นชินกับดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แอป KTC Mobile จึงถูกออกแบบให้เป็นช่องทางในการขอเพิ่ม ‘บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล’ สำหรับสมาชิกปัจจุบันเพียงกดปุ่มสมัครบัตร และเมื่อได้รับการอนุมัติสามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ทันที 

‘SPRC’ ปิดดีลซื้อปั๊ม Caltex 450 แห่ง กรุยทางลุยตลาดน้ำมันครบวงจร ยัน!! 'ปั๊ม-น้ำมันคาลเท็กซ์-เทครอน' ยังอยู่คู่คนไทยต่อไปเหมือนเดิม

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.67) บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ประกาศเสร็จสิ้นการทำธุรกรรมกับ Chevron Asia Pacific Holdings Limited (CAPHL) ในการเข้าซื้อธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์คาลเท็กซ์ (Caltex) ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสริมห่วงโซ่คุณค่าให้กับ SPRC ในฐานะโรงกลั่นและทำตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยอย่างครบวงจร

นายโรเบิร์ต โดบริค กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SPRC มีความยินดีและต้อนรับธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน การผสานธุรกิจการตลาด และจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงเข้ากับการกลั่นน้ำมันจะเสริมสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ด้านห่วงโซ่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีทั้งกับผู้ถือหุ้น และลูกค้าคาลเท็กซ์ อีกทั้งยังจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยได้อีกด้วย

“SPRC จะยังคงจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์® และ เทครอน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจและอยู่เคียงคู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี โดยหวังว่าจะสามารถนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงให้กับลูกค้าผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ” นายโดบริค กล่าวเสริม

ด้าน นายชาแชงค์ นานาวาติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการพาณิชย์ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) อดีตประธานกรรมการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การรวมธุรกิจการกลั่นและการตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถสร้างเสริมคุณค่าของแบรนด์ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยการเติมเต็มประสบการณ์อันน่าประทับใจได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับผู้ถือหุ้น และผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ของเรา นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถของพนักงานให้มีความพร้อมในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการบริหารโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 175,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว SPRC มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์ เทครอน ผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ประมาณ 450 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยพันธมิตรทางธุรกิจมืออาชีพ

การเข้าซื้อธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อันได้แก่ สัดส่วนการถือครองหุ้นร้อยละ 9.91 ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 2.51 ในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) การลงทุนในบริษัทเอกชนที่ถือครองที่ดินแปลงที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา และสุราษฎร์ธานีด้วย

‘EA’ รับรางวัล ‘Sustainability Disclosure Recognition 2023’ สะท้อนความมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ตามกรอบ ESG

(3 ม.ค. 67) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ได้รับรางวัลเกียรติคุณ ‘Sustainability Disclosure Recognition 2023’ หรือ ‘การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ประจำปี 2566’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จัดโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี นายวรณัฐ เพียรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ มอบรางวัลให้กับ นายวิทยา เชียงอุทัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร ผู้แทนองค์กรเข้ารับรางวัล ตอกย้ำการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน

นายวิทยา เชียงอุทัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ เปิดเผยว่า EA ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาด มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชนและสังคม ด้วยการกำกับดูแลกิจการที่ดี มากว่า 15 ปี

โดย EA เป็นผู้ริเริ่มและยกระดับธุรกิจพลังงานสะอาดด้วยผลงานนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมธุรกิจพลังงานทดแทน, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจแบตเตอรี่ ลิเธียม ไอออน, ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และสถานีชาร์จ EA Anywhere บนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจตามหลักของธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG สู่สาธารณะอย่างครบถ้วนและโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน คู่ค้า และผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

การได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Recognition 2023 ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน ถือเป็นความภาคภูมิใจ ที่สะท้อนผลสำเร็จในความมุ่งมั่นการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามกรอบ ESG และเจตจำนงขององค์กรที่จะร่วมสร้างและแบ่งปันความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด ‘นวัตกรรมสังคมองค์กร’ หรือ Corporate Social Innovation (CSI) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

อนึ่ง สำหรับในปี 2566 มีองค์กรที่ได้รับการเชิดชูเกียรติรวมทั้งสิ้น 132 รางวัล แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลเกียรติคุณ (Award) 54 แห่ง ประกาศเกียรติคุณ (Recognition) 50 แห่ง และกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) 28 แห่ง 

‘รมว.ปุ้ย’ ดันอุตสาหกรรมต้นน้ำรับอุตฯ EV  เตรียมแหล่งลิเทียมผลิตแบตฯ เชิงพาณิชย์

‘รมว.อุตสาหกรรม’ สั่ง กพร. เร่งจัดหาแหล่งวัตถุดิบสำหรับผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ผลสำรวจเบื้องต้นพบแหล่งลิเทียมที่มีศักยภาพสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตแบตเตอรีในเชิงพาณิชย์ ขานรับมติ ครม.เริ่มใช้มาตรการ EV 3.5 ตั้งแต่ 2 ม.ค.67 เป็นต้นไป

(3 ม.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าลิเทียมเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV จึงได้สั่งการให้ กพร. (กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่) เร่งสำรวจแหล่งแร่ลิเทียมที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงและเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตว่าประเทศไทยจะมีลิเทียมในการผลิตแบตเตอรี่เพื่อรองรับการตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้ สอดรับกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

ด้าน นายอดิทัต วะสีนนท์ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กพร. ในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาและบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ได้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษจำนวน 3 แปลง เพื่อสำรวจแหล่งลิเทียมในพื้นที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่า หินอัคนีเนื้อหยาบมากสีขาวหรือหินเพกมาไทต์ ซึ่งเป็นหินต้นกำเนิดที่นำพาแร่เลพิโดไลต์สีม่วง หรือแร่ที่มีองค์ประกอบของลิเทียมมาเย็นตัวและตกผลึกจนเกิดเป็นแหล่งลิเทียมที่มีศักยภาพ 2 แหล่ง ได้แก่…

- แหล่งเรืองเกียรติ มีปริมาณสำรองประมาณ 14.8 ล้านตัน เกรดลิเทียมออกไซด์เฉลี่ย 0.45%
- และแหล่งบางอีตุ้มที่อยู่ระหว่างการสำรวจขั้นรายละเอียดเพื่อประเมินปริมาณสำรอง

โดยลิเทียมจากแหล่งเรืองเกียรติ หากมีการอนุญาตประทานบัตรเพื่อทำเหมือง คาดว่าจะสามารถนำแร่ลิเทียมมาเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาด 50 kWh ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน ที่สำคัญคือเทคโนโลยีการแต่งสินแร่ลิเทียมในปัจจุบันสามารถควบคุมและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ กพร.ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถ Reuse และ Recycle แบตเตอรี่ที่ใช้แล้วและนำกลับมาใช้เป็นแหล่งพลังงานซ้ำ (Second Life EV Batteries) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก อาคารบ้านเรือน สำนักงาน หรือโรงงานอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร เพื่อรองรับการบริหารจัดการแบตเตอรี่ที่ผ่านการใช้งานแล้วในอนาคตตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอีกด้วย

“นโยบาย EV 3.5 ของรัฐบาลสร้างแรงจูงใจให้บริษัทยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่ๆ เข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในประเทศ ซึ่งหากประเทศไทยมีปริมาณสำรองลิเทียมเป็นจำนวนมาก ย่อมเป็นส่วนสำคัญที่สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มูลค่าเป็นสัดส่วนที่สูงมากของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ จะส่งผลดีต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและซัพพลายเชนทั้งระบบ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทั้งด้านการลงทุนและการจ้างงาน กพร. จึงเร่งดำเนินการอนุญาตอาชญาบัตรให้มีการสำรวจแหล่งลิเทียมเพื่อกำหนดเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองเพิ่มเติม และจะเร่งอนุญาตประทานบัตรทำเหมือง เพื่อรองรับการเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคต่อไป” นายอดิทัตกล่าว

‘อีบีเอ็ม’ แจงเหตุล้อ รฟฟ.สายสีเหลือง ‘หลุด’ ใส่รถแท็กซี่ คาด!! ‘เบ้าลูกปืนล้อแตก’ ยืนยันวิ่งให้บริการได้ปกติ

(3 ม.ค.67) รายงานข่าวจากบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ EBM ผู้รับสัมปทาน โครงการ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 18.21 น.ได้รับแจ้งเหตุล้อประคองรถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง ได้หลุดร่วงลงมา ใส่รถแท็กซี่ บริเวณถนนเทพารักษ์ ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีทิพวัล (YL22) และสถานีศรีเทพา (YL21) แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้จากการตรวจสอบหาสาเหตุเบื้องต้นพบว่า เกิดจากเบ้าลูกปืนของล้อประคอง (Guide Wheel) เสียหายทำให้ล้อหลุดร่วงลงมา โดยขบวนรถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง ที่ประสบเหตุเป็นขบวนใหม่ ซึ่งมีการตรวจสอบ และซ่อมบำรุงตามรอบโดยปกติ และขณะนี้กำลังตรวจสอบชุดล้อประคองที่หลุดออกมา เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุโดยละเอียด

อย่างไรก็ตามรถไฟฟ้ามหานคร สายสีเหลือง กราบขออภัยผู้ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ จะดำเนินการตามมาตรการในการป้องกันเหตุ และเร่งหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปหาสาเหตุ และแนวทางป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก เบื้องต้น ได้ประสานกับบริษัทประกัน เพื่อให้เข้าดูแลผู้ได้รับความเสียหายต่อไป

'สุริยะ' ปักธง ม.ค.67 ชง 7 โครงการเข้า ครม.มูลค่ากว่า 1.25 แสนล้านบาท พร้อมเปิดประมูล ‘อาคารตะวันออกสุวรรณภูมิ-ทางด่วน-มอเตอร์เวย์-รถไฟสีแดง’

(3 ม.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม มีนโยบายเร่งรัดการพัฒนาโครงการทางด้านการขนส่งทางบก ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ ซึ่งมีแผนงาน จำนวน 72 โครงการ ซึ่ง กระทรวงฯได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามฯ เพื่อขับเคลื่อน ติดตามเร่งรัดตรวจสอบการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานและไทม์ไลน์ โดยภายในเดือน เดือนม.ค. 2567 มีโครงการที่มีความพร้อม ในการนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อขออนุมัติ จำนวน 7 โครงการ หลังจากครม.เห็นชอบจะเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินการประกวดราคาก่อสร้างต่อไป ซึ่งมีทั้งโครงการที่ใช้งบประมาณ และโครงการที่ร่วมลงทุนกับเอกชน (PPP) 

โดย 7 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2. โครงการทางพิเศษกะทู้ - ป่าตอง จ.ภูเก็ต 3.โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนต่อขยาย ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต 4. สายสีแดงต่อขยาย ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา 5.สายสีแดงต่อขยาย ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช 6. โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) หรือ M9 ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทอง และ 7.โครงการมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ (M5) สายรังสิต-บางปะอิน 

สำหรับโครงการพัฒนาส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปัจจุบัน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้มีการทบทวนการศึกษาออกแบบ เพื่อให้สอดรับกับบริบทการบินที่เปลี่ยนแปลงไป ใช้สำหรับรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 66,000 ตร.ม. และมูลค่าลงทุนปรับจาก 6.6 พันล้านบาท เป็น 8 พันล้านบาท รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มเป็น 15 ล้านคน/ปี ตามแผนจะเปิดประมูลผู้รับเหมาก่อสร้างในต้นปี 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2570

โครงการทางพิเศษกะทู้ - ป่าตอง จ.ภูเก็ต ระยะทางประมาณ 3.98 กม.วงเงินลงทุน 16,190 ล้านบาท (ค่างานโยธา 10,400 ล้านบาท / ค่างานเวนคืนและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5,790 ล้านบาท) มีการปรับรูปแบบการลงทุนจาก PPP- Net Cost (ภาครัฐรับผิดชอบการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ภาคเอกชนรับผิดชอบงานส่วนที่เหลือทั้งหมด ได้แก่ การออกแบบรายละเอียดและการก่อสร้าง และการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) เป็น กทพ.รับผิดชอบงานก่อสร้างโยธาของโครงการเอง ส่วนงานบำรุงรักษา (O&M) จะศึกษารวมในโครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ ซึ่งจะใช้รูปแบบ PPP ร่วมลงทุนงานโยธาโครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ ระยะทาง 30 กม. และบริหาร O&M ทั้ง 2 ระยะ ซึ่ง คณะกรรมการ (บอร์ด) กทพ.เห็นชอบเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2566 กทพ.อยู่ระหว่างสรุปเสนอกระทรวงคมนาคม

รถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,468.69 ล้านบาท, ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม. วงเงิน 10,670.27 ล้านบาท, ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.70 กม. วงเงิน 4,694.36 ล้านบาท ก่อนหน้านี้เสนอครม.ไปแล้วแต่กระทรวงคมนาคมถอนเรื่องคืนเพื่อศึกษาทบทวนขยายระยะทางเพิ่มเติม ไปยังเมืองรอบนอกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางมากขึ้น เช่น ช่วงรังสิต-มธ.รังสิต ขยายไปถึงอยุธยา ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ขยายไปถึง นครปฐม ซึ่งคาดว่าจะการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะสรุปเสนอกระทรวงคมนาคมภายในเดือน ม.ค. นี้

ส่วนโครงการพัฒนามอเตอร์เวย์สายใหม่จำนวน 2 โครงการ คือ มอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ (M5) สายรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. และ มอเตอร์เวย์ M 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทองระยะทาง 35.85 กม. ผ่านกระบวนการบอร์ด PPP และเสนอ ไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แล้ว อยู่ระหว่างสอบถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อนำบรรจุวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

โดยมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ (M5) สายรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 22 กม.วงเงินลงทุน 31,280 ล้านบาท จะดำเนินการในรูปแบบ PPP Gross Cost โดยเอกชนลงทุนในส่วนก่อสร้างงานโยธาและงาน O&M โดยรัฐเป็นผู้ได้รับรายได้ค่าผ่านทาง และจ่ายค่าตอบแทนการให้บริการให้แก่เอกชน และรัฐใช้คืนค่าก่อสร้างภายหลัง ใช้เงินจากกองทุนมอเตอร์เวย์ จะเริ่มจ่ายค่างานโยธาเมื่องานก่อสร้างเสร็จแล้ว การออกแบบรายละเอียด (Detail& Design) เสร็จแล้ว รายงาน EIA ได้รับอนุมัติแล้ว โดยคาดว่าจะดำเนินการคัดเลือกเอกชน ในปี 2567 ก่อสร้างในปี 2568-2570 และเปิดบริการในปี 2571

มอเตอร์เวย์ M9 ตอน ทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 35.85 กม. วงเงินลงทุน 56,035 ล้านบาท เป็นการก่อสร้างทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร บริเวณเกาะกลางของถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก คาดดำเนินการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนและก่อสร้างปี 2567-2570 แล้วเสร็จเปิดให้บริการปี 2571

'รมว.ปุ้ย' ชี้!! เหตุผลปี 67 รถยนต์รุ่นใหม่ต้องมีมาตรฐาน ยูโร 5 สร้างมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม 'ลด-ควบคุม' มลภาวะทางอากาศ

(3 ม.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์ข้อควาผ่านเฟซบุ๊ก 'พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล' เผยสาเหตุ ทำไมตั้งแต่ปีใหม่นี้ รถยนต์รุ่นใหม่ต้องมีมาตรฐานยูโร 5 ระบุว่า...

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นวันเริ่มบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลและรถยนต์ขนาดใหญ่ คือ รถยนต์กระบะ รถบัส รถบรรทุก ทั้งใช้เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล

ส่วนมาตรฐานยูโร 5 คืออะไร? หลายคนยังสงสัยว่ายังไง ทำไมต้องยูโร 5?...

หลักใหญ่ใจความของมาตรฐาน ยูโร 5 คือกฎเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดหรือควบคุมมลภาวะทางอากาศ ส่งผลให้การปล่อยมลภาวะออกมาต้องไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน โดยเดิมประเทศไทยใช้มาตรฐานยูโร 4 แต่พอเข้าสู่ปีใหม่นี้ ก็คือยูโร 5 แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วจะประกาศใช้ตั้งแต่ 2564 แต่ด้วยสถานการณ์โรคระบาด จึงมีการเลื่อนมาเป็น 2567 นั่นเอง

รมว.ปุ้ย กล่าวอีกว่า สำหรับรถยนต์ใหม่ที่ออกมาตามเกณฑ์ยูโร 5 จะต้องมีมาตรฐานที่กำหนดและจะต้องติดตั้งตัวควบคุมหรือตัวกรองฝุ่นละอองจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ นั่นหมายความว่าจะสามารถควบคุมฝุ่นจากการเผาไหม้ลงได้อีกระดับตามมาตรฐานค่ะ โดยมีเกณฑ์ที่จะต้องตรวจวัดและควบคุมเช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) สารไฮโดรคาร์บอน (HC) สารไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) สารมลพิษอนุภาคและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ซึ่งจะมีค่าเกณฑ์ตัวเลขของการตรวจวัด

โดยทาง สมอ.ได้แจ้งปุ้ยมาแล้ว และได้มีการเปิดรับยื่นคำขอตรวจประเมินมาแล้ว มีผู้ผลิตได้ยื่นผ่านระบบ E-License มาตั้งแต่กุมภาพันธ์ ปีที่ผ่านมาแล้วค่ะ และมาจนถึงธันวาคม 2566 มี 50 คำขอจาก 25 ราย สมอ.พร้อมออกใบอนุญาต

รมว.ปุ้ย กล่าวอีกว่า ส่วนมาตรฐานยูโร 6 มีแผนจะบังคับใช้มาตรฐานนี้กับรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินในวันที่ 1 มกราคม 2568 โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง

เปิดใช้รถไฟฟ้า ‘เหลือง-ชมพู’ ส่วน ‘ม่วง-แดง’ ราคาเดียว 20 บาทตลอดสาย

‘รถไฟฟ้า’ ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญสำหรับการเดินทางของคนในกรุงเทพฯ ซึ่งก็มีบริการหลากสาย หลากสี เชื่อมต่อการเดินทางให้เกิดความสะดวกสบาย ทั้ง BTS MRT และ Airport Rail Link ซึ่งในปี 2566 นี้ มีรถไฟฟ้า 2 สายด้วยกันที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการ

สายแรกคือ ‘สายสีเหลือง’ หรือที่มีชื่อน่ารัก ๆ ว่า ‘น้องเยลโล่’ ให้บริการช่วงสถานีลาดพร้าว-สถานีสำโรง จำนวน 23 สถานี ระยะทาง 30.4 กม. เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี 13 สถานี (แยกลำสาลี-สำโรง) เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 66 และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ทั้ง 23 สถานี (ลาดพร้าว-สำโรง) เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา

โดยรถไฟฟ้าสายสีเหลืองสามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ได้ เช่น เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีลาดพร้าว / เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสำโรง / เชื่อมสายสีส้ม สถานีลำสาลี และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าแอร์ลิงก์ สถานีหัวหมาก

สายต่อมาคือ ‘สายสีชมพู’ หรือที่หลายคนเรียกว่า ‘น้องนมเย็น’ ให้บริการช่วงสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี-มีนบุรี จำนวน 30 สถานี เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรีเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 66 และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 66 ที่ผ่านมา

สำหรับรถไฟฟ้าสายสีชมพู สามารถเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ได้ เช่น เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี / เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่สถานีหลักสี่ / รถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ และในอนาคตเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่สถานีมีนบุรี

นอกจากนี้ยังมี รถไฟฟ้า ‘สายสีส้ม’ ส่วนตะวันออก ให้บริการช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) จำนวน 17 สถานี ระยะทาง 22.57 กม. ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เนื่องจากสัญญาเดินรถได้รวมอยู่กับสัญญาการจัดหาเอกชนร่วมลงทุนเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และก่อสร้างงานโยธาส่วนตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมฯ

โดยปัจจุบันแม้จะมีการเปิดประกวดราคาและได้ตัวเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอดีสุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถลงนามสัญญาร่วมลงทุนได้ เนื่องจากปัจจุบันโครงการนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลาง กรณีที่มีเอกชนยื่นฟ้องเกี่ยวกับข้อกำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชน ส่งผลให้โครงการดังกล่าวยังไม่สามารถดำเนินการต่อได้ แต่คาดการณ์ว่าจะเปิดใช้เร็วที่สุดในปี 2569

และแน่นอนว่า นอกจากจะมีการเปิดใช้รถไฟฟ้าทั้งสีเหลืองและชมพู ที่ทำให้การเดินทางครอบคลุมทุกพื้นที่มากยิ่งขึ้น เรื่องการเก็บค่าบริการที่ประชาชนเข้าถึงง่ายก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่รัฐบาลมุ่งมั่นทำให้เกิดขึ้นจริง เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนให้ได้มากที่สุด

โดยเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ประกาศปรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสีแดงและสีม่วงเป็นราคาสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย โดยมีเงื่อนไขดังนี้

กรณีเดินทางข้ามสาย ระหว่าง ‘สายสีแดง-สายสีม่วง’ จะต้องแตะเข้า-ออก และจ่ายค่าโดยสารด้วยบัตร EMV Contactless หรือบัตรเครดิต-บัตรเดบิตเท่านั้น โดยบัตรที่สามารถใช้งานได้ มีดังนี้

-บัตรเครดิต : รองรับทุกธนาคาร ที่มีสัญลักษณ์ วีซ่า (Visa) และมาสเตอร์การ์ด (Mastercard)
-บัตรเดบิต : รองรับเฉพาะบัตรเดบิตของธนาคารกรุงไทย และธนาคารยูโอบี
-บัตรพรีเพด : รองรับทุกธนาคาร ที่มีสัญลักษณ์ วีซ่า (Visa) และมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) เช่น บัตร Travel Card บัตร Play ของเป๋าตังเปย์

ทั้งนี้ จะต้องใช้บัตรใบเดียวกันในการแตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้า เพื่อรับสิทธิค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย

สำหรับรายละเอียดการคิดค่าโดยสาร และการใช้บัตรเครดิต-บัตรเดบิต เพื่อรับสิทธิค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย กรณีเดินทางข้ามสาย มีดังนี้

1. อัตราค่าโดยสาร กรณีเดินทางข้ามสายระหว่างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง สูงสุดไม่เกิน 20 บาท เริ่มให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-24.00 น.

2. ผู้โดยสารที่เดินทางข้ามสายผ่านระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ต้องใช้บัตรเครดิต Mastercard และ Visa ของทุกธนาคาร หรือบัตรเดบิต Mastercard และ Visa ของธนาคารกรุงไทย และธนาคารยูโอบี เข้า-ออกระบบรถไฟฟ้า ที่ทางเข้า-ออก (Gate) ระบบรถไฟฟ้าที่รองรับการใช้งานระบบ EMV Contactless โดยไม่รับเงินสด หรือระบบตั๋วโดยสารของแต่ละผู้ให้บริการรถไฟฟ้า

3. การเดินทางเชื่อมต่อระหว่างระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง จะต้องเปลี่ยนสถานีที่ ‘สถานีบางซ่อน’ เท่านั้น

4. ผู้โดยสารที่เดินทางข้ามสายระหว่างระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง กับรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง จะต้องเดินทางข้ามระบบภายใน 30 นาที และใช้บัตรใบเดียวกัน หากเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนด จะคิดตามอัตราค่าโดยสารสูงสุดคือ 42 บาท

ทั้งนี้ ผู้โดยสารควรมีเงินสำรองภายในบัตร ไม่ต่ำกว่า 40 บาท เพื่อรองรับการเรียกเก็บอัตราค่าโดยสารผ่านบัตร EMV Contactless จากทางธนาคาร โดยหากการเดินทางเข้าเงื่อนไขตามนโยบายอัตราค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 20 บาท ธนาคารจะดำเนินการ Cash Back กลับเข้าบัตรให้ภายใน 3 วัน

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! ปี 67 คลื่นการลงทุนลูกใหม่กำลังเคลื่อนเข้าไทย คาด!! น่าจะเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนักแน่นด้วย

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น '2567 ปีทองการลงทุนไทย' เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

การลงทุนเป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ การลงทุนสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) เมื่อเศรษฐกิจถดถอย (Recession) การลงทุนจะล่มหายทันที ในทางตรงข้ามเมื่อการลงทุนทะยานขึ้น จะนำมาซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพียงแต่การลงทุนมักมีความผันผวนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ดอกเบี้ย ภาษี ภาวะตลาด รวมทั้งการเมืองในและระหว่างประเทศ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การลงทุนเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่สำคัญและยั่งยืนที่สุด ในอดีตโดยเฉพาะก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีระดับการลงทุนสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง การลงทุนในประเทศอยู่ที่กว่า 40% ของ GDP และเป็นการขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment-FDI) ทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 7.5% ต่อปี ต่อเนื่องยาวนาน จนเป็นที่คาดการณ์ว่าไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ในกลุ่มเดียวกับเกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์

ทว่า หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง การลงทุนในประเทศกลับเหือดหายไปอย่างไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการส่งออกจะยังสดใสจากค่าเงินบาทที่ลดค่าลงต่ำ แต่วิกฤตปี 2540 ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศไทย แม้ว่าจะมีการปรับโครงสร้างในหลายด้าน อาทิเช่น การสร้างความเข้มแข็งของสถาบันการเงินและตลาดทุน การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน แต่ความสามารถในการแข่งขันของประเทศรวมทั้งผลิตภาพในภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถกลับคืนสู่ระดับก่อนวิกฤตได้ ระดับการลงทุนในประเทศลดลงเหลือไม่ถึง 20% ของ GDP หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการลงทุนก่อนวิกฤต อัตราเติบโตตามศักยภาพลดลงเหลือ 3-4% ต่อปีในปัจจุบัน

แต่มีเรื่องที่น่ายินดีว่า ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบวกหลายประการเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าปี 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย 

ประการแรก เศรษฐกิจมหภาคมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การประชุม Fed เมื่ออาทิตย์ก่อนถือเป็นการยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างถาวร และ Fed ยังได้ประกาศล่วงหน้าว่าจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า แม้ว่านโยบายการเงินของไทยจะผิดพลาดมาโดยตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาและสร้างความผันผวนทางการเงินมากกว่าประเทศอื่นๆ แต่ครั้งนี้เมื่อไร้แรงกดดันจาก Fed จึงเป็นโอกาสอันดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มลดดอกเบี้ยได้ทันที  

ดังนั้นภายใต้ภาวะการเงินที่ผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่ำลง น่าจะเป็นจังหวะเหมาะสมที่ภาคธุรกิจจะเริ่มลงทุนใหม่หลังจากได้ชะลอการผลิตและลดสินค้าคงคลังมาระยะหนึ่ง

ประการที่สอง การส่งออกเริ่มมีการเติบโตเป็นบวกหลังจากที่หดตัวต่อเนื่องมาเป็นเวลานานหลายเดือน ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นไตรมาสแรกที่การส่งออกเติบโตเป็นบวกและคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างแข็งแรงตลอดปีหน้า นอกจากนี้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของทางการ ก็เริ่มมีแนวโน้มสดใสขึ้นในไตรมาสนี้ และจะกลับมาใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิดในปีหน้า ภาคบริการมีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีการลงทุนใหม่จำนวนมากในธุรกิจโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงาน

ประการที่สาม การดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ชาญฉลาด สามารถเปลี่ยนความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การแบ่งขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ (Economic Decoupling) ระหว่างจีนและประเทศตะวันตก ได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้าย Supply Chain ของอุตสาหกรรมสำคัญๆ ออกจากจีน ไปสู่ประเทศที่ตะวันตกมองว่าเป็นประชาธิปไตยและมีความมั่นคงทางการเมือง การเมืองระหว่างประเทศกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่ตั้งฐานการผลิต เพิ่มเติมจากปัจจัยทางธุรกิจ

ประเทศไทยสูญเสียโอกาสสำคัญไปอย่างน่าเสียดายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใน 100 วันแรกของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปพบผู้นำโลกและผู้นำธุรกิจชั้นนำมากมาย ขณะนี้มีความชัดเจนมากที่ธุรกิจสำคัญในอุตสาหกรรมดิจิทัล อาทิ Google, Amazon และ Microsoft จะย้ายฐานการผลิตมาไทย นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ EV รายสำคัญของโลก อาทิ Tesla, BYD และ MG ก็กำลังจะมาตั้งโรงงานในไทยเช่นกัน ส่วนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกำลังฟื้นตัวและเป็นเสาหลักดั้งเดิมของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ก็มีแผนการที่จะ Upgrade โรงงานขึ้นสู่การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

ประการที่สี่ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีความแข็งแกร่งมากกว่าประเทศอื่น ระบบสถาบันการเงินและตลาดเงินตลาดทุนไทยยังถือว่ามีความเข้มแข็งและสามารถให้บริการทางการเงินแกภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลาดทุนไทย ซึ่ง Underperform ตลาดอื่นทั่วโลกมานาน วันนี้เริ่มมีแนวโน้มสดใสและพร้อมที่เติบโตอย่างมั่นคงอีกครั้ง โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของไทยก็ไม่ด้อยกว่าประเทศใดในโลก ทั้งในด้านความมั่นคง ราคาพลังงาน รวมทั้งพลังงานสะอาด (Clean/Renewable Energy) ซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเลือกที่ตั้งฐานการผลิต โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ ICT ก็ถือเป็นจุดแข็งของประเทศไทย

ประการที่ห้า การลงทุนใน Mega Projects ของภาครัฐ แม้ว่าการลงทุนภาครัฐในอดีตจะมีความล่าช้า และงบประมาณปี 2567 จะออกมาไม่ทันการ แต่เชื่อว่าโครงการ Flagship ขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมในปี 2567 นี้ อาทิเช่น EEC โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการรถไฟรางคู่ โครงการทางยกระดับ โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพ รวมทั้งการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองหลักทั่วประเทศ อย่างไรก็ดีเมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดของรัฐทั้งในเรื่องงบประมาณและความสามารถในการบริหารจัดการ อาจต้องอาศัยกลไกร่วมทุนและดำเนินการกับเอกชน (Public Private Partnership-PPP) โดยจะต้องปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของเอกชนหรือของรัฐก็ตาม ต่างก็ใช้ทรัพยากรของชาติที่มีอยู่จำกัด หน้าที่ของรัฐบาลคือการดูแล/ชี้นำให้ทรัพยากรของชาติมีการจัดสรรไปสู่โครงการที่มีความคุ้มค่าทางการเงินสูงสุด และต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ก่อให้เกิดความสูญเปล่าและความเสียหายทางเศรษฐกิจ ดังที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตและในประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นการจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล

ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ล้วนบ่งชี้ว่า 2567 จะเป็นปีทองของการลงทุนไทย คลื่นการลงทุนลูกใหม่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยแล้ว และน่าจะเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนักแน่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top