Sunday, 4 May 2025
ECONBIZ NEWS

ลุ้นแบงก์ชาติ ออกมาตรการช่วยลูกหนี้รายย่อยเพิ่ม

นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการทบทวน และกำลังประเมินภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งหารือกับภาครัฐและธนาคาร เพื่อพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมของ ธปท. โดยเฉพาะลูกหนี้รายย่อยที่จะสิ้นสุดเดือน มิ.ย.นี้ เพราะที่ผ่านมาแม้ได้มีมาตรการไปแล้วแต่เป็นสินเชื่อฟื้นฟูและมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจเท่านั้น

“ต้องติดตามดูรายละเอียดมาตรการจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นบริโภคในประเทศเพิ่มเติม ซึ่งเชื่อภาครัฐรอประเมินผลกระทบเช่นกัน และ ธปท.ยืนยันมีมาตรการรองรับอยู่แน่นอน เพราะการระบาดระลอกนี้รุนแรงกว่า 2 รอบที่ผ่านมา เบื้องต้นจากดูข้อมูลเห็นว่าในช่วงนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง แต่ยังไม่เท่าการระบาดรอบแรก ต้องดูว่ายืดเยื้อแค่ไหน ยอมรับการระบาดเป็นวงกว้าง”

นางสาวชญาวดี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ธปท. ยังเตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากเดิมคาดอยู่ที่ 3% ซึ่งที่ประเมินช่วงนั้นยังไม่รวมการระบาดรอบใหม่ โดยจะนำไปประเมินเบื้องต้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ 

ธนาคารแห่งประเทศไทย จับมือธนาคารกลางสิงคโปร์ จับ PromptPay - PayNow โอนเงินระหว่างประเทศแบบเรียลไทม์ เป็นคู่แรกของโลก

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการเปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินรายย่อยระหว่างประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ โดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลก ได้แก่ ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ของประเทศไทย และระบบเพย์นาว (PayNow) ของประเทศสิงคโปร์ ว่า การเชื่อมโยงระบบในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือและการทำงานอย่างเข้มแข็งของทุกฝ่าย ทั้ง ธปท. และธนาคารกลางสิงคโปร์ ผู้ให้บริการระบบการชำระเงินสมาคมธนาคาร และธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ

ทั้งนี้ ในระยะแรก ผู้ใช้บริการของธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมให้บริการ จะสามารถโอนเงินระหว่างประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ได้ในจำนวนไม่เกิน 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 25,000 บาท ต่อวันผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมให้บริการ โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับโอน และไม่จำเป็นต้องใส่ข้อมูลอื่นเหมือนบริการโอนเงินระหว่างประเทศทั่วไป เช่น ชื่อ-นามสกุล และรายละเอียดของบัญชีผู้รับโอน บริการนี้จะช่วยให้ผู้โอนสามารถโอนเงินได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และทำได้ทุกที่ทุกเวลาเสมือนกับการโอนเงินภายในประเทศด้วยหมายเลขโทรศัพท์ผ่านพร้อมเพย์หรือเพย์นาว โดยการโอนใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที เร็วกว่าการโอนเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่ในปัจจุบันซึ่งใช้เวลาเฉลี่ย 1-2 วัน

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการได้ตกลงร่วมกันให้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของพร้อมเพย์-เพย์นาว ถูกกว่าการโอนเงินในรูปแบบปัจจุบันและแข่งขันกับบริการโอนเงินระหว่างประเทศอื่นในตลาดได้ โดยผู้ใช้บริการจะเห็นค่าธรรมเนียมและอัตราแลกเปลี่ยนก่อนตัดสินใจโอนเงิน โดย ธปท. และ MAS มีความตั้งใจที่จะขยายผลของการบริการพร้อมเพย์ - เพย์นาว ทั้งการเพิ่มจำนวนธนาคารที่ให้บริการ และการขยายวงเงินการโอนเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจในอนาคต

"ธปท. มีความตั้งใจที่จะยกระดับการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านความร่วมมือกับประเทศอาเซียนและประเทศอื่น ๆ โดยได้พัฒนาบริการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านคิวอาร์โค้ดกับประเทศญี่ปุ่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งบริการจากความร่วมมือของ MAS และ ธปท. นี้ จะช่วยแก้ปัญหาที่มีมานานในการโอนเงินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องระยะเวลานานในการทำธุรกรรม และต้นทุนที่สูง ในระยะต่อไป ธปท. จะยังคงผลักดันนวัตกรรมการชำระเงินระหว่างประเทศและโครงสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับการบูรณาการทางการเงิน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนของประเทศและภูมิภาคอาเซียน" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นายระวี เมนอน กรรมการผู้จัดการ MAS กล่าวว่า พร้อมเพย์ - เพย์นาว เป็นความพยายามริเริ่มร่วมกันที่ทำให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินและภาคธนาคารมีศักยภาพรองรับการเชื่อมโยงการชำระเงินระหว่างประเทศอย่างไร้รอยต่อ เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้ารายย่อย โดย MAS และ ธปท. มีเป้าประสงค์ร่วมกันที่จะต่อยอดการเชื่อมโยงระหว่างประเทศไปสู่ระดับอาเซียนต่อไป


ที่มา : https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Speeches/Gov/SpeechGov_29Apr2021.pdf

กระหึ่มเทคโนโลยีโอนเงิน! ธนาคารกรุงเทพ ร่วมนำร่อง บริการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านพร้อมเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทย-สิงคโปร์ ง่ายสุดใช้แค่เบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์/เพย์นาว รับเงินแบบเรียลไทม์ ทั้งโอนทั้งรับ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

นางพรนิจ ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมเป็นหนึ่งในธนาคารนำร่องให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านพร้อมเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนล (PromptPay International) ระหว่างไทยและสิงคโปร์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าที่ต้องการโอนเงิน หรือรับเงินโอนระหว่างไทย-สิงคโปร์ ได้โดยสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย โดยใช้ข้อมูลเพียงเบอร์มือถือที่ผูกไว้กับพร้อมเพย์ (ประเทศไทย) หรือเพย์นาว (สิงคโปร์) สามารถทำรายการได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านโมบายแบงก์กิ้งจากธนาคารกรุงเทพ โดยปลายทางได้รับเงินทันทีเต็มจำนวน นอกจากนี้ ธนาคารกรุงเทพยังได้รับคัดเลือกให้เป็น Settlement Bank (ธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ) ในบริการพร้อมเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนลระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์อีกด้วย

“บริการนี้เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่สำคัญระหว่างธนาคารกลางของไทยและสิงคโปร์ และธนาคารพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ใช้ข้อมูลน้อยลงเพียงมีเบอร์มือถือที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์/เพย์นาวไว้เท่านั้น เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินของลูกค้ารายย่อยในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินให้เพื่อนเพื่อฝากซื้อสินค้า โอนเงินค่าการศึกษา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โอนเงินกลับบ้านให้ครอบครัวสำหรับคนสิงคโปร์ที่ทำงานในไทย หรือคนไทยที่ทำงานในสิงคโปร์ เป็นต้น กลุ่มลูกค้ารายย่อยสามารถทำรายการได้สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น และมีค่าธรรมเนียมสำหรับการโอนเงินข้ามประเทศที่ลดลงอย่างมาก”

สำหรับขั้นตอนการใช้โอนเงินไปยังสิงคโปร์ผ่านระบบพร้อมเพย์ ลูกค้าสามารถทำรายการได้ผ่านโมบายแบงก์กิ้งจากธนาคารกรุงเทพ โดยล็อกอินเข้าใช้งานและเลือกเมนู “โอนเงินไปต่างประเทศ” จากนั้นเลือก “พร้อมเพย์อินเตอร์เนชั่นแนล” และทำตามขั้นตอนการโอนเงิน โดยระบุปลายทางเป็นเบอร์มือถือของสิงคโปร์ที่ลงทะเบียนไว้กับ PayNow ลูกค้าสามารถระบุยอดเงินโอนที่ต้องการได้ทั้งสกุลเงินบาท (THB) และสิงคโปร์ดอลลาร์ (SGD) วงเงินทำรายการสูงสุด 1,000 SGD/วัน เมื่อตรวจสอบความถูกต้องและยืนยันรายการด้วยรหัสผ่าน (Mobile PIN) เรียบร้อยแล้ว เงินจะถูกโอนไปยังปลายทางทันที พร้อมกับได้รับ e-slip เป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ การโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนลไปยังเบอร์มือถือของสิงคโปร์นั้น เบอร์มือถือดังกล่าวจะต้องลงทะเบียนเพย์นาวกับธนาคารในสิงคโปร์ที่ร่วมรายการ ซึ่งในปัจจุบันมีธนาคารเข้าร่วมโครงการ 3 แห่ง ประกอบด้วย DBS Bank (DBS) Oversea-Chinese Banking Corporation (OCBC) และ United Overseas Bank (UOB)

พิเศษสำหรับรายการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไปยังสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน-31 กรกฎาคม 2564 จะมีค่าธรรมเนียมเพียง 75 บาท/รายการ (ปกติ 150 บาท/รายการ)

ภายใต้ความร่วมมือในโครงการนี้ ลูกค้าที่มีบัญชีเงินฝากของธนาคารทั้ง 3 แห่งในสิงคโปร์ สามารถโอนเงินมายังประเทศไทยให้กับผู้รับผ่านเบอร์มือถือที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์กับธนาคารกรุงเทพแทนการระบุเลขที่บัญชีธนาคาร ซึ่งผู้รับเงินจะได้รับเงินโอนจากสิงคโปร์ได้แบบเรียลไทม์ ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน โดยได้รับเงินเต็มจำนวนเป็นสกุลบาท สำหรับผู้ที่ต้องการลงทะเบียนพร้อมเพย์กับธนาคารกรุงเทพ สามารถทำรายการผ่านโมบายแบงก์กิ้งจากธนาคารกรุงเทพ รวมถึงช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้ทันที

“ธนาคารกรุงเทพมีความมุ่งมั่นยกระดับบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศไทย และบริการระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการทำรายการผ่านช่องทางดิจิทัลและอิเล็กอทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า เช่น การเป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ทำหน้าที่เป็น Settlement Bank หรือธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม จนถึงครั้งล่าสุดที่ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในธนาคารนำร่องให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านพร้อมเพย์ดังกล่าว เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการเป็น ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ ต่อไปอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง” นางพรนิจ กล่าว

ส.อ.ท. เปิดผลสำรวจ '200 CEO ต่อแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ'​

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 5 ในเดือนเมษายน 2564 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่สนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ (ZEV หรือ Zero Emission Vehicle) และต้องการให้ภาครัฐเริ่มดำเนินการให้เร็วยิ่งขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าก่อนปี 2568

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 200 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐเริ่มดำเนินการแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เร็วขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายก่อนกำหนดในปี 2568 คิดเป็น ร้อยละ 47.0 รองลงมาเห็นด้วยตามกรอบระยะเวลาตามแผนฯ ที่จะเริ่มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 คิดเป็น ร้อยละ 31.5 และมีเสนอให้เลื่อนการดำเนินงานตามแผนฯ ออกไป 5 ปี และ 10 ปี คิดเป็นร้อยละ 11 และร้อยละ 10.5 ตามลำดับ 

สำหรับปัจจัยที่จะเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับเรื่องราคารถยนต์ไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา คิดเป็นร้อยละ 78.5 รองลงมาเป็นเรื่องการเพิ่มสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ให้เพียงพอและครอบคลุมทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 75.0 และถัดไปเป็นเรื่องระยะทางในการใช้งานที่เหมาะสมของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งความสะดวกในการชาร์จ คิดเป็นร้อยละ 56.0

.

.

ทั้งนี้ หากมองถึงมาตรการของภาครัฐที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ตามปริมาณ CO2 คิดเป็นร้อยละ 76.5 รองลงมาเป็นการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ Charging Station ให้จูงใจผู้ใช้งาน คิดเป็นร้อยละ 59.5 และการปรับปรุงภาษีรถยนต์ประจำปีเพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 55.5 ในส่วนการเตรียมความพร้อมของภาครัฐเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต 3 อันดับแรก พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) ให้มีสถานีเพียงพอและครอบคลุมในแต่ละพื้นที่ คิดเป็นร้อยละ 85.0 รองลงมาเป็นการบริหารจัดการซากรถยนต์และแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ คิดเป็นร้อยละ 65.5 และการเตรียมการจัดหาไฟฟ้าและพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งานในระยะยาว คิดเป็นร้อยละ 54.5            

นอกจากนี้ FTI Poll ยังได้เจาะลึกถึงกรณีที่ภาครัฐจะเร่งรัดการใช้และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องใดบ้าง พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้มีการผลิตแบตเตอรี่ที่คุณภาพดีและมีราคาเหมาะสมภายในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 65.5 รองลงมาเป็นการเตรียมการปรับปรุงโครงสร้างภาษีและพิกัดศุลกากรเพื่อส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ คิดเป็นร้อยละ 62.5 และการช่วยเหลือผู้ประกอบการใน Supply Chain ของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป (ICE) ในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 61.5

ทั้งนี้​ จากผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมที่ควรจะต้องเร่งปรับตัวและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อเตรียมความพร้อมตามแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ พบว่า 3 อันดับแรก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ คิดเป็นร้อยละ 88.5 รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ 49.0 และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นร้อยละ 46.5

'กลุ่มเรือประมงพื้นบ้านระยอง' ร่วม 400 ลำ ยื่นหนังสือให้รัฐช่วยเยียวยา หลังเหตุถมทะเลท่าเรือมาบตาพุดกว่า 1,000 ไร่ กระทบวิถีชาวประมงในพื้นที่

กลุ่มประมงพื้นบ้านชายหาดเมืองระยอง 9 กลุ่ม จำนวน 450 ลำ ยื่นหนังสือให้หน่วยงานภาครัฐ เยียวยา เหตุทะเลชายฝั่งระยองที่ทำมาหากิน ถูกถมกว่า 1,000 ไร่ วิถีประมงท้องถิ่นได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก โดยให้ใช้มาตรฐานเดียวกับท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นโมเดลนำร่อง

วันนี้ 29 เม.ย. พ.ศ.2564 นายศรีนวน อักษรศรี ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านตากวน อ.เมือง จ.ระยอง พร้อมชาวประมงพื้นบ้านจำนวนมาก ได้นำเรือเล็กมารวมตัวกันที่บริเวณชายหาดบ้านตากวน ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อจะร่วมกันเดินทางไปยังบริเวณหน้าท่าเทียบเรือมาบตาพุด ไปยื่นหนังสือความเดือดร้อนให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามแผนที่ได้วางไว้

แต่ปรากฏว่าได้มีฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นอุปสรรคในการยื่นหนังสือ ทางด้าน นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงได้ประสานกับกลุ่มประมงพื้นบ้านว่าฝนตกไม่สะดวกที่จะลงทะเลไปรับหนังสือ จึงขอเดินทางมารับหนังสือด้วยตัวเอง พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ที่บริเวณชายหาดบ้านตากวน

ต่อมาทางด้าน นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ได้เดินทางมายังชายหาดบ้านตากวน โดยมี ว่าที่ร้อยตรี พิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายสุพจน์ ต่ออาจหาญ นายอำเภอเมืองระยอง / เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานตำรวจภูธรเมืองมาบตาพุด และหน่วยงานที่เกี่ยงข้องทางทะเล ได้เดินทางมาเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือ และรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่

ซึ่งในการนี้ ทางด้าน นายศรีนวน อักษรศรี ได้มอบหมายให้ นายอารักษ์ ศิริศรี ที่ปรึกษากลุ่มประมงพื้นบ้านระยอง เป็นผู้มอบหนังสือให้กับ นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ ผู้อำนวยการ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เพื่อนำไปทบทวน และแก้ไขปัญหาให้กับชาวประมง โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าว มุ่งประเด็นให้ภาครัฐ หารือเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ เยียวยาชาวประมงพื้นบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก

โดยให้นำแนวทางของการท่าเรืออุตสาหกรรมแหลมฉบัง มาเป็นโมเดลในการเยียวยาให้กับชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดระยอง ตามสัดส่วนของความเดือดร้อน และระยะเวลาในการดำเนินการของการถมทะเลท่าเรือมาบตาพุด

ทั้งนี้ นายศรีนวน อักษรศรี ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านตากวน ได้กล่าวว่า "การมารวมตัวของชาวประมงในวันนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ทางกลุ่มประมงไม่ได้มีเป้าประสงค์ในการขัดขวาง หรือประท้วงไม่ให้มีการถมทะเลท่าเรือมาบตาพุดแต่อย่างใด เพียงต้องการให้ภาครัฐหันมาพิจารณา ดูแล เยียวยาให้กับชาวประมงพื้นบ้านระยอง ในกรณีได้รับความเดือดร้อนอย่างมากในวิถีประมงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะให้เปลี่ยนวิถีไปทำอาชีพอื่นคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะด้วยปัจจัยหลายประการที่ทางชาวประมงไม่สามารถเปลี่ยนวิถีได้ สุดท้ายเพียงต้องการให้รัฐเข้ามาเยียวยาช่วยเหลือ แบบเดียวกับที่ทางท่าเรือแหลมฉบังดำเนินการ ให้เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ชาวประมงก็พอใจแล้ว"


ราชัญ กองทอง ข่าว/ภาพ

ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

'ฉะเชิงเทรา-ภาครัฐ' อืด!! ทำเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงโอด!! ชวดเงิน 18 ล้าน

ภาครัฐทำงานล่าช้า ส่งผลกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงจังหวัดฉะเชิงเทรา ชวดเงินที่รัฐบาลจะใช้ช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินกว่า 18 ล้านบาทเศษ

วันนี้ 29 เม.ย. นายพลูทรัพย์ สมบูรณ์ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร โดยกล่าวถึงปัญหาขั้นตอนในการดำเนินการที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าจนทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์

อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินการส่งเรื่องไปที่กระทรวงพาณิชย์ใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ส่วนเงินที่จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจาก 27.81 ล้าน ขณะนี้ได้มีจังหวัดอื่นๆ ขอรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลมาอีกหลายจังหวัด ทำให้ส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทราเหลือเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น

ด้านนายประโยชน์ โสรัจจกิจ (อดีตประธานหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา) ประธานกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ซึ่งนำกลุ่มเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ กล่าวว่า ฉะเชิงเทราเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลากะพงมากที่สุดในประเทศ แต่เนื่องจากปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการล็อกดาวน์ธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว จึงส่งผลให้ปลากะพงตกค้างในฟาร์มเลี้ยงจำนวนมากและมีราคาตกต่ำ เกษตรกรขาดเงินทุนหมุนเวียน และขาดทุนจำนวนมาก

ทั้งนี้ หอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรที่ขอให้ช่วยเหลือ โดยทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และมีการประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติงบประมาณจำนวน 27.81 ล้านบาท มาให้ดำเนินการช่วยเหลือ เพื่อการระบายปลาจำนวน 600 ตัน ภายในกรอบเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2564 แต่เนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบภายในจังหวัดดำเนินการไม่ทันตามกรอบเวลาข้างต้น ทำให้งบประมาณถูกเรียกคืนไป

ทางหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา โดย นายประโยชน์ โสรัจจกิจ ประธานหอฯ จึงได้ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ติดตามโครงการที่ถูกยกเลิก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพง

จากนั้นทางผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงปลัดกระทรวงพาณิยย์ และ อธิบดีกรมการค้าภายใน แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2564 นายประโยชน์ โสรัจจกิจ อดีตประธานหอการค้าฯ และประธานเกษตรแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงปลากะพงยักษ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุทธิ มะหะเลา พร้อมด้วยเกษตรกรจำนวน 24 คน จึงได้เดินทางไปที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยการประสานงานจาก นายอมรชัย ปิ่นเจริญ เพื่อขอพบท่านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ พร้อมกับเจ้าหน้าที่บริหารของกรมการค้าภายใน เพื่อติดตามเรื่องความช่วยเหลือฯ และในวันที่ 8 เมษายน 2564

โดยสำนักงานปลัดกระทวงพาณิชย์มีหนังสือเรื่อง การเสนอโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงปี 2564 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการโครงการต่อ แต่งบประมาณที่จะนำมาช่วยเหลือเกษตรกรได้เพียง 9 ล้านบาท ซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่จะได้งบประมาณในการช่วยเหลือ 27 ล้านบาทเศษ


สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ/ฉะเชิงเทรา

เปิดราคาที่ดินเปล่า ลดลงครั้งแรกรอบ9ปี

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยแนวโน้มราคาที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯและปริมณฑลว่า ราคาที่ดินเปล่าปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก และมีสัญญาชะลอตัวอย่างชัดเจน เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่กระจายต่อเนื่องหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และยังพบว่าความต้องการซื้อขายที่ดินเปล่าที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงถึง 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ซื้อที่ดินสะสมไว้น้อยลง และมีการซื้อที่ดินใหม่มาเก็บไว้รอการพัฒนาในอนาคต

สำหรับ ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 1 มีค่าเท่ากับ 326.2 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 11.2% จากปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 17.7% ต่อไตรมาส  นอกจากนี้เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้วยังพบว่าราคาที่ดินปรับตัวลดลง 2.2%  ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกรอบ 9 ปี นับตั้งแต่เริ่มจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในปี 55   

ส่วนทำเลที่มีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากในไตรมาส 1 ปี 64 ส่วนใหญ่ยังเป็นที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑล สาย 4 ที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต เป็นที่ดินโซนตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการปรับดัชนีราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด 38.3% และเส้นทางสายนี้เป็นแนวรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค ที่เปิดให้บริการแล้ว 

‘ทิพยประกันภัย’ ใจป้ำ แจกฟรี ประกันแพ้วัคซีนโควิด 1 ล้านคน เริ่มลงทะเบียน พ.ค. นี้ คุ้มครองหลังฉีด 60 วัน

ทิพยประกันภัย ใจป้ำ! เปิดตัวโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” แจกประกันแพ้วัคซีนฟรี 1 ล้านคน ให้ความคุ้มครองหากเกิดกรณีภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้าน COVID-19

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย เผยว่า ในช่วงที่จะมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ซึ่งก็ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมีความรู้สึกกังวลในเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนดังกล่าว ซึ่งทิพยประกันภัย มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เปิดโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” มอบประกันแพ้วัคซีน ฟรี จำนวน 1,000,000 สิทธิ์ เพื่อเป็นการคลายความกังวล รวมถึงเป็นการเสริมความมั่นใจให้ประชาชน โดยโครงการนี้จะให้ความคุ้มครอง กับประชาชนหากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จนเกิดอาการโคม่าจากฉีดวัคซีน

ด้านณฐินี ธนะรัชต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล ทิพยประกันภัย กล่าวเสริมว่า สำหรับโครงการดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองหากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียง จนเกิดอาการโคม่าจากการฉีดวัคซีน ทุนประกัน 100,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครอง 60 วัน นับจากวันที่เริ่มฉีดวัคซีน โดยประชาชนสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “TIP ห่วงไทย สู้ภัยCOVID” เพื่อรับความคุ้มครองประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 กับทิพยประกันภัย ได้ผ่านช่องทาง www.Tipinsure.com ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 หรือจนกว่าจะครบ 1,000,000  สิทธิ์ โดยจำกัด 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์เท่านั้น

ดร.สมพร กล่าวว่า ทิพยประกันภัยหวังว่า เมื่อประชาชนได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค COVID-19  ลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดการแพร่ระบาด ลดจำนวนผู้ป่วยเป็นการแบ่งเบาภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงหากเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วก็จะทำให้เศรษฐกิจต่าง ๆ ดีขึ้น การเดินทาง การท่องเที่ยว การจ้างงาน ก็จะกลับเข้าสู่ปกติ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็จะต้องทำควบคู่ไปกับการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือให้บ่อย และเลี่ยงพื้นที่แออัด เพื่อเราทุกคนจะก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ ดร.สมพร ยังยืนยันว่า ทิพยประกันภัย ยังจะเดินหน้าขายประกันภัยโควิดต่อไป แม้จะมีกระแสข่าวว่าบริษัทประกันภัยบางแห่ง จะเลิกขายประกันภัยประเภทนี้ เนื่องจากมีการเรียกร้องสินไหมเข้ามาจำนวนมาก โดยในส่วนของทิพยประกันภัย นับว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่ได้ขายประกันภัยโควิด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30% รวมจำนวนกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วประมาณ 3.7 ล้านกรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยกว่า 2,000 ล้านบาท 

ขณะที่การเรียกร้องสินไหมในปัจจุบันอยู่ประมาณ 100 เคสต่อวัน และเพียงแค่ 4 เดือน พบว่ามีการเรียกร้องสินไหม สูงกว่าปี 2563 อย่างเห็นได้ชัด และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ห่วงใยผู้ประกอบการ ยกระดับให้บริการขออนุมัติ-อนุญาต ออนไลน์ 100% พร้อมประสานทีมแพทย์กรมราชทัณฑ์ เปิดจุดตรวจเชื้อไวรัสโควิด -19 ให้พนักงาน กนอ. ลดความแออัดตรวจหาเชื้อในโรงพยาบาลฯ

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ที่มีการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงมากขึ้น คณะทำงานบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ของ กนอ.ได้ให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ มาตรการในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคทั้งต่อบุคลากร กนอ.และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดย กนอ.ได้ยกระดับความพร้อมในส่วนของการให้บริการออนไลน์กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เน้นให้บริการที่สอดคล้องกับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายและแนวทางของรัฐบาล

ทั้งนี้ ในส่วนของการขออนุมัติ-อนุญาตการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้ใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการงานอนุมัติ-อนุญาต (e-Permission & Privilege หรือ e-PP) ด้วยลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) ซึ่งครอบคลุมการขออนุญาตใช้ที่ดิน การขออนุญาตการก่อสร้าง การขอรับสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีอากร เช่น การขออนุญาตถือครองที่ดินและกรรมสิทธิ์ที่ดิน การขออนุญาตทำงานของคนต่างด้าว เป็นต้น

โดยเมื่อ กนอ.พิจารณาอนุมัติคำขอดังกล่าวแล้วระบบจะสร้างใบแจ้งหนี้โดยมีบาร์โค้ดเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถชำระค่าบริการอนุญาต/ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แบบผ่านโมบายล์ แบงกิ้งของธนาคารต่าง ๆ หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้ เมื่อชำระค่าบริการดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์หนังสืออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เอง โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานใหญ่ หรือสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม โดยในหนังสืออนุญาตจะมีลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์และคิวอาร์โค้ด เพื่อให้หน่วยงานอื่นสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยระบบยังสามารถจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice & e-Receipt) ได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังได้ประสานความร่วมมือไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ให้จัดทีมแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ ณ จุดตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด -19 ที่ กนอ.สำนักงานใหญ่ ในวันที่ 29 เม.ย.2564 เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับพนักงาน กนอ. โดยการเปิดจุดคัดกรองนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และเป็นการแบ่งเบาภาระและลดความแออัดให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นการให้บริการตรวจหาเชื้อโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ได้

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาล กนอ.ได้ให้พนักงานบางส่วนปฏิบัติงานที่บ้าน ทั้งในส่วนของ กนอ.สำนักงานใหญ่ และสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้าและผู้รับบริการ ขณะเดียวกันหากมีพนักงานของ กนอ.ที่มีโอกาสมีความเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิด ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาตามสายงานเป็นผู้พิจารณาให้พนักงานดังกล่าวเข้ารับการตรวจคัดกรองที่สถานพยาบาลรัฐบาล หรือเอกชน พร้อมกับทำการกักตัวที่บ้านพัก พร้อมสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน นับจากวันที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อและได้ใบรับรองก่อนกลับมาทำงานปกติ

“ผมมีความห่วงใยในสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานทุกคน โดยขอให้ป้องกันตนเองตามมาตรการ ที่ กนอ.กำหนดอย่างเคร่งครัดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกันในส่วนของผู้ประกอบการเองขอให้มั่นใจว่า กนอ.จะยังคงให้บริการได้ตามปกติผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่ง กนอ.มีการเตรียมความพร้อมให้บริการเต็มประสิทธิภาพอยู่แล้ว” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการที่มีข้อสอบถามหรือต้องการคำแนะนำการใช้งานของระบบเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) โดยทีม IEAT e-PP Support ผ่านช่องทาง email : [email protected] /Line ID : @IEAT-ePP-Support หรือที่เบอร์โทรศัพท์ 06-3435-2015 , 0-2253-0561 ต่อ 4448

‘สันติ พร้อมพัฒน์’ ปิ๊งไอเดีย เล็งหาที่ราชพัสดุ เสนอครม. ทำบ้านเช่าคนจน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย ล็อคเป้าที่ราชพัสดุ ในสมุทรปราการ 1,000 ไร่ เหมาะทำเป็นโครงการนำร่อง

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมธนารักษ์ เร่งนำที่ราชพัสดุทั่วประเทศมาจัดสรรสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและที่ดินด้านเกษตรกรรม เพื่อช่วยให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัย และที่ทำกินประกอบอาชีพสร้างงาน สร้างรายได้เป็นของตัวเอง โดยสามารถนำมาพัฒนาเป็นที่อยู่ให้เช่าในราคาไม่สูง ซึ่งกรมธนารักษ์จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ของผู้ที่มีสิทธิในการเช่าที่ดิน รวมถึงรายละเอียดของที่ดินราชพัสดุ ที่จะนำมาพัฒนาเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา ก่อนเสนอให้ที่ประชุมครม. อนุมัติต่อไป

“กรมธนารักษ์ สามารถนำที่ราชพัสดุมาพัฒนาเป็นที่อยู่ให้เช่าในราคาไม่แพง เมื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน มีรายได้ ก็ย่อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปด้วย ที่สำคัญยังช่วยให้กรมธนารักษ์มีรายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม”

ทั้งนี้ ล่าสุดกรมธนารักษ์ได้รวบรวมที่ดินราชพัสดุที่มีศักยภาพ พร้อมพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย และที่ดินทำกิน สร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งในเบื้องต้นมีที่ราชพัสดุแถวจังหวัดสมุทรปราการ 1,000 ไร่ ที่มีศักยภาพนำมาพัฒนาได้ โดยขณะนี้กรมฯ กำลังกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ที่มีสิทธิเช่าที่อยู่อาศัย และที่ดินราชพัสดุสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิมาเช่าที่อยู่อาศัย แต่ไม่ได้อยู่เอง แต่เอาไปปล่อยเช่าต่อ เป็นต้น โดยคาดว่ากลางเดือนพ.ค.นี้ จะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top