Sunday, 4 May 2025
ECONBIZ NEWS

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง วู้ดดี้เวิลด์ เปิดตัวโครงการอบรมออนไลน์ “Agro Beyond Academy รุ่นที่ 2” สร้างนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ลงทะเบียนเรียนได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย

ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้าขับเคลื่อนและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผลักดันเกษตรอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพผ่านการพัฒนาองค์ความรู้แบบครบวงจรในกลุ่มธุรกิจเกษตร เพื่อสร้างนักธุรกิจอุตสาหกรรม จึงได้สานต่อ “โครงการ Agro Beyond Academy รุ่นที่ 2” โดยได้ร่วมมือกับ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด จัดกิจกรรมบนออนไลน์ในรูปแบบการ Facebook Live ผ่าน Face page Agro Beyond Academy

โดยเน้นการให้ความรู้ด้านธุรกิจเกษตรผ่านการพูดคุยกันภายใต้หัวข้อ "ธุรกิจเกษตรยุคใหม่ สร้างรายได้พร้อมความสุขอย่างยั่งยืน" โดยมีพิธีกรชื่อดังเมืองไทย วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา และเหล่าคนดังผู้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ มาร่วมพูดคุยและแชร์ประสบการณ์ อาทิ ดร.ภูษิต หล่อสายชล, ดร.ภก.แสงสุข พิทยานุกุล, จิโร่ จิรวัฒน์

โครงการ Agro Beyond Academy รุ่นที่ 2 ประกอบด้วยหลักสูตรการอบรมออนไลน์ ทั้งหมด 30 ชั่วโมง ภายในระยะเวลา 7 วัน ผ่านแอปพลิเคชันระบบซูม (Zoom) แบ่งออกเป็น 3 วิชาหลัก ได้แก่ หลักสูตรทางด้านการบริหารจัดการ หลักสูตรด้านการตลาด และหลักสูตรทางด้านการบัญชีและการเงิน พร้อมกิจกรรมพิเศษเพื่อต่อยอดและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้กับผู้เข้าอบรม อีกทั้งเหล่าวิทยากร กูรูนักธุรกิจคนดังผู้มากประสบการณ์ จากแวดวงธุรกิจด้านเกษตรกรรมและเกษตรอุตสาหกรรมมาเข้าร่วมบรรยายให้ความรู้อีกมากมาย โดยคาดว่าในปีนี้จะมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการกว่า 2,000 คน

อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา ดีพร้อมได้ดำเนิน โครงการ Agro Beyond Academy รุ่นที่ 1 ซึ่งมีผู้ประกอบการธุรกิจสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่า 3,000 คน และจากการประเมินผลติดตามหลังจบโครงการ พบว่าผู้ประกอบการและนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการต่างให้การยอมรับถึงศักยภาพและหลักสูตรการเรียน โดยนำความรู้ที่ได้จากการเรียนไปประยุกต์ใช้ได้จริงในธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ รวมถึงนำไปวางแผนในการขยายธุรกิจและการตั้งธุรกิจเกษตรใหม่ อีกทั้งสร้างนักธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จำนวน 2,635 คน คิดเป็นร้อยละ 87.83 ของผู้เรียน และสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในไทยได้กว่า 70 ล้านบาท ดร.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและเจ้าของธุรกิจสินค้าเกษตรแปรรูปทั่วประเทศที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Agro Beyond Academy รุ่นที่ 2 สามารถลงทะเบียนเรียนได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย เปิดรับสมัครแล้ววันนี้-22 พ.ค. 2564 สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.agrobeyond.com หรือ Face page Agro Beyond Academy หรือ โทร.065 509 9080


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

แบงก์ออมสิน แจ้งปิดรับการยื่นกู้สินเชื่อฉุกเฉิน ผ่าน MyMo ชั่วคราว หลังประชาชนแห่ยื่นกู้จนระบบล่ม เผย 5 วันที่ผ่านมา อนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 2.5 แสนราย

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า หลังจากธนาคารฯ ได้เริ่มเปิดให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอกู้สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 บนแอปพลิเคชัน MyMo มาตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พบว่ามีประชาชนจำนวนมากที่เข้ามากดรับสิทธิ์ขอกู้ ทำให้ธนาคารฯ ต้องแจ้งปิดการให้บริการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 ผ่านแอป MyMo ชั่วคราว เพื่อดำเนินการอนุมัติคำขอสินเชื่อที่คงค้างอยู่กว่าแสนรายการโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถเปิดระบบให้เข้ากดรับสิทธิ์ได้อีกครั้งประมาณต้นสัปดาห์หน้า

สำหรับผู้ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว และยังไม่ได้ดำเนินการทำสัญญาผ่าน MyMo (Digital Contract) ธนาคารฯ จะขยายระยะเวลาการกดทำสัญญาผ่าน MyMo ออกไปให้จนกว่าจะเปิดระบบอีกครั้ง

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 กำหนดวงเงินให้กู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท รองรับการให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้มากกว่า 1 ล้านราย ปัจจุบันหลังเปิดให้ยื่นขอสินเชื่อผ่านแอป MyMo 5 วันทำการที่ผ่านมา ธนาคารฯ อนุมัติสินเชื่อให้ประชาชนแล้วจำนวนกว่า 250,000 ราย


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

จุรินทร์ เผย ครม. มอบ ศบค.เร่งฉีดวัคซีน 3 กลุ่มเสี่ยง “ซาเล้ง-โรงงานตลาดสด” ตามเสนอแล้ว พร้อม ยัน! ราคาพืชผลเกษตร "ดีเกือบทุกตัว" ส่งออกผลไม้ไทย "ยิ่งไปโลด" 

วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอให้ฉีดวัคซีนกลุ่มโรงงาน ซาเล้ง และตลาดสด ว่า ตนได้เสนอเข้าไปในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีขอให้ศบค. ดำเนินการแล้ว เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง และจำเป็นต้องสัมผัสคนตลอดเวลา นอกจากนั้นโรงงานก็มีความสำคัญ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้ด้วยการส่งออก นอกจากคุณภาพของอาหารที่ปลอดโควิดแล้ว คนงานก็จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้รับการตอบรับแล้วว่าจะให้ ศบค. รับไปดำเนินการต่อไป 

“ทั้งซาเล้ง คนจนตัวจริง และแม่ค้า พ่อค้าทั้งหลายในตลาดนัด ตลาดสด ควรได้จัดลำดับความสำคัญให้เพราะพวกเขาต้องสัมผัสคนตลอด และคนซื้อจะได้ปลอดภัยด้วย โรงงานก็มีความสำคัญ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนได้ด้วยการส่งออกที่เป็นพระเอกอยู่ และในการส่งออกลึกลงไปคืออาหาร เพราะฉะนั้นอาหาร ที่ไทยทำตัวเลขได้ดีอยู่ขณะนี้เพราะนอกจากคุณภาพโดยตัวของมันเองแล้วปลอดโควิด เพราะฉะนั้นการฉีดวัคซีนให้กับคนงานก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง และวันอังคารที่ผ่านมา ผมได้เสนอเรื่องนี้ใน ครม.แล้ว และได้รับการตอบรับแล้วว่าจะให้ ศบค. รับไปดำเนินการ ก็ขอให้รอฟังผลจาก ศบค.ต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงราคาสินค้าเกษตรว่า ราคาดีเกือบทุกตัว ราคายางพาราโดยเฉลี่ย 60 กว่าบาท และยืนระยะอยู่หลายเดือน โดย ปาล์ม ราคา 5-6 บาท ถือว่าราคาสูงกว่าที่ตนจะเข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งขณะนั้น กก.ละ 2 บาทกว่าเท่านั้นเอง ข้าวโพดก็ยังถือว่าราคาดีแตะที่ 8 บาทกว่า บางช่วง 9 บาท มันสำปะหลัง กก.ละ 2 บาทกว่า และข้าวก็ถือราคาดี

"เพราะฉะนั้นเชื่อว่าปีนี้ตัวเลขก็น่าจะมากกว่านี้ ยกเว้นว่าเราไม่มีของ แต่ตลาดเรามี และผลไม้ไทยก็ไปได้ดีในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เตรียมการตั้งแต่ต้น มีมาตรการเชิงรุก ตั้งแต่ผลไม้ยังไม่ออกสู่ตลาด โดยไม่ต้องตามแก้ปัญหา แต่ได้แก้ปัญหาเชิงรุกไปตั้งแต่เริ่มต้น " นายจุรินทร์ กล่าว 

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ด้วยมาตรการทั้งหมดนี้ก็ช่วยให้การส่งออกไปได้ดี หากติดปัญหาที่ด่าน อย่างเมื่อเดือนที่แล้ว (เมษายน) ก่อนวันแรงงานเกิดปัญหาที่ด่านโหย่วอี้กวน ก็ได้ลงไปแก้ปัญหาได้ทันท่วงที แทนที่จะติดอยู่ 2-3 อาทิตย์ ก็ทำให้คลี่คลายไปได้ในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว

ทูตมองโกเลีย เข้าพบ "จุรินทร์" ตั้งเป้าการค้า 3,000 ล้าน ดันส่งออก "ข้าว ยาง อาหาร" เพิ่ม พร้อม "จับมือ" หาเส้นทางขนสินค้าทางบก ลดต้นทุน

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้อนรับนายทูมูร์ อามาร์ซานา H.E. Mr. Tumar Amarsanaa เอกอัครราชทูตมองโกเลียประจำประเทศไทย โดยใช้เวลาหารือร่วม 1 ชั่วโมงภายหลังการหารือ

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีโอกาสต้อนรับท่านทูตจากมองโกเลียหลังจากมีความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศมา 47 ปี โดยประเทศมองโกเลียมีประชากร 3,300,000 คน มีจีดีพีประมาณ 440,000 ล้านบาท ถือเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญลำดับ 6 ของไทยในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับมองโกเลียปี 2563 ประมาณ 1,140 ล้านบาท ประโยชน์ที่จะได้รับคือมองโกเลียสามารถใช้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าสู่อาเซียนได้ เพราะมีศักยภาพในเรื่องของการส่งออกสินแร่ หนังสัตว์ เป็นต้น และประเทศไทยสามารถใช้มองโกเลียเป็นประตูการค้าสู่รัสเซียหรือกลุ่มประเทศที่แตกตัวจากรัสเซียได้ 

"จากการหารือมองโกเลียต้องการขยายความร่วมมือทางการค้าระหว่างกันและส่งออกเนื้อสัตว์ และนมมาประเทศไทย ตลาดใหญ่มองโกเลียคือ จีนและรัสเซีย โดยไทยยินดีให้การสนับสนุนโดยต้องผ่านการรับรองความปลอดภัยด้านอาหาร ผ่านกรมวิชาการเกษตรและกรมปศุสัตว์ของไทยและดำเนินการขั้นตอนให้ครบถ้วน จากนั้นกระทรวงพาณิชย์ยินดีให้การสนับสนุนและท่านทูตขอให้ช่วยสนับสนุนการจัดทำข้อตกลงเรื่องการคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน ขณะนี้ประเทศไทยกำลังจะทำโมเดลกลางรูปแบบการคุ้มครองการลงทุนที่เป็นมาตรฐาน จะสามารถนำไปใช้กับทุกประเทศในโลกและสนใจทำข้อตกลงเรื่องการไม่จัดเก็บภาษีซ้อนและมีความเห็นเรื่องการลดต้นทุนการขนส่งสินค้าจากไทยไปมองโกเลีย เนื่องจากต้นทุนค่อนข้างสูง เพราะห่างไกลและเน้นการขนส่งสินค้าทางเรือเป็นหลัก ควรเพิ่มเส้นทางทางบกเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและมองโกเลียสนใจที่จะต้อนรับการลงทุนทางด้านสุขภาพจากนักลงทุนชาวไทยเพราะมีโรงพยาบาลบางแห่งเริ่มไปลงทุนในมองโกเลีย" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว 

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเทศไทย ประเด็นที่หารือ

1.) ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน

2.) เชิญให้ท่านทูตประสานผู้นำเข้าจากมองโกเลียเข้าร่วมงาน THAIFAX ที่กระทรวงพาณิชย์จัดในเดือนกันยายน 2564 ประสานให้เอกชนหรือผู้นำเข้าของมองโกเลียเข้าร่วมงานจับคู่ธุรกิจ สนับสนุนการนำเข้าสินค้าอาหารของไทย ทั้งข้าว เครื่องปรุงรส อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ยางและเครื่องมือแพทย์ รวมถึงกระดาษด้วย และประเด็นถัดมา เมื่อการเดินทางสามารถทำได้ให้ประสานให้นักท่องเที่ยวจากมองโกเลียเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยเข้ามารับบริการด้านสุขภาพ และได้ข้อสรุปร่วมกันคือ

1.) จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันจากปีที่แล้ว 1,140 ล้านบาท เป็น 3,000 ล้านบาท ในปี 2566

2.) มีคณะทำงานร่วมเจรจาระหว่างไทยกับมองโกเลีย เสนอให้มีการจัดตั้งอนุกรรมการทางการค้า โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นเจ้าภาพร่วมเจรจากับมองโกเลีย 

3.) จะร่วมมือกันเร่งกำหนดข้อตกลงเรื่องการคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันและเร่งบังคับใช้ข้อตกลงการจัดเก็บภาษีซ้อนโดยเร็ว 4.จะทำงานร่วมกันในการลดต้นทุนการขนส่ง
 

กกร. รับเศรษฐกิจซบเซา หั่นจีดีพีปีนี้คาดโตเหลือ 0.5-2%

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่าที่ประชุมมีมติปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2564 ลงมาอยู่ที่ 0.5-2% จากเดิมคาดไว้โต 1.5-3% สอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ลงเฉลี่ยอยู่ที่ต่ำกว่า 2%

ทั้งนี้ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกเดือนเม.ย. มีแนวโน้มรุนแรงกว่าที่คาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศมากกว่า 3 เดือน และส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวได้ช้ากว่าเดิม โดยเฉพาะธุรกิจบริการดำเนินกิจการได้อย่างจำกัดจากมาตรการควบคุมโรค ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้แรงงาน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 และ 3 เป็นอย่างมาก

“ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงค่อนข้างมากจากการระบาดระลอกใหม่ที่รวดเร็วและรุนแรง กระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ ดังนั้น จีดีพีจะโตได้ 2% การเร่งฉีดวัคซีนดูจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในไตรมาส 4 โดยปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชนเพื่อลดความสับสน และบริหารจัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ”นายสุพันธุ์ กล่าว

โดยทาง กกร.หวังว่ารัฐบาลจะเร่งผลักดันพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 7 แสนล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลมีเม็ดเงินเพียงพอ และดำเนินโครงการด้านสาธารณะสุข มาตรการเยียวยาชดเชยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและมีความไม่แน่นอนสูง

นอกจากนี้ ควรเร่งรัดมาตรการช่วยเหลือด้านกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ให้เข้ามาพยุงกำลังซื้อได้ในเดือนมิ.ย. และพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 90,000 ล้านบาท เป็น 180,000 ล้านบาท

นายสุพันธุ์ กล่าวว่าเมื่อรวมเม็ดเงินของประชาชนที่นำออกมาใช้จ่ายคู่กับเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่งเสริมมาตรการดึงกำลังซื้อจากประชาชนที่มีเงินออม โดยสนับสนุนมาตรการนำรายจ่ายจากการซื้อสินค้าไปหักภาษีเงินได้ในวงเงิน 30,000-50,000 บาทต่อราย จะจูงใจให้ประชาชนในกลุ่มนี้นำเงินฝากมาใช้จ่ายอย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อแนวโน้มส่งออกของไทยในระยะต่อไป ซึ่งทาง กกร.ได้ปรับประมาณการการส่งออกปีนี้ขยายตัว 5-7% จากเดิมคาดไว้ที่ 4-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1-1.2% เห็นได้จากเศรษฐกิจและมูลค่าการนำเข้าของคู่ค้าหลักในไตรมาส 1/2564 ฟื้นตัวได้ตามคาด เช่นเดียวกับอุปสงค์ในประเทศเศรษฐกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลดีมายังการส่งออกของไทยในไตรมาสแรกให้ขยายตัวได้ถึง 8.2% ไม่รวมการส่งออกทองคำ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้การภาคการผลิตและการส่งออกยังเติบโตได้ แต่พบปัญหาติดขัดคือการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และปัญหาค่าระวางเรือระดับสูง จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือส่วนนี้

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ประเด็นรัฐบาลกู้เงินนั้น หากพิจารณาเพดานหนี้สาธารณะของไทยในปัจจุบันถือเป็นนโยบายที่กำหนดในอดีต ดังนั้นประเด็นเพดานหนี้สามารถดำเนินการอย่างยืดหยุ่นได้ในสถานการณ์ปัจจุบันเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่ผ่อนคลาย เพื่อเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบการเงินที่กู้มาก็มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยกกร. มีคณะทำงานย่อยเพื่อพิจารณาหนี้สาธารณะจะมีการหารือและเสนอความเห็นต่อรัฐบาลในเร็ว ๆ นี้

เอกชนหนุนรัฐบาลกู้ 7 แสนล. สู้โควิด-ฟื้นเศรษฐกิจ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ภาคเอกชนเห็นด้วยกับการใช้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอสำหรับรองรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยการใช้เงินตาม พ.ร.ก.ฉบับใหม่นี้ นอกจากจะใช้ในด้านสาธารณสุข ด้านการเยียวยา และชดเชยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง 

“เอกชนอยากเห็นกรอบการใช้เงิน โปร่งใส ตรวจสอบการใช้เงินอย่างรอบคอบ ไม่เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ควรนำเงินมาช่วยเหลือกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้างเพิ่มเติม โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ต้องการให้พิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาทเป็น 6,000 บาท เพื่อช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 90,000 ล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท อยากให้เริ่มเดือนมิ.ย.เลย จากแผนเดิมเริ่มเดือนก.ค. เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก”  

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า กรอบการกู้เงินดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อเพดานหนี้สาธารณะของไทย ซึ่งไทยมีเงินทุนสำรองปริมาณสูง แข็งแกร่ง เมื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวจะมีเงินใช้หนี้ได้ต่อเนื่อง และควรเร่งฉีดวัคซีนตามเป้าหมาย ปรับปรุงการสื่อสารกับประชาชนเพื่อลดความสับสน บริหารจัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเพื่อให้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ในไตรมาสที่ 4 ปีนี้

นอกจากนี้ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอยากให้เสริมมาตรการดึงกำลังซื้อจากประชาชนที่มีเงินออมด้วยการฟื้นโครงการช้อปดีมีคืน รัฐสนับสนุนมาตรการนำรายจ่ายจากการซื้อสินค้าไปหักภาษีเงินได้ในวงเงิน 30,000-50,000 บาทต่อราย จะจูงใจให้ประชาชนในกลุ่มนี้นำเงินฝากมาใช้จ่าย ซึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มวงเงินคนละครึ่ง และฟื้นช้อปดีมีคืน จะมีเงินเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก 2-3 แสนล้านบาท จะช่วยประคองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ ให้ขยายตัวได้ระดับ 2% หรือมากกว่านั้นได้

รอเลย คลังประกาศผลเก็บตกเราชนะ 21 พ.ค.นี้

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการเราชนะ จะประกาศผลการทบทวนสิทธิ์สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ (กลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน) ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ระหว่างวันที่ 6 มี.ค.-13 พ.ค. 2564 ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com หรือ Call Center ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2111 1122 

โดยผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรก จำนวน 8,000 บาท ในวันที่ 22 พ.ค. 2564 และจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ที่รัฐบาลสนับสนุนเพิ่มเติมอีก จำนวน 1,000 บาท ในวันที่ 28 พ.ค. 2564 รวม 9,000 บาท โดยสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ ได้ที่ผู้ประกอบการร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.-30 มิ.ย. 2564

สำหรับประชาชนประชาชนกลุ่มที่แสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ โดยได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปีภาษี 2563 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากรภายในเวลาที่กำหนด รวมถึงกรณีที่ผลการทบทวนสิทธิ์ในกรณีอื่น ๆ ที่อาจคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง สามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ์ใหม่อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป 

ปัจจุบันโครงการเราชนะ มีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ แล้ว รวม 32.9 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 205,897 ล้านบาท และมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการ ที่ใช้จ่ายจนครบวงเงินสิทธิ์เดิม จำนวน 7,000 บาท แล้ว จำนวน 25.6 ล้านคน ซึ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านผู้ประกอบการร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชันถุงเงิน ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการ รวมถึงผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 1.3 ล้านกิจการ

สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมกับบริษัทสมาชิก ผุดโครงการ "ฉีดช่วยชาติ หมอพร้อมฉีด ประกันวินาศภัยพร้อมดูแล" แจกประกันภัยแพ้วัคซีนฟรี 11.5 ล้านสิทธิ์ เพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศที่ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และหนทางหนึ่งที่จะช่วยกันหยุดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือการฉีดวัคซีนในหมู่ประชาชนให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) ในกลุ่มประชากร เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยหนักและการเสียชีวิตลง ซึ่งจะเป็นการบริหารและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ยั่งยืนในระยะยาว

สมาคมประกันวินาศภัยไทย ในฐานะตัวแทนของภาคธุรกิจประกันวินาศภัยไทยที่ส่งเสริมการนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนและประเทศชาติ มีความห่วงใยต่อวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม จึงได้ประชุมหารือร่วมกับบริษัทสมาชิกจัดโครงการ "ฉีดช่วยชาติ หมอพร้อมฉีด ประกันวินาศภัยพร้อมดูแล" ขึ้น เพื่อมอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองการแพ้วัคซีนให้กับประชาชนทั่วไปฟรี จำนวน 11.5 ล้านสิทธิ์ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 กันมากขึ้น

“สมาคมประกันวินาศภัยไทยมีความเชื่อมั่นว่า วัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยล้วนเป็นวัคซีนที่ได้รับการทดสอบในวงกว้างแล้วว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย และเพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น จึงได้จัดโครงการมอบกรมธรรม์ประกันภัยแพ้วัคซีนให้กับประชาชนฟรี ซึ่งถือเป็นความร่วมมือของบริษัทประกันวินาศภัยที่มีเจตนารมณ์ในการเข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงและเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เพื่อร่วมกันช่วยชาติให้ฝ่าวิกฤติ COVID-19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน”

สำหรับบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยการมอบประกันภัยแพ้วัคซีนฟรีให้กับประชาชน รวมทั้งสิ้น 11.5 ล้านสิทธิ์ ได้แก่

1.) บมจ.กรุงเทพประกันภัย จำนวน 2,000,000 สิทธิ์

2.) บมจ.ทิพยประกันภัย จำนวน 2,000,000 สิทธิ์

3.) บมจ.เมืองไทยประกันภัย จำนวน 2,000,000 สิทธิ์

4.) บมจ.วิริยะประกันภัย จำนวน 2,000,000 สิทธิ์

5.) บมจ.สินทรัพย์ประกันภัย จำนวน 1,000,000 สิทธิ์

6.) บมจ.สินมั่นคงประกันภัย จำนวน 1,000,000 สิทธิ์

7.) บมจ.อาคเนย์ประกันภัย จำนวน 1,000,000 สิทธิ์

8.) บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำนวน 500,000 สิทธิ์

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเลือกลงทะเบียนรับสิทธิ์ฟรี ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยกำหนดการเริ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ รวมถึงระยะเวลาและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่แต่ละบริษัทกำหนด สมาคมประกันวินาศภัยไทย และภาคธุรกิจประกันวินาศภัย มีความเชื่อมั่นว่าการมอบกรมธรรม์ประกันภัยแพ้วัคซีน จำนวน 11.5 ล้านสิทธิ์ในครั้งนี้จะกระจายไปสู่ประชาชนในทุกภาคส่วนของสังคมและสร้างความมั่นใจในการเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด และขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคนไทยให้ฉีดวัคซีนได้อย่างมั่นใจเพื่อร่วมกันหยุดเชื้อเพื่อชาติ ให้เราสามารถผ่านวิกฤติไวรัสร้าย COVID-19 นี้ไปได้ด้วยกันในที่สุด


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ชาร์จ แมเนจเม้นท์ เปิดแผนธุรกิจ 5 ปี จับมือพันธมิตร สร้าง Ecosystem ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการใช้งานทั้งกลุ่มชาร์จตามบ้าน-ชาร์จที่จุดหมายปลายทาง-ชาร์จตามสถานี ปักหมุดเบอร์หนึ่งธุรกิจชาร์จรถ EV ครบวงจร 

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า “SHARGE มองว่าภายใน 5 ปี การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมาจากทั้งปัจจัยที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกและการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมเร่งหาทางลดการสร้างมลภาวะ ในประเทศไทยเองก็พบว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาเรือนกระจกมาจากภาคการขนส่งถึง 27% ประเทศไทยจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดการตื่นตัวในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการขนส่งจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว (BEV) ที่จะเข้ามาช่วยลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์โดยตรง ซึ่งรถ BEV จะกลายเป็นเป้าหมายหลักของการขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์สันดาปมาสู่รถ EV อย่างยั่งยืนนั่นคือการมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับเพียงพอต่อการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหัวชาร์จได้อย่างทั่วถึง 

SHARGE จึงได้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อเข้ามาสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศต่อการเติบโตของรถ EV ด้วยการเป็นผู้ให้บริการด้านการชาร์จรถ EV อย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบของการจำหน่ายอุปกรณ์ชาร์จสำหรับติดตั้งตามที่อยู่อาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์ รวมถึงการพัฒนาสถานีชาร์จ (EV Charging Station) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินว่าภายใน 5 ปี (ปี 2563-2568) SHARGE จะสามารถสร้างยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท จากการขายเครื่องชาร์จ 16,000 เครื่อง โดยเป้าหมายรายได้ดังกล่าวจะมาจากการขายอุปกรณ์ให้กับโครงการที่พักอาศัย 30% และ 70% มาจากยอดขายไฟฟ้า จากหัวชาร์จที่กระจายอยู่ 250 แห่ง ให้บริการหัวชาร์จในแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ตลอดเส้นทางกรุงเทพ หัวหิน พัทยา และเขาใหญ่ ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้ SHARGE ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ครองส่วนแบ่งการตลาดผู้ให้บริการด้านธุรกิจการชาร์จรถ EV ในทุกรูปแบบมากกว่า 30% 

ภายใต้โรดแมป 5 ปี จะดำเนินผ่านกลยุทธ์ ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO’ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

• NIGHT : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐฯ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า

• DAY : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน  โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%

• ON THE GO : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด

สำหรับกลยุทธ์การเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้ง 3 กลุ่มนั้น SHARGE ได้จับมือกับพันธมิตรที่หลากหลายกลุ่มธุรกิจเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากที่สุด รวมถึงจัดหาโซลูชันการชาร์จ EV ให้กับพันธมิตร เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบเฉพาะเจาจง โดยเริ่มจากกลุ่ม NIGHT ที่ได้ร่วมมือกับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย 5 ราย ในการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จให้กับโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภททั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ทำให้ปัจจุบันมีหัวชาร์จครอบคลุมการให้บริการมากกว่า 25,000 ครัวเรือน ที่อยู่ในแผนที่จะมาใช้บริการติดตั้งอุปกรณ์จากชาร์จ ซึ่งจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จตามที่อยู่อาศัยนี้จะสนับสนุนให้ SHARGE ก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของผู้ให้บริการได้ 

ส่วนกลยุทธ์การเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่ม DAY นั้น SHARGE ได้จับมือกับศูนย์การค้าและค่ายรถยนต์ชั้นนำกว่า 7 ราย (ศูนย์การค้า 5 แห่ง ค่ายรถยนต์ 2 แห่ง) ในการติดตั้งหัวชาร์จที่ศูนย์การค้าและโชว์รูม ซึ่งล่าสุดได้ทำการติดตั้งหัวชาร์จที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซี และเซ็นทรัล ชิดลม และดูแลงานด้านระบบการให้บริการการชาร์จแบบครบวงจรให้กับโชว์รูมรถยนต์ปอร์เช่ โดยภายในปีนี้จะติดตั้งเพิ่มอีก 10 แห่งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นหัวชาร์จแบบชาร์จเร็ว (Quick Charge) 8 แห่ง

ขณะที่กลุ่ม ON THE GO ได้ร่วมมือกับพันธมิตรคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการพัฒนาสถานีชาร์จและร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านสถานีบริการน้ำมัน 1-2 รายรายในการปรับปรุงสถานีแบบเดิมให้กลายเป็นสถานีชาร์จรถ EV ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมพร้อมสำหรับเปิดให้บริการ ครอบคลุมไปถึงหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่, เชียงราย, ชลบุรี, ระยอง, อยุธยาและภูเก็ต 

จุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือเราเป็นผู้ให้บริการ Total Solution ในด้าน ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM’ เชื่อมโยงผู้ใช้บริการทั้งรูปแบบ NIGHT, DAY, ON-THE-GO ด้วยแอปพลิเคชัน SHARGE ที่เราพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานอย่างครอบคลุมทุกพฤติกรรมการใช้งาน อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถ EV ในการค้นหาและจองสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั้งของชาร์จ และเครือข่ายพันธมิตรในแหล่งไลฟ์สไตล์ทั่วกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสามารถจ่ายค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชันได้ 

“อย่างไรก็ดีเป้าหมายการเติบโตยอดขายของ SHARGE นั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่คาดว่าจะมีการใช้รถ EV รวมทุกประเภทในปี 2568 ที่ 1,055,000 คัน และชาร์จได้คาดการณ์ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะสนับสนุนให้ตลาดอุปกรณ์ชาร์จรถ EV ขยายไปสู่มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาทในเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ มองว่าการเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Ecosystem) เพื่อส่งเสริมการใช้รถ EV เป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคในอนาคตอันใกล้” นายพีระภัทร กล่าว


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

โฆษก กมธ.ติดตามเงินกู้แก้ปัญหาโควิด19 หนุนรัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 7 แสนล้านบาท แต่ต้องปรับเปลี่ยนกลไกการบริหารงบ ให้การใช้เงินเกิดประสิทธิภาพดีขึ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมาย

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้จาก พ.ร.ก.จำนวน 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูปัญหาโควิด-19 กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาโควิด-19 ว่า หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินก้อนนี้มาใช้ ตนก็เห็นด้วย เพราะการระบาดของโรคโควิด-19 รอบที่ 3 มีผลกระทบไม่ใช่เฉพาะเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลกู้รอบแรกมาแล้ว 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในการเยียวยา ฟื้นฟู และด้านสาธารณสุข ตามที่ได้มีการติดตามเงินกู้ก้อนนี้ก็มีการเบิกจ่ายเกือบเต็มวงเงินกู้แล้ว

ดังนั้นหากจะต้องกู้มาอีก 7 แสนล้านบาท รัฐบาลจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลไกในการใช้เงิน ทั้งเรื่องของหน่วยงานที่จะควบคุมเงินกู้ การตรวจสอบ การเบิกจ่าย ที่จะต้องทำให้ให้การใช้เงินเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไปถึงมือประชาชน และสามารถที่จะฟื้นฟู เยียวยาได้อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นการขับเคลื่อนการแก้ไขทางเศรษฐกิจก็จะไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังและกำหนดไว้ 

“ถ้ามีความจำเป็นก็ต้องกู้ แต่ประเด็นที่สำคัญ คือ กลไกที่รัฐบาลจะต้องทำอย่างไรให้การใช้เงินกู้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาจากที่ตนเป็นกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการใช้เงินกู้ ต้องยอมรับว่าการใช้เงินยังล่าช้า เบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และยังไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประชาชน มีหลายโครงการที่ทำแล้วไม่สำเร็จ และหลายโครงการที่จะต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย เบิกจ่ายงบล่าช้าเนื่องจากความไม่ชัดเจนของโครงการ เเละที่สำคัญการใช้จ่ายงบเงินกู้ไม่เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนก็ไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลและพี่น้องประชาชนคาดหวังไว้" นายอัครเดช กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top