Monday, 5 May 2025
ECONBIZ NEWS

'การบินไทย' ขายหุ้นเพิ่มทุน 4.48 บาท ระดม 44,000 ล้านบาท 6-12 ธ.ค.นี้ มั่นใจเดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ

(27 พ.ย.67) 'การบินไทย' เผยผลตอบรับการแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการดีเกินคาด มีเจ้าหนี้แสดงเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมทะลัก 3 เท่าตัว เดินหน้าสู่เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนอีก 9,822.5 ล้านหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงาน และ Private Placement มูลค่าไม่เกิน 44,004.7 ล้านบาท ที่ราคาเสนอขาย 4.48 บาทต่อหุ้น ระหว่าง 6-12 ธันวาคม 2567

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การบินไทย ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตลอดระยะเวลาในช่วงฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา ที่ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการนำพาการบินไทยบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ เราได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนเพื่อลดค่าใช้จ่าย ปรับฝูงบินและเส้นทางการบิน เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในทุกเส้นทางบิน สู่ก้าวใหม่ในฐานะบริษัทเอกชนที่เปี่ยมศักยภาพกว่าที่เคย ในวันนี้การบินไทยประสบผลสำเร็จจากกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุนซึ่งประกอบด้วย (1) การแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการแบบภาคบังคับเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Mandatory Conversion) คิดเป็นมูลค่า 37,601.9 ล้านบาท โดยได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 14,773.7 ล้านหุ้น 

โดยเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 หรือกระทรวงการคลัง ได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างเต็มจำนวนในสัดส่วนร้อยละ 100 ในขณะที่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5, กลุ่มที่ 6 (สถาบันการเงิน) และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ ได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างในอัตราร้อยละ 24.50 และ (2) การใช้สิทธิแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นทุนเพิ่มเติมโดยความสมัครใจ (Voluntary Conversion) ซึ่งในระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้มีเจ้าหนี้จำนวนมากแสดงเจตนารวมกันเกินกว่า 3 เท่าของจำนวนหุ้นที่มีรองรับตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวน 4,911.2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 12,500.1 ล้านบาท พร้อมทั้ง (3) การใช้สิทธิแปลงดอกเบี้ยตั้งพักใหม่เป็นทุนมูลค่า 3,351.2 ล้านบาท และได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,304.5 ล้านหุ้น สุทธิภาษีหัก ณ ที่จ่ายรวม (1) – (3) คิดเป็นภาระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งสิ้นมูลค่า 53,453.2 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 20,989.4 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นในงบการเงินของการบินไทยกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นการบรรลุหนึ่งในเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินให้สามารถดำเนินธุรกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินในระดับสากล การบินไทยจะดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนถัดไป ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 9,822.5 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของการบินไทยก่อนการปรับโครงสร้างทุนตามข้อมูลที่ปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่มีที่อยู่ในประเทศไทย และพนักงานของการบินไทย ตามลำดับ ในราคา 4.48 บาทต่อหุ้น 

โดยสามารถจองซื้อและชำระเงินระหว่างวันที่ 6 – 12 ธันวาคม 2567 ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีหุ้นสามัญคงเหลือจากการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน และพนักงานของบริษัทฯ ตามลำดับ จะดำเนินการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่ราคาเสนอขายเดียวกันต่อไป โดยการกำหนดราคาดังกล่าวที่กำหนดโดยผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการมีความเหมาะสม โดยการพิจารณาจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การประเมินมูลค่ายุติธรรม ทั้งจากวิธีเปรียบเทียบอัตราส่วนตลาด (Market Comparable Approach) เช่น อัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Enterprise Value to EBITDA Ratio: EV/EBITDA) อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio: P/E) และวิธีมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดของกิจการ (Discounted Cash Flow) ข้อจำกัดและโครงสร้างการเสนอขายภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ความเสี่ยงของนักลงทุนจากการที่ต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนกว่าที่หุ้นจะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนประโยชน์และผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับเงินทุนจากการเสนอขายที่เหมาะสม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของการบินไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 แสดงถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและความก้าวหน้าในการฟื้นฟูกิจการ โดยมีจำนวนผู้โดยสารกว่า 11.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) อยู่ที่ 47,778 ล้าน ASK เพิ่มขึ้น 19.2% สะท้อนถึงศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากแผนฟื้นฟูกิจการที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า  

ในส่วนของกำไร (ขาดทุน) จากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 24,191 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไร 29,330 ล้านบาท EBITDA ของงวดนี้อยู่ที่ 33,742 ล้านบาท เทียบกับ 37,590 ล้านบาทในปีก่อน การลดลงดังกล่าวเกิดจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าซ่อมบำรุงอากาศยานที่สูงขึ้นตามจำนวนเครื่องบินใหม่ ค่าบริการการบินที่เพิ่มขึ้นทั้งจากจำนวนเที่ยวบินและอัตราค่าบริการต่อเที่ยว ตลอดจนค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาที่เพิ่มตามปริมาณการจองเที่ยวบิน  

อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่าการลงทุนเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และช่วยให้การบินไทยกลับมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้”

ททท. ประกาศผลผู้ชนะ ‘TAT Travel Tech Startup 2024’ ทีม HAUP คว้าชัย พร้อมได้อีก 11 ทีม หัวกะทิ Travel Tech

เมื่อวันที่ (26 พ.ย. 67) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกาศผลผู้ชนะโครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 กิจกรรมบ่มเพาะและโจทย์ด้านการท่องเที่ยวสุดท้าทาย ภายใต้แนวคิด WORLD & ME โดยทีมผู้ประกอบการสตาร์ทอัพที่มีแผนธุรกิจที่โดดเด่นและได้รับคัดเลือกคะแนนสูงสุด

โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ทีม HAUP  / ทีม CERO / ทีม Carbonwize จากทั้งหมด 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจาก นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. มอบรางวัลแก่ผู้ชนะ ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า โครงการ TAT Travel Tech Startup 2024 สะท้อนความตั้งใจของ ททท. ในการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) โดยเฉพาะการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบการรายย่อย หรือ สตาร์ทอัพ ผ่านการบ่มเพาะองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

รวมทั้งสร้างโอกาสความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ เอกชน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าคุณภาพ และมาตรฐานแก่สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นสร้างความประทับใจในทุก Touch Point ของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมศักยภาพและโอกาสการแข่งขันในตลาดโลกแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยในอนาคต

การประกวด TAT Travel Tech Startup ครั้งนี้ กำหนดภายใต้แนวคิด WORLD & ME โลกและเรา ท่องเที่ยวแบบห่วงใย ใส่ใจ ให้ทั้งโลกยังสวยงามและธุรกิจของเราเติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน โดยอาศัยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สร้างนวัตกรรมที่ทำได้จริง ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว โดยผู้เข้าร่วมประกวดจะมีโอกาสในการร่วมงานกับ ททท. และพันธมิตรที่ร่วมดำเนินโครงการฯ ในการนำเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว มาใช้รองรับเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในตลาดท่องเที่ยวที่เหมาะสม ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจของ Startup อีกทางหนึ่ง โดยการจัดแข่งขันในรอบสุดท้ายและมอบรางวัล ในงาน Opportunity Day  วันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ณ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร

สำหรับทีม Startup ที่คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมทางการท่องเที่ยวไปครอง โดยนายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว  ททท. เป็นประธานมอบรางวัลแก่ผู้ชนะ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ทีม HAUP รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม CERO รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้แก่ทีม Carbonwize เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตร 

ซึ่งผู้ชนะทั้ง 3 ทีม ยังได้รับสิทธิ์ประโยชน์ต่าง ๆ จาก พันธมิตรในโครงการ อาทิ โอกาสเข้าร่วมงาน Startup Showcase ที่งาน Startup Thailand Event 2025 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ NIA 

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจากพันธมิตรที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนโครงการนี้ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), ธนาคาร SME D BANK, สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย, บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด, บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด, SCBx NEXT TECH, The Able By KING POWER, ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC), บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย, Mission To The Moon, Greenery Media และ The States Times เข้าร่วมแสดงความยินดี พร้อมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจในโครงการ Travel Tech Startup  สามารถติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขัน การทำกิจกรรมต่างๆของโครงการ ได้ที่ Page Facebook: TAT Startup Thailand และ www.TATStartup.com

‘พีระพันธุ์’ มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ลดค่าไฟลงจาก 4.18 บาท เหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย

(27 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะประกาศลดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 2568 จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568 ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้กับพี่น้องชาวไทยทุกคน

“ผมเพิ่งได้รับแจ้งเบื้องต้นเป็นข่าวดีจากทางสำนักงาน กกพ. ซึ่งจะปรับลดค่าไฟในงวดหน้า (ม.ค.-เม.ย.2568) ลงได้อีก และเหลือเฉลี่ยหน่วยละ 4.15 บาท หลังจากที่ผมได้ขอให้ทุกหน่วยงานได้ไปลองดูว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้อีกหรือไม่ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้พี่ น้องประชาชน ในนามรัฐบาลและกระทรวงพลังงานขอถือโอกาสนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกท่าน และขอขอบคุณ กกพ.ในฐานะหน่วยงานหลักขอบคุณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และปตท.ในการร่วมกันกับรัฐบาลช่วยเหลือพี่ น้องประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว

ภายหลังจากสิ้นสุดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในการประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในวันนี้ (27 พ.ย.) ได้มีมติเห็นชอบทบทวนค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) และค่าไฟฟ้าเรียกเก็บงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2568 โดยให้เรียกเก็บลดลงเหลือ 4.15 บาทต่อหน่วย เป็นผลจากการที่ได้มีการทบทวนตัวเลข และประมาณการที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง กกพ.จะได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ดาต้าเซ็นเตอร์-โลจิสติกส์ โตรับตลาดอีวีในไทย ส่วนนิคมอุตฯได้อานิสงส์ 'ทรัมป์ 2.0' ดันราคาที่ดินพุ่ง

(27 พ.ย.67) เจแอลแอล (JLL) บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 35 ปีการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมเผยความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่เช่าที่ยอดเยี่ยม โดยคาดว่าผลรวมพื้นที่เช่าของบริษัทในสิ้นปีนี้จะถึง 7.5 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ยังได้เปิดมุมมองในแง่ของเทรนด์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยระบุว่า ตลาดอาคารสำนักงานไม่น่ากังวล แต่กำลังเห็นการย้ายจากอาคารเก่าที่คุณภาพต่ำไปยังอาคารใหม่ที่มีมาตรฐานสูงขึ้น ส่วนในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนา ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ยังถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น แม้กระแสความต้องการจะร้อนแรงก็ตาม

นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคแรก ๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่มีการใช้งานแบบเดี่ยว ๆ แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาไปเป็นโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ที่นำอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ โดยมีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่มีความทันสมัย ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายรูปแบบของผู้เช่า

สำหรับตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ นายไมเคิลกล่าวว่า อาคารเก่าในกรุงเทพฯ จำนวนมากกำลังเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับอาคารใหม่ที่มีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้เจ้าของอาคารเก่าต้องทำการปรับปรุงหรืออัปเกรด เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด ซึ่งเทรนด์ Flight to Quality หรือการย้ายไปยังอาคารที่มีคุณภาพดีกว่า จะยังคงเป็นกระแสที่แข็งแกร่งในตลอดปี 2024 และปี 2025

นายไมเคิลเสริมว่า แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2024 จะมีความท้าทาย แต่ตลาดอาคารสำนักงานกลับคึกคัก โดยหลายบริษัทเริ่มย้ายจากอาคารเก่ามายังอาคารใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่า ซึ่งแนวโน้มนี้คาดว่าจะดำเนินต่อไปในปี 2025 เนื่องจากมีโครงการใหม่ ๆ ที่จะเปิดตัวในปีหน้า และหลายบริษัทเตรียมย้ายออฟฟิศ

"แม้ราคาค่าเช่าจะสูงขึ้น แต่เทรนด์ Flight to Quality จะยังคงมีความสำคัญอย่างมาก โดยบริษัทต่าง ๆ ยังต้องการย้ายออกจากอาคารเก่าไปยังออฟฟิศใหม่ที่มีมาตรฐานสูง การเติบโตของอาคารสำนักงานในประเทศไทยจะยังเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์และฮ่องกง" 

นอกจากนี้นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มาแรงในปี 2568 ว่า ในปีหน้าต้องยกให้ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์มาเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีนักลงทุนเข้ามาสนใจเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอย่างมาก สะท้อนจากการที่มีนักลงทุนเข้ามาดูทำเลในเขตนิคมขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่ EEC พื้นที่ย่านสมุทรปราการ รวมถึงตอนเหนือของกรุงเทพฯ 

ส่วนธุรกิจรองลงมาคือ ภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากอานิสงส์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งมีความต้องการใช้พื้นที่ตั้งแต่ 20 ถึง 1,000 ไร่

นายแกลนซี่ ยังกล่าวถึง ผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 จะทำให้หลายภาคอุตสาหกรรมพิจารณาย้ายฐานการผลิตบางส่วนมายังอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย คาดว่าจะส่งผลให้ราคาที่ดินในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของไทยปรับตัวสูงขึ้นไปอีก

อีกสองธุรกิจที่มีแนวโน้มน่าจับตาคือ ธุรกิจโรงแรม และอาคารสำนักงาน โดยธุรกิจโรงแรมได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งเปิดใหม่และซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว ขณะที่อาคารสำนักงานให้เช่า จะเติบโตจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ที่มีความทันสมัยในพื้นที่ใจกลางกรุง

ส่วนตลาดที่อยู่อาศัยปี 2568 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะตลาดเช่า เนื่องจากปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่านยังสูง และเทรนด์คนรุ่นใหม่สนใจเช่ามากกว่าซื้อ คาดว่าจะดันราคาเช่าคอนโดในเขตกรุงเทพสูงอีก 40%

รู้จัก ‘พล.ท.เจียรนัย วงศ์สอาด’ มือทำงาน ‘พีระพันธุ์’ ผู้เบรกงานเหมาขุดถ่านหินเหมืองแม่เมาะกว่า 7 พันล้าน เพื่อประโยชน์ประชาชน

เมื่อประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย...ต้องมาก่อน!
‘รองพีร์’ เบรกจ้างเหมา-ขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะ

ตามที่ ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ระงับโครงการจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะ สัญญาที่ 8/1 ซึ่ง บมจ.สหกลอิควิปเมนท์ (SQ) เป็นผู้ได้รับกำคัดเลือกจาก กฟผ.ที่เสนอราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดินและถ่านที่เหมืองแม่เมาะจำนวน 2 รายการ มูลค่าสัญญารวม 7,170 ล้านบาท (รวมค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่ปี 2567-2571 นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากพลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีหนังสือแจ้งว่า ได้คัดค้านการอนุมัติผลการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด- ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะสัญญาที่ 8/1 โดยวิธีพิเศษ ในวงเงินงบประมาณ 7,250 ล้านบาท ในการประชุมกลั่นกรองของคณะกรรมการบริหาร กฟผ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

และในเวลาต่อมา บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ได้มีหนังสือขออุทธรณ์และขอความเป็นธรรมจากการพิจารณาผู้ชนะการประกวดราคางานจ้างเหมาขุด-ขนดิน และถ่าน ที่เหมืองแม่เมาะ 2 รายการ โดยวิธีพิเศษ ซึ่ง ‘รองพีร์’ เห็นควรให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยด่วน จึงมีหนังสือถึงผู้ว่าฯ กฟผ. ให้ระงับการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างงานจ้างเหมาขุด-ขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะไว้จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสร็จสิ้น 

พลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด ผู้เสนอให้ระงับโครงการฯ ดังกล่าว ได้รับการแต่งตั้งกรรมการ กฟผ. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิกระทรวงกลาโหม และอดีตอาจารย์กองวิชาคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ ส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีประสบการณ์และผลงานมากมาย โดยเคยเป็น ประธานกรรมการการเคหะแห่งชาติ, ประธานกรรมการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, ที่ปรึกษาธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, อนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและงบประมาณ กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ กสทช., ที่ปรึกษาประธานกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย, กรรมการเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศแห่งชาติ, กรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน), ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, ที่ปรึกษาคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม และ อนุกรรมการบริหารความเสี่ยง สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 

สำหรับประวัติของพลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สอาด ที่น่าสนใจคือเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยรุ่นที่ 135 นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 29 และหลังจากจบการศึกษาวทบ. (โยธา) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 40 ได้ศึกษาต่อปริญญาโทวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา และปริญญาเอก รีโมทเซนซิ่งและเอิร์ธซายน์ มหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นนักวิจัยด้านรีโมทเซนซิ่ง (Remote Sensing and Earth Science) ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่า เป็นหนึ่งในนักวิจัยระดับโลกที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญการใช้ข้อมูลดาวเทียมตั้งแต่ใต้พื้นดินไปจนถึงอวกาศ และได้นำองค์ความรู้มาสร้างมาตรการเตือนภัยเพื่อหลีกเลี่ยงและลดความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติภัยทางธรรมชาติ ด้วยวิธีการจัดการอย่างถูกต้องและในเวลาที่เหมาะสม และเป็นผู้เสนอให้ประเทศไทยสร้างศูนย์รวมข้อมูลเตือนภัยจากดาวเทียมเป็นของตัวเองเพื่อนำข้อมูลนั้นมาส่งเตือนประชาชนให้เตรียมพร้อมก่อนเกิดภัย ในห้วงที่ประเทศต้องเผชิญกับเหตุการณ์สึนามิ และภัยพิบัติในภาคเหนือ

ด้วยประสบการณ์มากมายในฐานะนักฎหมาย ‘รองพีร์’ จึงมีความเข้มงวดกับโครงการต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งหากมีการร้องเรียนหรืออาจเข้าข่ายไม่เป็นธรรมแล้ว ก็จะให้มีการตรวจสอบทันที ทั้งนี้ พลโท ดร. เจียรนัย วงศ์สะอาด เป็นบุคคลที่ ‘รองพีร์’ ให้ความไว้วางใจ และยังเคยช่วยงาน ‘รองพีร์’ มาแล้ว อาทิ คณะทำงานศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาความเสียหายของรัฐโครงการระบบขนส่งทางรถไฟ เพื่อต่อสู้ในคดีโฮปเวลล์ ทั้งนี้ ในการสั่งการให้ตรวจสอบของ ‘รองพีร์’ มาจากการที่พลโท ดร.เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการ กฟผ. ยื่นหนังสือคัดค้านการอนุมัติผลประมูล ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร กฟผ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2567 ก่อนที่ ITD จะยื่นอุทธรณ์อย่างเป็นทางการ สำหรับประเด็นที่ต้องทำการตรวจสอบ คือ ความโปร่งใสของการใช้ ‘วิธีพิเศษ’ ในการประมูล เพื่อพิจารณาถึงเหตุผลที่ กฟผ. ไม่เลือกวิธีประมูลแบบเปิด รวมไปถึงการกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าประมูลที่อาจเอื้อประโยชน์ ความเชื่อมโยงระหว่างผู้มีอำนาจตัดสินใจกับบริษัทที่เข้าประมูล นอกจากนี้ ‘รองพีร์’ ยังได้ส่งหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ให้ระงับการสรรหาคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ครบวาระจำนวน 4 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน แทนตำแหน่งที่ว่างลง จึงขอให้ระงับการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการสรรหากรรมการกำกับกิจการพลังงาน และการประชุมคณะกรรมการสรรหาไว้ก่อน จนกว่าจะแจ้งให้ทราบต่อไป เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบมากมายและสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทย จึงต้องมีการพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทยต่อไป

‘เอกนัฏ’ เยือนญี่ปุ่น คุยตัวต่อ 6 CEO ค่ายรถยนต์ใหญ่ ดึงการลงทุนเพิ่มกว่าแสนล้าน รักษาฐานการผลิตในไทย

(27 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  เปิดเผยผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 21 – 23 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นเป้าหมายแรกที่ตนอยากไปพบหารือผู้บริหารระดับสูงภายหลังเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และหารือแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างไทย-ญี่ปุ่น รวมทั้งหารือร่วมกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น เพื่อรับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยระบุว่า ในการเข้าพบหารือกับ นายมุโต โยจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้งสองประเทศ ณ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) กรุงโตเกียว มีประเด็นสำคัญ คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่ METI มีความร่วมมืออันดีที่มีต่อไทย และย้ำถึงความสำคัญของญี่ปุ่นในฐานะพันธมิตรที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันได้หารือแนวทางและมาตรการช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตในไทย ซึ่งส่วนใหญ่ยังผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยเฉพาะรถยนต์ที่เป็น Product champion ได้แก่ รถปิคอัพ และ Eco car ที่กำลังถูกดิสรัป (Disrupt) จากการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (xEV) 

นายเอกนัฏฯ กล่าวว่า ตนและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เดินทางไปประชุมหารือกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทแม่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ได้สร้างฐานการผลิตในประเทศไทย จำนวน 6 บริษัทแบบตัวต่อตัว (One to One) ณ สำนักงานใหญ่/สำนักงานสาขากรุงโตเกียว โดยได้พบหารือกับผู้บริหารระดับ CEO จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ โตโยต้า มาสด้า มิตซูบิชิ และอิซูซุ และผู้บริหารระดับ EVP จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ ฮอนด้า และนิสสัน ซึ่งตนได้แสดงความห่วงใยต่อผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น ที่กำลังเผชิญสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยหดตัวลงอย่างมาก สาเหตุหลักเนื่องจาก ความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของไฟแนนซ์ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัว รวมทั้ง ปัญหาค่าครองชีพและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ที่ส่งผลให้ความต้องการและกำลังซื้อของประชาชนลดลง โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็น Product Champions ของไทย ได้แก่ 

รถปิกอัพ และรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car) โดยล่าสุด กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปี 2567 จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.9 ล้านคัน ปรับลดมาเป็น 1.7 ล้านคัน โดยเป็นการปรับลดในส่วนของการผลิตเพื่อตลาดในประเทศ เหลือเพียง 550,000 คัน ในขณะที่การผลิตเพื่อส่งออกต่างประเทศยังคงยึดเป้าหมายเดิม คือ 1.15 ล้านคัน อย่างไรก็ตาม ตนได้ให้ความมั่นใจกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายว่า ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาส 4 ปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น ประกอบกับ รัฐบาลได้พยายามปลดล็อคเรื่องการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด และอยู่ระหว่างพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulus) และการจับจ่ายใช้สอย จึงมั่นใจได้ว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศในปีหน้า (2568) จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

“การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ความยั่งยืน (Sustainable Mobility) รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณาสร้างความสมดุลระหว่างมิติด้านสิ่งแวดล้อมและมิติด้านเศรษฐกิจควบคู่กันไป โดยในมิติด้านสิ่งแวดล้อมรัฐบาลจะมุ่งส่งเสริมรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศเพื่อลดปัญหาโลกเดือด (Global Boling) ซึ่งปัจจุบันรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีเพียงรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (EV) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงรถยนต์ที่ได้รับการพัฒนาตามความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV) รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยลดมลพิษ/ประหยัดพลังงาน รวมทั้ง รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Bio Fuel) อีกด้วย ในขณะที่มิติด้านเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลมุ่งส่งเสริมรถยนต์สู่การเป็นกลไกขับเคลื่อนระบบอุตสาหกรรมเศรษฐกิจของไทย ผ่านกลไกการกำหนดให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศ (Local Content) เพื่อก่อให้เกิดการจ้างงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ซึ่งการที่จะตอบโจทย์ทั้ง 2 มิติได้นั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศ (ECO System) และปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ (Infrastructure) ให้มีความสมดุลและเท่าเทียมกัน เพื่อให้รัฐบาลสามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าตามนโยบาย 30@30 รวมทั้ง เป้าหมายการส่งเสริมให้ฐานการผลิตหลักของประเทศ (ร้อยละ 70) ซึ่งเป็นรถ ICE ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV) ในอนาคต” นายเอกนัฏฯ กล่าว

นายเอกนัฏฯ พร้อมสานต่อการจัดตั้งกลไกการหารือ Energy and Industrial Dialogue ตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เพื่อยกระดับความร่วมมือในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาการชะลอตัวของอุปสงค์ อุปสรรคทางกฎระเบียบ และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และโครงการ Global South Future-Oriented Co-Creation Project เป็นโครงการที่ส่งเสริมความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (All-win) ระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ โดยไทยพร้อมสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ขณะที่การพัฒนาบุคลากร ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะสานต่อความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะโครงการ LASI, LIPE, และ Smart Monodzukuri ซึ่งมีบุคลากรไทยได้รับการพัฒนาแล้วกว่า 1,800 คน นอกจากนี้ ยังได้แสดงความยินดีต่อญี่ปุ่นในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2025 ในช่วงเดือนเมษายน 2025 ณ จังหวัดโอซาก้า

ด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับฟังแผนการลงทุนในอนาคตของทุกบริษัท รวมทั้งข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางหรือมาตรการที่เสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาระดับการผลิตของโรงงาน เช่น มาตรการกระตุ้นตลาด การส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) เป็นต้น และ มาตรการระยะกลางเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม เช่น การจัดการซากรถยนต์เก่า (End-of-Life Vehicles) มาตรการรถเก่าแลกรถใหม่เพื่อกระตุ้นตลาด และมาตรการส่งเสริมการส่งออก เป็นต้น 

“ผลการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายญี่ปุ่น ได้รับสัญญาณบวกที่ชัดเจนว่า ทุกบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นฐานการผลิตและส่งออกของประเทศไทย และจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการผลิตรถปิกอัพ รถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Car) และรถยนต์ไฮบริด เพื่อตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก (ทั้งในรูปแบบของ รถยนต์สำเร็จรูป และชิ้นส่วนครบชุด) โดยคาดว่า ในช่วงเวลา 3-5 ปีนี้ มูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 120,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นขอให้ภาครัฐกำหนดเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ให้ชัดเจน และเร่งส่งเสริมการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะในโครงการผลิตรถยนต์ไฮบริดและชิ้นส่วนสำคัญ ซึ่งคาดว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ จะเสนอเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ภายในปีนี้”นายณัฐพลฯ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 21 – 23 พฤศจิกายน 2567 นี้ คณะของกระทรวงอุตสาหกรรม ประกอบด้วย นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย 
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ที่ปรึกษาประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ โดยได้หารือกับแต่ละบริษัทแบบตัวต่อตัว (One on One) ระหว่างผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทแม่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ได้มีการตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย จำนวน 6 บริษัท ประกอบด้วยผู้บริหารระดับ CEO จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ 1.นายอากิโอะ โตโยดะ (Mr. TOYODA Akio), ประธานกรรมการบริหาร, กรรมการบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น 2.นายมาซาฮิโร โมโร (Mr.MORO Masahiro), กรรมการผู้จัดการ,ประธาน และ CEO บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น 3.นายทาคาโอะ คาโตะ (Mr.KATO Takao), กรรมการบริหาร, ประธาน และ CEO บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น 4.นายชินสึเกะ มินามิ (Mr.MINAMI Shinsuke), ประธาน และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ส ลิมิเต็ด, ญี่ปุ่น  และผู้บริหารระดับ EVP จำนวน 2 บริษัท ได้แก่ นางอาซาโกะ โฮชิโนะ (Ms.HOSHINO Asako), รองประธานบริหาร บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด (NML) และนายชินจิ อาโอยามะ (Mr.AOYAMA Shinji), กรรมการ, รองประธานบริหาร และ กรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น 

จีนที่หนึ่งเที่ยวไทย 6 ล้านคน!! ตามด้วย มาเลเซีย รัสเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ รวมยอด 11 เดือนต่างชาติเที่ยวไทยรวมแล้ว 31 ล้านคน

(27 พ.ย.67) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ถึง 24 พ.ย. 2567 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 31,313,787 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายกว่า 1,466,408 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 6,096,010 คน มาเลเซีย 4,443,173 คน อินเดีย 1,868,802 คน เกาหลีใต้ 1,647,328 คน และรัสเซีย 1,455,398 คน  

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 พ.ย.) นักท่องเที่ยวกลุ่มระยะใกล้ (Short haul) ฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะชาวจีนที่มีสะสมกว่า 6 ล้านคน และชาวเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้น 14.28% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวตามฤดูกาล แต่คาดว่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.  

สัปดาห์นี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 749,306 คน เพิ่มขึ้น 1,362 คน (0.18%) จากสัปดาห์ก่อนหน้า เฉลี่ยวันละ 107,044 คน โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 122,020 คน มาเลเซีย 81,886 คน รัสเซีย 50,071 คน อินเดีย 46,259 คน และเกาหลีใต้ 38,959 คน  

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (25 พ.ย.-1 ธ.ค.) คาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยสำคัญ เช่น ฤดูกาลท่องเที่ยวของกลุ่มตลาดระยะไกล โดยเฉพาะยุโรป มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนที่นั่งเข้าไทย 10% ตั้งแต่ ก.ค. ถึงสิ้นปี รวมถึงมาตรการอำนวยความสะดวก เช่น การยกเว้นบัตร ตม.6 และการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบิน

'สุริยะ' ดันต่ออายุรถไฟฟ้า 20 บาท อีก 1 ปี เตรียมเสนอเข้า ครม.สัญจร 29 พ.ย.นี้

(27 พ.ย. 67) ‘สุริยะ’ เตรียมเสนอ ครม.สัญจร 29 พ.ย.นี้ ต่อมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ครอบคลุมสายสีแดง และสายสีม่วงอีก 1 ปี มีผลทันทีถึง 30 พ.ย.2568 ขณะที่ พรบ. ตั๋วร่วม คาดเสนอสัปดาห์ถัดไป มั่นใจดึงรถไฟฟ้าทุกสีทุกสายในราคาเดียวกันตามเป้า ก.ย.ปีหน้า

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่จังหวัดเชียงใหม่ (ครม.สัญจร) วันที่ 29 พ.ย.นี้ กระทรวงฯ จะเสนอวาระขออนุมัติขยายมาตรการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ซึ่งมาตรการเดิมจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 พ.ย.2567

โดยการเสนอขออนุมัติขยายมาตรการปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าดังกล่าว จะครอบคลุมเป็นเวลา 1 ปี โดยมีผลทันทีถึงวันที่ 30 พ.ย.2568 นับเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ทำให้เกิดการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระทรวงฯ ยังอยู่ระหว่างเดินหน้าขยายมาตรการค่าโดยสาร 20 บาทในเกิดขึ้นกับรถไฟฟ้าทุกสีทุกสายภายในเดือน ก.ย.2568

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า การผลักดันมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย เนื่องด้วยต้องมีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... เพื่อจัดตั้งกองทุนตั๋วร่วม จัดหาแหล่งเงินมาชดเชยค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่ปรับลดลงให้แก่เอกชนคู่สัญญา จึงจำเป็นต้องรอให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เป็นผู้พิจารณาเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องด้วย โดยกระทรวงฯ คาดว่าจะสามารถเสนอร่าง พรบ.ตั๋วร่วม เพื่อให้ ครม.พิจารณาได้ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ก่อนผลักดันตามขั้นตอนและมีผลบังคับใช้ตามเป้าหมายในเดือน ก.ย.2568

ทั้งนี้ ภายในร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... จะมีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ไว้ในมาตรา 29 และมาตรา 30 โดยแบ่งเป็น

มาตรา 29 กำหนดให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในสำนักงาน เรียกว่า “กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม” มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนในการดำเนินงาน การพัฒนา และการส่งเสริมเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม รวมทั้งมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

1. เพื่อส่งเสริมและอุดหนุนประชาชนผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยความสะดวก โดยมีต้นทุนการเดินทางที่สมเหตุสมผล

2. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมของผู้รับใบอนุญาตที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากการเข้าร่วมระบบตั๋วร่วม

3. เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตกู้ยืมสำหรับดำเนินการลงทุน ปรับปรุง และพัฒนาการให้บริการระบบตั๋วร่วม

แหล่งที่มาของเงินกองทุนฯ มีการกำหนดไว้ใน มาตรา 30 กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
1. เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้

2. เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้

3. เงินค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต

4. เงินที่ได้รับตามมาตรา 31 ว่าด้วยให้ผู้รับใบอนุญาตนำส่งเงินเข้ากองทุน

5. เงินที่ได้รับจากผู้ให้บริการขนส่ง เมื่อมีสัญญาสัมปทาน สัญญาร่วมงาน หรือสัญญาร่วมลงทุนแล้วแต่กรณี มีข้อสัญญาให้ผู้ให้บริการขนส่งจะต้องส่งเงินเข้ากองทุน

6. เงินค่าปรับทางปกครองตามมาตรา 40

7. เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่กองทุน

8. ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน

ทั้งนี้ เงินอุดหนุนตาม 2 นั้น ให้รัฐมนตรีดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อสมทบเข้ากองทุนในแต่ละปีงบประมาณตามความจำเป็น เงินและทรัพย์สินของกองทุนตามวรรคหนึ่ง ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

เอสยูวีเจนใหม่ ชาร์จเร็ว 180 kW เอาใจขาลุย ก่อนเปิดราคางาน Motor Expo 2024 คาดไม่เกิด 1.09 ล้าน

(26 พ.ย. 67) AION V รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด เตรียมเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2024 ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยวแบบ Cyber พร้อมภายในหรูหราระดับพรีเมียม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการทั้งเทคโนโลยีและความสะดวกสบาย

ตู้เย็นอัจฉริยะ 3 โหมด ตู้เย็นในตัวที่ปรับอุณหภูมิได้ทั้ง อุ่นร้อน (-15°C ถึง 50°C) และ แช่เย็น/แช่แข็ง ควบคุมได้ผ่านหน้าจอ, แอปพลิเคชัน, ระบบเสียง หรือแผงควบคุม ใช้งานง่ายและเหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์

เบาะนวดไฟฟ้าพร้อมระบายอากาศ AION V มีเบาะหน้ามีระบบนวด 5 โหมด พร้อมปรับน้ำหนักการนวด 3 ระดับ และระบบระบายอากาศ มอบความสบายทั้งในวันร้อนหรือหนาว

เบาะหลังปรับเอน 137° พร้อมโต๊ะอเนกประสงค์ AION V ยังสามารถปรับเบาะหลังเอนได้สูงสุด 137° พร้อมโต๊ะรับน้ำหนักได้ 10 กิโลกรัม เหมาะสำหรับการเดินทางที่ต้องการความผ่อนคลาย

โดดเด่นด้วยแบตเตอรี่ Magazine Battery 2.0 วิ่งได้ไกลถึง 602 กม. ต่อการชาร์จเต็ม โครงสร้างปลอดภัย ลดความเสี่ยงไฟลุกจากการชน มาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 180 kW สามารถชาร์จจาก 30% ถึง 80% ใน 15 นาที รองรับชีวิตเร่งรีบ พร้อมออกเดินทางได้ทันที

โปรโมชันพิเศษ AION V จองเพียง 99 บาท รับส่วนลด 10,000 บาท พร้อมของรางวัลพิเศษและบัตรเข้างาน Motor Expo 2024

AION V เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ที่ Motor Expo 2024 พร้อมเทคโนโลยีและดีไซน์ที่ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง ลูกค้าสามารถทดลองขับได้ที่ศูนย์บริการ AION ทั่วประเทศ

‘พีระพันธุ์’ เผย กพช. เคาะอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ฝั่งน้ำมันเก็บ 0.05 บาท/ลิตร ส่วนก๊าซหุงต้มเก็บ 0 บาท/กก. เริ่ม 1 ธ.ค.67

(26 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ประชุมได้พิจารณาการกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว พ.ศ. 2567 

เนื่องจาก ประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 เดิมจะครบกำหนดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ อัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ในอัตรา 0.0500 บาทต่อลิตร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ในอัตรา 0.0000 บาทต่อกิโลกรัม โดยเริ่มใช้ 1 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรและก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้มหรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว พ.ศ. .... และมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติลงนามต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบข้อเสนอที่ให้กระทรวงพลังงานเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม จาก “ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป” เป็น “ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป”

นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังได้มีการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ (3 ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ เครื่องอัดอากาศแบบเกลียว และกระจก และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นำร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ(3 ผลิตภัณฑ์) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top