Monday, 5 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘เอกนัฏ’ ลงใต้ด่วน ร่วมปล่อยคาราวานถุงยังชีพ 5 จังหวัด พร้อมเตรียมออกมาตรการช่วยผู้ประกอบการหลังน้ำลด

(3 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย ได้ประสบอุทกภัย เนื่องจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ สงขลา พัทลุง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SME และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ ล่าสุดจากการสำรวจความเสียหายของสถานประกอบการ พบว่า มีโรงงานอุตสาหกรรม 52 แห่ง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 14 แห่ง เหมืองแร่ 1 แห่ง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 23 ล้านบาท และมีวิสาหกิจชุมชน 23 แห่ง (ข้อมูลจากศูนย์ CMC สะสมตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2567) 

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงใช้พื้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จังหวัดสงขลา จัดตั้งเป็น “ศูนย์อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทยประสบภัยน้ำท่วม“ รวบรวมสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ของใช้จำเป็น และยารักษาโรค เพื่อระดมและลำเลียงไปช่วยพื้นที่ประสบภัยในจังหวัดใกล้เคียง และเป็นศูนย์ประสานหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ติดตามความเสียหาย เตรียมพร้อมมาตรการต่าง ๆ รองรับสถานการณ์หลังน้ำลด กำหนดแผนป้องกันหากเกิดสถานการณ์ดังกล่าวอีกครั้งทั้งในระยะฉับพลัน ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ในการสนับสนุนสิ่งของอุปโภค บริโภค เพื่อส่งมอบเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 5 จังหวัด บรรเทาความเดือนร้อนเป็นการเร่งด่วน

ด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมบูรณาการกับภาคเอกชน จัดตั้งศูนย์ประสานหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ผ่าน 3 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยเร่งช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ 2) มาตรการฟื้นฟูหลังน้ำลดผ่านการให้คำปรึกษาปัญหาธุรกิจอุตสาหกรรม และช่วยเหลือในการปรับปรุงกระบวนการผลิต ฟื้นฟูเครื่องจักร ระบบไฟฟ้า เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้กลับมาดำเนินการได้ อีกทั้ง ยังมีการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม 3) มาตรการเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ผ่านการจัดทำแผนรองรับการเกิดอุทกภัยเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยจัดทำ Check list เมื่อเกิดเหตุอุทกภัย การสร้างผนังกั้นน้ำ สอนวิธีการป้องกันอุปกรณ์เครื่องจักร เป็นต้น 

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้เร่งให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยา ผ่านการจัดตั้ง “ศูนย์อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทยประสบภัยน้ำท่วม” โดยใช้พื้นที่บริเวณศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จังหวัดสงขลา เป็นจุดรวบรวมสิ่งของอุปโภค บริโภค ของใช้จำเป็น และยารักษาโรค บรรจุลง “ถุงอุตสาหกรรมรวมใจ MIND ไม่ทิ้งกัน” เพื่อกระจายไปยังประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อน เบื้องต้นได้จัดเตรียมถุงยังชีพ จำนวน 2,500 ชุด โดยในวันนี้ (3 ธันวาคม 2567) จะมีการปล่อยคาราวานรถบรรทุกสำหรับการส่งมอบถุงอุตสาหกรรมรวมใจฯ ให้แก่ประชาชนใน 5 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยจะส่งมอบให้จังหวัดละ 500 ชุด ได้แก่ สงขลา พัทลุง นราธิวาส ยะลา และปัตตานี 

“กระทรวงอุตสาหกรรมและภาคีเครือข่าย ขอรวมใจส่งมอบรอยยิ้ม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ให้สามารถก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้” นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

สวนสยามลดค่าเข้า จาก 1,000 เหลือ 240 หวังกระตุ้นนทท. มองเศรษฐกิจยังซบเซาถึงกลางปี 68

(3 ธ.ค.67) นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพาร์คซิตี้ ซึ่งดำเนินธุรกิจสวนสยาม (Siam Amazing Park) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจสวนสนุกและสวนน้ำยังคงมีความต้องการ แต่ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและภาระหนี้สินที่สูง ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง 40% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 และคาดว่าจะยังคงซบเซาต่อไปจนถึงกลางปี 2568 เนื่องจากผู้คนยังไม่มั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจ จึงมีการประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการหลายรายประสบปัญหาด้านสภาพคล่องและต้องใช้เงินทุนส่วนตัวเพื่อประคับประคองธุรกิจ ซึ่งนายวุฒิชัยได้เรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดกลางสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน เพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจเพิ่มเติม นอกจากมาตรการช่วยเหลือหนี้สินที่รัฐบาลกำหนดให้กับกลุ่มเปราะบางและธุรกิจเอสเอ็มอีรายย่อยแล้ว

"รัฐบาลควรพิจารณาช่วยเหลือธุรกิจหรือบริษัทที่ดำเนินการมาเป็นเวลานาน มีการจ้างงานจำนวนมาก และมีศักยภาพในการกลับมาฟื้นฟูกิจการ เพราะการที่ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานได้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น" นายวุฒิชัยกล่าว พร้อมเสริมว่าในปัจจุบันหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาครัฐไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกคนและทุกธุรกิจ

สำหรับสวนสยาม บริษัทได้ปรับตัวโดยลดค่าใช้จ่ายและจัดโปรโมชั่นเพื่อรองรับกำลังซื้อที่ลดลง โดยลดราคาค่าบริการจาก 1,000 บาท เหลือ 240 บาทสำหรับผู้ใหญ่ และเปิดให้ซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธันวาคม 2567 ซึ่งจะสามารถใช้ได้จนถึง 1 มกราคม 2568 โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า มีผู้เข้าใช้บริการในวันเสาร์-อาทิตย์เฉลี่ยอยู่ที่ 4,000-5,000 คนต่อวัน ทำให้สวนสยามยังสามารถสร้างรายได้เพื่อหมุนเวียนธุรกิจได้บ้าง

'พิชัย' เปิดงาน GCNT Forum 2567 ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ดันเศรษฐกิจ เชื่อมั่น ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ PCB และ AI โลก หนุนสร้าง SME รุ่นใหม่ ส่งออกสินค้าทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน UN Global Compact Network Thailand Forum (GCNT Forum) 2567 และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Inclusive Business – A Catalyst for Change to an Equitable Society : ธุรกิจแบบมีส่วนร่วม – เร่งสร้างสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งภายในงานมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย นางสาวมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Michaela Friberg-Storey, UN Resident Coordinator, Thailand) และสมาชิกจาก UN Global Compact Network Thailand ร่วมด้วยที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ESCAP Hall ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ โดยนายพิชัยได้ถือโอกาสนี้ประกาศความสำเร็จของการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเน้นย้ำถึงทิศทางของการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย อาทิ PCB Data Center และการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 

นายพิชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนมาเปิดงาน UN Global Compact Network Thailand Forum  (GCNT Forum) 2567 ในวันนี้ ซึ่งเป็นเครือข่ายของภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้จีดีพีของประเทศเริ่มดีขึ้น เมื่อไตรมาสที่แล้วจีดีพีไทยโต 3% และการส่งออกของไทยตัวเลขล่าสุด (ต.ค.67) ขยายตัว 14.6% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก ให้เกิดการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น เรื่องหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำสำเร็จแล้วคือการเจรจา FTA ไทยกับเอฟตา หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ที่ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งกำลังจะลงนามกันที่ดาวอส โดยมีผู้นำหลายประเทศเข้าร่วม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาเขตการค้าเสรีฉบับต่อไป ขณะนี้มีหลายประเทศที่มาเร่งเรื่องการเจรจา FTA ทั้งกับ EU และ UAE และทางภาคเอกชน อย่างหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของรัฐบาลไทยและกระทรวงพาณิชย์ ในการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ที่จะช่วยเปิดโอกาส ทางการค้า ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้

“FTA มีความสำคัญมากเพราะจะทำให้มีการลงทุนเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนนักลงทุนจาก USABC (สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน) ก็สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจา FTA ฉบับต่างๆ ของไทย วันนี้ ต้องเรียนว่า รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะพยายามเจรจาให้สำเร็จให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นศักยภาพทางการแข่งขันของไทยจะสู้กับเวียดนามได้ยาก เพราะเวียดนามมี FTA ครอบคลุมแล้วถึง 56 ประเทศ ในขณะที่ไทยเพิ่งมี 19 ประเทศ เราต้องเร่งเจรจาเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นต้นทุนการผลิตสินค้าของเราจะสู้เวียดนามไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนเวียดนามถูกกว่าของเราอยู่แล้ว 10% แต่ถ้าเราไม่มีเขตการค้าเสรีจะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ทำให้ต้นทุนต่างกันถึง 40% ทำให้เราต้องเร่งเจรจา FTA เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเดินหน้าเจรจา FTA จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ” รมว. พาณิชย์กล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังไปได้ดี มีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) ที่หลายประเทศบอกว่าในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลาง PCB ของโลก และเราจะเป็นศูนย์กลางของ Data Center และ AI ซึ่งเป็นทิศทางของโลก ที่เราต้องเร่งส่งเสริมในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ก็พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อวันก่อนตนไปที่เชียงใหม่ได้พบกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าไปให้การสนับสนุน พาไปออกบูธในต่างประเทศ พาไปขายของ และสำหรับบริษัทหรือแบรนด์ที่มีศักยภาพ ทางกระทรวงพาณิชย์มีแนวคิดที่จะสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพ ให้ผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าและพัฒนาต่อยอดได้ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม

“กระทรวงพาณิชย์ พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เน้นการขับเคลื่อนทุกภาคธุรกิจแบบมีส่วนร่วม ตามแนวทางของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าสู่ความยั่งยืน ผ่านนโยบายสำคัญ อาทิ 1.สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเพิ่มช่องทางการค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น 2.การบริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกรและผู้ประกอบการ สามารถเติบโตไปพร้อมกัน สร้างผลประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย 3.การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และ 4.ส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดสินค้าสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อต่อตลาด ใช้จุดแข็งต่างๆ ชูซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้สามารถขายสินค้าให้มากขึ้นได้ วันนี้โลกเปลี่ยนแล้วต้องกลับมาคิดใหม่ทำใหม่ คิดเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” นายพิชัยกล่าว

KEX ไร้แผนถอนหุ้น ปิด-ขายกิจการ ยันเดินหน้าขยายธุรกิจในไทยและอาเซียนต่อเนื่อง

(2 ธ.ค. 67) บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ออกแถลงการณ์ตอบโต้ข่าวลือเรื่องการปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน โดยยืนยันว่า บริษัทไม่มีแผนหยุดดำเนินธุรกิจหรือถอนหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมเน้นความมุ่งมั่นในการเติบโตระยะยาวในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส  ระบุว่าการรีแบรนด์จาก Kerry เป็น “KEX” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริการส่งพัสดุด่วน โดยได้รับการสนับสนุนจาก SF Express ทั้งในด้านการดำเนินงานและการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อนำเสนอบริการที่รวดเร็ว น่าเชื่อถือ และเปี่ยมด้วยนวัตกรรม  

โดยในปี 2567-2568 บริษัทวางแผนกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และขยายฐานลูกค้ากลุ่มกลางถึงสูง ทั้งรูปแบบ C2C และ B2B พร้อมปรับปรุงบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า  

KEX ดำเนินการปรับปรุงทรัพยากรในเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปิด-ปิด ย้ายที่ตั้ง หรือรวมศูนย์กระจายสินค้า (DCs) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเสีย การเพิ่มทุนล่าสุดมูลค่า 5.6 พันล้านบาท ตอกย้ำถึงการสนับสนุนจาก SF Express เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร   KEX เป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ของ SF Group ในภูมิภาคนี้ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาบริการที่ยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของลูกค้าในระยะยาว  

‘เอกนัฏ’ เล็งใช้ AI ตรวจจับสินค้าออนไลน์ไม่ได้มาตรฐาน ย้ำชัด! ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสำคัญที่สุด

เมื่อวันที่ (27 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีมาตรฐานก่อนจำหน่ายไปยังผู้บริโภค โดยพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน มักนิยมสั่งซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น ซึ่งบางครั้งเกิดการร้องเรียนเรื่องสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่คุ้มค่า คุ้มราคา โดยจากสถิติเรื่องร้องเรียนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 -2567 เกิดการร้องเรียนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2566 ได้รับการร้องเรียนจำนวน 209 เรื่อง และในปี 2567 ได้รับการร้องเรียนแล้ว 216 เรื่อง ซึ่งสินค้าที่มีการร้องเรียนเข้ามา ได้แก่ ปลั๊กไฟ สายไฟ พาวแบงก์ หม้อสแตนเลส ภาชนะพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ทำให้หน่วยงานภาครัฐวางมาตรการในการควบคุมดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ ป้องกันสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ 

โดย กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน่วยงานในสังกัดที่ดูแลเรื่องร้องเรียนในด้านต่างๆ ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนโรงงาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดูแลเรื่องการจดแจ้ง การขออนุญาตมาตรฐานต่างๆ และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ดูแลผู้ประกอบการจึงต้องมีการกำกับ ดูแล เกี่ยวกับการจัดการข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ 282/2567 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรมขึ้น โดยมีนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานคณะ ทำหน้าที่ ศึกษา และรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ จัดทำระบบ ฐานข้อมูล พร้อมเสนอแนวทางจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานในกระทรวง ประสานงานกับหน่วยงานภายนอก เพื่อศึกษา พิจารณา กลั่นกรอง และนำเสนอแนวทางในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปอุตสาหกรรม 

“การแต่งตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อให้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญร่วมกันเสนอมุมมอง และวิธีการจัดการที่เหมาะสม ควบคุมดูแลร้านค้าบนแฟลตฟอร์มออนไลน์อย่างจริงจัง ขอย้ำว่ากระทรวงอุตสาหกรรม เอาจริง ปรับจริง และจับจริงกับผู้ค้าที่จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ผ่านมาตรฐานตามข้อกฎหมายกำหนด เพราะความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภคเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้านนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม เป็นการดำเนินการตามแนวตามนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส” โดยให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

ซึ่งที่ประชุมได้นำเสนอ 2 เทคโนโลยี ได้แก่ 1) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่ใช้ใน Platform e-Commerce เพื่อแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการแอบอ้างนำเครื่องหมาย มอก. มาแสดงบนผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาตบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และ 2) เทคโนโลยี Traffy Fondue มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียนรายงานสินค้าปลอมหรือผิดกฎหมาย โดยที่ประชุมได้ยังลงความเห็นให้จัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นอีก 2 คณะ คือ

1. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม โดยมีนายวีรพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการ มีหน้าที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาประยุกต์ใช้ในการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และบูรณาการความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการ

และ 2. คณะอนุกรรมการพัฒนาแพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ โดยมี
นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่ ส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียน สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยี Traffy Fondue มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์แจ้งเรื่องร้องเรียนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม ให้การรับเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนเป็นเรื่องง่ายผ่านช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ 

 “การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะดังกล่าว เรามุ่งดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายในการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจไทยยุคใหม่ของกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ร่วมกันหารือการจัดทำระบบที่เป็นมาตรฐาน มีฐานข้อมูลของผู้ขายและสินค้าที่ขายมีการใช้เทคโนโลยี  AI ในการตรวจสอบตัวตน สามารถตัดระบบผู้ที่ทำผิดกฎได้ในทันที เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ มีความปลอดภัย ได้รับสินค้าที่มีมาตรฐาน ทั้งนี้คณะกรรมการฯ แต่ละชุดจะเร่งจัดหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป” นายพงศ์พล กล่าว

‘การบินไทย’ หวังผงาด!! ครองมาร์เกตแชร์ภูมิภาค 35% ขยายฝูงบิน 150 ลำ พร้อมปรับแผน เพื่อลดต้นทุนการซ่อม

(1 ธ.ค. 67) สถานการณ์อุตสาหกรรมการบินโลก IATA ประมาณการณ์รายได้รวมของสายการบินในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 119% ของรายได้รวมก่อนโควิด-19 โดยจะมีรายได้สูงถึง 996,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปัจจัยมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสาร และการรักษาเสถียรภาพของผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร

ขณะเดียวกัน IATA ยังคาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกจะเติบโตถึง 2.1 เท่าภายในปี 2586 โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จะมีอัตราการเติบโตสูงสุดคิดเป็น 2 ใน 3 โดยประเมินว่าในช่วงปีดังกล่าวจะมีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางทางอากาศสูงถึง 8,600 ล้านคน และสัดส่วน 46% เดินทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

จากแนวโน้มการขยายตัวของปริมาณการเดินทางดังกล่าว บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วางแผนช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เกตแชร์) ในฐานะสายการบินแห่งชาติที่ครองฐานการบินในประเทศไทย ซึ่งเป็นเดสติเนชั่นยอดฮิตของการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

‘ชาย เอี่ยมศิริ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทยมุ่งมั่นจะเป็นสายการบินที่ให้บริการแบบเครือข่าย (Network Airline) เพื่อสร้างเป็นจุดแข็งในการขยายเครือข่ายเส้นทางบินในภูมิภาค โดยการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระยะสั้นจะช่วยสร้างความได้เปรียบของบริษัท และเพิ่มความถี่และเวลาของเที่ยวบิน เพื่อเชื่อมต่อจุดบินเมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกับฐานการบินสำคัญอย่างกรุงเทพฯ

โดยภายใต้แผนขยายบริการแบบเครือข่ายนั้น การบินไทยจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนฝูงบินรองรับ พร้อมทั้งปรับปรุงฝูงบินครั้งใหญ่ เพื่อให้การบินไทยสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านการบินอย่างมีประสิทธิภาพ 

ซึ่งปัจจุบันวางเป้าหมาย ‘ลดแบบเครื่องบินเหลือ 4 แบบ’ จากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 การบินไทยมีฝูงบิน 8 แบบรวม103 ลำ ส่งผลให้ต้องแบกรับต้นทุนค่าซ่อมและอะไหล่ที่หลากหลาย โดยขณะนี้ได้ทำการปรับลดฝูงบินเหลือ 6 แบบรวม 79 ลำ และจะทยอยปรับลดต่อเนื่องในปี 2572 คาดเหลือ 5 แบบรวม 143 ลำ และท้ายที่สุดในปี 2576 จะเหลือ 4 แบบรวม 150 ลำ

สำหรับปลายทางของการปรับปรุงฝูงบิน ‘การบินไทย’ ในปี 2576 จะมีฝูงบินรวม 150 ลำ แบ่งเป็น เครื่องบินลำตัวกว้าง 98 ลำ และลำตัวแคบ 52 ลำ โดยมีประเภทเครื่องบิน ประกอบด้วย

• โบอิ้ง B777-300ER จำนวน 15 ลำ
• แอร์บัส A350 จำนวน 17 ลำ
• โบอิ้งตระกูล B787 จำนวน 66 ลำ
• แอร์บัส A320/A321 NEO จำนวน 52 ลำ

ทั้งนี้ การผลักดันแผนปรับปรุงฝูงบินดังกล่าว ปัจจุบันการบินไทยได้เจรจาและเข้าทำข้อตกลงกับ Boeing และ GE Aerospace เพื่อจัดหาเครืองบินลำใหม่จำนวน 45 ลำ พร้อมกับสิทธิในการจัดหาเพิ่มอีก 35 ลำ นอกจากนี้การจัดหาเครื่องบินลำตัวแคบ ปัจจุบันได้ทำการเจรจาและเข้าทำข้อตกลงกับ Lessor เพื่อจัดหาเครื่องบินลำใหม่รุ่นแอร์บัสA321 จำนวน 32 ลำ ซึ่งคาดว่าฝูงบินใหม่นี้จะทยอยรับมอบเข้ามาในปี 2570 – 2576

สูตรสำเร็จของการบินจากการวางแผนธุรกิจและปรับปรุงฝูงบินครั้งนี้ มีเป้าหมายจะครองมาร์เกตแชร์สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกลับมาในระดับ 35% ภายในปี 2572 เป็นต้นไป เพิ่มขึ้นหลังการปรับลดเครื่องบินและปรับปรุงฝูงบินในปี 2566 ที่การบินไทยมีจำนวนฝูงบิน 70 ลำ ครองมาร์เกตแชร์ 28% และจะเป็นผลบวกระยะยาวที่ทำให้การบินไทยสามารถบริหารต้นทุนทางการบิน ค่าซ่อมและอะไหล่เครื่องบินที่ลดลง

‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ร่อนแถลงการณ์ ข้อเท็จจริงปมลงทุน ‘โชห่วย’ หลังมีผู้ร้องเรียน ‘DSI’ ชี้!! สร้างความเสียหายอย่างมาก ให้บริษัท

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ออกแถลงการณ์กรณี มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ว่า บริษัทฯ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย พร้อมทั้งมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ

โดยบริษัทฯ ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้เสมอมา โดยการดำเนินธุรกิจร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับร้านค้าปลีกในชุมชนอันเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการร้าน

ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง บริษัทฯ มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน และมั่นใจว่าสามารถพิสูจน์ความสุจริตได้ในทุกประเด็น กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการกระทำเป็นขบวนการและก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐต่างๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐทุกแห่งรวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษเคยพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งยุติเรื่องเนื่องจากไม่มีมูลความจริงไปแล้วทั้งสิ้น

กลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนส่วนใหญ่มีประวัติเบียดบังทรัพย์สินและเงินของบริษัทฯ ไป และยังคงค้างชำระหนี้สินกับบริษัทฯ และบางรายอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ของบริษัทฯ พฤติกรรมการรวมตัวร้องเรียนดังกล่าวแสดงถึงความพยายามเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จด้วยการอ้างว่าถูกหลอกลวงลงทุนเพื่อสร้างกระแสข่าวให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และหวังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในประเด็นหนี้สินและคดีความของตนเอง

การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวทำให้บริษัทฯ เสียหายอย่างมาก ขอให้สื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปอย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งท่านสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และปราศจากมูลความจริงได้จากร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ หลายพันรายที่เชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างสุจริตและโปร่งใสของบริษัทฯ จึงดำเนินธุรกิจกับบริษัทฯ ด้วยดีมาเป็นเวลาหลายปี และยังคงเปิดดำเนินการอยู่ในชุมชนของท่าน

ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงในการอธิบายข้อเท็จจริงต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว และพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่กลับพบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวยังคงกระทำการให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจร้านค้าชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศ

บริษัทฯ ขอขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจและผู้สนับสนุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในความตั้งใจและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกชุมชนอย่างยั่งยืน

‘TOAVH’ ปรับทัพ!! ธุรกิจดีลเลอร์ ดัน!! ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ สู้ศึกตลาดรถ

(30 พ.ย. 67) นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน กลุ่มบริษัทในเครือ ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง (TOAVH) เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายในการขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ทาง TOAVH ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับชั้นแนวหน้าของจีน จำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ DEEPAL, ZEEKR, OMODA&JAECOO และ AION และทุ่มงบการลงทุน จำนวน 220 ล้านบาท ในการก่อสร้างและปรับโฉมโชว์รูม-ศูนย์บริการ เพื่อรองรับการบริการให้แก่ลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการหลังการขายที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบสำหรับรถยนต์ทั้ง 4 แบรนด์

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ของตลาดรถยนต์มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการแข่งขันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อรองรับการขยายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในอนาคต

ทาง TOAVH จึงได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ด้วยการควบรวมบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกแห่งเข้ามาอยู่ภายในสังกัดการบริหารงานของ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ โดยมี ‘จิระพล รุจิวิพัฒน์’ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร กำกับดูแลด้านบริหารจัดการโดยรวมของทุกบริษัทในเครือ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบรรจุเป้าหมายโดยรวมขององค์กร

‘จิระพล’ นับเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มากประสบการณ์และเป็นผู้บริหารหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งด้านการขาย การบริการหลังการขาย และการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการบริหารงานธุรกิจดังกล่าว ซึ่งผมมั่นใจว่า ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ภายใต้การบริหารของ ‘จิระพล’ จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ของ TOAVH เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแน่นอน นายณัฏฐวุฒิ กล่าว

ปัจจุบัน ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 7 แบรนด์  โดยมีโชว์รูม-ศูนย์บริการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งหมด 16 สาขา ได้แก่

1.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ MERCEDES-BENZ ในนาม บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ พัทยา จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขาเลียบด่วน-เอกมัยรามอินทรา กับสาขาพัทยา จ.ชลบุรี เฟส 1 บนพื้นที่พัทยา-นาจอมเทียน และเฟส 2 พื้นที่พัทยาใต้

2.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ DEEPAL ในเครือ CHANGAN ในนาม บริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ ชลบุรี จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขารามคำแหง และสาขาชลบุรี

3.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ZEEKR ในนาม บริษัท ไพรม์มัส เพรสทีจ จำกัด โดยมีสาขาที่ราชพฤกษ์ และป๊อปอัพ สโตร์ ที่เดอะมอลล์ บางแค

4.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ OMODA&JAECOO ในนามบริษัท ไพรม์มัส โอแอนด์เจ พระราม 9 จำกัด มี 1 สาขา คือ ที่พระราม 9

5.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ AION ในนาม บริษัท ไพรม์มัส มอเตอร์ส อมตะนคร จำกัด มีสาขาตั้งอยู่ที่อมตะนคร จ.ชลบุรี

6.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ MG ในนามกลุ่มบริษัท เบส ออโต้ เซลส์ มีสาขาทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเพชรเกษม65, สาขาบางนา กม.5, สาขาบายพาส ชลบุรี, สาขาศรีราชา, สาขาพัทยา นาจอมเทียน และศูนย์ซ่อมสี-ตัวถัง อมตะนคร, สาขาแม่โจ้ และสาขาหางดง เชียงใหม่

7.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ SUZUKI ในนาม บริษัท ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ มีสาขาอยู่ที่ศรีราชา  จ.ชลบุรี

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ได้เปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของ ไพรม์มัส กรุ๊ป ไม่ได้คำนึงการทำตัวเลขยอดขายเป็นหลัก หากให้ความสำคัญกับการเปิดประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการที่ครบวงจร จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ด้านรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ พร้อมคัดสรร

ผลิตภัณฑ์รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลายรุ่นและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งยกระดับการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลูกค้าเราในทุกแบรนด์ ตามสโลแกน “เรื่องรถ ให้ไพรม์มัส ดูแล

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์และการบริการระดับพรีเมี่ยมของรถยนต์ทั้ง 7 แบรนด์ ได้แก่ Deepal, Mercedes-Benz, Zeekr, Omoda&Jaecoo, Aion, MG และ Suzuki ในช่วงงาน Motor Expo ทาง ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ จึงได้นำจัดแสดงรถยนต์ให้เลือกชมและเป็นเจ้าของได้อย่างสะดวกสบายที่โชว์รูมและศูนย์บริการของเราทุกแห่ง โดยจะมีการเปิดจองรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดเงินสด, ดอกเบี้ย 0%, เลือกผ่อนเริ่มต้น 222 บาทต่อวัน หรือโปรช่วผ่อน 4 เดือน มูลค่า 100,000 บาท เป็นต้น

และพิเศษ! ในงาน Test Drive Day Primus Expo เฉพาะที่โชว์รูมรถยนต์ MG และ Suzuki ทุกสาขา รับเพิ่ม!! ทองคำ มูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ถึง 15 ธ.ค. นี้

‘อินเตอร์ลิ้งค์ฯ’ ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จาก ‘สถาบันไทยพัฒน์’ ตอกย้ำ!! ความมุ่งมั่น ด้านความยั่งยืน – ความโปร่งใส ขององค์กร

(30 พ.ย. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้รับรางวัล ‘Sustainability Disclosure Recognition’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้ความสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วน และโปร่งใส โดยเน้นการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล  

พิธีมอบรางวัลนี้ ดร.ชลิดา  อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เข้ารับรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Recognition ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ จัดขึ้นโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี องค์กรชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมมากมาย มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ (Award) 58 แห่ง ประกาศเกียรติคุณ (Recognition) 57 แห่ง และกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) 29 แห่ง รวมทั้งสิ้น 144 รางวัล 

โดยการมอบรางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ในปี 2567 แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ 

• Sustainability Disclosure Award มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จำนวน 58 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Recognition มีองค์กรที่ได้รับประกาศเกียรติคุณ จำนวน 57 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Acknowledgement มีองค์กรที่ได้รับกิตติกรรมประกาศ จำนวน 29 แห่ง

และบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รับการยกย่องในฐานะองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการบริหารงานที่โปร่งใส พร้อมรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม และยืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องในอนาคต

นับว่า บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือ สิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุม เรื่องการบริหารจัดการ ด้าน ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบเชิงบวกที่องค์กรมีต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับว่ารางวัลนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 12.6 ร่วมกัน โดยปัจจุบัน SDC มีองค์กรสมาชิกจำนวน 167 ราย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ และการช่วยเหลือชุมชน ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ดร.ชลิดา อนันตรัมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้รับรางวัลนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน อีกทั้ง รางวัลนี้ถือเป็นการยืนยันถึงการทำงานของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ยังใส่ใจต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม เราจะเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนอย่างมั่นคง”  

ด้วยความมุ่งมั่นในแนวทางดังกล่าว อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จะยังคงเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ตอบโจทย์แก่ยุค พร้อมร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ และสังคมที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

‘ศาลแพ่ง’ ยกฟ้อง!! ‘ไทยไบโอ อินโนเวชั่น’ จากกรณีผิดสัญญา!! ซื้อขาย น้ำมันปาล์มดิบ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับข้อพิพาทของบริษัท กรณีบริษัท ไทยไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด (เดิมชื่อบริษัท อนันตา กรีน จำกัด) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท โดยอ้างว่าบริษัทผิดสัญญาซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ และเรียกร้องให้บริษัทฯ คืนเงินและชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 595.10 ล้านบาท และดอกเบี้ยนั้น 

ศาลแพ่งมีคำพิพากษายกฟ้องทำให้บริษัทไม่ต้องชำระค่าเสียหายใดตามฟ้อง อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด คู่ความฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธณณ์ได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หรือตามกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top