Thursday, 15 May 2025
ECONBIZ NEWS

ก.อุตฯ ผนึกภาคเอกชน ช่วยหนุน SMEs ไทย ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันยุค 4.0

นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังพิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม และบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในครั้งนี้ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์เครื่องจักรต่าง ๆ เข้ากับโลกดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ ประกอบกับที่บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ปราจีนบุรี) มีเป้าหมายที่ตรงกันที่อยากจะช่วยพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมของภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อพัฒนาเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 
.

“การลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในวันนี้ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมไทย โดยมีสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และสถาบันไทย-เยอรมัน ร่วมเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกิจกรรมความร่วมมือใน 3 ด้าน ได้แก่... 

1.) ด้านการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาบุคลากร โดยจะให้ความร่วมมือด้านวิชาการและเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาศักยภาพโรงงานอุตสาหกรรม ส่งเสริมการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุนในกระบวนการทำงาน ตลอดจนการส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปให้คำแนะนำในสถานประกอบการผ่านหลักสูตรที่เน้นการสร้างและพัฒนาบุคลากรให้สามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ขององค์กรสู่บุคลากรได้ 

2.) ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี โดยให้ความร่วมมือในการสนับสนุนด้านกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ในการวางแผนและปฏิบัติการ (Strategic Planning and Operating) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ที่เหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ 

และ 3.) ด้านการเผยแพร่ความรู้สู่สังคม โดยให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรม นิทรรศการวิชาการ และเผยแพร่ให้ความรู้ทางวิชาการ ผ่านการประชาสัมพันธ์และการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนทั่วไป รวมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ด้านต่าง ๆ ในสถานประกอบการได้อย่างเหมาะสม 

‘ซิตี้แบงก์’ เลือก ‘กรุงศรีฯ’ ชนะประมูล คว้าพอร์ตธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในไทย

บลูมเบิร์กเผย ซิตี้แบงก์เลือกแบงก์กรุงศรีฯ คว้าประมูลสินทรัพย์ธุรกิจลูกค้ารายย่อยในไทย ตามแผนถอนกิจการลูกค้ารายย่อย 13 ชาติเอเชีย

วันที่ 7 ธันวาคม 26564 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ซิตี้กรุ๊ป ซึ่งมีแผนถอนตัวธุรกิจลูกค้ารายย่อย ออกจากในหลายชาติของเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ได้เลือกผู้เสนอราคาสำหรับการรับช่วงต่อธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้แบงก์ในแต่ละชาติแล้ว โดยบลูมเบิร์กอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า “ซิตี้กรุ๊ป” (Citigroup) สถาบันการเงินระดับโลก ได้เลือก บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชนะประมูลเข้าซื้อสินทรัพย์รายย่อยในไทย

โดยเบื้องต้นยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการซื้อขาย ระบุเพียงว่ายังอยู่ในช่วงการเจรจาเงื่อนไขข้อตกลงซึ่งอาจมีความชัดเจนขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ประเมินว่ามูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ในไทยอาจมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์

เปิดดัชนีเชื่อมั่นอุตสาหกรรมฟื้นตัว 3 เดือนติดต่อกัน

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม โดยสำรวจผู้ประกอบการ 1,381 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ในเดือนพ.ย. 2564 พบว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 85.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 82.1 ในเดือนก่อน ปรับตัวเพิ่มเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง 

ขณะที่การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าอย่างชัดเจน ส่งผลให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีการปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยกเลิกมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิวส์) และอนุญาตให้สถานที่หรือกิจการบางประเภทสามารถเปิดดำเนินการได้ รวมทั้งการเปิดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต เพื่อรองรับการเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 97.3 จากระดับ 95.0 ในเดือนต.ค. 2564  

'Omicron' เขย่าเศรษฐกิจ หลายฝ่ายเชื่อระบบสาธารณสุขเอาอยู่

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีการตรวจพบผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกของไทย ว่า ไม่อยากให้ทุกฝ่ายต้องตื่นตระหนก จนถึงขนาดต้องกลับมาปิดประเทศอีกครั้ง เนื่องจากหากมีการปิดประเทศอีก เศรษฐกิจที่กำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น จะกลับมาอยู่ในภาวะช็อกได้ ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง เพราะการปิดประเทศ ไม่ถือเป็นการตอบโจทย์แล้ว ต้องหาวิธีที่ทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ 

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นโยบายการเปิดประเทศรับต่างชาติมาไทยก็ยังไม่ได้สะดุด แม้จะพบรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเข้ามาในประเทศไทยเป็นรายแรกแล้ว แต่ก็เชื่อว่าระบบสาธารณสุขของไทย สามารถรับได้ เพราะในกรณีนี้ พบว่ามาจากนักท่องเที่ยวที่มาในรูปแบบ Test & Go ก็ได้รับการคัดกรอง พร้อมกับตรวจหาเชื้อตั้งแต่วันแรกด้วยวิธี RT-PCR จึงมั่นใจว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปด้วยความรอบคอบเฝ้าระวังสูงสุด และไม่ได้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีมากนักหากบริหารจัดการได้ดี

กลุ่มคนกลางคืน นักร้อง นักดนตรี เฮ! นายก สั่ง รมว.เฮ้ง คลอดมาตรการเยียวยาจ่าย 5,000 ม.33 รับ 2 ต่อ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับ นางสาวสุนทราลักษณ์ เพ็ชรกูล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน จากสภาพัฒน์ และผู้แทนกลุ่มคนกลางคืน นำโดย คุณธเนส สุขวัฒน์ ตัวแทนนักดนตรี ผู้จัดงานคอนเสิร์ต คุณวรพจน์ นิ่มวิจิตร ตัวแทนผู้จัดงานคอนเสิร์ต อีเว้นท์ จากสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางการเยียวยานักร้อง นักดนตรี นักแสดง และผู้ประกอบการสถานบันเทิง คลับ ผับ บาร์ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือ จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 นายจ้าง ให้ลงทะเบียนโครงการ SME (โครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงาน) ต่ออีก 1 เดือน เพื่อช่วยเหลือนายจ้างกลุ่มนี้ 3 เดือน โดยไม่มีภาษี กลุ่มที่ 2 ลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม จะให้ประกันสังคมเยียวยาว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ และจ่ายอีก 5,000 บาท จากรัฐบาล (ม.33 เรารักกัน) กลุ่มที่ 3 ลูกจ้างที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม จะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล โดยใช้เงินกู้จากรัฐบาล แต่ต้องให้สมาคม/สมาพันธ์รับรอง ทั้งนี้ ได้ตรวจสอบตัวเลขในระบบพบว่า ทั้งประเทศคาดว่าอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1.5 แสนราย ซึ่งจะต้องใช้เม็ดเงินกู้จากรัฐบาลเยียวยาประมาณ 750 ล้านบาท ส่วนผู้ที่เกินอายุเกิน 65 ปี ซึ่งไม่เข้าข่ายมาตรา 40 ของประกันสังคม จะประสานให้กระทรวงวัฒนธรรมสำรวจตัวเลขและเป็นผู้ดูแลเยียวยาต่อไป

น้ำท่วม-น้ำมันแพง ทำเงินเฟ้อ พ.ย.พุ่ง 2.71% จับตาโอไมครอนปลายปี

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ เดือนพ.ย.2564 ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือเงินเฟ้อทั่วไป เดือนพ.ย 2564 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 2.71 จาก 2.38% ในเดือนก่อน ตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมัน รวมถึงราคาผักสด ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เช่นเดียวกับเนื้อสุกร อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน และเครื่องประกอบอาหาร ราคาปรับสูงขึ้นตามต้นทุน สำหรับสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง อาทิ ข้าวสาร ไก่สด ผลไม้สด เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำดื่มบริสุทธิ์ กาแฟผงสำเร็จรูป) และเสื้อผ้า ส่วนสินค้าอื่น ๆ ยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ปกติ สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและกลไกของตลาดในปัจจุบัน

“เงินเฟ้อในเดือนนี้ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งมาตรการด้านการท่องเที่ยว และมาตรการสนับสนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ในประเทศ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมและกำลังซื้อของประชาชนปรับตัวดีขึ้น”

ส่วนแนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนธ.ค. 2564 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญมาจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงและมีทิศทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและค่าขนส่ง ส่วนราคาสินค้าในกลุ่มอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการ ปริมาณผลผลิต ต้นทุนและวัตถุดิบ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในหลากหลายรูปแบบที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

ลุ้น "บิ๊กตู่" ประชุมศบศ. เคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-การลงทุน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบศ. มีวาระที่น่าสนใจ โดยที่ประชุมจะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย เช่นเดียวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจการคลาวด์เชอร์วิส มาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ

นอกจากนี้ยังเตรียมรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุดและแนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจไทย จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าการจัดงานสภาอุตสาหกรรมเอ็กซ์โป หรือ FTI Expo 2022 Made in Thailand จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ด้วย 

กนอ. ขานรับนโยบาย ‘สุริยะ’ ดันโรงงานมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว คิกออฟ ‘นิคมฯ หนองแค โมเดล’ ที่แรก

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ชู ‘นิคมฯหนองแค โมเดล’ พัฒนาตามแนวทางส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล เน้นพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยเพื่อชุมชน เตรียมปรับเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) ปี 2565 พร้อมผลักดันสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียวให้เป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้! 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ รวมทั้งส่งเสริมให้ การประกอบกิจการต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแนวทางอุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล หรือ BCG Model ที่เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม 3 มิติไปพร้อมกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลเกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน

“กระทรวงฯมุ่งมั่นผลักดันโรงงานสู่การเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) โดยตั้งเป้าทุกแห่งภายในปี 2568 แบ่งเป็น เป้าหมาย 60% ในปี 2565 เป้าหมาย 80% ในปี 2566 เป้าหมาย 90% ในปี 2567 และเป็น 100% ในปี 2568 ซึ่งเป็นไปตามแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว 2564 - 2580 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ส่งเสริมและกำกับดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ” นายสุริยะ กล่าว

‘คลัง’ สั่งเพิกถอนใบอนุญาต บจ.บิทคอยน์ หลังชำระทุนจดทะเบียนไม่ถึง 50 ลบ.

เว็บไซต์ราชกิจจาฯ เผยแพร่ คำสั่งกระทรวงการคลัง เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ สินทรัพย์ดิจิทัลประเภทการเป็นศูนย์ซื้อขาย คริปโทเคอร์เรนซี และใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ ดิจิทัลประเภทการเป็นศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล ของบริษัท บิทคอยน์ จำกัด

วันที่ 1 ธ.ค. 64 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ คําสั่งกระทรวงการคลังที่ 1904/2564 เรื่อง เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท บิทคอยน์ จํากัด เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา

ความว่า ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัท บิทคอยน์ จํากัด (“บริษัท”) ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาต ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทการเป็นศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และใบอนุญาตประกอบ ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทการเป็นศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล ตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจ สินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561

ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการได้รับใบอนุญาตตามข้อ 2 (3) ประกอบกับ ข้อ 3 (2) ของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 (“ประกาศกระทรวงการคลัง”)

โดยเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563 และวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 บริษัทได้ลดทุนจนทําให้ทุนจดทะเบียน ซึ่งชําระแล้วของบริษัทเหลือเพียง 12.5 ล้านบาท และ 3.125 ล้านบาท ตามลําดับ ซึ่งข้อ 2 (1) ของประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 20/2561 เรื่อง การกําหนด ทุนจดทะเบียนซึ่งชําระแล้วของผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประกอบกับข้อ 3 (1) ของประกาศคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่ กธ. 32/2563 เรื่อง การกําหนดทุนจดทะเบียนซึ่งชําระแล้วของผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ สินทรัพย์ดิจิทัล ลงวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ที่กําหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ต้องมีทุนจดทะเบียนซึ่งชําระแล้วไม่น้อยกว่าจํานวน 50 ล้านบาท

เกษตรฯ บี้ ยกระดับทำเกษตรแปลงใหญ่ลดต้นทุน สั่งสิ้นปีต้องเสร็จ

นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานโครงการยกระดับแปลงใหญ่ ว่า ที่ประชุมได้สั่งการให้หน่วยงานเจ้าของสินค้าที่มีปัญหาในการดำเนินการที่คาดว่าจะแล้วเสร็จช้ากว่าแผนที่กำหนด ให้ติดตามเร่งรัดอย่างใกล้ชิด และรายงานความก้าวหน้าให้ทราบอย่างต่อเนื่อง และส่งรายงานเอกสารบัญชีกลุ่มแปลงใหญ่ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ให้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์เข้าไปตรวจสอบให้ทันตามแผน ซึ่งทุกกิจกรรมต้องเสร็จภายในเดือนธ.ค. 2564 

สำหรับการเบิกจ่ายเงินของกลุ่มแปลงใหญ่ โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดโครงการส่วนใหญ่ถือได้ว่าเป็นไปตามแผนเบิกจ่ายแล้ว จำนวน 3,044 แปลง คงเหลือ 220 แปลง กลุ่มแปลงใหญ่ดำเนินการเบิกจ่ายเงินแล้ว จำนวน 3,269 แปลง จากเป้าหมาย 3,379 แปลง โดยผลการเบิกจ่ายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ จำนวน 110 แปลง ซึ่งมีกำหนดเสร็จตามแผนส่วนใหญ่ 

ขณะเดียวกันที่ประชุมได้รับทราบผลจากการลงพื้นที่จังหวัดสระบุรีเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มแปลงใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากโครงการฯ สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดหาปัจจัย วัสดุอุปกรณ์การผลิต เครื่องจักรกล เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตของกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ตามแผนการบริหารจัดการกลุ่ม 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top