Saturday, 17 May 2025
ECONBIZ NEWS

'อลงกรณ์' ชงฟรุ้ทบอร์ดเห็นชอบโครงการจัดตั้ง มหานครผลไม้ (Fruit Metropolis) และ กองทุนผลไม้แห่งชาติ เพื่อยกระดับจันทบุรีและภาคตะวันออกเป็นฮับผลไม้โลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษาโครงการมหานครผลไม้ และการขนส่งผลไม้ผ่านสนามบินจันทบุรี เปิดเผยวันนี้ภายหลังเป็นประธานการประชุม คณะทำงานศึกษาโครงการมหานครผลไม้ และการขนส่งผลไม้ผ่านสนามบินจันทบุรี ว่า คณะทำงานฯ.จะเสนอฟรุ้ทบอร์ด (Fruit Board) พิจารณาเห็นชอบพิมพ์เขียวแนวทางการพัฒนาโครงการจัดตั้งมหานครผลไม้ (Fruit Metropolis Blueprint) และหลักการแห่งร่างกฎหมายกองทุนผลไม้แห่งชาติ (National Fruit Fund)รวมทั้งแนวทางการพัฒนาสนามบินจันทบุรีในการประชุมฟรุ้ทบอร์ดครั้งต่อไปคาดว่าเป็นปลายเดือนหน้าหรือต้นเดือนมกราคมเพื่อยกระดับจันทบุรี ภาคตะวันออกเป็นฮับผลไม้โลกในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำการผลิตและส่งออกผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้ของโลกโดยปีที่ผ่านมาสามารถส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2 แสนล้านบาท 

โครงการมหานครผลไม้มุ่งต่อยอดการพัฒนาจากฐานศักยภาพปัจจุบันของจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราดและจังหวัดอื่นๆในภาคตะวันออกเชื่อมโยงกับศักยภาพของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก(Eastern Economic Corridor)โดยจะจัดตั้งบนพื้นที่ของรัฐในอำเภอนายายอามและอำเภอท่าใหม่ของจังหวัดจันทบุรีพร้อมกับการพัฒนาสนามบินจันทบุรีเป็นสนามบินพาณิชย์
โดยโครงการมหานครผลไม้ประกอบไปด้วยการแบ่งโซนพื้นที่และองค์ประกอบสำคัญเช่น
1.ศูนย์บริหารจัดการผลไม้ครบวงจร 
2.ศูนย์ธุรกิจ แสดงสินค้าและการประชุม
3. ศูนย์การค้าอีคอมเมิร์ซและการประมูลออนไลน์
4.ศูนย์แปรรูปผลไม้
5.ศูนย์โลจิสติกส์ การขนส่งและคลังสินค้า
6.ศูนย์รวบรวมคัดแยกและบรรจุผลไม้สด
7. ศูนย์ห้องเย็น(Cold Chain Center)
8.ศูนย์ปฎิบัติการแล็ปกลาง
9.ศูนย์ตรวจรับรองคุณภาพผลไม้
10.ศูนย์วิจัยและพัฒนาโดยสถาบันผลไม้(Fruit Academy)จัดตั้งภายใต้ระบบAIC(ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม-Agritech and Innovation Center)

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า การบริหารจัดการจะใช้รูปแบบPPPและการลงทุนของภาคเอกชนเป็นหลักเน้นการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เกษตรมูลค่าสูงโดย ต่อยอดและเชื่อมโยงเสริมศักยภาพปัจจุบันของตลาดผลไม้และระบบการค้าการส่งออกที่มีอยู่เดิมเพิ่มในส่วนที่ขาดมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางผลไม้ของโลก รวมทั้งการสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการและภาคเกษตรกรชาวสวนผลไม้ภายในประเทศและต่างประเทศที่เป็นตลาดสำคัญเช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ฮ่องกง อาเซียน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ดูไบ ซาอุดีอาระเบีย เนเธอร์แลนด์และอียู ฯลฯ ในรูปแบบคล้ายคลึง FKIIของญี่ปุ่นและโมเดลFood Valleyของเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้ในฐานะประธานกรกอ.จะนำโครงการมหานครผลไม้เข้าสู่การพิจารณาของการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กรกอ.)ครั้งหน้าเพื่อเชิญชวนผู้ประกอบการโรงงานกลุ่มคลัสเตอร์แปรรูปผลไม้และเวชสำอางค์ที่สนใจมาลงทุน

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าในการพัฒนาและปรับปรุงสนามบินท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และเห็นว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นสนามบินพาณิชย์เพื่อการขนส่ง การค้าและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดนอกเขตอีอีซี.โดยช่วงแรกจะใช้สนามบินอู่ตะเภา สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและสนามบินจังหวัดตราดไปพลางก่อนโดยจะมีหนังสือขอการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคมรวมทั้งการขยายระบบรางมายังโครงการมหานครผลไม้ด้วย

ปตท. จัดงาน ‘Gas Grows Zerotopia 2022’ ส่งเสริมอุตฯ ไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

เมื่อวันที่ 25 - 26 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าภาพจัดงานเสวนาวิชาการและนิทรรศการ Gas Grows Zerotopia 2022 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยมี ม.ล. ปีกทอง ทองใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ นางสุณี อารีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ระบบท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ พร้อมให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการจัดการพลังงาน รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เครื่องจักรให้กับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการลดภาระต้นทุนในช่วงสถานการณ์ราคาพลังงานที่ผันผวน โดย ม.ล. ปีกทอง ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ ‘สถานการณ์พลังงานและแนวทางการนำไปสู่เป้าหมาย Net Zero’ 

‘ภูเก็ต’ ย้ำ พร้อมเป็นเจ้าภาพ Specialised Expo 2028 เร่งเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานรองรับการเดินทาง

ภูเก็ต เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ขอเป็นเจ้าภาพ Specialised Expo 2028 ใน Concept 'Future Life' พร้อมยกระดับทุกด้าน แข่งกับอีก 4 เมืองทั่วโลก

เพจโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure ได้โพสต์ถึงภูเก็ตได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Specialised Expo 2028 ว่า รายละเอียดของ Phuket Expo 2028 ซึ่งได้เข้านำเสนอ และแสดงวิสัยทัศน์กับทาง BIE เพื่อแสดงความพร้อมที่จะขอเสนอเป็นเจ้าภาพ Specialised Expo 2028 ซึ่งต้องแข่งกับอีก 4 เมืองจากทั่วโลก ได้แก่

* Argentina (San Carlos de Bariloche)
* Serbia (Belgrade)
* Spain (Malaga)
* United States (Minnesota)

ซึ่งภูเก็ตก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งของงานนี้เลยทีเดียว 

โดยจากการ present ครั้งที่ 2 กับทาง BIE ทีม Expo ภูเก็ต ทำได้ดีและพร้อมมากๆ โดยเฉพาะการให้น้องกานพลู ซึ่งเป็นเยาวชนทูตภูเก็ต เริ่มต้นพูดด้าน Concept การสร้างสรรค์ EXPO สำหรับคนรุ่นต่อไป ใครยังไม่ได้ดู ดูได้จากลิ้งค์นี้ ตั้งแต่ช่วง 6:42:00 ครับ
https://youtu.be/ZHRdzXg_3Ms

มาดูกันที่รายละเอียดของ ภูเก็ต EXPO 2028 กันบ้าง

หัวข้อ 'Future of Life: Living in Harmony, Sharing Prosperity' ชีวิตในอนาคต การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและธรรมชาติ 

หัวข้อรอง คือ 
(1) Life and Well-Being 
(2) Human-Nature 
(3) Mutual Prosperity

ช่วงเวลาการจัดงานจะอยู่ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม ถึง 17 มิถุนายน 2571 ระยะเวลารวมกว่า 3 เดือน

การจัดงานนี้ ถือว่าเป็นงาน Specialised Expo แรกของอาเซียนเลย!!!!

โดยจะใช้พื้นที่ของ โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก บริเวณตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ใช้พื้นที่กว่า 140 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ยกระดับให้เป็น Green Expo โดยการรักษา และพัฒนาพื้นที่เดิมให้คงสภาพพื้นที่สีเขียว เพื่อให้เป็น 'Expo in forest'

ตำแหน่งสถานที่จัดงาน
https://goo.gl/maps/XvWvj5XvF2wzZmbC6

โดยมี 4 Concepts หลักของงาน
1. Expo ในป่าริมทะเลอันดามัน
2. Expo ด้านชีวภาพ 
3. Expo เพื่อสิ่งแวดล้อม
4. การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (รวมถึงส่วนชดเชย) เป็น 0

โดยแบ่งพื้นที่ตามการใช้งานเป็น 4 ส่วนคือ

1. ส่วนแกนกลางของ Expo จาก ทางเข้าหลัก ผ่าน พื้นที่โชว์การแสดงกลางป่า (Forest Amphitheater) และมุ่งหน้าสู่อาคารรูปเต่าทะเล ซึ่งเป็นอาคารจัดประชุมหลักของโครงการ 

2. พื้นที่แสดงนวัตกรรม และแสดงสินค้านานาชาติ 

3. พื้นที่แสดงผลงานและนวัตกรรมตาม Concept Expo และ อาคารแสดงของประเทศไทย ซึ่งอยู่ตรงแกนกลางของถนนหลัก

4. พื้นที่ป่าอนุรักษ์ริมทะเล พร้อมกับการทำสะพานเดินเท้าข้ามป่า (canopy walk) เพื่อมุ่งหน้าไปชายหาด และไปเดินเยี่ยมชมที่อาคารไข่มุกลอยน้ำ

*** ซึ่งภายหลังงาน อาคาร Expo นี้จะถูกเปลี่ยนจุดประสงค์การใช้งานเป็นอาคารเป็น ศูนย์แสดงสินค้า พื้นที่สำนักงาน และโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ต สู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หลังจากงานเสร็จ 

กระทรวงดิจิทัลฯ - ดีป้า ประกาศผลรางวัล Smart City Solutions Awards 2022 ชูไอเดียรัฐ - เอกชนประยุกต์ใช้ดิจิทัลพัฒนาเมืองอัจฉริยะประเทศไทย

1 ธันวาคม 2565, กรุงเทพมหานคร - กระทรวงดิจิทัลฯ และ ดีป้า จัดพิธีมอบรางวัล Smart City Solutions Awards 2022 แก่ผลงานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลตามแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และยกระดับ การให้บริการประชาชนใน 7 ด้าน รวม 20 รางวัล

นายเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Smart City Solutions Awards 2022 แก่ผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เจ้าของผลงานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการเมือง และให้บริการประชาชนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุดตามลักษณะของเมืองอัจฉริยะทั้ง 7 ด้าน ประกอบด้วย เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) การขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) และพลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) รวม 20 รางวัล

นายเนวินธุ์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนคิดค้นและนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ ควบคู่ไปกับการบูรณาการการทำงานกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยปีนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า จัดให้มีกิจกรรมประกวดเพื่อชิงรางวัลในโครงการ Smart City Solutions Awards 2022 เพื่อเฟ้นหาผลงานที่มีความโดดเด่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง และให้บริการประชาชนในพื้นที่ได้อย่างตรงจุด ตามลักษณะของเมืองอัจฉริยะทั้ง 7 ด้านด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยผลงานต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลเป็นระบบบริการที่ดำเนินการมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งจะเป็นต้นแบบองค์ความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ในการสร้างสรรค์โซลูชันเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะต่อไป

ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า โครงการ Smart City Solutions Awards 2022 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดรวม 57 ผลงาน และมีผลงานที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และได้รับรางวัลในแต่ละด้านรวม 20 ผลงาน ซึ่งผลงานที่ได้รับรางวัลล้วนเป็นโซลูชันที่มุ่งแก้ไขปัญหาเฉพาะพื้นที่อย่างตรงจุดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล อีกทั้งมีแนวทางการประเมินผล รวมถึงการนำไปใช้อย่างชัดเจน ตลอดจนสร้างความมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่
ได้อย่างเป็นรูปธรรม

“โครงการ Thailand Smart City Solutions Awards 2022 ถือเป็นการสร้างความตระหนักและกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล อีกทั้งก่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้างไปยังหน่วยงานที่เป็นผู้ให้บริการระบบบริการเมืองอัจฉริยะ รวมถึงประชาชนหรือผู้รับบริการที่จะได้รับรู้และเข้าใจในระบบบริการเมืองอัจฉริยะ และแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการเมือง ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัล Smart City Solutions Awards 2022 ใน 7 ด้าน ประกอบด้วย
1. ด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) รางวัลชนะเลิศ
- โครงการ หลาดยะลา (Yala Market) “ระบบบริการด้านตลาดออนไลน์กระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น” โดย เทศบาลนครยะลา จังหวัดยะลา
รางวัลชมเชย
- โครงการ ส่งเสริมตลาดเกษตรออนไลน์ 'สดจากฟาร์ม เสิร์ฟจากเว็บ' 
โดย สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม จังหวัดนครพนม

2. ด้านพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) รางวัลชนะเลิศ
- โครงการ Smart Grid in Samyan Smart City 'ระบบจัดการพลังงานในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ' 
โดย สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
รางวัลชมเชย
- โครงการ Smart IoT Street Lighting (โคมไฟถนนอัจฉริยะ) โดย บริษัท จัมโบ้ อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญและจังหวัดระยอง

3. ด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)
รางวัลชนะเลิศ
- โครงการ Chula Zero Waste 'ความยั่งยืนในการจัดการขยะอย่างครบวงจร' 
โดย สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร
รางวัลชมเชย
- โครงการระบบแสดงข้อมูลการตรวจสอบอาหารทะเลปลอดฟอร์มาลิน 
โดย เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี

4. ด้านการบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance)
รางวัลชนะเลิศ (2 ผลงาน)
- โครงการระบบรับและบริหารจัดการเรื่องร้องทุกข์ออนไลน์ 'เพื่อการบริการภาครัฐที่ทันสมัยและคล่องตัว' โดย เทศบาลนครนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
- โครงการบ้านกลาง One Stop Service 'ระบบที่ส่งต่อบริการอย่างครบถ้วนและรวดเร็ว'
โดย เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดลำพูน
รางวัลชมเชย (2 ผลงาน)
- โครงการโครงข่ายนครสวรรค์เมืองอัจฉริยะ (Super Node) โดย เทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
- โครงการ บวกค้าง อี เซอร์วิส  (Buakkhang E-Service) ภายใต้โครงการไตยอง Smart City โดย เทศบาลตำบลบวกค้าง จังหวัดเชียงใหม่

‘บิ๊กตู่’ คิกออฟ งานอุตสาหกรรมแฟร์ อิมแพ็ค 1-4 ธ.ค.นี้ ชวน ‘ซื้อของไทย-ใช้ของดี-สร้างอาชีพ-เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม’

‘บิ๊กตู่’ ยกทัพอุตสาหกรรมแฟร์ ดันผลงานพลิกเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน คาดบูมเศรษฐกิจมากกว่า 500 ล้านบาท

(1 ธ.ค. 65) กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานใหญ่แห่งปี อุตสาหกรรมแฟร์ ภายใต้แนวคิด ‘ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม’ เพื่อต่อยอดผลสำเร็จของโครงการพัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม ด้านการเสริมทักษะในการประกอบธุรกิจ ให้สามารถพึ่งพาตัวเองและมีอาชีพใหม่ พร้อมทั้งระดมสุดยอดผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมกว่า 1,200 ราย นำสินค้าดี มีคุณภาพ ราคาถูก เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ตลอดจนการเปิดตลาดไอเดียสำหรับประชาชนเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสร้างธุรกิจที่มั่นคง ระหว่างวันที่ 1-4 ธันวาคม 2565 ณ อาคารเอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9-12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โดยได้รับเกียรติจาก นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้ 

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะวิกฤติ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเยียวยาและการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในทุกด้านอย่างเป็นระบบ เพื่อบรรเทาผลกระทบและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้เศรษฐกิจสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจฐานรากที่จะเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘คน’ ที่เป็นประชาชนในระดับท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานและกลไกสำคัญของการพัฒนาประเทศ ด้วยการเสริมทักษะและฝึกอาชีพแก่ประชาชนให้สามารถพึ่งพาตัวเองและมีรายได้ มีอาชีพใหม่ อันจะก่อให้เกิดความเข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป

สำหรับการจัดงานอุตสาหกรรมแฟร์ ‘ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม’ ในวันนี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งใหญ่ในรอบหลายปี ซึ่งเป็นการต่อยอดและขยายผลโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการสะท้อนภาพความสำเร็จของการนำนโยบายสำคัญของรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่ทำให้ประชาชนมีความรู้และทักษะใหม่ในการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับลักษณะพื้นที่และภูมิปัญญาของคนในชุมชนที่สามารถนำไปต่อยอดได้จริง ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งได้จากภายใน สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืนและเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงช่วยผลักดันให้ภาคเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่สภาวะปกติต่อไปได้

ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ‘ชุมชนดีพร้อม’ และการพัฒนา ‘คน’ ที่เป็นประชาชนในระดับท้องถิ่นและชุมชน ผ่าน ‘กลไก 7 วิธี ปั้นชุมชนดีพร้อม’ ได้แก่ แผนชุมชนดีพร้อม, คนชุมชนดีพร้อม, แบรนด์ชุมชนดีพร้อม, ผลิตภัณฑ์ชุมชนดีพร้อม, เครื่องจักรชุมชนดีพร้อม, ตลาดชุมชนดีพร้อม และเงินทุนหมุนเวียนดีพร้อม ซึ่งหนึ่งในกลไกข้างต้น กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า ‘คน’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในก้าวแรกที่จะพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ด้วยการเสริมทักษะและฝึกอาชีพแก่ประชาชนในรูปแบบการฝึกอบรมระยะสั้น เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและมีรายได้ มีอาชีพใหม่ผ่านโครงการ ‘พัฒนาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้ชุมชนดีพร้อม’ โดยที่ผ่านมาสามารถพัฒนาทักษะอาชีพให้กับกลุ่มเป้าหมายไปแล้วกว่า 600,000 คน ในกว่า 2,100 พื้นที่ และกำลังดำเนินการเพิ่มเติมให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 

นอกจากนั้น อีกหนึ่งกลไกที่มีความสำคัญ คือ การพัฒนาตลาดชุมชนดีพร้อมให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งในการพัฒนา ‘ตลาดชุมชนดีพร้อม’ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเลือกที่จะใช้งานอุตสาหกรรมแฟร์ ‘ซื้อของไทย ใช้ของดี สร้างอาชีพ เสริมธุรกิจที่ดีพร้อม’ เป็นเครื่องมือทางการตลาดให้กับชุมชน ระหว่างวันที่ 1-4 ธันวาคม 2565 ณ เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 9-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

เปิดตัว Digital Post ID รหัสไปรษณีย์แบบดิจิทัล ส่งของไม่ต้องจ่าหน้า แปะ QR บอกพิกัดแทน

(1 ธ.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ปณท ร่วมกันเปิด โครงการ Digital Post ID (ดิจิทัลโพสต์ไอดี) ที่จะบอกข้อมูลที่อยู่ได้แบบพิกัด GPS โดยผู้ส่งไม่ต้องเขียนจ่าหน้า แต่ใช้เป็นฉลาก QR Code แปะ ผลักดันไปรษณีย์ไทยสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0พร้อมตั้งเป้าเปิดใช้งานจริงไตรมาส 2 ปี 2566 

Digital Post ID เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ระบบที่อยู่ดิจิทัล’ (Location based Digital ID) เป็นการปรับเปลี่ยนการระบุข้อมูลตำแหน่งที่อยู่เดิมให้เป็นที่อยู่ดิจิทัล หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ เชื่อมโยงข้อมูลผู้รับและผู้ส่งเข้ากับพิกัดที่อยู่ โดยต่อยอดมาจากการใช้รหัสไปรษณีย์ 5 หลัก ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานการส่งไปรษณีย์ที่ไทยใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 มาแปลงเป็นพิกัดที่ตั้งบนพื้นผิวโลกในประเทศไทย โดยมีหลักการทำงานเดียวกันกับระบบ GPS ซึ่งจะทำให้ระบุที่อยู่ได้แม่นยำกว่าเดิม 

“เดิมเลขไปรษณีย์ 5 หลักจะบอกได้ถึงเขตพื้นที่เท่านั้น แต่ Digital Post ID ระบุได้ถึงพิกัดตำแหน่งด้วยการปักหมุด บอกพิกัดแนวดิ่งได้ ทำให้ระบุที่อยู่สำหรับคนที่อยู่ในอาคารสูงได้แม่นยำ และที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่ต้องจ่าหน้าเป็นตัวหนังสือ ก็จะทำให้ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลได้ ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้นอีกด้วย”

สำหรับวิธีการใช้งาน คือ ผู้รับจะต้องสมัครและกรอกข้อมูลรายละเอียดการจัดส่ง คือ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร พิกัด ของตัวเองลงในแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย (กำลังพัฒนาระบบ) จากนั้นก็ส่ง QR Code ให้ผู้ส่งนำไปพิมพ์ที่ที่ทำการไปรษณีย์ หลังจากนั้นไปรษณีย์จะพิมพ์ข้อมูลดิจิทัลโพสต์ไอดีออกมาเป็นฉลาก QR Code แล้วแปะบนกล่องพัสดุ หรือซองจดหมาย (โดยในอนาคตจะมีเครื่องพิมพ์ QR Code ในที่ทำการไปรษณีย์เพื่อรองรับระบบดิจิทัลโพสต์ไอดี) โดยผู้รับและผู้ส่งมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่หลุด เนื่องจากบนจ่าหน้ากล่อง/ซอง จะไม่ปรากฏข้อมูลส่วนบุคคล และต้องใช้แอปพลิเคชันบนอุปกรณ์อ่าน QR Code เท่านั้น ถึงจะโชว์ข้อมูลผู้รับ-ผู้ส่ง

ไม่เพียงเท่านั้น QR Code จะเป็นแบบใช้งานได้ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ตามหลักการของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

'อลงกรณ์' ชี้แม้ไทยส่งออกยางธรรมชาติทะลุ 2 แสนล้านเพิ่มขึ้นกว่า 20%แต่ราคายังผันผวนจากผลกระทบของโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน มอบ 'กยท.' เร่งเดินหน้าขยายมาตรการชะลอขายยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง เปิดเผยวันนี้(1 ธ.ค)ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5/2565ว่าที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญจากทูตเกษตร ประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สำนักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สำนักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ (สำนักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และลอสแองเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สำนักงานกรุงจาการ์ต้า) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ทั้งจากรายงานสถานการณ์ปัญหาสงครามรัสเซียยูเครน ยังคงส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางไทย

โดยสถานการณ์การส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยางไทยไปยังรัสเซียยังคงหดตัว อีกทั้งผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหนักอยู่ในระยะ wait and see mode และสต๊อคยางในรัสเซียยังล้นตลาดถึง 43 % ในสหรัฐอเมริกา เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง และสถานการณ์โควิดในประเทศจีนรุนแรง หลายพื้นที่ล็อคดาวน์ยังพบผู้ติดเชื้อสูงโดยในเดือนพฤศจิกายน จีนพบผู้ติดเชื้อกว่า 49,479 ราย ไม่แสดงอาการ 448,350 ราย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าในจีน ซึ่งจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่อราคาและการส่งออกยางพาราของไทย

ที่ประชุมยังรับทราบรายงานสถานการณ์ยางพารา เดือนพฤศจิกายน 2565 และคาดการณ์เดือนธันวาคม 2565 โดยฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.754 ล้านตัน ในช่วงไตรมาส 4/65 มีปริมาณผลผลิตยางพาราสูงกว่าทุกไตรมาส มีปริมาณ 1.432 ล้านตัน การส่งออกในไตรมาสที่ 3/65 ไทยส่งออกรวม 1.150 ล้านตัน ยังอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน สำหรับช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2565 คาดการณ์ว่าปริมาณการส่งออกอาจจะชะลอตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่ปริมาณสูงกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการส่งออกยางธรรมชาติของไทย ปี 2565 (ม.ค.-ก.ย. 2565) มีมูลค่า 216,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.99 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด มีมูลค่า 107,352 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ มาเลเชีย มูลค่า 19,153 ล้านบาท สหรัฐอเมริกามูลค่า 15,414 ล้านบาท ญี่ปุ่น มูลค่า 11,905 ล้านบาท เกาหลีใต้ มูลค่า 9,891 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ มูลค่า 52,813 ล้านบาท 

นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบรายงานเรื่องแพลตฟอร์มเพื่อการบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรม (Field for Knowledge Integration and Innovation (FKII)) และรายงานความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งพื้นที่บริหารจัดการยางพารา (Rubber Valley) 

Tesla Model Y เตรียมเปิดตัวในไทย 7 ธ.ค. นี้ คาดราคา 3 รุ่นย่อย อยู่ที่ 1.8xx – 3.4xx ลบ.

ราคาประมาณการ Tesla Model Y เวอร์ชั่นไทย 1,8XX,000 – 3,4XX,000 บาท เตรียมเปิดตัว 7 ธันวาคม 2022 นี้ !

รายงานข่าวจาก Headlightmag.com ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือหนาหูออกมามากมายเกี่ยวกับการเข้ามาลุยตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ในประเทศไทยด้วยตนเอง ของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหม่ทางฝั่งอเมริกาอย่าง Tesla นอกจากภาพถ่ายของ Tesla Model Y ขณะกำลังวิ่งทดสอบในประเทศไทย ตลอดจนข้อความ “สวัสดีประเทศไทย” ที่ถูกเผยแพร่ออกมาจาก Line Official ของ Tesla Thailand ในช่วงที่ผ่านมา

ล่าสุด ข่าววงในของทาง Headlightmag.com ได้ให้ข้อมูลว่า Tesla (Thailand) เตรียมเปิดตัว Tesla Model Y ในประเทศไทย วันที่ 7 ธันวาคม 2022 ที่กำลังจะถึงนี้ ณ ห้างสรรพสินค้าสยาม พารากอน ในฐานะรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่จะนำเข้ามาประเดิมทำตลาดในประเทศไทยที่มีทิศทางการเติบโตของรถยนต์ EV สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการนำเข้ามาทั้งคัน (CBU) จากประเทศจีน

สำหรับ ราคาประมาณการของ Teslea Model Y เวอร์ชั่นไทย คาดการณ์โดย Headlightmag.com ทั้ง 3 รุ่นย่อย มีดังต่อไปนี้

Tesla Model Y Rear-wheel Drive : 1,8xx,000 บาท
Tesla Model Y Long Range AWD : 2,7xxx,000 บาท
Tesla Motor Y Performance :  3,4xx,000 บาท

ข้อมูลของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของ Tesla Model Y  มีดังต่อไปนี้

รุ่น Single Model RWD
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัวที่ล้อคู่หลัง (Rear-wheel Drive) กำลังสูงสุด 347 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion Phosphate (LFP) ความจุ 57.5 kWh รองรับการชาร์จด้วย DC Fast Charge สูงสุด 170 kW

มอเตอร์เวย์ M9 บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมทุน มูลค่ากว่า 6.4 หมื่นลบ.

มอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันตก M9 บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมทุน แก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ มูลค่ากว่า 64,300 ล้านบาท

เพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' โพสต์ความคืบหน้าการแก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ระบุว่า...

คณะกรรมการ PPP อนุมัติ มอเตอร์เวย์วงแหวนตะวันตก (M9) บางบัวทอง-บางขุนเทียน เตรียมหาเอกชนร่วมลงทุน แก้ปัญหาการเดินทางฝั่งตะวันตก กรุงเทพ มูลค่ากว่า 64,300 ล้านบาท!!!

วันนี้เอาข่าว update มอเตอร์เวย์วงแหวนกาญนาภิเษก ด้านตะวันตก หรือ M9 ซึ่งเป็นการเพิ่มโครงข่ายการเดินทางทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ ให้เต็มโครงข่าย 

จากแต่เดิม ฝั่งตะวันตกเป็นถนนระบบเปิด ซึ่งผ่านมา 230 กว่าปี การพัฒนาถนนระบบเปิดก็ทำให้เมืองโตแบบไม่มืการควบคุม ทำให้จราจรเพิ่มขึ้นมาก!!! จึงต้องมีการยกระดับ เพื่อให้วงแหวนกาญนาภิเษก ทั้งหมดเป็นระบบปิด 

มาทำความเข้าใจ โครงการมอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางบัวทอง-บางขุนเทียนกันก่อน

โครงการนี้เป็นโครงการในการทำมอเตอร์เวย์ระบบปิด รอบกรุงเทพ ซึ่งช่วงนี้จะทำยกระดับบนวงแหวนกาญจนาภิเษก ฝั่งตะวันตก 

***รายละเอียดช่วงบางบัวทอง-บางขุนเทียน...

- ระยะทางรวม 38 กิโลเมตร
- รูปแบบทางวิ่งเป็น ทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ข้างละ 3 ช่องจราจร
- ทางแยกต่างระดับ 4 แห่ง ได้แก่ บางใหญ่, ศรีรัช, บรมราชชนนี และ บางขุนเทียน
- ทางขึ้น-ลง 7 จุด ได้แก่ บางบัวทอง 1, บางใหญ่, นครอินทร์, บรมราชชนนี, พรานนก-พุทธมณฑล, เพชรเกษม และพระราม 2 
- และทางขึ้น อย่างเดียว 2 จุด ได้แก่กัลปพฤกษ์ และเอกชัย

ซึ่งในแบบของ ทางขึ้น-ลง มอเตอร์เวย์ทุกจุด มีจุดกลับรถเพื่อรองรับ และบริการรถด้านล่าง (คล้ายกับทางด่วนบูรพาวิถี ด่านกิ่งแก้ว)

***รายละเอียดเส้นทาง มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางบัวทอง-บางขุนเทียน 

จะเริ่มจาก จุดสิ้นสุดของ มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางปะอิน-บางบัวทอง ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ บนถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก สาย 9 ฝั่งตะวันตก สิ้นสุด ก่อนถึงต่างระดับบางบัวทอง จุดตัดกับถนน 345

โดยในโครงการช่วงนี้จะเป็นการปรับปรุงถนนเดิมให้เป็น มอเตอร์เวย์ และทำเป็นระบบปิดสมบูรณ์ โดย ทำคู่ขนานเพื่อให้บริการกับผู้ใช้ถนนท้องถิ่น และทดแทนถนนเดิม (กำลังสร้างอยู่)

จากจุดเชื่อมต่อ จะทำเป็นทางยกระดับ มุ่งหน้า บนถนนวงแหวนตะวันตก ข้ามต่างระดับบางบัวทอง  มาทางใต้ ผ่าน จุดตัดถนนบางกรวย-ไทรน้อย พร้อมกับทำทางขึ้น-ลง บางบัวทอง 1 มุ่งหน้าทางทิศใต้

จากนั้น จะมุ่งหน้ามาต่อ โดยช่วงนี้พอมาเจอกับโครงสร้างของโครรถไฟฟ้าสายสีม่วง บริเวณหน้าศูนย์ซ่อมบำรุงคลองบางไผ่ 

ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันระหว่างทางยกระดับมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟที่อยู่บริเวณเกาะกลางถนน ทำให้ไม่มีพื้นที่ในการวางเสาทางยกระดับมอเตอร์เวย์ 

ทางยกระดับมอเตอร์เวย์ จะเบนออกไปทางด้านตะวันตกของรถไฟฟ้าสายสีม่วง  เลียบคู่กับ โครงสร้างทางวิ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงไปจนถึงต่างระดับบางใหญ่ 

ตรงนี้จึงจำเป็นต้องมีการเวนคืนด้านข้างฝั่งตะวันตกของทางวิ่งรถไฟฟ้า ตลอดช่วงทับซ้อน ประมาณ 5-20  เมตร ตามความจำเป็นของพื้นที่

บริเวณต่างระดับบางใหญ่ จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญมากของโครงการ ซึ่งจะพัฒนาจากต่างระดับเดิม ระหว่างถนนรัตนาธิเบศร์ และวงแหวนตะวันตก เข้ากับ มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี และมีมอเตอร์เวย์ M9 นี้วิ่งมาบนแนว ถนนวงแหวนอีกที 

โดยจุดนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง มอเตอร์เวย์ สายอีสาน (M6) และ ใต้ (M81) ได้เลย

หลังจากนั้น มุ่งหน้าต่อบนถนนวงแหวนตะวันตก จะมีทางขึ้น-ลง บางใหญ่ มุ่งหลังทางทิศใต้ เพื่อรองรับรถที่มาจากทางถนนรัตนาธิเบศร์ และ ต่อมาอีกช่วงหนึ่ง จะเป็นทางขึ้น-ลง นครอินทร์ มุ่งหน้าทางทิศเหนือ เพื่อรองรับรถจากถนนนครอินทร์ (สะพานพระราม 5)

แล้วต่อมาจะเข้าสู่ต่างระดับศรีรัช ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับทางด่วน ศรีรัช-วงแหวน และถัดมาอีกหน่อยนึง ก็จะเข้าต่างระดับบรมราชชนนี (คู่ขนานลอยฟ้า) 

แล้วมุ่งหน้าลงใต้ต่อ จะเจอ ทางขึ้น-ลง บรมราชชนนี มุ่งหน้าทิศใต้ ,ทางขึ้น-ลง พรานนก-พุทธมณฑล มุ่งหน้าขึ้นเหนือ (รับรถจากถนนเพชรเกษม), ทางขึ้น-ลง เพชรเกษม มุ่งหน้าลงใต้, ทางขึ้น กัลปพฤกษ์, ทางขึ้นเอกชัย, ทางขึ้น-ลงพระราม 2 เชื่อมต่อระดับดินกับถนนพระราม 2 

แล้วสุดท้าย มุ่งหน้าเข้าต่างระดับ บางขุนเทียน ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกต่างระดับที่สำคัญของโครงการ 

โดยจะสามารถเชื่อมต่อกับโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่คือ มอเตอร์เวย์ M9 วงแหวนใต้ (บางขุนเทียน-บางนา), ทางด่วนบนถนนพระราม 2 (พระราม 3-บางขุนเทียน), มอเตอร์เวย์ M82 (บางขุนเทียน-บ้านแพ้ว)

อีกส่วนหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของโครงการนี้ คือระบบเก็บค่าผ่านทางแบบใหม่ ซึ่งเป็นแบบใช้กล้องตรวจสอบ และเก็บเงินตามภายหลัง (Open Road Tolling: ORT) หรือทางกรมทางหลวง เรียกว่า M-Flow

ซึ่งการเก็บค่าผ่านทางแบบนี้จะเป็นการเก็บค่าผ่านทางตามการใช้งานภายหลัง โดยการใช้กล้องตรวจจับที่ป้ายทะเบียนรถ คล้ายกับการเก็บค่าใบสั่ง 

มีหลายประเภทใช้แบบนี้เช่น จีน, สิงคโปร์ และสวีเดน ซึ่งจะสามารถพัฒนาไปในการใช้คิดค่าใช้จ่ายในการเข้าออกพื้นที่ชั้นในของเมืองได้ด้วย

แต่ในการทำแบบนี้ ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้ผู้ขับรถเลี่ยงจ่ายค่าผ่านทาง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงขนาดไหน และจะมีปัญหาการหลุดรอดของรถที่สวมทะเบียนปลอมรึเปล่า

แต่การทำด่านแบบ Open Road Tolling จะสามารถลดพื้นที่การก่อสร้างด่านได้มาก และลดปัญหาจราจรติดขัดหน้าด่านได้มหาศาลด้วยเช่นกัน

โครงการนี้วางแผนการลงทุนเป็นรูปแบบ ร่วมทุน (PPP) เพื่อลดการลงทุนของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ

ซึ่งในโครงการนี้จะลงทุนทั้งหมด 65,484 ล้านบาท แบ่งเป็น 

- ค่าการลงทุน 51,601 ล้านบาท
- ค่าซ่อมบำรุง และดำเนินงาน 13,247 ล้านบาท

จากการคาดการณ์ จะมีรถใช้บริการในปีแรก 184,736 คัน/วัน และอีก 30 ปี จะโตไปที่ 273,631 คัน/วัน

***โดยจะมีค่าผ่านทาง...

รถ 4 ล้อ ค่าแรกเข้า 10 บาท และคิดตามระยะทาง 1.5 บาท/กิโลเมตร

จะสามารถจัดเก็บค่าผ่านทางได้ในปีแรก 1,716 ล้านบาท/ปี และอีก 30 ปี จะโตไปที่ 5,206 ล้านบาท/ปี

ซึ่งทั้งหมดพัฒนาตามตามแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ปี 2558 ตามลิ้งค์นี้
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/779639645807850/?extid=0&d=n

โดยจะเชื่อมต่อกับ มอเตอร์เวย์ M9 ช่วง บางปะอิน-บางบัวทอง ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ใครสนใจลองดูได้จากในลิ้งค์นี้ครับ

ตอนที่ 1
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/574731009632049/?extid=0&d=n

ตอนที่ 2
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/579896119115538/?extid=0&d=n

ซึ่งถ้าช่วงนี้เสร็จจะเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ถึง 3 สายคือ...

'จุรินทร์' ตีปีกการค้าชายแดน 10 เดือนปี 65 โต 4.50% ชี้!! ลาวคู่ค้าอันดับหนึ่งไทยแซงหน้ามาเลเซีย

การค้าชายแดน 10 เดือนโต 4.50% อานิสงส์เงินบาทสามารถแข่งขันได้ราคาดี ด่านชายแดนเปิดมากขึ้น ล่าสุดเปิดแล้ว 97 แห่ง ลาวคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยแซงหน้ามาเลเซียที่ติดลบ 21%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การส่งออกชายแดนยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 คิดเป็นมูลค่า 54,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.50% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การส่งออกผ่านแดนปรับตัวลดลงเนื่องจากผู้ส่งออกหันกลับไปขนส่งสินค้าทางเรือและทางอากาศเพิ่มขึ้นจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องดังนั้นการค้าผ่านแดนและการค้าชายแดนมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,450,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +1.74% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 855,839 ล้านบาท ลดลง 0.66% และการนำเข้ามูลค่า 594,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.41% โดยไทยได้ดุลการค้าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 ทั้งสิ้น 261,368 ล้านบาท

ส่วนการค้าชายแดนและผ่านแดน เดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 144,477ล้านบาท ลดลง 2.92% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 81,937 ล้านบาท ลดลง 0.17% และการนำเข้ามูลค่า 62,540 ล้านบาท ลดลง 6.31% โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนตุลาคม 2565 ทั้งสิ้น 19,397 ล้านบาท

ทั้งนี้ไทยการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศ (มาเลเซีย กัมพูชา เมียนมา และสปป.ลาว) ซึ่งเดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่าการค้ารวม 87,297 ล้านบาทนั้น เพิ่มขึ้น 3.59% โดยการส่งออกไป กัมพูชา และ สปป.ลาว ยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา และการส่งออกไปเมียนมากลับมาขยายตัวอีกครั้ง ดังนี้...

- สปป.ลาว มูลค่าส่งออก 15,168 ล้านบาท (+43.67%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป, น้ำมันดีเซล และน้ำตาลทราย

- มาเลเซีย มูลค่าส่งออก 14,713 ล้านบาท (-21.72%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, รถยนต์และส่วนประกอบและยางพารา

- เมียนมา มูลค่าส่งออก 11,200 ล้านบาท (+6.16%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล, น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ และเครื่องสำอาง, เครื่องหอมและสบู่

- กัมพูชา มูลค่าส่งออก 13,563 ล้านบาท (+9.49%) สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ

โดยสรุปแล้ว การค้าชายแดน 10 เดือนโต 4.50% และมี สปป.ลาว เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย

ส่วนการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม (จีน, เวียดนาม สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ) เดือนตุลาคม 2565 มีมูลค่ารวม 57,180 ล้านบาท ลดลง 11.42% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 27,293 ล้านบาท ลดลง 8.36% และการนำเข้ามูลค่า 29,887 ล้านบาท ลดลง 14.04% โดยการส่งออกผ่านแดนไปเวียดนามยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top