Tuesday, 13 May 2025
Soft News Team

กศน. ปรับรูปแบบพัฒนาครูสอนภาษาอังกฤษ มุ่งเน้นให้สามารถสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร หลังผู้เรียนมีผลการสอบวิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ำ เนื่องจากครูผู้สอนขาดความเชี่ยวชาญ

ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพจะสำเร็จ หรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับครูผู้สอนซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา สำนักงาน กศน.จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะครูผู้สอนในทุกๆ ด้าน อาทิ ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านสื่อและแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาตนเอง

เนื่องจาก กศน.มีครูหลายประเภท และส่วนใหญ่ไม่จบด้านครูหรือศาสตร์วิชาชีพครูโดยตรง และต้องจัดการเรียนรู้ในทุกรายวิชาที่ผู้เรียนลงทะเบียนในภาคเรียนนั้น ๆ จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา กศน. ที่ผ่านมาพบว่า ผู้เรียนในทุกระดับการศึกษามีผลการสอบปลายภาคเรียนและผลการสอบ N-NET วิชาภาษาอังกฤษค่อนข้างต่ำ เนื่องจากครูผู้สอนขาดความเชี่ยวชาญกระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษ

เลขาธิการ กศน. กล่าวอีกว่า เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาในรายวิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา สำนักงาน กศน.จึงได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำหลักสูตรการพัฒนาทักษะและสมรรถนะครู กศน. ด้านการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อ Up Skill Re Skill สร้างศักยภาพ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ต่างไปจากเดิม

ด้วยการเติมเต็มสิ่งใหม่ ๆ สร้างความมั่นใจให้แก่ครู กศน. ให้สามารถนำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้พัฒนาตนเองและด้านวิชาชีพ เพื่อสร้างครู กศน. ต้นแบบการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจร่วมกัน ยกระดับสมรรถนะทางด้านภาษาอังกฤษ และการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น

โดย กศน.ได้ปรับรูปแบบการพัฒนาครู กศน. มุ่งเน้นให้สามารถสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ให้ทันสมัยและน่าสนใจ ตอบโจทย์การเรียนรู้ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/2053795

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ออกจาก ‘Comfort Zone’ เพราะการติดอยู่ในนั้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่สุดในยุคนี้ ทั้ง ๆ ที่ Comfort Zone เป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ทำไมแนะนำให้ออกจากตรงนั้น เพื่อความปลอดภัย

โลกเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน  คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องปรับตัวให้ทันต่อเหตุการณ์ และทิศทางของโลกในอนาคต ไม่เช่นนั้นเราจะคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง

พ่อแม่หลายคนมีความกังวลว่า ไม่รู้จะสอนลูกอย่างไรหลังสถานการณ์โรคระบาดผ่านไป เพราะอาชีพที่เคยมั่นคงกลับไม่มั่นคง ทักษะบางเรื่องกลับไม่จำเป็นอีกต่อไป

ปัจจัยในการดำรงชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทักษะบางอย่างกลับใช้ไม่ได้ อาชีพบางอาชีพที่มีความมั่นคง กลับล่มสลาย การใช้ชีวิตมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น  และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ Comfort Zone ที่เคยทำหน้าที่ปกป้องเราไม่ให้ได้รับภัยอันตราย มันกลับกลายเป็น “คอกปิดกั้นความสำเร็จ” ของเราไปเสียแล้วค่ะ

นั่นคือเหตุผลว่าทุกคนไม่ควรอยู่ใน Comfort Zone เพราะการติดอยู่ในนั้น ถือเป็นเรื่องอันตรายที่สุดในยุคนี้

มารู้จักกับ Comfort Zone

Comfort Zone คือ การทำงานของสมองและระบบประสาทของมนุษย์ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งธรรมชาติออกแบบมาให้เรามีความสามารถในการมีชีวิตรอด โดยการทำอย่างไรก็ได้ให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อเป้าหมายพื้นฐานที่สำคัญนี้เอง ระบบประสาทของเราจึงสร้างกลไกที่เรียกว่า Comfort Zone ขึ้นมา เพื่อลดความเสี่ยงใดๆ ก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ในชีวิตเรา

ลองเช็คตัวเองดู ว่าเราเคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างไหม

ความรู้สึกว่า “ฉันกลัว” ฉันต้องการ “พื้นที่ปลอดภัย”

ความรู้สึกว่า “ฉันไม่สามารถ”  หรือ “ฉันไม่มีวันทำได้”

ความรู้สึกว่าสิ่งนั้น “มันเป็นไปไม่ได้”

ความรู้สึกว่าใครๆ “จะไม่ยอมรับ” หรือ “ไม่ชอบ”

ความรู้สึกว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว”  “พอแล้ว”

ความรู้สึกว่า “ฉันสำเร็จ  สมบูรณ์ดีแล้ว” หรือ “ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว”

ความรู้สึกที่ว่า “ฉันผิด” และต้องการไถ่ถอนความรู้สึกผิด จนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า

ลองตั้งข้อสังเกตว่าบรรยากาศในบ้านเราเป็นแบบนี้หรือไม่

เพราะมีใครสักคนในบ้าน วางกรอบให้ลูกเดินไว้ใช่หรือไม่  ลูกถึง “ไม่กล้า” ติดอยู่ใน Comfort Zone

เพราะมีใครสักคนในบ้าน เป็นคนขี้กลัว ขี้กังวลมากเกินเหตุใช่หรือไม่ ลูกถึง “ขี้กลัว” ติดอยู่ใน Comfort Zone

เพราะมีใครสักคนในบ้าน เป็นคนที่คิดแทนลูกเองทุกเรื่องใช่หรือไม่  ลูกถึง “ไม่กล้าคิด” ติดอยู่ใน Comfort Zone

เพราะมีใครสักคนในบ้าน ชอบดุด่าเมื่อลูกแสดงความคิดเห็น ใช่หรือไม่ ลูกถึง “ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงออก”

เพราะมีใครสักคนในบ้าน ชอบลงโทษเมื่อลูกทำผิดใช่หรือไม่ ลูกถึง “ไม่กล้าพูดความจริง” เอาแต่โกหก

เพื่อลูก พ่อแม่ที่ฉลาดจะทำเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก

การฝึกให้ลูกออกจาก Comfort Zone

เริ่มต้นง่ายๆ จากการอนุญาตให้ลูก ทำกิจกรรมใหม่ๆ กับคนใหม่ สถานที่ใหม่ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก ภายใต้ค่านิยมของสังคม โดยมีเราเป็นพี่เลี้ยง ให้เขาได้เลือกเอง พ่อแม่ควรเคารพและยอมรับในการตัดสินใจของลูก พ่อแม่เพียงผู้เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เป็นพี่เลี้ยงบ้างบางเวลาที่เขาต้องการ ไม่ต้องไปคาดหวังว่าสิ่งที่ลูกเลือกนั้นจะประสบความสำเร็จสูงสุด

ผลลัพธ์ในครั้งแรกอาจจะเสียมากกว่าได้ หรือพอ ๆ กัน แต่สิ่งที่เขาได้คือประสบการณ์ ที่หาไม่ได้จากห้องเรียน และที่บ้าน ทุกคนในบ้านมีหน้าที่คอยเป็นพื้นที่ทำให้พวกเขาสบายใจ เสมือนคอยเป็นฟองน้ำนุ่มๆ เมื่อเขาผิดหวังหรือเซล้มลงมาพวกเขาจะได้ เจ็บปวดน้อยที่สุด คอยโอบกอดไว้ และคอยพูดเตือนสติ เพื่อให้ลูกๆ ค้นหาวิธีแก้ไข และต่อสู้ชีวิตต่อไป  

พูดให้กำลังใจ “คนทำงานก็ต้องมีผิดพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ลูกจงเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น” เพื่อครั้งต่อไปลูกจะได้ไม่พลาดซ้ำ และ “การที่ลูกสามารถข้ามผ่านปัญหาในครั้งนี้ไปได้ เท่ากับว่า ลูกได้เติบโตและเก่งขั้นอีกหนึ่งขั้น” ถือเป็นเรื่องดี  พ่อแม่ทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่านั่นคือ วัคซีนเข็มแรกที่ลูกๆ ได้รับและเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดในการสอนลูกให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งค่ะ

ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนชีวิต สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ การเปลี่ยนความคิด

เพราะคุณไม่มีทางได้ผลลัพธ์ใหม่ จากการคิดเหมือนเดิม พูดเหมือนเดิม และทำเหมือนเดิม


เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima

อ้างอิงข้อมูล:

https://noodee2012.wordpress.com/

https://www.jeab.com/

https://www.nopadolstory.com/

THE STUDY TIMES Special ส่งนักเรียนทุนรัฐบาลไทย เรียนต่อสหรัฐอเมริกา | Click on Clever EP.7

นักเรียนทุนศึกษาต่อต่างประเทศ!! ความฝันของเด็กๆหลายๆคน Click on Clever เทปพิเศษนี้จะพาไปดูบรรยากาศ การเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศของกลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาลไทย จำนวน 35 คน

.

SEX EDUCATION : เพศ (ต้อง) ศึกษา : เพราะการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกฮอล์ตั้งแต่ยังเด็ก และการปลูกฝังเรื่องเพศศึกษาในวัยเด็ก ที่ยังมีไม่มากนัก อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาท้องไม่พร้อมและความรุนแรงทางเพศตามมา

ประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จากรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC : United Nations Office on Drugs and Crime) พบว่ากว่า 87% ของคดีการล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยถูกรายงานเพื่อหาผู้กระทำผิด หรือให้ทางการรับรู้ โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 พบว่า ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 66% ภาคใต้ มีความรุนแรงในครอบครัวถึงร้อยละ 48.1 และกรุงเทพฯ พบความรุนแรงในครอบครัว น้อยที่สุด ร้อยละ 26 ซึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ รายได้ของครอบครัว และการใช้สารเสพติด เช่น สุรา บุหรี่ เป็นต้น

พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิต 13 กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเซ็กส์ไม่พร้อมเพิ่มมากขึ้นคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้การดูแลตัวเอง การยับยั้งชั่งใจลดลง ทำให้ตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เกิดการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งส่งผลกระทบตามมามากมาย ทั้งติดเชื้อ ท้องไม่พร้อม จากสถิติพบว่า คนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมมักจะดื่มเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีคนดื่มเหล้า ทำให้ได้เห็นพฤติกรรมการดื่ม ยิ่งทำให้เกิดความเคยชิน เมื่ออายุ 18 ปี จะรู้สึกว่าโตแล้ว ดื่มเหล้าได้แล้ว

"วัยรุ่นมีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นชัดเจน สิ่งที่เขามักใช้แก้ไขปัญหาคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น การจัดการควรทำร่วมกันทุกภาคส่วน ควรให้เด็กมีความเข้มแข็งทางจิตใจ เชื่อมั่นในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เวลาเจอปัญหาสามารถจัดการได้ ซึ่งครอบครัวมีส่วนสำคัญในการสนับสนุน การให้เวลาพูดคุย ชื่นชม ปรับทุกข์ ส่วนชุมชน โรงเรียน ต้องเข้มแข็ง มีระบบดูแลช่วยเหลือเฝ้าระวัง อย่าเอาตัวไปอยู่ในจุดที่เสี่ยง สถานที่ลับตาคน ฝึกปฏิเสธให้เป็น ต้องรู้จักเซฟเซ็กส์และไม่ควรมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปยุ่งเกี่ยว" พญ.วิมลรัตน์กล่าว

สิรินยา บิชอฟ หรือซินดี้ ดารานักแสดง กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นแม่ลูกสอง มีประสบการณ์การเลี้ยงลูกให้เข้าใจเรื่องเพศ ตนเห็นว่าสังคม ยังมีสื่อที่สอนเกี่ยวกับเรื่องเพศสำหรับเด็กน้อยมาก จึงได้ศึกษาและเขียนหนังสือเด็ก นำเสนอในรูปแบบ การ์ตูนที่พูดถึงสิทธิในร่างกายของตัวเอง สอนให้เรียนรู้เรื่องร่างกาย เคารพตัวเอง เข้าใจในสิทธิของร่างกายตัวเองและเคารพสิทธิทางร่างกายของคนอื่น ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นเครื่องมือในการพูดคุยกับลูกตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้เขาดูแลความปลอดภัยของเขาได้ ถ้าพ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจการเคารพสิทธิของคนอื่นตั้งแต่เด็ก จะช่วยลดปัญหาความรุนแรงหรือแก้ปัญหาไปได้ โดยเฉพาะการลดปัญหาการไปทำร้ายคนอื่น

ทุกภาคส่วนในสังคมต้องช่วยกันว่าจะพูดคุยอย่างไรให้เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญเติบโตของคน หลายคนอาจจะมองว่าอยากให้ลูกปลอดภัย แต่ไม่มีการให้ความรู้ ทักษะเบื้องต้นในเรื่องเพศของพวกเขา และถ้าไปรอจนกระทั่งวัยรุ่น อาจจะไม่ทันการณ์ ต้องมีการพูดคุยเรื่องเพศตั้งแต่เด็ก

"สิ่งที่พ่อแม่สอนเรื่องเพศ เป็นการสอนเพศศึกษา และอยากให้พ่อแม่ทุกคนพูดคุยกับลูก อย่าอายที่จะพูดคุยเรื่องเพศและเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวทางร่างกาย โดยไม่ต้องรอให้เป็นหน้าที่ของครูหรือหมอ พ่อแม่ต้องปรับตัวเอง ค่อยๆ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัว หากพ่อแม่ไม่รู้ อย่าปัดลูกหรือปฎิเสธว่า ลูกไม่ควรรู้ แต่ให้ไปหาข้อมูลมาพูดคุยกับลูก" ซินดี้ กล่าว

จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องความรัก เรื่องเพศ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีความสัมพันธ์และไปด้วยกัน ความรุนแรงมีหลายกรณีมาจาก การดื่มเหล้า ใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่การถูกคุกคามทางเพศ ถูกข่มขืนโดยผู้ชายที่ใช้อำนาจเหนือกว่าเป็นคนกำหนด สะท้อนจากการรวบรวมข่าวความรุนแรงทางเพศปี 62 พบถึง 9 ข่าว กรณีที่แฟน/อดีตแฟน ใช้การบังคับและหลอกไปข่มขืน ปัจจัยกระตุ้นมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น สิ่งที่อยากเสนอให้เป็นทางออกคือ ต้องมีหลักสูตรให้ความรู้ รณรงค์เกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ผู้หญิงต้องรู้และต้องให้ความสำคัญ ควรมีหลักสูตรทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษา มัธยม มหาวิทยาลัย ตลอดจนในครอบครัวก็ต้องสร้างการเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วย

"การเรียนหลักสูตรเพศศึกษาในระดับประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษายังไม่ได้มีความชัดเจนอย่างจริงจัง อีกทั้งครอบครัวก็มองว่าพูดเรื่องเพศไม่ได้ แต่สื่อละครต่าง ๆ ก็ยังมีการทำมายาคติเกี่ยวกับเรื่องเพศ การข่มขืนเป็นเรื่องปกติ ทำให้เพศชายมีความคิดว่าตนเองมีอำนาจเหนือกว่า และผู้หญิงหากเป็นแฟนใครแล้วต้องยอม ตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่และเป็นรากเหง้าของปัญหา ทุกทุกฝ่ายต้องเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด ปรับโครงสร้าง ต้องไม่ทำให้ชายเป็นใหญ่ ทำให้เรื่องเพศเป็นเรื่องเท่ากัน ทั้งหญิงชาย" จะเด็จ กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ เอ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี กล่าวว่า จากประสบการณ์ชีวิตการเป็นคุณแม่วัยรุ่นอายุ 18 ปี คบกับแฟนเจอกันในร้านเหล้า เกเรไม่เรียนต่อ หางานรับจ้างรายวันทำ พอเลิกงาน ก็ดื่มเหล้ากับแฟน เมาหลังเลิกงานทุกวัน ทะเลาะกับคนข้างบ้านประจำ ใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด รู้ตัวอีกทีก็ตั้งครรภ์ได้ 2 - 3 เดือน ถึงมาหยุดดื่ม ส่วนแฟนเริ่มไม่ใส่ใจดูแล ไม่ทำงาน เอาแต่เมาเหล้าหาเรื่องทะเลาะตบตีทุกวัน หลังจากคลอดลูกได้ไม่นานก็เลิกรากันไปเพราะทนพฤติกรรมทำร้ายร่างกายไม่ไหว

"ชีวิตแม่วัยรุ่น กว่าจะผ่านมาได้มันยากลำบากมาก นอนร้องไห้ทุกวัน ต้องทำงานทุกอย่าง ทั้งเป็นรปภ. ทำงานกระเป๋ารถเมล์ ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูก เพราะพฤติกรรมการดื่ม ทำให้เขาเป็นเด็กสมาธิสั้น พัฒนาการช้า ทุกเดือนต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ทำทุกอย่างเพื่อลูก อยากฝากถึงวัยรุ่นให้มีสติ รักตัวเอง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหล้า ยา และอบายมุข เพราะมันทำลายชีวิต ทำลายอนาคตเราจริงๆ" เอ (นามสมมติ) กล่าว


ขอบคุณที่มา:

https://www.thaihealth.or.th/Content/54052-แนะวัยรุ่นเซฟเซ็กส์%20ปลูกฝังเรื่องเพศสร้างเกราะป้องกันตั้งแต่เด็ก.html

สมัยเรียนทำกิจกรรมอะไรมาบ้างไหมคะ ? หนึ่งในคำถามที่ผู้สัมภาษณ์เข้าทำงานนิยมถามนักศึกษาจบใหม่ ในวันที่สัมภาษณ์งาน บางทีถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากเกรดใน Transcript หรืออาจจะให้ความสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ

ในโลกยุคปัจจุบันที่เรียกขานว่า โลกยุคดิจิตอล ทักษะในการทำงานที่หลากหลายแบบ Muititasking Skills เป็นทักษะการทำงานที่ถูกพูดถึงเสมอ เทคโนโลยีที่มาไวไปไว ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา การมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง อีกทั้งยังต้องทำงานพร้อมกันหลายอย่าง เช่น การเช็กข้อมูล e-mail กล่องข้อความใน facebook สื่อสารกับลูกค้าผ่าน Line จัดทำเอกสารในโปรแกรม Word โปรแกรม Excel หรือ ทำ Presentation ด้วยโปรแกรม Powerpoint เป็นต้น ทักษะเหล่านี้ล้วนไม่สามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพได้ในระยะเวลาอันสั้น

การฝึกทักษะการทำงานจึงสามารถทำได้ตั้งแต่วัยเรียน จากกิจกรรมในสมัยเรียนนั่นแหละ ชมรม ชุมนุม หรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ หากเด็กคนไหนได้ไปเข้าร่วม นอกจากความสนุกแล้ว สิ่งสำคัญคือการได้ทำงานร่วมกับคนอื่น การทำงานเป็นทีม การเข้าอกเข้าใจ การแก้ปัญหา หากจะกล่าวโดยรวมก็คือ เป็นการฝึก 7Q ความฉลาด 7 ด้าน นั่นเอง (ซึ่งความฉลาด 7 ด้าน ได้กล่าวถึงในบทความครั้งที่แล้ว https://www.facebook.com/thestudytimes/photos/115561173889921)

ข้อดีของยุคเทคโนโลยีแบบนี้ก็คือ การที่เยาวชนหรือเด็กๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ได้มากมาย หากเลือกใช้ในทางที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ การเสริมทักษะทั้ง 7Q ตั้งแต่ยังเด็กนั้น เป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กคนนั้นเผชิญหรือรับมือกับโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย และยิ่งยุคสมัยนี้การแข่งขันในตลาดแรงงานก็สูงลิ่ว สวนทางกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ยิ่งต้องเพิ่มทักษะความสามารถให้เข้าสู่ตลาดแรงงานให้มากขึ้นไปอีก ใครทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม หรือปรับตัวยากในยุคดิจิตอล คงไปไม่รอด ซึ่งหากยังอยู่ในวัยเรียน ผู้เขียนแนะนำว่า น้องๆ ลองหากิจกรรมทำนอกเหนือจากการเรียน แล้วจะเพิ่มทักษะความสามารถให้กับน้องๆ ได้เยอะมากกว่าที่น้องๆ คิด และเมื่อก้าวเข้าสู่วัยแรงงาน น้องๆ ก็จะสามารถเข้าถึงงานที่ปรารถนาได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ


เขียนโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://adecco.co.th/th/knowledge-center/detail/multitasking

ทั้งหล่อทั้งเก่ง!! เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ สำหรับ “ซงจุงกิ (Song Joong Ki)” หนุ่มหล่อพระเอกแถวหน้าจากประเทศเกาหลีใต้ ที่นอกจากจะมีหน้าตาที่หล่อเหลา ผลงานการแสดงยอดเยี่ยม ใครจะไปคิดว่าเรื่องการเรียนเขาก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร

รายการ The List ทางช่อง tvN เคยเปิดเผยว่า ซงจุงกิ (Song Joong Ki) เรียกได้ว่า เกรดสวย เป็นนักเรียนที่ดีมาตั้งแต่ช่วงที่อยู่มัธยม รวมถึงเขาเคยเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนด้วย และเขาก็เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัย Sungkyunkwan University คณะบริหารธุรกิจ ได้อีกด้วย ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่เข้าได้ยากมาก เพราะมีอัตราแข่งขัน 45.5 ต่อ 1 เลยทีเดียว

ในสมัยที่เขาเรียนในระดับมัธยม เกรดของเขาได้ถูกเปิดเผยในรายการ Good Morning จากสถานี SBS ว่าเขาเป็นนักเรียนที่มีความตั้งใจเรียนมากๆ เพราะเขาได้คะแนนสอบ 380 คะแนน จาก 400 คะแนน ในการสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย Sungkyunkwan University


ที่มา: https://www.sanook.com/campus/1396033/

คติประจำใจจาก 'John Dewey' (นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน)

“Education is not preparation for life; education is life itself.”

“การศึกษาไม่ใช่การเตรียมตัวของชีวิต มันคือชีวิตในตัวมันเอง”


John Dewey (นักปรัชญา นักจิตวิทยา และนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกัน)

ASEAN SHOLARSHIPS AY 2022 ทุนรัฐบาลสิงคโปร์ ระดับมัธยมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2022 เปิดรับสมัครแล้ว!!

สำหรับประเทศไทย ทุนนี้แบ่งให้เข้าสอบเพื่อเรียนต่อ 2 ระดับชั้นคือ เรียนต่อ Secondary 3 และ Pre-University One

ระดับ Secondary 3

เป็นทุนให้เปล่า 4 ปี เข้าเรียนชั้น Secondary 3 - 4 แล้วสอบ GCE O-level และต่อ Junior College อีก 2 ปี แล้วจึงสอบ GCE A-Level เพื่อเอาผลไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป

กำหนดการ

- เปิดรับสมัคร 18 มี.ค. 2564 - 16 พ.ค. 2564

- สอบช่วงกลางเดือน ก.ค. 2564 และประกาศผลสอบ เดือน ก.ย. 2564

- หากได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เดือน ตุลาคม 2564

คุณสมบัติผู้สมัครระดับ Secondary 3

- ถือสัญชาติไทย

- เกิดในช่วงปี ค.ศ. 2005 - 2007 (พ.ศ. 2548 - 2550)

- มีเกรดเฉลี่ยในระดับ ม. 1 และ ม. 2 หรือ ระดับ ม. 2 และ ม.3 ไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีผลการเรียนดีอย่างต่อเนื่อง

- มีทักษะภาษาอังกฤษดี และมีประวัติการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียน

สิ่งที่จะได้รับจากทุนคร่าว ๆ

1.) ค่าใช้รายปีและจัดหาที่พักพร้อมดูแลค่าใช้จ่ายให้

2.) ค่าตั้งรกราก ให้สองครั้ง ให้ครั้งที่ 2 เมื่อขึ้นระดับ Pre-U1

3.) ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้น economy

4.) ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนต่างๆ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบ็ดเตล็ด)

5.) ค่าสอบ วัดผล GCE O-Level และ A-Level (อย่างละครั้งเดียว)

6.) เงินช่วยค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุ

ระดับ Pre-University One

เป็นทุนให้เปล่า 2 ปี เข้าเรียนชั้น Junior College 1 - 2 (เทียบประมาณ ม.5 - 6) แล้วจึงสอบ GCE A-Level เพื่อเอาผลไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป

กำหนดการ

- เปิดรับสมัคร 18 มี.ค. 2564 - 16 พ.ค. 2564

- สอบช่วงกลางเดือน ก.ค. 2564 และประกาศผลสอบ เดือน ก.ย. 2564

- หากได้รับคัดเลือกจะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ เดือน มกราคม 2565

คุณสมบัติผู้สมัครระดับ Pre-University One

- ถือสัญชาติไทย

- เกิดในช่วงปี ค.ศ. 2003 - 2004 ( พ.ศ. 2546 - 2547)

- มีเกรดเฉลี่ยในระดับ ม. 3 และ ม.4 หรือ ระดับ ม. 4 และ ม.5 ไม่ต่ำกว่า 3.00

- มีผลการเรียนดีอย่างต่อเนื่อง

- มีทักษะภาษาอังกฤษดี และมีประวัติการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียน

สิ่งที่จะได้รับจากทุนคร่าวๆ

1.) ค่าตั้งตัวช่วงปีแรก (ให้ครั้งเดียว)ลค่าใช้จ่ายให้

2) ค่าตั้งตัวช่วงปีแรก (ให้ครั้งเดียว)

3.) ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้น economy

4.) ค่าใช้จ่ายของโรงเรียนต่างๆ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวเบ็ดเตล็ด)

5.) ค่าสอบ GCE A-Level (ครั้งเดียว)

6.) เงินช่วยค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุ การสอบจะผ่านการพิจารณาจากใบสมัครเป็นหลักก่อน โดยจะแจ้งอีเมลกำหนดการเข้าสอบให้กับผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้าสอบเท่านั้น โดยปกติจะแจ้งก่อนสอบไม่นาน ประมาณ 1-3 สัปดาห์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครออนไลน์: https://www.moe.gov.sg/financial-matters/awards-scholarships/asean-scholarships/thailand

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม: https://www.moe.gov.sg/contact


ขอบคุณที่มา: https://www.facebook.com/groups/citu.cio.future/permalink/2121009288035882/

‘กอด’ เป็นการแสดงออกสุดคลาสสิก แต่แฝงอานุภาพมหาศาล การโอบกอดที่ไม่ต้องมีคำพูดปลอบโยนใด ๆ แต่ช่วยให้ผู้ที่ถูกโอบกอดรู้สึกดีและผ่อนคลายความหนักอึ้ง เยียวยาจิตใจในวันที่อ่อนไหว

เวลาที่รู้สึกท้อแท้ เศร้าในใจ วันที่อ่อนไหว ไร้ที่พึ่ง การได้รับคำปลอบโยนทางคำพูดหรือการรับฟังอาจช่วยได้ แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่เรามองว่า ทำได้ง่ายกว่าทุกอย่าง ไม่ต้องประดิษฐ์คำพูดสวยหรู ไม่ต้องกังวลว่าจะพูดถูกหรือผิด ตรงใจของผู้ฟังหรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ใช้พียงตัวเราและความเข้าใจ โอบรัดวามผิดหวังและความเปราะบางนั้นไว้ สิ่งนั้นเรียกว่า ‘กอด’

เรามีโอกาสอ่านบทความจากต่างประเทศ เป็นบทความว่าด้วยเรื่อง การกอดเป็นประจำนำไปสู่ประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยในบทความนั้นมีข้อมูลที่น่าสนใจตอนหนึ่งว่า เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักจิตบำบัดครอบครัว ชาวอเมริกัน กล่าวว่า เราต้องการการกอด 4 ครั้งต่อวัน เพื่อความอยู่รอด ต้องการกอด 8 ครั้งต่อวัน เพื่อการรักษาซ่อมบำรุง และต้องการกอด 12 ครั้งต่อวัน เพื่อการเติบโต และในการศึกษาที่เรียกว่า “ความหมายของการกอด: จากพฤติกรรมการทักทายไปจนถึงการสัมผัสโดยนัย” Lena Forsell และ Jan Åström ได้ระบุว่าการกอดสั้น ๆ 10 วินาที ช่วยต่อสู้กับความรู้สึกเหนื่อยล้าทางใจ

พอได้รู้แบบนี้แล้ว คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรกอดกัน ถึงแม้การกอดบ่อย ๆ อาจจะดูเคอะเขินไปบ้าง เพราะไม่ใช่เรื่องที่คนไทยทำเป็นประจำเหมือนอย่างการทักทายของชาวต่างชาติ แต่เรากำลังจะบอกว่า การกอด ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความเสน่หา ไม่ใช่ทำแค่กับคนรัก เราสามารถกอดพ่อแม่ กอดเพื่อน กอดพี่น้อง กอดแฟน กอดสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งกอดคนแปลกหน้าที่ต้องการกำลังใจ ใครจะไปรู้ บางครั้งการกอดของเราอาจจะช่วยใครสักคนไว้ในวันที่เค้าเคว้งคว้าง หรือบุบสลาย

วันที่เรามองหาคนที่จะอยู่ข้าง ๆ แต่กลับพบว่ารอบตัวว่างเปล่า คงเป็นความรู้สึกเคว้งคว้าปนเศร้าใจ ช่วงเวลาเหล่านั้นกลายเป็นเวลาที่ยากลำบากที่จะผ่านไปตัวคนเดียว คงจะดีไม่น้อย หากเราได้วางความเหนื่อยใจไว้ที่ไหล่ของใครสักคนสักพัก โดยที่ไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้ามาแบกความเหนื่อยล้าตรงนั้น เพียงแต่ให้เขาเป็นที่พักพิงช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าทางจิตใจในช่วงขณะหนึ่ง

เราเองก็ชอบทั้งการเป็นผู้กอด และผู้ถูกโอบกอด ตัวเราเปลี่ยนบทบาทไปได้ตามแต่ละสถานการณ์ ในวันที่เราเข้มแข็งและเจอคนที่อ่อนแอกว่า เราคงไม่ปฏิเสธการกอดปลอบใจ กลับกันในวันที่เราเหนื่อยล้า หมดแรง เราก็อยากเป็นฝ่ายที่ถูกโอบกอดไว้เช่นกัน เรามองว่า การกอดเป็นการแสดงออกที่ง่ายที่สุด แต่มีอานุภาพที่สดชื่นเบาสบายที่สุดเช่นกัน

ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราอาจไม่ได้ต้องการคนเข้าใจ ปลอบใจ หรือพาเราก้าวข้ามผ่านมันไป แต่สิ่งที่คนเราต้องการอาจเป็นเพียงการอยู่ข้าง ๆ คอยรับฟังและไม่ทอดทิ้ง แม้จะเหน็ดเหนื่อย หมดแรง แต่การถูกโอบกอดอย่างอบอุ่นหรือตบบ่าก็สามารถช่วยให้รู้สึกดีได้จริง ๆ


เขียนโดย เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES

อ้างอิงข้อมูล: https://brightside.me/inspiration-health/7-health-benefits-regular-hugs-can-bring-you-794694/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top