Thursday, 19 June 2025
Hard News Team

7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ พ้นเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” หลังศาล รธน. วินิจฉัย ปมย้าย ‘ถวิล เปลี่ยนศรี’

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ได้พ้นจากเก้าอี้รักษาการนายกฯ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ขัดรัฐธรรมนูญ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นเก้าอี้รักษาการนายกฯ พร้อมกับ 9 รัฐมนตรี ที่ร่วมลงมติเห็นชอบให้ย้ายนาย ถวิล เปลี่ยนศรี  

กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภาในขณะนั้น ได้ร้องขอให้ศาลพิจารณาว่า สถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 182 (7) ประกอบมาตรา 268 หรือไม่ จากกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้าย นายถวิล พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเร่งรีบอย่างผิดสังเกต ซึ่งไม่เป็นไปตามการปฏิบัติราชการปกติ ถือเป็นการกระทำที่รวบรัด ปราศจากเหตุผลอันสมควรที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการที่ย้าย นายถวิล เลขาธิการ สมช. ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ คือความประสงค์ให้ตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ว่างลง เพื่อโอนย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แทน อันจะทำให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่างลง เพื่อย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุราชการ และเป็นเครือญาติของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน

ดังนั้น การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้สถานะการเป็นนายกรัฐมนตรี เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง รวมถึงรัฐมนตรีในขณะนั้นจำนวน 9 คนที่ร่วมมีมติดังกล่าวก็ให้พ้นตำแหน่ง ถือว่ามีส่วนร่วมในการก้าวก่ายแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการด้วย

หลังจากนั้นอีก 15 วันต่อมา (วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557) ทหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ จึงได้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง นับถึงวันนี้ เป็นระยะเวลา 11 ปีแล้ว

‘อังกฤษ’ อัปเดตแผนลับฉุกเฉินรับมือภัยคุกคาม ‘รัสเซีย’ เตรียมพร้อมทั้งอพยพราชวงศ์-ต้านขีปนาวุธ-การโจมตีทางไซเบอร์

(6 พ.ค. 68) สหราชอาณาจักรกำลังทบทวนและปรับปรุงแผนการป้องกันประเทศฉบับลับที่ไม่ได้อัปเดตมาตั้งแต่ปี 2005 ท่ามกลางความกังวลต่อความเป็นไปได้ของการโจมตีจากรัสเซีย โดยเฉพาะในรูปแบบของขีปนาวุธ นิวเคลียร์ และไซเบอร์ ตามรายงานของ The Telegraph

เอกสารแผนลับดังกล่าวระบุขั้นตอนฉุกเฉิน เช่น การอพยพรัฐบาลและราชวงศ์ไปยังหลุมหลบภัย การประสานการออกอากาศฉุกเฉิน และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่างระบบขนส่งและการสื่อสาร เพื่อให้ประเทศสามารถดำเนินงานได้ต่อเนื่องในภาวะวิกฤต

รายงานยังเปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดทำสถานการณ์จำลองการโจมตีแบบผสมผสาน ทั้งขีปนาวุธและไซเบอร์ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรง รัฐมนตรีหลายรายแสดงความกังวลถึงความพร้อมของประเทศในการรับมือสงครามสมัยใหม่

ในอีกด้าน สหราชอาณาจักรยังตรวจพบเซ็นเซอร์สอดแนมของรัสเซียในน่านน้ำใกล้ชายฝั่ง ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของอังกฤษ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงภัยคุกคามเชิงยุทธศาสตร์ที่กำลังทวีความรุนแรงในภูมิภาค

แผนการทั้งหมดอยู่ภายใต้ความลับอย่างเข้มงวด และไม่น่าจะมีการเปิดเผยต่อสาธารณะในอนาคตอันใกล้ ขณะที่การสอดแนมและความเคลื่อนไหวทางทหารของรัสเซียยังคงเป็นประเด็นเฝ้าระวังหลักของรัฐบาลอังกฤษต่อไป

BRN แถลงเสียใจ!! แต่ความรุนแรงยังต่อเนื่องสวนทางกับคำขอโทษ กลบไม่มิดความจริง…เมื่อคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ถูกใช้เพื่อแลกกับชีวิตเด็ก พระ และครู

(6 พ.ค. 68) จากโพสต์ล่าสุดของเพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ถึงเรื่อง “คำขอโทษที่ลอยอยู่เหนือซากศพ: ความจริงที่สวนทางกับคำแถลงของ BRN”

แม้ BRN หรือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี จะออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือน” และอ้างว่ายึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนใต้กลับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้—ว่าพลเรือนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องจากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการมุ่งเป้าโดยตรงจากกลุ่มติดอาวุธที่อ้างชื่อ BRN เอง

ในเดือนเมษายน 2568 กลุ่มติดอาวุธได้ยิงถล่มรถที่พระภิกษุและสามเณรใช้บิณฑบาตในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต และเด็กชายวัย 12 ปีได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ และไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ชีวิตของเยาวชนต้องดับสูญเพียงเพราะความรุนแรงที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่า “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี”

ย้อนไปเมื่อปี 2560 ห้างบิ๊กซีในจังหวัดปัตตานีถูกโจมตีด้วยระเบิดสองลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 56 ราย รวมถึงเด็กเล็ก ขณะที่ปี 2562 จุดตรวจในจังหวัดยะลาถูกลอบโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชีวิตถึง 15 ราย—ล้วนเป็นบุคคลไร้อาวุธ ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการสังหารครูในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างปี 2547–2556 ระบุว่าครูอย่างน้อย 157 รายถูกสังหาร ไม่ใช่เพราะมีบทบาททางทหาร แต่เพียงเพราะทำหน้าที่ให้ความรู้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีรายงานว่าเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปถูกกลุ่มติดอาวุธเกณฑ์เข้าฝึกและใช้เป็นผู้สอดแนม นั่นย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”

ในบริบทนี้ การที่ BRN ออกแถลงการณ์เสียใจภายหลังการสังหารเด็ก คนชรา หรือพระสงฆ์ แทนที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบหรือแสดงเจตจำนงที่จะยุติการใช้ความรุนแรง กลับยิ่งทำให้แถลงการณ์กลายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมแต่อย่างใด

เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีนั้น ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และไม่ควรมีเด็กคนใดต้องโตมากับเสียงปืนเพื่อให้ใครบางคน “ได้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

หากการต่อสู้ของ BRN ยังคงดำเนินไปด้วยแนวทางเดิม แถลงการณ์ใดๆ ที่ตามมาจะเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้กำลังที่ไร้ความชอบธรรม และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากสังคมไทยหรือประชาคมโลกได้อย่างแท้จริง

กองทัพอากาศส่ง F-16 สกัดเครื่องบินเมียนมา หลังพบบินเข้าใกล้ชายแดนกาญจนบุรี ยันไม่มีการล้ำอธิปไตย

(6 พ.ค. 68) พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศตรวจพบเครื่องบินลักษณะคล้าย K-8 จากเมียนมา บินเข้าใกล้เขตแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เวลาประมาณ 12.45 น. กองทัพอากาศจึงสั่งการให้ F-16 จำนวน 2 ลำ จากกองบิน 4 จังหวัดนครสวรรค์ ขึ้นบินพิสูจน์ฝ่ายและแสดงท่าทีทางอากาศ

F-16 ทั้งสองลำได้ทำการบินลาดตระเวนรบในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่พบการล้ำอธิปไตยหรือท่าทีคุกคามเพิ่มเติมจากเครื่องบินดังกล่าว

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันความพร้อมในการสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย โดยจะดำเนินการตามมาตรการอย่างมืออาชีพ เพื่อปกป้องน่านฟ้าไทยและอธิปไตยของประเทศตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

‘IO มากันไวมาก’ ฐปณีย์คอมเมนต์แซะกลางโซเชียล หลังโพสต์เรียกร้องเจรจาชายแดนใต้เจอกระแสตีกลับ-ครอบครัวเหยื่อระเบิดสวนเจ็บ ‘คุณไม่มีวันเข้าใจ’

(6 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวชื่อดัง โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยสะท้อนเสียงจากทั้งพุทธและมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ต่างเรียกร้องให้หยุดความรุนแรง และเห็นว่าการเจรจาเป็นแนวทางสันติวิธีเพื่อยุติการสูญเสีย พร้อมย้ำว่า “อย่าใช้ชีวิตประชาชนเป็นตัวประกัน หยุดการใช้อาวุธ กลับสู่โต๊ะเจรจา”

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน จนคุณแยมต้องเข้ามาคอมเมนต์ว่า “IO มากันไวมาก” 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด มาจากภรรยาเจ้าหน้าที่ EOD ที่สูญเสียขาจากเหตุระเบิดในนราธิวาส ระบุว่า “ไม่ใช่ไอโอค่ะ...เจรจามากี่ครั้งแล้ว พอไม่พอใจก็ก่อเหตุอีก เค้าต้องการแบ่งแยก ไม่ได้ต้องการเจรจา...คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ” เป็นเสียงสะท้อนความเจ็บปวดจากผู้สูญเสียที่วิจารณ์กระบวนการเจรจาอย่างตรงไปตรงมา

‘พิชัย-พีระพันธุ์’ ร่วมย้ำ ค่าไฟฟ้างวด ก.ย.-ธ.ค. เหลือ 3.99 บาท/หน่วย ไม่ใช้งบหลวง เว้นแต่ราคาพลังงานเปลี่ยนแปลงรุนแรง

(6 พ.ค. 68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2568 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบลดค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2568 จาก 4.15 บาท เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยย้ำว่ารัฐบาลมั่นใจจะควบคุมค่าไฟให้อยู่ในกรอบนี้จนถึงสิ้นปี เว้นแต่มีการเปลี่ยนแปลงต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ภายใต้แผนพลังงานสะอาดปี 2566–2573

ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันผ่านเฟซบุ๊กว่า การกำหนดเพดานค่าไฟไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระประชาชน พร้อมเฝ้าระวังต้นทุนพลังงานอย่างใกล้ชิด

BRN แถลงเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานี ยืนยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกอย่างสันติ ยึดหลักสิทธิมนุษยชน

(6 พ.ค. 68) แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ปาตานีดารุสซาลามที่ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต พร้อมยืนยันว่า BRN ไม่มีนโยบายมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือน และขอแสดงความเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียทุกคน

ในแถลงการณ์ BRN ระบุว่าการเคลื่อนไหวของตนมีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ยืนยันการต่อสู้จะไม่ละเมิดหลักเกณฑ์เหล่านี้

นอกจากนี้ BRN เรียกร้องให้ทุกฝ่าย รวมถึงรัฐบาลไทยและกลุ่มติดอาวุธ หลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อพลเรือน พร้อมเสนอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดความตึงเครียดในพื้นที่

แถลงการณ์ปิดท้ายด้วยข้อความว่า “การต่อสู้ของพวกเรามีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนปาตานี มิใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัว” พร้อมเชิญชวนให้ทุกฝ่ายยืนหยัดร่วมกันด้วยสันติและปัญญาเพื่อทางออกที่ยั่งยืนของปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการแข่งขัน Cops Combat ประจำปี 2568 วางยศ ลดอัตตา ปรับใช้ในการทำงานของตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(6 พ.ค. 68) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้การต้อนรับ ณ สนามมวยราชดำเนิน ซึ่งการแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 6 พฤษภาคม 2568 โดยในวันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบรางวัลชนะเลิศกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้ทบทวนการต่อสู้ป้องกันตัว การต่อสู้ระยะประชิด รวมไปถึงเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของข้าราชการตำรวจไปในตัว โดยปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สำหรับคะแนนรวมทั้งประเภทชายและหญิง 12 รุ่นน้ำหนัก โดยคะแนนรวมมากที่สุดของการแข่งขัน เป็นของกลุ่ม 13 ซึ่งเป็นนักกีฬาจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว 

ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ในปัจจุบันคนร้ายได้มีการต่อสู้กับตำรวจมากขึ้น ทำให้ตำรวจต้องมีความรู้ในการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน นักกีฬาทุกคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บนสังเวียนแห่งนี้มีแต่มิตรภาพ เพราะเราคือพี่น้องที่หน้าที่เพื่อจุดหมายเดียวกันคือ เพื่อประชาชน พร้อมขอบคุณนักกีฬาตำรวจทุกคน ที่ร่วมแข่งขันกันอย่างมีสปิริตบนเกมกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย วางยศ ลดอัตตา

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า Cops Combat เป็นกีฬาที่มีการผสมผสานระหว่างมวยไทยและทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวจากประเทศอื่น น้องๆ ตำรวจที่มาเป็นนักกีฬา สามารถนำไปปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้ป้องกันตัว ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อาจต้องใช้ความรู้จาก Cops Combat มาใช้ในการป้องกันตนเอง จากผู้คลุ้มคลั่ง หรือจากอาชญากร ที่อาจจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ถึงชีวิตได้ ดังนั้น กีฬาต่อสู้ป้องกันตัวที่จัดขึ้นโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีความจำเป็นกับทุกคน ซึ่งการจัดการแข่งขัน Cops Combat ปีนี้ พบว่ามีนักกีฬาจำนวน  14 กลุ่ม มากกว่า 14 กองบัญชาการ ที่ร่วมส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน และมีนักกีฬาเข้าร่วมจำนวนมากทั้งหญิงและชาย จึงอยากให้ข้าราชการตำรวจและนักกีฬาได้มีการพัฒนาตัวเอง พัฒนากำลังกายและทักษะเป็นประจำและสม่ำเสมอ เพราะตำรวจเรามีความจำเป็นต้องใช้ในภารกิจตำรวจกับชีวิตประจำวัน ขอบคุณนักกีฬาทุกคนที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน และคาดหวังว่าในปีต่อๆ ไป จะมีการพัฒนาในการต่อสู่กับฝ่ายตรงข้ามอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องราวชีวิตของจางเจี้ยนเหอ ผู้สร้าง ‘หว่านไจ๋หม่าโถว’ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่พลิกชีวิตจากความสิ้นหวังสู่อาณาจักรเกี๊ยวระดับโลก

(6 พ.ค. 68) จางเจี้ยนเหอ หรือ “Chong Kin Wo” คือแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เปลี่ยนเกี๊ยวจีนข้างถนนให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก “หว่านไจ๋หม่าโถว” ด้วยยอดขายกว่า 6,000 ล้านหยวน 

ชีวิตของเธอเริ่มต้นจากความลำบาก หลังสามีทิ้งไปและเธอเดินทางมาฮ่องกงกับลูกสาวเพื่อหาสามีที่หายไป แต่พบว่าถูกทิ้งจนต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากและต้องทำงานหลายอย่างเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ โดยเธอเริ่มจากการขายเกี๊ยวริมถนนที่ท่าเรือ และต่อมาก็สร้างโรงงานผลิตเกี๊ยวภายใต้ชื่อ “หว่านไจ๋หม่าโถว” ซึ่งเริ่มขยายเข้าสู่ตลาดเกี๊ยวแช่แข็งและกลายเป็นเจ้าตลาดในฮ่องกงภายในไม่กี่ปี

ความสำเร็จของเธอไม่ได้มาจากโชคชะตา แต่เป็นผลจากความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ โดยในช่วงต้นเธอปฏิเสธความช่วยเหลือจากรัฐบาลและเงินชดเชยที่เสนอให้ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและสอนลูกๆ ให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง จางเจี้ยนเหอได้เริ่มต้นจากแผงลอยบนถนนและสร้างแบรนด์ด้วยความตั้งใจและการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสม จนกระทั่งได้รับการร่วมทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่จากอเมริกา General Mills

การขยายแบรนด์หว่านไจ๋หม่าโถวไม่เพียงแค่ส่งสินค้าคุณภาพไปทั่วโลก แต่ยังคำนึงถึงเสียงจากลูกค้าด้วย จางเจี้ยนเหอได้ปรับกระบวนการผลิตตามคำแนะนำของลูกค้า และยึดมั่นในคุณภาพสูงสุด โดยใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดและการควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด

ในปี 2001 บริษัท General Mills ได้ซื้อกิจการ Pillsbury และเข้ามาเป็นเจ้าของแบรนด์ “หว่านไจ๋หม่าโถว” ด้วยการลงทุนอย่างมหาศาล และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับปรุงกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้น จางเจี้ยนเหอได้เห็นว่าความรู้และเทคโนโลยีขั้นสูงนั้นสำคัญในการทำธุรกิจในระดับโลก

แม้เธอจะพบความสำเร็จ แต่ก็ไม่เคยลืมจุดเริ่มต้น เธอยังคงมีความเชื่อมั่นในวิธีการทำธุรกิจที่มีความละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ลูกค้า เธอเคยกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่เรามีในวันนี้ เป็นเพราะคำแนะนำและเสียงสะท้อนจากลูกค้า”

จนถึงที่สุด แบรนด์ “หว่านไจ๋หม่าโถว” กลายเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยสามารถส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ผ่านระบบ cold chain ที่แข็งแกร่ง และยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพสูงและความพรีเมียม

จางเจี้ยนเหอเสียชีวิตในปี 2019 ด้วยวัย 74 ปี แต่เรื่องราวของเธอคือการต่อสู้ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนหลายล้านคน เธอไม่เพียงแค่สร้างแบรนด์หมื่นล้าน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นและศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมแพ้ในทุกสถานการณ์

ครบรอบ 72 ปี กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานในพิธีสดุดีอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ผบช.ตชด.นำยกย่องเชิดชูเกียรติ “ตชด.ผู้กล้า ผู้เสียสละ”เปิดผลงาน Seal ชายแดน ปราบเข้มยาเสพติด ต่างด้าว ภัยความมั่นคงทุกมิติ
 
(6 พ.ค. 68) เวลา 09.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( บช.ตชด. ) เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานในพิธีสดุดีและวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และผู้ก่อตั้งตำรวจตระเวนชายแดน เนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 72
โดยมี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
อาทิ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.อ.สมศักดิ์ บุบผาสุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ร่วมพิธี
พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน คุณสุวรรณยา  หลังยาหน่าย
ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจตระเวนชายแดน, ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน, คณะแม่บ้านตำรวจตระเวนชายแดน และผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 72 ซึ่งตรงกับวันนี้ 6 พฤษภาคม 2568 โดยในเวลา 06.39 น. คณะผู้บังคับบัญชาได้ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงพระพุทธศรีประกายสิทธิ์ ศาลพระภูมิ และบวงสรวงอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
จากนั้น 09.00 น. พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีสดุดี
และวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
และในเวลา 10.00 น. พล.ต.ท. นิตินัย  หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นประธานพิธีมอบโล่ ประกาศนียบัตร ให้แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัวข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นการสดุดียกย่อง “ตชด.ผู้กล้า” จำนวน 14 ราย  มอบรางวัลให้แก่ข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 11 รางวัล และมอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจ 50 ทุน
สำหรับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2496 ภายใต้สภาวะที่ประเทศไทยเผชิญกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้รัฐบาลและกรมตำรวจในขณะนั้น ได้จัดตั้งตำรวจตระเวนชายแดนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่รักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน โดยมี
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนคนแรก
 
ตำรวจตระเวนชายแดน มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
1.ทำการรบในระดับหน่วยขนาดเล็กได้อย่างทหาร
2.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างตำรวจ
3.พัฒนาและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างข้าราชการพลเรือน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตำรวจตระเวนชายแดนได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่มีปัญหา
ความมั่นคงอย่างมืออาชีพ ด้วยความเสียสละ และอดทน ยึดถือในอุดมการณ์ของตำรวจตระเวนชายแดน
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในชีวิตและทรัพย์สิน พัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน โดยมีผลงานสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมสำคัญ
ในพื้นที่ชายแดน เช่น การปราบปรามยาเสพติด การปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น
ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ  รวมถึงการดำเนินงานโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 222 แห่ง
ทั่วประเทศ
 
ทั้งนี้ ในห้วงปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา มีผลงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ดังนี้
1. การจับกุมคดียาเสพติด จำนวน 3,850 คดี ของกลาง ยาบ้า 20,910,461 เม็ด ไอซ์ประมาณ
1,260 กิโลกรัม และเฮโรอีน 21 กิโลกรัมเศษ
2. การจับกุมความผิดตาม พรบ. คนเข้าเมือง จำนวน 586 คดี ผู้ต้องหา 3,019 คน
3. การจับกุมกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 111 คดี ผู้ต้องหา 55 คน ของกลาง พื้นที่ป่าบุกรุก 487 ไร่เศษ มูลค่า 9,285,337 บาท ไม้ต่างๆ เช่น พะยูง 211 ท่อน มูลค่า 414,800 บาท, ไม้สัก 925 ท่อน มูลค่า 813,580 บาท,
4. การจับกุมความผิดตาม พรบ.อาวุธปืน จำนวน 355 คดี ผู้ต้องหา 373 คน ปืนชนิดต่างๆ รวม 396 กระบอก ระเบิดขว้าง 4 ลูก และเครื่องกระสุน 3,351 นัด
5. การจับกุมความผิดตาม พรบ.ศุลกากร จำนวน 97 คดี ผู้ต้องหา 83 คน ของกลาง ได้แก่ บุหรี่ 73,983 ซอง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3,723 ขวด และน้ำมันดีเซล 2,513 ลิตร
6. การจับกุมความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จำนวน 55 คดี ผู้ต้องหา 36 คน
ของกลาง รถยนต์ 69 คัน และ จักรยานยนต์ 29 คัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top