Tuesday, 10 June 2025
Hard News Team

สมอ. รุกตลาดสดปทุมธานี จับมือภาคีเครือข่ายเซ็น MoU นำร่องขายสินค้า มอก. ตั้งเป้าขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศเร็วๆ นี้ 

สมอ. จับมือภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อจังหวัดปทุมธานี 37 แห่ง นำร่องขายสินค้าได้มาตรฐาน มอก. เตรียมขยายผลต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั่วประเทศเร็วๆ นี้ สร้างการรับรู้ให้ประชาชนและร้านจำหน่าย ตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกซื้อและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน

นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นอกจากภารกิจด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมให้สูงขึ้นแล้ว  กระทรวงอุตสาหกรรมยังมีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญในการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน โดยมีสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบและกำกับดูแล ทั้งการดำเนินงานด้านการมาตรฐานระดับประเทศ และระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในเวทีการค้าโลก

นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ส่งเสริมความรู้ด้านการมาตรฐานแก่ทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และประชาชน เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความตระหนักในความสำคัญของการมาตรฐาน ควบคู่ไปกับการควบคุมและกำกับติดตามการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ล่าสุด สมอ. ได้ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อหารือแนวทางร่วมกับภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อ ในการร่วมมือกันให้ร้านค้ารายย่อยภายในตลาดทุกแห่งในจังหวัดปทุมธานี มีความรู้ความเข้าใจในการจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน และถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  โดยนำร่องที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดแรก

เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ มีตลาดค้าปลีก-ค้าส่ง มากถึง 37 แห่ง ซึ่งตลาดเหล่านี้มีร้านค้าขนาดเล็ก เช่น ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ร้านวัสดุก่อสร้าง และร้านค้าทุกอย่าง 20 บาท กระจายอยู่โดยรอบ ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้โดยง่าย และสะดวก ประกอบกับสินค้ามีราคาถูก จึงทำให้ร้านค้าในลักษณะนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และโดยส่วนใหญ่ร้านค้าเหล่านี้จะขายสินค้าที่ สมอ. ควบคุม เช่น  วัสดุก่อสร้าง  ก๊อกน้ำ  ฝักบัว  พัดลม หม้อหุงข้าว  เตาปิ้งย่าง กระทะไฟฟ้า หม้ออบลมร้อน  ไฟแช็ก ไดร์เป่าผม  ที่หนีบผม  ของเด็กเล่น พาวเวอร์แบงค์  อะแด็ปเตอร์  ปลั๊กพ่วง  หลอดไฟ  สปอตไลท์  หลอดไฟแอลอีดี ถ่านไฟฉาย  ท่อน้ำดื่ม  ภาชนะจานชามเมลามีน ผงซักฟอก ไม้ขีดไฟ ไฟแช็คก๊าซ หัวนมยางดูดเล่น ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร แอลกอฮอล์แข็งสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง และสีเทียน เป็นต้น

 

'ไชยันต์' ย้อนปมปริศนาเอนทรานซ์ปี 47 เปิดคะแนน 'อุ๊งอิ๊ง' พุ่งสูงมหัศจรรย์

'ไชยันต์' ย้อนปมปริศนาข้อสอบเอนทรานซ์ปี 47 รั่ว เปิดคะแนนสูงมหัศจรรย์ลูกสาวอดีตนายกฯ สร้างรอยด่างวงการศึกษาไทยครั้งใหญ่

ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า…

ปมปริศนาความไม่เสมอภาคและความอยุติธรรมทางการศึกษาในปี พ.ศ. 2547 กรณีข้อสอบ Entrance ปี 47 รั่ว

แพทองธาร คะแนนสูงมหัศจรรย์ เมื่อคะแนน Ent ครั้งนั้นออก ผลการสอบของลูกสาวนายกฯ เทียบกับครั้งแรกตะลึง ภาษาไทย จาก 52 เพิ่มเป็น 72, สังคม จาก 41.25 เพิ่มเป็น 67.5, ภาษาอังกฤษจาก 64 เพิ่มเป็น 84, คณิตศาสตร์ 2 จาก 27 เพิ่มเป็น 63

ศ.ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดซองต้นฉบับการ์ดข้อสอบ วิชาภาษาไทยและวิชาสังคมศึกษา ก่อนส่งให้คณะอนุกรรมการพิมพ์ข้อสอบ

ผลสรุปเอ็นทรานซ์รั่ว “ทักษิณ-อดิศัย” ต้องรับผิดชอบ (14 มิ.ย. 47) กรณีข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอ็นทรานซ์รั่วที่ปรากฏขึ้นในรัฐบาลชุดนั้นถือเป็นรอยด่างให้กับวงการศึกษาไทยครั้งใหญ่ ทำให้ความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบบการสอบเอ็นทรานซ์ที่เคยได้รับความเชื่อถือศรัทธามานานนับสิบปีต้องสั่นคลอนอย่างหนัก ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่างยืนยันว่า “ข้อสอบไม่รั่ว” รวมทั้งแสดงพฤติกรรมปกป้องคนผิดมาตลอด

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุด นายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน มีข้อสรุปว่า “ข้อสอบรั่ว” ศูนย์วิจัยฯ พรรคประชาธิปัตย์ ขณะนั้น เห็นว่าเมื่อผลสรุปออกมาแบบนี้ ทั้งนายกฯ ทักษิณ และ รมต.อดิศัย ต้องแสดงรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลสรุปคณะกรรมการสอบสวนฯ ตบหน้า “ทักษิณ-อดิศัย”

ก่อนหน้านี้เมื่อเกิดเหตุการณ์อื้อฉาว สังคมตั้งข้อสงสัยเรื่องข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว เพราะมีการเปิดเผยพฤติกรรมของข้าราชการระดับสูงบางคน โดยเฉพาะ ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ก.อ.) ว่าไม่โปร่งใส มีการเปิดดูข้อสอบหรือนำข้อสอบไปเก็บไว้ในห้องทำงาน ในครั้งนั้นบรรดานักเรียน ผู้ปกครองรวมทั้งประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยและเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาโดยเร็ว

แต่ปรากฏว่า ได้รับการขัดขวางทุกวิถีทางทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะนายกฯ ทักษิณ และรมต.อดิศัยต่างออกมาปฏิเสธ และเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแต่อย่างใด อีกทั้งในบางครั้งยังออกมาพูดในทำนองว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองหรือมีบางกลุ่มต้องการสร้างกระแสเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสสังคมเริ่มกดดันขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้รัฐบาลทนฝืนกระแสต่อไปไม่ไหว ก็มีการย้าย ร.ต.อ.วรเดช ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาการศึกษา แทนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงให้คลายความสงสัยกับสังคม หรือยังมีการตกรางวัลความดีความชอบตามระเบียบสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพิ่มให้อีก 2 ขั้น

ที่สุดแล้วเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงต้องยอมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และมีข้อสรุปในเวลาต่อมาว่า “ข้อสอบรั่ว” รวมทั้งยังระบุว่า การกระทำของ ร.ต.อ.วรเดช เป็นการไม่ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ข้อ 30 เพราะในรายงานการสอบสวนยังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนอีกว่า ร.ต.อ.วรเดช เป็นผู้เปิดดูซองข้อสอบและเปลี่ยนแปลงสถานที่เก็บข้อสอบถึงสองครั้ง

พฤติกรรมดังกล่าวของ ร.ต.อ.วรเดช ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงยังระบุว่า มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ฐานปฏิบัติราชการไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการและมติคณะรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการตามมาตรา 85 และมาตรา 91 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 และมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้น เมื่อรายงานผลการสอบสวนออกมาตรงกันข้ามกับท่าทีและคำยืนยันของผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล สังคมจึงต้องการรู้ว่า ทั้งสองคนดังกล่าวจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง

“อดิศัยท้าทายสังคม ‘ตัดตอน’ ผลสอบเอ็นทรานซ์รั่ว” หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อะไรคือสาเหตุจูงใจให้ ร.ต.อ.วรเดช และ รมต.อดิศัย ถึงกล้าแสดงพฤติกรรมที่ท้าทายสังคมมาตลอด อย่างไรก็ดี ถ้าหากมองย้อนไปในอดีตแล้วก็สามารถเชื่อมโยงได้ทันทีจากคำพูดของนายกฯ ทักษิณ ที่เคยกล่าวว่า จะให้นายอดิศัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไปจนครบ 4 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการประกันเก้าอี้กันไว้ล่วงหน้า ทำให้หลายฝ่ายเข้าใจนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ รมต.อดิศัย ไม่สนใจต่อสังคมมากนัก

ประกอบกับเวลานี้สิ่งที่สังคมยังตั้งข้อสงสัยและไม่พอใจคือ ความพยายามในการบิดเบือนข้อสรุปของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจาก นายอดิศัย โพธารามิก ที่เคยออกมาแถลงรายงานผลการสอบสวนเพียงบางส่วนโดยสรุปเหลือเพียง 2 หน้า จากจำนวนทั้งหมด 15 หน้า

‘พิพัฒน์’ รับผิด ปมชวดดึง ‘ลิซ่า’ มาเคาท์ดาวน์ ยอมรับสื่อสารผิดพลาด รีบพูดก่อนดีลจบ

"พิพัฒน์" ยืดอกรับผิดปมชวดดึง "ลิซ่า" มาเคาท์ดาวน์ในไทย ยอมรับสื่อสารผิดพลาด รีบพูดก่อน พร้อมนำมาเป็นบทเรียน เดินหน้าชวนคนดังระดับโลกมาร่วมงาน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกรณีที่ "ลิซ่า แบล็คพิงก์" หรือ ลลิษา มโนบาล ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ประเทศไทยได้ มีสาเหตุเป็นเพราะฝ่ายไทยต้องการจ้างเพียงคนเดียว แต่ทางต้นสังกัดต้องการให้มาทั้งวง ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ข้อเท็จจริง รวมถึงกระแสข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงทุกเรื่อง อย่างกรณี เชอรี่ โคลว์ และลิซ่า เรื่องแยกแพ็กเกจหรือไม่แยกนั้นไม่มีความจริง ถ้าแยกแล้วไม่มา แต่ถ้าไม่แยกแล้วไม่มา สิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีการสื่อสารออกไปในเบื้องต้น ขณะที่เรายังไม่เห็นรายละเอียดในสัญญาทั้งหมด อย่างที่ตนเคยพูดไปแล้วว่าในวันที่ 30 ต.ค.นี้ เราจะได้เห็นสัญญา และสุดท้ายก็เกิดความสับสน

"ผมคิดว่าบริษัทเขาคำนึงถึงชื่อเสียง และประกอบกับสำคัญที่ว่าเขาติดคิว ไม่สามารถยกเลิกคิวเพื่อเอามาให้ประเทศไทยได้ สิ่งเหล่านี้ผมขอเรียนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนอีกคนนึง คือแอนเดรีย โบเชลลี นักร้องชาวอิตาเลียน ผมก็ยังไม่ขอพูดว่าความชัดเจนคืออะไรในช่วงนี้ เพราะจากความผิดพลาดที่ผ่านมา เราได้รับบทเรียนว่าสิ่งไหนที่ยังไม่จบ อย่าเพิ่งพูดก่อน ซึ่งตัวผมยอมรับว่าได้ให้สัมภาษณ์ในเบื้องต้นไป หลังจากนี้เราคงต้องทำอะไรให้รอบคอบมากกว่าเดิม แต่ก็คงยังมีศิลปินชื่อดังระดับโลกเข้ามาแน่ ๆ แต่จะเป็นใคร อย่างไรนั้น ต้องขอให้มีการลงตัวเรียบร้อยเสียก่อน จึงจะนำเสนอต่อไป" นายพิพัฒน์ กล่าว

“ศบค.” เปิด4จ.สีฟ้า ให้ขาย-ดื่มแอลกอฮอล์ แต่จำกัดโซนพื้นที่

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวหลังประชุม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ศบค.เห็นชอบให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สีฟ้า(นำร่องการท่องเที่ยว) 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และ ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดต่างๆ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเป็นผู้ไปออกข้อกำหนด โดยเบื้องต้นจะมีการกำหนดโซนพื้นที่ให้จำหน่ายและดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้เปิดเสรีเป็นการทั่วไปในทุกพื้นที่

"ปลัดสธ."ยัน ความพร้อมด้านสาธารณสุข รับเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ เผย 4 จชต.สถานการณ์โควิดดีขึ้น

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 หรือ ศบค.พิจารณาปรับโซนสีจังหวัดแดงเข้ม แต่ยังคงพื้นที่สีแดงเข้ม ใน  4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มดีขึ้นและถือว่าผ่านระยะที่แพร่ระบาดสูงสุดมาแล้ว โดยการควบคุมในพื้นที่ภาคใต้ก็ดีขึ้น และมีการกระจายวัคซีนลงไปแล้ว ในภาพรวมการแพร่ระบาดทั่วประเทศดีขึ้น ทำให้สามารถที่จะควบคุมการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มจังหวัดได้  

ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศ 'ห้ามชุมนุม-มั่วสุม' หลังเปิดประเทศ

(29 ต.ค. 64) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบ ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่อง ห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ฉบับที่ ๑๓) 

ตามที่รัฐบาลได้ออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๖) ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ และคำสั่ง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) ที่ ๑๘/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ตามข้อกำหนดออกตาม ความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘

เนื่องจากมีความจำเป็นที่จะต้องมีการฟื้นฟูประเทศเพื่อประโยชน์ด้านการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ และด้านเศรษฐกิจแก่ประชาชน เห็นควรให้มีการเปิดพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศได้มากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและการจ้างงาน ในภาพรวมของประเทศ

แม้ว่าที่ผ่านมาภาพรวมของสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายสาธารณสุขสามารถควบคุมและจำกัดขอบเขตพื้นที่ การแพร่ระบาดของโรคได้ รวมทั้งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมโดยประสานความร่วมมือกับประเทศต้นทาง และบูรณาการการทำงานของพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนในการกำหนดมาตรการ รองรับเพื่อให้การปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบควบคู่กับการกำหนดมาตรการทางด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ให้ประชาชนมีความปลอดภัย

รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติและประชาชนในการป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศอันจะส่งผลให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และสังคมสามารถดำเนินการควบคู่กับมาตรการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อังกฤษ ปลดทุกประเทศพ้น 'บัญชีสีแดง' เดินทางเข้าไม่ต้องกักตัวในโรงแรม

รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมถอดทุกประเทศที่เหลืออยู่ออกจากบัญชี "สีแดง" ด้านการเดินทาง ยกเลิกห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่อังกฤษ จากการเปิดเผยของ แกรนท์ แชปส์ รัฐมนตรีคมนาคมในวันพฤหัสบดี (28 ต.ค.)

รัฐมนตรีรายนี้แถลงว่า 7 ประเทศที่เหลืออยู่ในบัญชีสีแดง ประกอบด้วยโคลอมเบีย สาธารณรัฐโดมินิกัน เอกวาดอร์ เฮติ ปานามา เปรู และเวเนซุเอลา จะถูกปลดพ้นจากบัญชีในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้

ชาวสหราชอาณาจักรที่เดินทางกลับจากประเทศเหล่านี้จะไม่จำเป็นต้องกักโรคในโรงแรมเป็นเวลา 11 คืนอีกต่อไป ส่วนพลเมืองของบรรดาประเทศดังกล่าว เวลานี้ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าอังกฤษได้แล้ว

อย่างไรก็ตามระบบบัญชีแดงจะยังคงมีอยู่ และประเทศใด ๆ ประเทศหนึ่งอาจถูกใส่กลับเข้ามาในบัญชีดังกล่าว ในกรณีที่พบเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในประเทศนั้น ๆ

"เราจะคงหมวดหมู่บัญชีสีแดงเอาไว้ ในมาตรการป้องกันไว้ก่อน เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน และพร้อมใส่ประเทศหรือดินแดนหนึ่ง ๆ กลับเข้าไป ถ้าจำเป็น ในฐานะที่มันเป็นแนวแรกแห่งการป้องกันของสหราชอาณาจักร" แชปส์เผยผ่านทวิตเตอร์

“ประวิตร” เรียกประชุม สถานการณ์น้ำ สั่งเตรียมรับมือฤดูฝนภาคใต้ พร้อมเร่งวางแผนแก้ปัญหาน้ำเค็ม น้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุม คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/64 ณ ห้องประชุม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อเตรียมรับมือฤดูฝนภาคใต้ รวมทั้งติดตามบริหารจัดการสถานการณ์ท่วมและน้ำแล้งในภาพรวม

โดยที่ประชุมรับทราบสถานการณ์สภาพอากาศ รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำปัจจุบัน ในพื้นที่ลุ่มต่ำ แหล่งน้ำขนาดใหญ่ - กลาง และเขื่อนระบายน้ำ ซึ่งในภาพรวมยังสามารถควบคุม โดยมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่งที่ต้องเฝ้าระวัง สำหรับการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ระหว่าง ต.ค.- ธ.ค.64 มีแนวโน้มลดลง เว้นภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นจากฤดูฝนที่กำลังมาถึง โดยมีโอกาสสูงในการเกิดพายุเคลื่อนผ่านภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยง 725 ตำบล 43,495 หมู่บ้านใน 16 จว. ทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมรับมือกับอุทกภัย โดยได้ขุดลอกคูคลอง กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ทำพนังกั้นน้ำและก่อสร้างทางระบายน้ำไปยังพื้นที่รับน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้น 

สำหรับการบริหารจัดการนำ้ฤดูแล้ง ได้พิจารณาวางแผนจากการคาดการณ์นำ้ต้นทุน ปริมาณการใช้น้ำและพื้นที่เสี่ยงน้ำแล้ง พบความเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคใน 5 จว. 9 อำเภอ 25 ตำบล มีพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงน้ำแล้งด้านการเกษตร นอกเขตชลประทาน  11 จว. ซึ่งอยู่ระหว่างเร่งกำหนดมาตรการรองรับ ทั้งการเก็บกักน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่เสี่ยง การเติมน้ำ การจัดสรรน้ำฤดูแล้ง การวางแผนเพาะปลูกพืช การเตรียมน้ำสำรองในพื้นที่ลุ่มต่ำ การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ รวมทั้งการติดตามประเมินผล

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร  ได้กล่าวแสดงความห่วงใยถึงประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยกำชับ สทนช.บูรณาการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน ยังคงต้องติดตามสถานการณ์สภาพอากาศที่อาจพัฒนาก่อตัวเป็นพายุซ้ำเติมพื้นที่น้ำท่วมเดิม พร้อมทั้งให้เร่งระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วมขังเข้าแหล่งน้ำขนาดใหญ่และลำน้ำสายหลักตามแผนและสถานการณ์  ทั้งนี้ให้นำจุลินทรีย์มาใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในพื้นที่ท่วมขังนานและเกิดการเน่าเสียหวั่นกระทบสร้างปัญหาโรคระบาด  โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ขอให้ทบทวนปรับปรุงและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกัน และให้ตรวจสอบระบบเตือนภัยให้สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงนำ้ท่วมที่เคยเกิดปัญหา เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้น 

"พิพัฒน์" ยืดอกรับผิด ปมชวดดึง "ลิซ่า" มาเคาท์ดาวน์ในไทย ยอมรับสื่อสารผิดพลาด รีบพูดก่อน พร้อมนำมาเป็นบทเรียน เดินหน้าชวนคนดังระดับโลกมาร่วมงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.งการท่องเที่ยวและกีฬา ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกรณีที่"ลิซ่า แบล็คพิงก์" หรือ ลลิษา มโนบาล ไม่สามารถมาร่วมกิจกรรมเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ประเทศไทยได้ มีสาเหตุเป็นเพราะฝ่ายไทยต้องการจ้างเพียงคนเดียว แต่ทางต้นสังกัดต้องการให้มาทั้งวง  ว่า  เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ข้อเท็จจริง  รวมถึงกระแสข่าวต่างๆที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงทุกเรื่อง อย่างกรณี เชอรี่ โคลว์ และลิซ่า เรื่องแยกแพคเกจหรือไม่แยกนั้นไม่มีความจริง ถ้าแยกแล้วไม่มา แต่ถ้าไม่แยกแล้วไม่มา  สิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีการสื่อสารออกไปในเบื้องต้น  ขณะที่เรายังไม่เห็นรายละเอียดในสัญญาทั้งหมด อย่างที่ตนเคยพูดไปแล้วว่าในวันที่ 30 ต.ค.นี้ เราจะได้เห็นสัญญา และสุดท้ายก็เกิดความสับสน

"ผมคิดว่าบริษัทเขาคำนึงถึงชื่อเสียง และประกอบกับสำคัญที่ว่าเขาติดคิว ไม่สามารถยกเลิกคิวเพื่อเอามาให้ประเทศไทยได้  สิ่งเหล่านี้ผมขอเรียนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนอีกคนนึง คือแอนเดรีย บล็อกเชลลี่ นักร้องชาวอิตาเลียน ผมก็ยังไม่ขอพูดว่าความชัดเจนคืออะไรในช่วงนี้ เพราะจากความผิดพลาดที่ผ่านมา เราได้รับบทเรียนว่าสิ่งไหนที่ยังไม่จบ  อย่าเพิ่งพูดก่อน ซึ่งตัวผมยอมรับว่าได้ให้สัมภาษณ์ในเบื้องต้นไป  หลังจากนี้เราคงต้องทำอะไรให้รอบคอบมากกว่าเดิม แต่ก็คงยังมีศิลปินชื่อดังระดับโลกเข้ามาแน่ๆ แต่จะเป็นใคร อย่างไรนั้น ต้องขอให้มีการลงตัวเรียบร้อยเสียก่อน จึงจะนำเสนอต่อไป"นายพิพัฒน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หรือไม่  หลังจากเกิดข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้น  นายพิพัฒน์ กล่าวว่า  ต้องหารือกันภายในกระทรวงฯก่อน และตนต้องหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยและนายกรัฐมนตรี ว่าเมื่อเหตุการณ์เกิดมาถึงตรงนี้แล้ว เราควรต้องทำอย่างไร ซึ่งตนมีผู้บังคับบัญชา 2 คน คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม คงต้องหารือก่อน  ส่วนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบใครหรือไม่สอบใครนั้น คงต้องคำนึงหลายอย่าง เนื่องจากมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งเราคงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภาคเอกชนได้ จึงจำเป็นต้องดูกันภายในก่อนว่าพวกเราจะจัดการกันอย่างไร ทั้งนี้ถือเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งสำหรับทุกอย่าง หากยังไม่จบ ก็ไม่ควรก็ไม่ควรนำออกมาพูดก่อน

"ซึ่งตัวผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ไม่ใช่ผมไม่ได้พูด แต่ตัวผมเองก็พูดออกไปเยอะ เพราะฉะนั้นความผิดพลาดตรงนี้ ตัวผมเองก็ต้องยอมรับตัวผมเองก็ต้องยอมรับ"นายพิพัฒน์ กล่าว

‘อนุทิน’ ยินดี ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งที่ปรึกษา ‘เพื่อไทย’ ชี้ ไม่ใช่คู่แข่ง ‘ภูมิใจไทย’ ในพื้นที่อีสาน

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 เวลา 08.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัว อุ๊งอิ๊ง หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย (พท.) คิดว่าจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเกิดมิติใหม่ขึ้นหรือไม่ ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกอย่างต้องมีพลวัต ต้องมีคลื่นลูกใหม่มาทดแทนคลื่นลูกเก่า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะที่พรรคพท.ปรับเปลี่ยนมาแต่ละคนนั้น ต่างก็มีคุณสมบัติที่ดี มีการศึกษาที่ดีจะได้มาทำงานช่วยกันเพื่อบ้านเมือง ตนไม่มีปัญหาเพราะมองเป็นบวก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่าเป็นคู่แข่งของพรรคภูมิใจไทยในการเจาะพื้นที่ต่าง ๆ หรือไม่  นายอนุทิน กล่าวว่า ของภูมิใจไทยมีรัฐมนตรีถึง 6 คนอยู่แล้ว ไม่แข่งกับใครเราก็อยู่ของเราอย่างนี้

เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทย จะต้องปรับยุทธศาสตร์ในภาคอีสานอย่างไรเมื่อพรรคเพื่อไทยปรับโครงสร้างเช่นนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่สำคัญที่สุดคือ พรรคจะต้องมีนโยบายที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่าเราเข้าไปดูแลปากท้องเขาได้ ดูแล สารทุกข์สุกดิบของเขาได้และผู้สมัครเองก็ต้องขยัน เข้าถึงใจประชาชนให้ได้ การเมืองก็อยู่ตรงนี้ คือต้องทำงานให้กับประชาชน ให้ประชาชนมั่นใจ และไม่ว่าอะไรก็ตามก็จบตรงนี้ เราได้รับความไว้วางใจจากประชาชนหรือเปล่า เพราะนั่นคือคำตอบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top