Saturday, 14 June 2025
Hard News Team

'บิ๊กตู่' สั่ง ยกระดับมาตรการเข้าประเทศ พร้อมกำชับผู้ว่าฯ คุมเข้มจัดงานปีใหม่

20 ธ.ค. 64 - นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่วันนี้ต่ำสุด ตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินมาตรการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยผู้ติดเชื้อใหม่จำนวนรวม 2,525 ราย จำแนกเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,411 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 49 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 23 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 42 ราย ขณะที่ผู้หายป่วยกลับบ้าน 4,190 ราย เหลือผู้ป่วยที่กำลังรักษา 40,097 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 31 ราย สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพมาตรการป้องกันและควบคุมโรคและการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ควบคู่ไปกับฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยอีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังเป็นห่วงว่าในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ ขณะนี้หลายจังหวัดมีการจัดกิจกรรมและงานรื่นเริง ทั้งงานกาชาด งานแฟร์ งานคอนเสิร์ต ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกัน จึงฝากกำชับผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัด ตรวจสอบการจัดงานของผู้จัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเข้มงวด โดยให้เป็นไปตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) COVID-Free Setting และมาตรการความปลอดภัย กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมงาน การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้างาน จัดพื้นที่แบบเว้นระยะห่าง รวมทั้งการแสดงหลักฐานของผู้ร่วมงาน ผลการฉีดวัคซีน ผลตรวจ ATK และขอให้ประชาชนป้องกันตนเองด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ

“นายกรัฐมนตรียังสั่งดำเนินมาตรการเชิงรุก ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สั่งการให้ กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพิ่มมาตรการที่เข้มขึ้นมากขึ้นสำหรับมาตรการเปิดรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง สกัดการเข้ามาของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ขณะเดียวกันก็ไม่ให้กระทบมาตรการเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมในปี 2565 ในส่วนของผู้แสวงบุญเดินทางกลับจากนครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และตรวจพบว่า ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน กระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าขณะนี้ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แล้ว จึงขอฝากถึงพี่น้องประชาชนทั่วไป อย่าวิตกกังวลเกินไป ทั้งนี้ ผู้ป่วยทุกรายอยู่ในการควบคุมและการดูแลคณะแพทย์ทุกโรงพยาบาลเป็นอย่างดี” นายธนกร ระบุ

สื่อดังแฉ ‘ข่าวกรองเพนตากอน’ ผิดพลาด ทิ้งระเบิดมั่ว สังหารผู้บริสุทธิ์กว่า 1,300 คน

เอกสารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เองระบุ ปฏิบัติการทางอากาศของอเมริกาในตะวันออกกลางมี “ข้อผิดพลาดร้ายแรงด้านข่าวกรอง” ส่งผลให้พลเรือนหลายพันคน ซึ่งรวมถึงเด็กมากมายต้องสังเวยชีวิต

รายงานของสื่อดัง “นิวยอร์กไทมส์” เมื่อวันเสาร์ (18 ธ.ค.) โดยอ้างอิงเอกสารลับของเพนตากอนกองใหญ่ที่ครอบคลุมการเสียชีวิตของพลเรือนกว่า 1,300 คน เป็นการบ่อนทำลายคำกล่าวอ้างเรื่อยมาของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ว่า อเมริกาทำสงครามด้วยระเบิดที่มีความแม่นยำ

นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า บันทึกเหล่านี้ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่ระบุถึงการตรวจสอบพบการกระทำผิดหรือการดำเนินการทางวินัยกับผู้รับผิดชอบ

แม้หลายกรณีที่นิวยอร์กไทมส์กล่าวถึงในรายงานชุดแรกจากทั้งหมดสองชุดที่เตรียมเผยแพร่นั้นเคยเป็นข่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่จากการตรวจสอบของหนังสือพิมพ์ดังฉบับนี้พบว่า จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตซึ่งมีการบันทึกไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างน้อยหลายร้อยคน

รายงานข่าวในวันเสาร์ของนิวยอร์กไทมส์ พูดถึง 3 กรณี โดยที่ 1 ในนั้นคือเหตุการณ์การทิ้งระเบิดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2016 ที่หน่วยรบพิเศษของอเมริกาเชื่อว่า เป็นจุดรวมพล 3 แห่งของกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ทางเหนือของซีเรีย มีการรายงานเบื้องต้นว่า นักรบไอเอสถูกสังหาร 85 คน แต่แท้จริงผู้เสียชีวิตคือเกษตรกรและชาวบ้านรวม 120 คน

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือการโจมตีในเมืองเราะมาดีของอิรักเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015 หลังจากมีภาพชายคนหนึ่งลาก “วัตถุหนักที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” เข้าไปในที่ตั้งของไอเอส ซึ่งผลการตรวจสอบในภายหลังพบว่า วัตถุดังกล่าวคือเด็กที่เสียชีวิตจากการโจมตี

รายงานระบุว่า ภาพจากการสอดแนมคุณภาพต่ำมักเป็นสาเหตุความล้มเหลวในการล็อกเป้าที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้เอง อเมริกาต้องถอนคำอวดอ้างที่ว่า รถยนต์ซึ่งถูกโดรนของตนทำลายบนถนนในกรุงคาบูลของอัฟกานิสถานเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีระเบิดซุกซ่อนอยู่ เพราะกลายเป็นว่า เหยื่อในการโจมตีดังกล่าวเป็นครอบครัวที่มีสมาชิก 10 คน และมีเด็กอยู่ด้วย

รายงานเสริมว่า พลเรือนที่รอดชีวิตจำนวนมากกลายเป็นคนพิการที่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง แต่ผู้ที่ได้รับเงินชดเชยจริงมีแค่หลักสิบรายเท่านั้น

ทางด้าน บิลล์ เออร์บัน โฆษกกองบัญชาการทหารด้านกลาง (CENTCOM) ของสหรัฐฯ ตอบข้อซักถามของนิวยอร์กไทมส์เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยยอมรับว่า แม้แต่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลกยังเกิดข้อผิดพลาดได้ ไม่ว่าจะโดยข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือการตีความข้อมูลผิดพลาดก็ตาม และอเมริกาพยายามเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น รวมถึงพยายามป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย สืบสวนทุกเหตุการณ์ และเสียใจกับทุกชีวิตผู้บริสุทธิ์

อเมริกาเพิ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในตะวันออกกลางอย่างรวดเร็วในช่วงปีท้าย ๆ ของคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ขณะที่การสนับสนุนจากชาวอเมริกันสำหรับสงครามภาคพื้นดินที่ไม่รู้จบเริ่มเหือดแห้งลง

โอบามา ระบุว่า แนวทางใหม่ที่มักมีการใช้โดรนจากพื้นที่ห่างไกลมากเข้าปฏิบัติการโจมตีนั้นถือเป็นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศที่แม่นยำที่สุดในประวัติศาสตร์ และสามารถลดการเสียชีวิตของพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด

“บิ๊กตู่” ต้อนรับ “รมว.กห.เกาหลี” เข้าเยี่ยมคำนับ ย้ำความสัมพันธ์แนบแน่นและผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี  และรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Suh, Wook ( ซอ อุก ) รมว.กลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี ( กล.ต.) และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกลาโหม ระหว่าง 19 - 21 ธ.ค. 64 

โดยกระทรวงกลาโหม จัดได้กองทหารเกียรติยศผสมสามเหล่าทัพ ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ  หลังจากนั้น  รมว.กลาโหมสาธารณรัฐเกาหลี ( กล.ต.) ได้เข้าเยี่ยมคำนับ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ณ ห้องรับรอง 

โดย พล.อ.ประยุทธ์’ ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับ นาย ซอ อุก ที่เข้ารับตำแหน่ง ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน ซึ่งได้ครบความสัมพันธ์ทางการทูต 63 ปีในปีนี้  โดยมีความร่วมมือที่ใกล้ชิด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหารที่แนบแน่น และความเชื่อมโยงในภูมิภาคตามข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน  

นาย ซอ อุก ได้กล่าว ชื่นชมรัฐบาลในการรับมือและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างดีที่ผ่านมา ขอบคุณไทยที่สนับสนุนฉีดวัคซีนให้กันคนเกาหลีในไทย และสนับสนุนเกาหลีให้ผ่านความยากลำบากจากสงครามที่ผ่านมา พร้อมทั้งขอบคุณ กห.ที่ผลักดันการหารือยกระดับความร่วมมือเกาหลีและอาเซียนให้เป็นรูปธรรม ในเวทีการประชุม รมว.กห.อาเซียน ทั้งการแสวงหาสันติสุขในคาบสมุทรเกาหลี ความร่วมมือด้านไซเบอร์และเทคโนโลยี และหวังว่าจะได้พบปะพูดคุยระหว่างกันในเวทีระดับต่างๆใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น เพื่อร่วมกันผลักดันขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน 

‘ประกันสังคม’ ปฏิรูประบบบำนาญชราภาพ ขยายอายุเกษียณเป็น 60 ปี เริ่มใช้กับรายใหม่

ประกันสังคม ปฏิรูประบบบำนาญชราภาพ ขยายอายุเกษียณจาก 55 ปี เป็น 60 ปี ยกเหตุโครงสร้างผู้สูงอายุ จำนวนผู้รับบำนาญเพิ่มและยาวนานขึ้น หวังควบคุมต้นทุน เริ่มใช้กับผู้ประกันตนรายใหม่

20 ธ.ค. 64  สำนักงานประกันสังคม (สปส.) แจงความคืบหน้าการปฏิรูประบบบำนาญชราภาพ โดยการขยายอายุผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ว่าเนื่องจากโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้มีจำนวนแรงงานลดลง ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้มีจำนวนผู้สูงอายุและผู้รับบำนาญเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ระบบการแพทย์ที่ดีขึ้นและสุขภาพที่ดีขึ้น ทำให้อายุเฉลี่ยของประชากรก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้ผู้ประกันตนจะได้รับบำนาญเป็นระยะเวลายาวนานขึ้น เนื่องจากบำนาญประกันสังคมเป็นการดูแลตลอดชีวิต 

อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นก็จะตามมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น เพื่อไม่ให้ต้นทุนสูงขึ้นมากจนเกินไป ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างต้องนำส่ง สำนักงานประกันสังคม จึงมีนโยบายการปรับปรุงอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ (หรือที่เรียกกันว่าอายุเกษียณ) เพื่อให้เกิดสมดุลกับโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุ และควบคุมต้นทุนของระบบบำนาญให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยการขยายอายุผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพเป็นมาตรการปกติที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกดำเนินการ

สำนักงานประกันสังคม ได้มีการจัดทำแนวทางการปฏิรูประบบบำนาญชราภาพโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบบำนาญชราภาพ รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงให้กับลูกจ้างผู้ประกันตนเมื่อต้องเข้าสู่วัยเกษียณ โดยที่การขยายอายุผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจาก 55 ปี เป็น 60 ปี เป็นมาตรการหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการใช้กับผู้ประกันตนใหม่และผู้ประกันตนที่อายุน้อยเท่านั้น ผู้ประกันตนปัจจุบันที่ใกล้เกษียณอายุจะไม่ได้รับผลกระทบ 

ประกันสังคม ปฏิรูประบบบำนาญขยายอายุเกษียณ 55 เป็น 60 ปี เริ่มใช้กับรายใหม่

รมช. กลาโหม รับเมียนมาทะลักเข้าไทยอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 2,000 คนแล้ว

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวถึง กรณีที่ผู้หนีภัยจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดนประเทศเมียนมา และได้เข้าไทยบริเวณชายแดนแม่สอด จังหวัดตากอย่างผิดกฎหมายหลังมีสงครามภายใน ว่าพยายามที่จะดูแลพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุดโดยให้ศูนย์บัญชาการชายแดนจังหวัดตาก และหน่วยทหารในพื้นที่ร่วมการสนับสนุนการดำเนินการ 

‘หมอยง’ เชื่อ ‘โอมิครอน’ ระบาดถึงไทยแน่ ชี้ มีโอกาสเกิดคลัสเตอร์ใหม่ กระจายตัวเร็ว

‘หมอยง’ ยกบทเรียนต่างประเทศ โควิด-19 สายพันธุ์ ‘โอมิครอน’ กระจายทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เชื่อประเทศไทยก็คงหนีไม่พ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ จะเลยปีใหม่หรือไม่ยังไม่ทราบ และมีโอกาสที่จะเกิดเป็นคลัสเตอร์ กระจายอย่างรวดเร็ว 

วันนี้ (20 ธ.ค.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ โควิด-19 โอมิครอน มาแน่ ไม่อยากได้เป็นของขวัญปีใหม่ โดยระบุว่า

เมื่อมองย้อนอดีตสายพันธุ์อังกฤษ แอลฟา ระบาดในอังกฤษตั้งแต่ปลายปี 2563 พบผู้ป่วยเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย เป็นชาวอังกฤษ เดือนมกราคม 2564 ทุกคนที่เข้ามาจะต้องกักตัว 14 วัน เราควบคุมได้ดี จนกระทั่งปลายเดือนมีนาคม ก็เข้าสู่ประเทศไทยจนได้ โดยเข้ามาทางชายแดนด้านตะวันออก

สายพันธุ์อินเดีย เกิดในประเทศอินเดีย เดลตา ใน ต้นปี 2564 พบในแคมป์คนงานก่อสร้าง เดือนพฤษภาคม เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วมาแทนที่สายพันธุ์แอลฟาในเวลาต่อมา ใช้เวลาเพียงเดือนกว่า ๆ เท่านั้น ก็กระจายทั่วประเทศไทย จนถึงวันนี้

ขณะนี้การเดินทางเข้าประเทศไทย ใช้ test to go ไม่มีการกักตัว ยกเว้นคนที่ตรวจพบด้วย RT-PCR เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเดินทาง ทั้งครอบครัว 4 คนพ่อแม่ลูก ตรวจพบเฉพาะลูก 1 คน ก็จะกักตัวลูก ไว้รักษา และปล่อยผู้ที่ตรวจเป็นลบทั้งหมด และให้ทำ ATK รายงานผลมา ทุกคนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ถือเป็นความเสี่ยงสูง โอกาสผู้ที่ปล่อยไป จะติดเชื้อแบบไม่มีอาการ สายพันธุ์โอมิครอน เป็นไปได้สูง ที่จะแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้

บทเรียนจากต่างประเทศ โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน กระจายทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ร่วม 90 ประเทศ ที่ตรวจพบ มีอัตราเร่งกระจายในพื้นที่ยุโรป และอเมริกาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็มก็ติดได้ ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่จำกัดอยู่ที่ทวีปแอฟริกา ส่วนใหญ่จะเป็นยุโรป และอเมริกาที่จะมีโอกาสนำเชื้อเข้ามา

"นายกฯ" หนุนไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ย้ำ บทบาทไทยในฐานะดีทรอยต์แห่งเอเชีย 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการขับเคลื่อนตามนโยบายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมยานยนต์อัจฉริยะ ล่าสุดบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,000 ล้านบาท ยกระดับกระบวนการผลิตในโรงงานด้วยเทคโนโลยีและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ล้ำสมัย และเป็นการลงทุนในประเทศไทยครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปี ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย มูลค่าการลงทุนสะสมกว่า 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท

ด้านบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA)เริ่มลงทุนเดินหน้าผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรที่ทันสมัย ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรกที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พร้อมยังเตรียมขยายกำลังการผลิตสู่ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีตามแผนในอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ไทยเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดอาเซียนด้วย

นายธนกร กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย คิดเป็นประมาณ 5.9 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP หรือประมาณ 11% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรมในปี 2563 ไทยมีการผลิตรถยนต์รวม 1.4 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 11 ของโลก  มีมูลค่าการส่งออกรวม 919,000 ล้านบาท และยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 นี้ การผลิตรวมราว 1.6 ล้านคัน ขยายตัวร้อยละ 15 และปี 2565 คาดว่าการผลิตจะขยายตัวอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน โดยโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไทยประกอบด้วยผู้ผลิตรถยนต์ 19 ราย ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ 10 ราย ผู้ผลิตชิ้นส่วนมากกว่า 2,300 ราย รวมแรงงานในภาคอุตสาหกรรม 750,000 คน 

นายธนกร กล่าวว่า ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ย้ำให้ไทยรักษาความเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย โดยให้เตรียมพร้อมปรับทักษะ( Up-skill  Re-skill )ของภาคการผลิตของไทย สร้างนวัตกรรมใหม่ สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งเป็นทิศทางการผลิตของยานยนต์โลก รวมทั้งนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และแก้ปัญหามลพิษ ฝุ่น PM 2.5 เพื่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 

โฆษกรัฐบาลเผย ”บิ๊กตู่” สั่งการเดินหน้า พลิกโฉมประเทศด้านการท่องเที่ยว ปรับยุทธศาสตร์เน้นการท่องเที่ยวคุณภาพ และความยั่งยืน 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายตามแผนพลิกโฉมประเทศด้านการท่องเที่ยว โดยปรับยุทธศาสตร์เน้นการท่องเที่ยวคุณภาพ และความยั่งยืน (high-value and sustainable tourism) ภายใต้แผน 3R ประกอบด้วย (1) Reopen (ไตรมาสที่สามปี 2564) ช่วงทดลองเปิดประเทศภายใต้นโยบาย Phuket Sandbox (2) Recover (ไตรมาสที่สี่ปี 2565) การเปิดประเทศเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2564 และ (3) Resilient (ปี 2566-2570) การส่งเสริมการท่องเที่ยวไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและความยั่งยืน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเล็งเห็นว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน หลายประเทศได้ปรับมาตรการด้านการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ไทยจึงได้เตรียมแผนที่จะเปิดจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นประมาณ 8-15 ล้านคน และมีรายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.3-1.8 ล้านล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งหากสามารถเปิดชายแดนได้ตามแผนก็คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าที่ 15 ล้านคน

นายกฯ ยินดี "บาส-ปอป้อ" 2 นักกีฬาแบดมินตันคู่ผสมทีมชาติ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์โลกให้ประเทศไทย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบข่าวดีของวงการกีฬาไทย และประเทศไทย ที่แบดมินตัน คู่ผสมไทย "บาส-ปอป้อ" หรือ "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ "ปอป้อ" ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คว้าแชมป์รายการล่าสุด TotalEnergies BWF World Championships 2021 ประเภทแบดมินตันคู่ผสม ที่เมืองอูเอลบา ประเทศสเปน 

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดพิธีสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณเนื่องในวันประสูติ “เสด็จเตี่ย” 19 ธันวาคม 2564

พลเรือโท พิชัย  ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำคณะผู้บังคับบัญชา และคณะฝ่ายอำนวยการในทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมประกอบพิธีสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระกรุณาคุณ เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการทัพเรือภาคที่ 1 และครอบครัว

ในวันเดียวกัน พลเรือตรี สุระศักดิ์  สิงขรวัฒน์ เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นผู้แทนทัพเรือภาคที่ 1 ประกอบพิธีเปลี่ยนธงราชนาวี เปลี่ยนธงเครื่องหมายยศในเวลา 08.00 น. เพื่อให้เกิดความสง่างามและสมพระเกียรติ เป็นไปตามดำริของ พลเรือเอก สมประสงค์  นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ จากนั้นประกอบพิธีสักการะ รวมถึงยิงสลุตถวาย ณ ศาลพระตำหนักพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง จ.ตราด โดยมีคณะฝ่ายอำนวยการในทัพเรือภาคที่ 1 หัวหน้าศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง และผู้บังคับการเรือในหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน ร่วมพิธีฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top