Tuesday, 24 June 2025
Hard News Team

ไม่เกี่ยวกับผม!! 'บิ๊กตู่' ยันไม่เกี่ยวคำสั่ง ผอ.ช่อง 5 พ้นหน้าที่ เตือนสื่ออย่าร่วมขัดแย้ง - วิจารณ์มากเกินไป

29 มี.ค.2565 - ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่มีข่าวว่าพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานบอร์ด สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 หรือ ททบ.5 มีคำสั่งให้ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ททบ.5 พ้นจากหน้าที่ สืบเนื่องจากข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน ว่า จริงๆแล้วตนไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว เพราะตนไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งตนไม่ได้พูดถึงเฉพาะช่อง 5 ทุกช่องนั่นแหละเวลาออกข่าวพวกนี้ถ้าวิเคราะห์มากเกินไปบางทีทำให้เกิดปัญหาในภาพรวมของประเทศ หากเสนอตามนั้นก็ปกติไป เพราะจริงๆแล้วเราอยู่คนละภูมิภาค แต่ข้อสำคัญเราอยู่ในองค์กรไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ กลุ่มนั้นกลุ่มนี้เราก็เป็นสมาชิกเขาหมดใช่หรือไม่ ดังนั้นเราต้องระมัดระวังก็แล้วกันทำอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบกับประเทศเรา นะจ๊ะ เห็นใจหน่อย

เมื่อถามว่ามีข่าวว่านายกฯแสดงความไม่สบายใจไปยังผู้บังคับบัญชา ททบ.5 หรือไม่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ ตนไม่ได้พูดอะไร เขาคงเป็นเรื่องการตรวจสอบคัดกรองกันเอง เพราะเขามีกรรมการอยู่แล้ว ตนไม่ไปยุ่งหรอก 

บ้านเราแซ่บกว่า!! 'เจ๊ปอง ท็อปนิวส์' โพสต์หมดทุกข์หมดโศกแล้ว หลังข่าวสะพัด ถอนตัวร่วมผลิตข่าวกับช่อง 5 

29 มี.ค.2565 - จากกรณี รายการ "ข่าวเที่ยง ททบ.5" ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ดำเนินรายการโดย นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก และ นางสาวกิตติมา ธารารัตนกุล ถูกตัดสัญญาณกะทันหัน ระหว่างเวลา 12.51 น. เมื่อ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองกำลังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน

ทั้งนี้ รายการดังกล่าว มีบริษัท กาแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GMC กลุ่มที่มาจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ (Top News) ของนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นผู้ร่วมผลิตรายการส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ตระบบ Live U จากสตูดิโอท็อปนิวส์ โครงการธนาซิตี้ ที่ ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ. สมุทรปราการ ไปยัง ททบ.5 สนามเป้า

ต่อมามีกระแสข่าวว่า Top News ขอถอนตัวจากการร่วมผลิตข่าวทั้งหมด โดยมีผลวันที่ 31 มี.ค. นี้ ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวอีกครั้งจาก นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า "กราบสวัสดีค่ะ หมดทุกข์หมดโศกหมดโรคหมดภัยนะคะ #ท็อปนิวส์77 บ้านเราแซ่บกว่า สบายใจกว่า"

"บิ๊กบี้” เยือนผู้นำทหาร สปป.ลาว  สานสัมพันธ์ย้ำความร่วมมือชายแดนพัฒนาภูมิภาคอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ 29 มี.ค.พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.พร้อมด้วย พลตรีหญิง พิมพ์พิศา จิตต์แก้วแท้ นายกสมาคมแม่บ้านทหารบก และคณะเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 29 – 30 มีนาคม 2565 ภายใต้ การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ของทั้งสองประเทศ 

โดยผบ.ทบ.เข้าเยี่ยมคำนับ พลเอก จันสะหมอน จันยะลาด รัฐมนตรีกระทรวงป้องกันประเทศหารือด้านความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยกับ สปป.ลาว 

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงมิตรภาพระหว่างกองทัพบกไทยและกองทัพประชาชนลาว ที่มีมาอย่างยาวนานถึง 71 ปี โดยเฉพาะการเยือนระหว่างผู้นำทางทหารของทั้งสองประเทศและยินดีที่จะสนับสนุนกิจกรรมใดๆอันจะก่อให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนต่อไป อีกทั้งได้ชื่นชมการบริหารจัดการโควิด-19 ของ สปป.ลาว ที่มีความรวดเร็ว ทั้งการจัดหาวัคซีนและความเข้มงวดในมาตรการ 

ในขณะที่พล.อ.จันสะหมอน กล่าวว่าทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นร่วมกันดูแลชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อยพร้อมเสนอแนวทางการพัฒนาทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงการจัดกิจกรรมเช่น การกีฬา การแพทย์ทหาร การฝึกบรรเทาภัยเพื่อให้พร้อมรับภัยพิบัติต่างๆ 

จากนั้นผู้บัญชาการทหารบก ได้เข้าหารือข้อราชการกับพล.ต.คำเลียง อุทะไกสอน หัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพ  และ พลจัตวา พันแสง บุนพัน รองหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพ  โดยแสดงความชื่นชม สปป.ลาวที่กำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อสิงหาคม 2564 ส่งผลให้มีการจับกุมยาเสพติดได้จำนวนมากในห้วงที่ผ่านมาและยังได้เสนอให้มีการฝึกร่วม/ผสม ของหน่วยรบพิเศษในลักษณะการฝึกแลกเปลี่ยนของหน่วยทหารขนาดเล็กและการแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานในด้านอื่นๆ

ครม. สั่งคลังผ่อนคลายกฎกระทรวง ไม่ปิดกั้นชาวบ้านผลิตเหล้าแต่ห้ามขาย

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณารับหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 

โดยเป็นร่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ซึ่งมีสาระเป็นการให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการผลิตสุราที่ไม่ใช่เพื่อการค้า ในเรื่องนี้ ครม.เห็นว่า การผลิตสุราที่ไม่ใช่เพื่อการค้าสามารถกระทำได้โดยควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลในเรื่องคุณภาพ และสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค

อย่าว่าโอ๊คไม่เตือน!! 'โอ๊ค' รับไม่ได้ถูกแขวะนั่ง 'มท.1' ซัดเดือด 'หมอวรงค์' ไร้จรรยาบรรณ

 29 มี.ค.2565 - จากกรณี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความพาดพิง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย บุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ให้ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ และ พาดพิงไปถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ด้วยว่าจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย

ล่าสุด นายพานทองแท้ ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ตอบโต้ว่า

พวกก้าวข้ามทักษิณไม่พ้น

ยังคงวนอยู่จุดเดิม

คะแนนพรรคไม่มี ใช้วิธี
หาเสียงบนความขัดแย้ง
สร้างคะแนนบนความเกลียดชัง

ตำรวจร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลลุยแก้ไขปัญหาขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา แก้ไขความเดือดร้อนและคืนความสุขให้ประชาชน

จากกรณีที่ในปัจจุบัน ประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด    เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน และแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมโดยมี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล และได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รองประธานคณะทำงานฯ เป็น หัวหน้าชุดปฏิบัติการ เพื่อบังคับใช้กฎหมายและประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. /รองประธานคณะทำงานเฉพาะกิจฯ ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการคณะทำงานดังกล่าว ดำเนินการตรวจสอบ  และปราบปรามกรณีการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด โดย พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., ผบก.สส.บช.น.และ ภ.1 - 9 และ ผบก.ปคม./คณะทำงานเฉพาะกิจฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบการแจกจ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรโควตา ณ ที่ทำการไปรษณีย์เป้าหมาย ที่มีการลงทะเบียนของผู้มีสิทธิ์รับสลากเป็นจำนวนมาก 95 แห่ง ทั่วประเทศ และลงพื้นที่ตรวจสอบแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทั่วประเทศ 

พร้อมทั้งดำเนินการสืบสวน ตรวจสอบเป้าหมายผู้ค้าคนกลางที่มีพฤติกรรมในการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่า ที่กำหนด จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า ได้มีแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของกองสลากพลัส ซึ่งเชื่อว่า ดำเนินการโดย บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด ประกอบกิจการโดยนำสลากกินแบ่งรัฐบาล มาสแกนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และมีการเปิดรับตัวแทนผู้ค้ารายย่อย ทั้งผู้ที่มีโควตาสลากอยู่แล้ว นำสลากมาสแกนเข้าระบบ และผู้ที่ไม่มีโควตาสลาก มาซื้อสลากเพื่อขายต่อให้กับลูกค้า ซึ่งลูกค้าจะต้องลงทะเบียนในระบบด้วยเช่นกัน เมื่อกดซื้อสลาก ระบบจะนำไปที่หน้าร้านของตัวแทน ซึ่งจะมีการเสนอขายสลากเกินราคา โดยเริ่มต้นที่ใบละ 95 บาท ซึ่งสลากที่มีการเสนอขายในระบบนั้น จะมีการปิดบังบาร์โค้ดของสลาก ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลของจริงหรือไม่ อีกทั้งรูปแบบการเสนอขายสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าว ไม่ใช่การจำหน่ายแบบปลีกโดยตรงให้กับประชาชน จึงไม่ตรงตามเงื่อนไขในการจำหน่ายสลาก ทำให้สลากมีราคาสูงกว่าที่กำหนด สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน

ทั้งนี้ ได้มีการปฏิบัติการเข้าตรวจค้นตามหมายค้นของศาลอาญากรุงเทพใต้ ลงวันที่ 27 มีนาคม 2565 ณ บริษัท ลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด เลขที่ 555/57 อาคารเอสเอสพีทาวเวอร์ 1 ซอยสุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานครโดยการเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการฯ ได้เข้าทำการตรวจสอบสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีการเก็บรักษาไว้ในสำนักงาน ว่าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลของจริงหรือไม่ อยู่ในโควตาการจัดสรรให้กับผู้ค้ารายย่อย โดยถูกต้องหรือไม่ และเป็นของผู้ได้รับจัดสรรโควตารายใด และตรวจสอบสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ได้สแกนเก็บไว้ในฐานข้อมูล ว่ามีการเสนอขายสลากเกินราคาหรือไม่ สลากที่สแกนนั้นมีสลากกินแบ่งตัวจริงรองรับไว้ด้วยหรือไม่ ตลอดจนมีการนำสลากฉบับเดียวกันมาวนขายซ้ำหรือไม่ เพื่อพิสูจน์ทราบความผิดเพิ่มเติมตามกฎหมายต่อไปพล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลในตลาด ณ ปัจจุบัน มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนที่ต้องซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่เกินราคาที่กำหนด ซึ่งตามนโยบายของท่านนายก

ตร. เตรียมกำลังกว่า 80,000 นาย อำนวยความสะดวกการจราจรสงกรานต์ปี 65 หวังลดอุบัติเหตุ 5%

วันนี้ (28 มี.ค. 65) เวลา 13.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ผอ.ศจร.ตร.) ,พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.เอกราช  ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. ร่วมแถลงการณ์เตรียมความพร้อมสำหรับการอำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2565

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า​ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ ตร. เตรียมอำนวยความสะดวกการจราจรให้กับประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565 ที่จะถึงนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงมอบหมายให้ตน ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. รับผิดชอบ ซึ่งในวันนี้ได้เรียกประชุมตำรวจทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อม โดยจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่กว่า 80,000 นาย โดยได้กำหนดนโยบายด้านการจราจรโดยมีจุดเน้นดังนี้... 

1. การอำนวยความสะดวกและจัดการจราจร  ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีปริมาณรถเข้า-ออก กทม. ในช่วงวันที่ 11-17 เม.ย.65 เป็นจำนวนมากกว่า 6.7 ล้านคัน (ซึ่งมากกว่าสงกรานต์ 2564 ที่มีจำนวนประมาณ 6.4 ล้าน) โดยคาดว่าประชาชนจะเริ่มเดินทางตั้งแต่ 8 เม.ย.65 และปริมาณรถที่จะออกมากที่สุด ในวันที่ 12 และ 13 เม.ย.65  ปริมาณรถที่จะกลับเข้า กทม. มากที่สุดในวันที่ 16 และ 17 เม.ย.65 ตร. ได้ให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อม ตั้งแต่การจัดทำแผนที่แสดงเส้นทางสำรอง เส้นทางเลี่ยง และ เส้นทางลัด  ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คืนพื้นผิวจราจรให้เสร็จสิ้นภายใน 8 เม.ย.65 จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยการจราจรในแต่ละเส้นทาง บริเวณทางร่วมทางแยก และหน้าสถานีบริการน้ำมันหรือจุดแวะพักรถ โดยมีศูนย์ควบคุมสั่งการที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง มีสายด่วน 1193 หรือเพจ facebook ตำรวจทางหลวง และศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) สายด่วนหมายเลข 1197 (พื้นที่ กทม.) เพื่อให้บริการประชาชน ในการสอบถามเส้นทาง รับแจ้งอุบัติเหตุ

2. ออกข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร 2 ฉบับ  

(1) ข้อบังคับฯ ว่าด้วยการกำหนดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) ขาออก กทม. 9 เส้นทาง  10 จังหวัด ระยะ 217 กม. ระหว่าง 8 – 14 เม.ย.65 และขาเข้า กทม. 9 เส้นทาง 13 จังหวัด ระยะทาง 228 กม. ระหว่าง 14 – 19 เม.ย.65 เพื่อใช้เป็นช่องทางพิเศษ เพื่อระบายรถช่วงที่หนาแน่นให้คล่องตัว
(2) ข้อบังคับฯ ว่าด้วยการกำหนดห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินรถในถนนบางสาย ตั้งแต่ 12 – 13 เม.ย.๖5  และตั้งแต่ 16 - 18 เม.ย.6๕ เส้นทางห้ามวิ่ง 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 194 กม. ทั้งนี้สำหรับรถบรรทุกที่มีความจำเป็นต้องเดินรถในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถยื่นคำขอขออนุญาตผ่านระบบออนไลน์ของ บก.ทล. ได้ที่  www.hwpdth.com โดยเริ่มเปิดระบบขออนุญาตทางออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.65 เป็นต้นไป

3. การบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน บังคับใช้กฎหมายจราจร 10 ข้อหาหลัก (10 รสขม) ดำเนินคดีอย่างจริงจังกับผู้ที่ขับรถในขณะเมาสุรา ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด รวมทั้งกำหนดมาตรการบังคับใช้กฎหมายกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีลักษณะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้รถใช้ถนน​  4​ ข้อหาสำคัญ ได้แก่ 1) ขับรถย้อนศร 2) ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 3) ขับรถจักรยานยนต์บนทางเท้า และ 4) ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว 5) ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องหมายทางม้าลาย โดยในการตรวจจับการกระทำผิด จะใช้วิธีการตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ตามมาตรฐาน (Standard Operation Procedure) รวมถึงการใช้ชุดสายตรวจจราจรออกตรวจในพื้นที่เสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือมีสถิติการกระทำผิดบ่อยครั้ง ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.65 เป็นต้นไป และกรณีเกิดอุบัติเหตุ ตำรวจจะตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ทุกรายกรณีเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงการสอบสวนขยายผล ในกรณี ที่เด็กหรือเยาวชนดื่มสุราแล้วมาขับรถ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ขายสุรา ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ และดำเนินคดีกับบุคคลที่ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอม ให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรฯ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ และบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 อย่างเข้มงวด (การห้ามจำหน่ายสุราในเวลาห้าม และ ห้ามดื่ม-ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์  ในสถานที่กฎหมายกำหนด และห้ามขายให้บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี)

4. เพิ่มมาตรการเพื่อป้องกันก่อนเกิดเหตุ ทุกสถานีตำรวจ จัดทำฐานข้อมูลบัญชีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ ได้แก่ บัญชีบุคคลเสี่ยง บัญชีร้านค้าเสี่ยง บัญชีกิจกรรมเสี่ยง เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการเข้าไปประชาสัมพันธ์ ป้องปรามหรือตักเตือนก่อนทำผิด  

5. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุในทางม้าลาย ตร.ได้สำรวจข้อมูลเส้นทางข้าม ทั่วประเทศ ร่วมกับหน่วยงานเจ้าของถนนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกำหนดแผนการปรับปรุงซ่อมแซม โดยผลการสำรวจ มีเส้นทางข้ามภาพรวมทั้งประเทศ มีจำนวน 10,254 จุด (มีสัญญาณไฟจราจร 1,262 จุด มีกล้อง CCTV 1,881 จุด) จะจัดทำเส้นทางข้ามเพิ่มเติม  328 จุด ยกเลิก/ปรับย้าย 25 จุด  กำหนดแผนการปรับปรุงซ่อมแซมเส้นทางข้าม จำนวนทั้งสิ้น 2,853 จุด (จัดทำแล้วเสร็จ 1,048 จุด คงเหลือ 1,805 จุด) บังคับใช้กฎหมาย ข้อหาที่เกี่ยวกับทางข้าม การฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจร “เส้นทางข้าม”, ไม่ข้ามถนนตรงทางข้าม, จอดรถในทางข้าม และขับรถโดยใช้ความเร็วบริเวณเส้นทางข้ามเกินกฎหมายกำหนด ตั้งแต่เดือน ก.พ.65 จนถึงปัจจุบัน มีผลการจับกุมทั้ง 4 ข้อหา รวมจำนวน 3,739 ราย  

6. ห้องพักฟรีทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง มีหน่วยบริการ 201 หน่วยทั่วประเทศโดยให้บริการจองห้องพักของหน่วยบริการตำรวจทางหลวง ผ่านระบบออนไลน์ที่ www.booking.hwpdth.com มีห้องพักผ่อนฟรี สำหรับให้ประชาชนแวะพักเหนื่อย พร้อมบริการเครื่องดื่มและขนมทานเล่น ห้องน้ำสะอาดซึ่งทุกหน่วยบริการมีมาตรการป้องกันโรคโควิด – 19 ที่ได้มาตรฐาน

7. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่าสำหรับนโยบายด้านที่ 7 คือ โครงการอาสาตาจราจร  ในช่วงสงกรานต์ ตร.มูลนิธิเมาไม่ขับ  และบริษัทวิริยะประกันภัย ได้จัดทำแคมเปญ “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ซึ่งเป็นกิจกรรมในโครงการ “อาสาตาจราจร” โดยการรณรงค์ให้ประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถ หรือคลิปจากกล้องโทรศัพท์มือถือ ในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้นของเทศกาลสงกรานต์ 2565 (ตั้งแต่ 11 – 17 เม.ย.65 ) ที่บันทึกเหตุการณ์การกระทำผิดกฎจราจรสำคัญที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น หรือบันทึกอุบัติเหตุสำคัญและสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในทางคดีของตำรวจได้ ซึ่งจะคัดเลือกจากคลิปที่ประชาชนส่งมาจำนวน 7 คลิป และมอบรางวัลให้คลิปละ 10,000 บาท  รวมเป็นเงิน 70,000 บาท ซึ่ง ตร.จะจัดงานมอบรางวัลพร้อมเกียรติบัตรให้เจ้าของคลิปที่ได้รับคัดเลือกต่อไป

ผอ.ศจร.ตร. กล่าวอีกว่า อยากฝากประชาสัมพันธ์ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบถึงแนวทางการดำเนินการและมาตรการต่างๆ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำมาบังคับใช้เพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมโดยรวม ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมสำหรับการอำนวยความสะดวกการจราจรเพื่อให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวโดยสะดวกและปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2565 โดยทั่วกัน

ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโวย โดนตำรวจ “รีดไถ” แนะ ปคบ. ให้ความชัดเจนผู้ใช้ผิดหรือไม่ ด้านทนายเกิดผลเชื่อผู้ใช้ไม่ผิด

เฟซบุ๊กเพจ "บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร" โพสต์ถามความคิดเห็นของผู้บุหรี่ไฟฟ้าว่าเคยโดนเจ้าที่หน้ารัฐจับและปรับเพราะพกบุหรี่ไฟฟ้าบ้างหรือไม่ พร้อมข้อความ "ไหนลองเล่าซิ ที่ไหน เท่าไหร่" ซึ่งมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามาแชร์ประสบการณ์กว่า 490 ราย และมีการแชร์โพสต์ออกไปกว่า 70 ครั้ง โดยส่วนใหญ่เล่าให้ฟังว่าโดนจับและต้องจ่ายค่าปรับนอกระบบตั้งแต่ 2 พัน – 7 หมื่นบาทพร้อมยึดของกลาง บางรายต้องนอนโรงพัก 1 คืนและขึ้นศาล บางรายถูกเพิ่มข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ขณะที่บางรายต่อรองกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอแลกกับอิสรภาพและการไม่ต้องเป็นคดีความ

ผู้ใช้รายหลายยังแสดงความคิดเห็นด้วยว่า ตำรวจเองก็ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันเต็มโรงพัก บางรายก็ว่าตำรวจจับแต่คนใช้ ส่วนคนวางขายอยู่เต็มตลาดกลับปล่อยให้ขายได้ เช่นความคิดเห็นหนึ่งระบุว่า “เคยโดนเรียกค่าปรับ 1 หมื่นบาทแถวเทพารักษ์ เพราะวางไว้ตรงที่วางแก้วน้ำในรถ แล้วตำรวจส่องไฟเข้ามาเห็น เลยโดนให้จอดข้างทาง ค้นรถ แล้วยึดบุหรี่ไฟฟ้าไปด้วย” อีกรายหนึ่งบอกว่า “เคยโดนจับแต่รอดมาได้ เพราะแลกกับเอ็มร้อย 2 ขวด”

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ แอดมินเพจ "บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร" และตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มลาขาดควันยาสูบ หรือ ECST เปิดเผยว่าการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ถือเป็นการทุจริตประพฤติมิชอบ และเป็นการเอากฎหมายมาทำร้ายประชาชน "ปัญหาผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติถูกรีดไถ เรียกรับเงินค่าปรับแบบไม่ถูกต้อง มีมานานแล้วและเกินกว่าเหตุไปมาก ซึ่งต้นทางมาจากการห้ามนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความผิดของผู้ใช้ เลยกลายเป็นการเปิดช่องให้ตำรวจทุจริตเรียกเงินจากผู้ใช้ ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วกว่า 70 ประเทศกลับให้มีการควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกกฎหมาย มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน พวกเราเห็นว่าประเทศไทยควรต้องปลดล็อกแบนบุหรี่ไฟฟ้า แล้วเอามาควบคุมให้ถูกกฎหมายแทน ผู้ใช้จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อการทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจแบบนี้ จึงขอเรียกร้องให้ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. ได้ออกมาให้ความกระจ่างกับสังคมว่าการจับกุมผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและการตั้งศาลเตี้ยแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ทำได้หรือไม่”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยการกู้เงินนอกระบบ การทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย การปล่อยกู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต มีโทษหนักถึงจำคุก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยการกู้เงินนอกระบบ โดยปัจจุบันยังคงอยู่ในห้วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน จึงมีความจำเป็นต้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากขึ้น ซึ่งก็มีเหล่ามิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสนี้แฝงตัวมาในรูปแบบของแหล่งเงินกู้นอกระบบและได้กระทำความผิดรูปแบบต่างๆ โดยการกระทำความผิดที่พบคือการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราและการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น

ดังเช่นกรณีที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 มี.ค. 65 เกิดเหตุมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย บริเวณซอยสุริโยทัย 2 เยื้องการประปาลพบุรี ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จว.ลพบุรี ทั้งคู่เป็นพนักงานขับรถส่งน้ำแข็งของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังขับรถกระบะจำนวน 2 คันเพื่อออกไปส่งน้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยบนถนนมีปลอกกระสุนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 3 ปลอก ที่เสาไฟฟ้าหน้าห้องเช่าเลขที่ 11 ซ.สุริโยทัย 2 และที่กำแพงรั้วใกล้กันพบร่องรอยถูกยิงเป็นรูอยู่ 2 จุด ที่พื้นพบคราบเลือดกระเซ็น รวมทั้งที่ประตูรถด้านขวารถกระบะส่งน้ำดื่ม เบื้องต้นตำรวจได้สอบสวนนายจ้างให้การว่าผู้ก่อเหตุเป็นชาย อายุ 50 ปี และอีกคนเป็นหญิง อายุประมาณ 40 ปี ซึ่งฝ่ายหญิงอ้างว่าเป็นพนักงานของบริษัทไฟแนนซ์ได้ติดตามรถคันดังกล่าวมาขับปาดหน้ารถตู้ทึบตรงจุดเกิดเหตุ โดยบอกกับผู้บาดเจ็บทั้ง 2 รายว่า จะมายึดรถกระบะคันตู้ทึบส่งน้ำแข็ง เนื่องจากค้างค่างวด โดยที่ไม่ได้มีบัตรประจำตัว หรือใบมอบอำนาจมาแสดงผู้บาดเจ็บทั้ง 2 รายจึงไม่ยอม เพราะไม่แน่ใจ รวมทั้งไม่สามารถตัดสินใจแทนเจ้าของรถได้ ซึ่งผู้ก่อเหตุก็พยายามที่จะดึงกุญแจรถไป แต่ผู้บาดเจ็บไม่ให้ และยังให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งรอบนรถกระบะคันที่จะยึดต่อมาไม่นานนายจ้างก็มาถึงจุดเกิดเหตุ พยายามพูดคุย เจรจาต่อรองและขอส่งน้ำแข็งให้ลูกค้าที่บรรทุกมาเต็มคันรถก่อน แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอม พยายามจะแย่งกุญแจรถคืนให้ได้ นายจ้างพยายามขอร้อง ต่อรองอีกครั้งแต่ไม่เป็นผล จึงได้เข้าไปดึงตัวหญิงเพื่อให้ออกมาจากรถ ผู้ก่อเหตุเห็นจึงเดินไปหยิบปืนจากในรถแล้วเล็งยิงมาที่กลุ่มนายจ้างจึงพากันวิ่งหนี ทำให้ถูกทั้ง 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังก่อเหตุผู้ก่อเหตุ็ได้ขับรถหลบหนีไป กระทั่งเวลาประมาณ 19.00 น.วันที่ 26 มี.ค. 65 ผู้ก่อเหตุได้เดินทางเข้าไปมอบตัวกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป  

ความคืบหน้าในทางคดีขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยาน รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป  โดยขณะนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ได้เสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกรายอาการยังสาหัส และจากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ก่อเหตุอ้างว่าไม่ได้เป็นพนักงานไฟแนนซ์ มีเพียงหญิงอายุ 40 ปี ที่เป็นพนักงาน ส่วนมูลเหตุในคดีเบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากกรณีที่เพื่อนสาวผู้ก่อเหตุถูกกลุ่มผู้ตายและผู้บาดเจ็บลากตัวออกมาจากรถ จึงทำให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบไปคว้าปืนในรถออกมายิงก่อเหตุ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ  มาตรา 8 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใดพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นฯ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท รวมถึงหากมีการทวงหนี้โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ฯ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง การใช้วาจาดูหมิ่นหรือการเปิดเผยข้อมูลการเป็นหนี้ของลูกหนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนผู้ที่กระกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับตั้งแต่ 100,000-500,000 บาทและการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท และหากมีการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ก็อาจมีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ​ (บก.ปอศ.) ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ (ศปน.ตร.) และหน่วยงานอื่นๆ ในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เร่งทำการสืบสวนสอบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ รวมถึงนายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายอย่างจริงจังต่อเนื่องเด็ดขาด เพื่อให้ได้ผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถิติของ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทาความผิด เกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สานักงานตารวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) พบว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 64 – ก.พ.65 มีการแจ้งการกระทำความผิดซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินกู้นอกระบบกว่า 1,048 เรื่อง ซึ่งการกระทำความผิดที่ได้รับแจ้งมากที่สุด 3 อันดับ คือ การปล่อยกู้ออนไลน์ ,การเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา, และการทวงหนี้ผิดกฎหมาย ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดําเนินการสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทําความผิดต่อไป

“EA- MEA -JR” ยักษ์ใหญ่พลังงานไฟฟ้าผนึกกำลังร่วมพัฒนาโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV Smart Charging Station) เพิ่มความคล่องตัวการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าของไทย

บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ส่ง บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด (EMN) บริษัทย่อย ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดย นายวิลาส   เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง และบมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ (JR) โดยคุณจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้ร่วมลงนาม ใน "โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า"(EV Smart Charging Station) เพื่อสนับสนุนความคล่องตัวให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ประเดิม 2 โครงการแรก พร้อมต่อยอดความร่วมมือยานยนต์ไฟฟ้าชนิดอื่น "สมโภชน์ อาหุนัย" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุความร่วมมือในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รองรับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไร้มลพิษให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573

นาย สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด (EMN) ซึ่งบริษัทย่อย ของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินธุรกิจให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “EA Anywhere” ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับการไฟฟ้านครหลวง และบริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR ในโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Smart Charging Station)

สำหรับวัตถุประสงค์ของความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า โดยส่งเสริมการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้มีความคล่องตัวสูงขึ้น จึงได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าอัจฉริยะ (EV Smart Charging Station) ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า  โดย กฟน. จะอำนวยความสะดวกในการดำเนินการขอใช้ไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า และ JR จะเป็นผู้วางแผนและดำเนินโครงการด้านวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทร่วมกับ EMN


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top