Saturday, 17 May 2025
Hard News Team

‘รสนา’ ชื่นชม!! ‘กกพ.’ ชงลดค่าไฟฟ้า แนะ!! เจรจาลด ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ ด้วย

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า …

มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์ (Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6 ข้อ

หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใช้ทั้งประเทศประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่า Ft)

แม้ตามสัญญาค่าความพร้อมจ่ายอาจจะตัดไม่ได้ แต่รัฐบาลสามารถใช้ประเด็น ‘เหตุสุดวิสัย’ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐเพื่อลดค่าไฟ เปิดให้มีการเจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายในโรงไฟฟ้าที่คืนทุนแล้ว หรือไม่มีการผลิตแต่ยังได้ค่าความพร้อมจ่าย โดยแลกกับการขยายสัญญารับซื้อไฟต่อให้อีกสัก1-2ปีหลังหมดสัญญา และโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ควรมีค่าความพร้อมจ่ายอีกแล้ว

กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

แม่ค้าย่านตลาดดินแดงยิ้มแก้มปริ หลัง ‘ปฏิทินพีระพันธุ์’ ให้โชคเต็ม ๆ 2 งวดซ้อน

(17 ม.ค. 68) มีรายงานข่าวว่า หลังผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 17 มกราคม 2568 พ่อค้าแม่ค้าย่านตลาดดินแดง ถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว กันหลายราย ทั้งนี้ จากการสอบถามถึงที่มาของเลขเด็ด พบว่า เป็นการซื้อเลขตามปฏิทิน ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ทำแจกช่วงปีใหม่ 2568 ที่ผ่านมา

โดยแม่ค้ารายหนึ่ง บอกด้วยความตื่นเต้นว่า ได้ติดตามเลขที่อยู่ในปฏิทินที่ได้รับแจกมานั้น ผลปรากฏว่า เลขที่ตีออกมานั้นตรงกับรางวัลเลขท้าย 2 ตัวทั้ง 2 งวด โดยงวดวันที่ 2 มกราคม 2568 ออก 51 และ งวด 17 มกราคม 2568 ออก 23

จวก 'บลินเคน' กลางวงแถลงลั่นควรขึ้นศาลโลก ปมหนุนยิวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์

(17 ม.ค.68) เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายของนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก่อนที่เขาจะหมดวาระจากตำแหน่ง หลังการประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส รวมทั้งข้อตกลงเรื่องตัวประกัน

ในระหว่างการแถลงข่าว นายแซม ฮัสเซนี นักข่าวอเมริกันเชื้อสายจอร์แดน-ปาเลสไตน์ ผู้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของสถาบันเพื่อความถูกต้องของสาธารณะ และคอลัมนิสต์ในสื่อหลายแห่ง เช่น CounterPunch, The Nation, The Washington Post, USA Today และ Salon ได้ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกระทรวงต่างประเทศลากออกจากห้องแถลงข่าว หลังจากที่เขาพยายามถามเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ซึ่งบลิงเคนอ้างว่าเป็นความสำเร็จทางการทูตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

ฮัสเซนีถามบลิงเคนด้วยความไม่พอใจว่า ทำไมเขาถึงยอมให้ฝ่ายอิสราเอลจบสงครามในกาซา ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 15 เดือนและคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์หลายหมื่นคนอย่างง่ายดาย และกล่าวว่า กระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปาเลสไตน์ยังไม่สิ้นสุด

ในขณะนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยายามนำตัวฮัสเซนี ออกจากห้องประชุม โดยฮัสเซนีตะโกนว่า "อย่าแตะต้องผม!" พร้อมทั้งร้องเสียงดังว่า "กรุณาตอบคำถามของผมก่อน"

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่พยายามพาตัวเขาออกจากห้อง เขายังตะโกนว่า "อาชญากร! ทำไมคุณไม่อยู่ที่กรุงเฮก!" โดยกล่าวถึงกรุงเฮก ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลอาญาระหว่างประเทศ

ฮัสเซนีกล่าวว่าเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพียงแค่พยายามถามคำถามเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ยินยอมตอบคำถาม โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับระเบียบฮันนิบาล ไดเร็กทีฟ (Hannibal Directive) ซึ่งอนุญาตให้ทหารอิสราเอลดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพลเรือนและทหารของตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวประกันตกไปอยู่ในมือศัตรู

บลิงเคนตอบกลับว่า ผู้สื่อข่าวต้องเคารพขั้นตอนการแถลงข่าว และเขาจะเปิดให้สอบถามหลังจากแถลงเสร็จสิ้นแล้ว ฮัสเซนีตะโกนสวนกลับไปว่า "ทุกคนจากองค์การนิรโทษกรรมสากลจนถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศบอกว่าอิสราเอลกำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แล้วคุณมาบอกให้ผมเคารพขั้นตอนงั้นหรือ"

หลังจากถูกนำตัวออกจากห้องแถลงข่าว ฮัสเซนีเขียนในโพสต์ของเขาว่า การกระทำนี้เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต และถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะเขาพยายามถามคำถามที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องการตอบ

นอกจากนี้ แม็กซ์ บลูเมนทาล บรรณาธิการของสำนักข่าว Grayzone News ได้กล่าวหาบลิงเคนว่าเขากำลังทำลายศาสนายูดาห์โดยการร่วมมือกับฟาสซิสต์ พร้อมกับชี้ว่า ครอบครัวของบลิงเคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล็อบบี้ยิสต์ให้กับอิสราเอล

บลูเมนทาลยังได้ถามบลิงเคนว่า "ทำไมคุณยังคงส่งอาวุธไปในขณะที่เรามีข้อตกลงในเดือนพฤษภาคม?" พร้อมกับถามว่า "ทำไมคุณให้บ้านของเพื่อนผมในกาซาถูกทำลาย?" ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศพยายามพาตัวเขาออกจากห้องแถลงข่าวเช่นเดียวกับนายฮัสเซนี 

ทั้งฮัสเซนีและบลูเมนทาลต่างไม่พอใจที่สงครามของอิสราเอลในกาซายังไม่ยุติลง แม้ว่าการโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 จะผ่านมาเป็นเวลา 15 เดือนและทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน

หวัง อี้ ลั่นจับมือชาติอาเซียน ปราบการพนันออนไลน์-แก๊งสแกมเมอร์

(17 ม.ค.68) นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในตอนหนึ่งของการหารือกับคณะผู้แทนจาก 10 ชาติสมาชิกอาเซียนที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นว่ารัฐบาลปักกิ่งจะร่วมมืออย่างแข็งขันกับบรรดาชาติอาเซียนในการกวาดล้างการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดน

หวัง อี้  ซึ่งยังดำรงตำแหน่งสมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่ากรณีการพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อไม่นานมานี้ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์สำคัญของพลเมืองจีนและประเทศอื่น ๆ ซึ่งสถานการณ์นี้จำเป็นต้องได้รับการให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน  

นอกจากนี้ นายหวังยังเรียกร้องให้ประเทศที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมดังกล่าวให้สิ้นซาก รวมถึงปกป้องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดหลบหนีการลงโทษ  

จีนยืนยันความพร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคง ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและความร่วมมือที่เป็นระเบียบในภูมิภาค นายหวังกล่าวทิ้งท้าย

กฟผ. ผนึกกำลัง ททท. ชวนสัมผัสที่พัก 8 เขื่อนทั่วไทย ตอบโจทย์เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ - กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

กฟผ. จับมือ ททท. สานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สนับสนุนเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่ผสานการทำงานและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ชวนสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่เขื่อน 8 แห่งของ กฟผ. ทั่วประเทศ พร้อมมอบส่วนลดที่พัก 30% ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนอย่างยั่งยืน

(17 ม.ค.68) นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เทรนด์ Workation หรือการทำงานพร้อมการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจาก Work from Home สู่ Work from Anywhere ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 กฟผ. จึงร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าสานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานในบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามที่เขื่อน 8 แห่งทั่วประเทศ ของ กฟผ. ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ และเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 30 มีนาคม 2568

นายชวลิต กันคำ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ Workation ของ ททท. มาตั้งแต่ปี 2563 โดยเริ่มจากการมอบส่วนลดค่าที่พัก และยกระดับคุณภาพบ้านพักรับรองด้วยมาตรฐาน SHA Plus ในพื้นที่เขื่อนและโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สะท้อนถึงความตั้งใจของ กฟผ. ในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ ททท. เพื่อผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีหัวใจสำคัญคือชุมชนและธรรมชาติ ทุกการเดินทางไม่เพียงแต่สร้างความสุข แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“เขื่อนของ กฟผ. ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของประเทศ แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่งดงาม ลองมาสัมผัสทิวทัศน์อันตระการตาของเขื่อนทั้ง 8 แห่ง ซึ่งมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเติมเต็มพลังชีวิต และดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่เงียบสงบ การท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อนของ กฟผ. จะไม่เพียงเปลี่ยนบรรยากาศการทํางาน แต่ยังช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน กฟผ. ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน” นายชวลิต กล่าวเชิญชวน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองสิทธิ์ได้ที่ www.tourismthailand.org/workationthailand โดยใส่คำค้นหา 'บ้านพักรับรองเขื่อน'

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย

เมื่อวันที่ (15 ม.ค.68) เวลา 11.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรอง ตัน ศรี ดาโต๊ะ โจฮารี บิน อับดุล (H.E. Tan Sri Dato’ (Dr.) Johari bin Abdul) ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐสภาไทย โดยมี พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง นายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ สมาชิกวุฒิสภา และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียที่ใกล้ชิดและผูกพันกันมาอย่างยาวนาน และปีนี้ครบรอบ 68 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในด้านนิติบัญญัติรัฐสภาไทยและรัฐสภามาเลเซียได้แลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ โดยล่าสุดประธานรัฐสภาไทยได้นำคณะเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 นอกจากนี้ รัฐสภาทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ผ่านกลไกกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภา อีกทั้งขอแสดงความยินดีที่มาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน และสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA)

ในปีนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย กล่าวขอบคุณที่ประธานวุฒิสภาให้การต้อนรับในครั้งนี้ โดยปีนี้ประเทศมาเลเซียเป็นประธานอาเซียน มุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทุกมิติ อาทิ การเมือง เศรษฐกิจ สันติภาพ รวมไปถึงความสัมพันธ์ด้าน
นิติบัญญัติให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้น ประธานวุฒิสภาได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียและคณะ ณ ห้องรับรองพิเศษ 203 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) โดยมีสมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดทางภาคใต้ของไทย ได้แก่ พันตำรวจโท สุริยา บาราสัน นายสามารถ รังสรรค์ นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล พันตำรวจเอก กอบ อัจนากิตติ นายยะโก๊ป หีมละ นายนิฟาริด ระเด่นอาหมัด ร้อยตำรวจเอก ฉลอง ทองนะ และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าวด้วย

จเรตำรวจแห่งชาติประชุมแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ และสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก เพื่อวางมาตรการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่อย่างได้ผล

(17 ม.ค.68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศพดส.ตร.) เป็นประธานการประชุมป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมี นายชูขีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก , พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล รักษาราชการแทนผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมด้วย นายสวนิต สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก นายอำเภอ ผู้กำกับการ สภ.ต่างๆ เจ้าหน้าที่ทหาร และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 5 ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก อ.แม่สอด

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมกันเพื่อวางแนวทางมาตรการในการดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และหารือแนวทางการปฏิบัติในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และการสกัดกั้นคนต่างชาติลักลอบเข้าเมือง ว่าจะควบคุมกํากับดูแลอย่างไรตั้งแต่การเข้ามาในพื้นที่บริเวณขอบ อ.แม่สอด จนกระทั่งเข้าสู่แนวชายแดนรวมทั้งบริเวณพื้นที่ภายในทั้งหมด โดยมาตรการจะเริ่มต้นตั้งแต่การด่านต่าง ๆ ที่ประชาชนจะเข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จะต้องมีการตรวจสอบซักถามนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางเข้ามา ว่าเดินทางเข้ามามีแผนการท่องเที่ยวอย่างไร มีใครเป็นคนพามา และพักที่ไหน เป็นต้น จากนั้นจะมีการบันทึกไว้ในระบบเพื่อนําไปสู่การตรวจสอบในภายหลัง หากพบว่ามีความไม่ชัดเจนเกี่ยวเรื่องแผนการท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะมีการติดต่อสถานทูตและจะมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 

การควบคุมการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง คาดว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้ และจากนี้จะมีการประเมินผลการปฏิบัติทุกเดือน ซึ่งนอกจากจะป้องกันปราบปรามอาชญากรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้ว ยังเป็นการรักษาภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้นักท่องเที่ยวมั่นใจว่ามาเที่ยวเมืองไทยปลอดภัยตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า กรณีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีการแจ้งความว่าหายตัวไปหรือติดต่อไม่ได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการสืบสวนขยายผลทุกกรณี ในกรณีชาวจีนเช่นกัน ได้มีการพูดคุยกับทางสถานทูตจีนโดยเสนอว่าเมื่อพบนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไปในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ไทยเราจะมีการประสานกับไปทางสถานทูต เพื่อให้สถานทูตช่วยตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแนวทางนี้ทางสถานทูตก็เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วตำรวจไทยมีการประสานทํางานร่วมกับสถานทูตต่าง ๆ อยู่แล้ว ในการช่วยเหลือติดตามในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคนของชาตินั้น ๆ 

สำหรับกรณีนายแบบจีนนั้นจากการตรวจสอบล่าสุดกับทางสถานทูตจีน ได้รับการยืนยันว่าขณะนี้นายแบบดังกล่าวกลับประเทศจีนโดยปลอดภัยแล้ว

OPPO ขอโทษ ออกอัปเดตลบแอปเงินกู้บนมือถือแล้ว 4 รุ่น ยืนยันลบข้อมูลส่วนตัวลูกค้าทั้งหมด

(17 ม.ค.68) OPPO ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์การติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme โดยไม่ได้รับการยินยอม  

โดยนายชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร OPPO ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขโดยทันทีผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้เริ่มการอัปเดตระบบ (OTA) เพื่อลบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว ซึ่งครอบคลุมถึงรุ่น Find X8 Series, Reno13 Series, Reno12 Series และ OPPO A3 ทั้งตั้งเป้าให้มีการอัปเดตเพื่อการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าวภายใน 27 มกราคม 2025 

นายชานนท์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานเก็บบนคลาวด์ได้ถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ ผู้ใช้งานสามารถลบได้ด้วยตัวเองทันที  

ด้านนายธงชัย ม่วงใหม่ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของโพสเซฟี่ กรุ๊ป ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของ OPPO ประเทศไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัว โดยไม่เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของผู้ใช้งานหากไม่ได้รับอนุญาต พร้อมเสริมว่าบริษัทได้ดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล  

นอกจากนี้ OPPO ประเทศไทยได้ชี้แจงว่า การติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวมาจากบุคคลภายนอก และยืนยันว่าไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยบริษัทได้เริ่มปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย พร้อมประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต  

"เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา เราขอโทษผู้ใช้งานอย่างสุดซึ้ง และขอให้คำมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายชานนท์กล่าว  

OPPO ประเทศไทยยังแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือเฉพาะกับพันธมิตรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และจะไม่ติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อที่ไม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานธนาคารแห่งประเทศไทยอีก  

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ OPPO ประเทศไทยได้จัดตั้งสายด่วนที่หมายเลข 1800-019-097 เพื่อให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.สามพราน จ.นครปฐม และเยี่ยมตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนไปบรรยายพิเศษ รร.นรต. ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง

(17 ม.ค.68) เวลา 11.45 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมี พ.ต.อ.ไพบูลย์ แพรสีนวล ผกก.สภ.สามพราน และข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ และรายงานเหตุคดีที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ ผกก.สภ.สามพราน เดินทางไปยังโรงพยาบาลสามพราน เพื่อเยี่ยม ส.ต.ต.ชายแดน เอี่ยมละออ และ ส.ต.ต.นิติพล พลเสน ผบ.หมู่ กองร้อยควบคุมฝูงชน ช่วยราชการ สภ. สามพราน ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่รถจักรยานยนต์สายตรวจติดตามรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ที่ขับขี่หลบหนีจุดตรวจป้องกันอาชญากรรม บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย 7 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ซึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุได้ประสานขอสนับสนุนกำลังสายตรวจรถจักรยานยนต์เพิ่มเติม จนสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุไว้ได้ โดย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบเงินช่วยเหลือ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย

จากนั้น เวลา 13.00 น. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อบรรยายพิเศษ ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานจากรุ่นพี่ นรต. 41สู่รุ่นน้อง โดยมีนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 78 เข้ารับฟังการบรรยาย โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เน้นย้ำการทำงานภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 , , เน้นการทำงานสอบสวน วางแผนการทำงานทางคดี กำหนดกรอบเวลา และบริหารคดีให้ทันต่อเวลา ซึ่งถือเป็นหัวใจที่สำคัญของการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเน้นย้ำให้นักเรียนนายร้อยตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย ให้ตั้งใจประพฤติดี เข้าถึงประชาชน ให้สมกับการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ โดยการปรับแนวคิด mind set เพื่อการทำงานในหน้าที่ตำรวจไปสู่การสร้างความเชื่อถือและศรัทธาของพี่น้องประชาชน

‘สุชาติ ชมกลิ่น’ เดินหน้าผลักดันโครงการ ITD ส่ง SMEs เกษตรไทยสู่โลกยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ (16 ม.ค.68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าในการผลักดันโครงการ 'Smart AgriTech to the Sustainability Business' เพื่อยกระดับ SMEs เกษตรไทย ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนให้สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ ITD ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรรวมถึงเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

โดยในโครงการได้คัดเลือกผู้ประกอบการภาคเกษตรที่มีศักยภาพสูงจาก 4 ภูมิภาคของประเทศไทย ได้แก่ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และ ภาคกลาง รวมทั้งหมด 8 ราย ที่จะได้รับโอกาสพิเศษในการศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14-17 มกราคม 2568 เพื่อเรียนรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร ที่ทันสมัยจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรและการรักษาสิ่งแวดล้อม ให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก 

นายสุชาติ กล่าวว่า “ความสำคัญของการศึกษาดูงานครั้งนี้ว่า จะเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการทั้ง 8 ราย ในการเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรที่ทันสมัยจากญี่ปุ่น พร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้กลับมาปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก

โดยโครงการนี้ไม่เพียงแค่ยกระดับ SMEs เกษตรไทยให้แข่งขันในตลาดโลกได้ แต่ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจเกษตรและขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว”

“โดยโครงการ 'Smart AgriTech to the Sustainability Business' นอกจากจะช่วยยกระดับ SMEs เกษตรไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจเกษตรและการขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ประเทศคู่ค้าทั่วโลก โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาและสนับสนุนธุรกิจเกษตรไทยเพื่อให้สามารถยืนหยัดได้ในตลาดโลกและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระดับชาติอย่างยั่งยืน” นายสุชาติ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top