Wednesday, 9 July 2025
Hard News Team

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2567

‘หลวงปู่ชา สุภทฺโท’ พระเกจิชื่อดังที่หลายคนรู้จักและนับถือท่านเป็นอย่างมาก จากคำสอนที่ลึกซึ้ง โดยวันหนึ่งมีคนถามหลวงปู่ว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่? ซึ่งผู้ถามก็ได้คำตอบที่ทำเอาต้องรีบก้มกราบอย่างไม่ติดใจ ดังนี้...

โยม : ชาติหน้ามีจริงไหมครับ ?
หลวงปู่ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
โยม : เชื่อครับ
หลวงปู่ชา : ถ้าเชื่อคุณก็โง่

คำพูดดังกล่าวของหลวงปู่เล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ซึ่งหลวงปู่ชา ได้อธิบายไว้ว่า…

หลายคนถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม 

อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้

ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย"

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ 

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง

ธรรมะสุดยอด
ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้น มันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด ตัวธรรมะแท้ ๆ นั้นอยู่เหนือคำพูด ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ ท่านไม่ต้องการอะไร ไม่เอาอะไรอีกแล้ว เพราะถ้าจะเอาความสุข ความสุขมันก็ดับ ถ้าจะเอาความทุกข์ ความทุกข์มันก็ดับ จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่าง ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน

แม้นแต่ร่างกายที่คนหวงแหนกันนี้ เกิดขึ้นแล้ว ที่สุดแล้ว มันก็ดับ

3 มีนาคม พ.ศ. 2426 วันคล้ายวันประสูติ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ’  พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย ผู้บุกเบิกทัพฟ้าสยามทัดเทียมนานาประเทศ 

จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช (ในรัชกาลที่ 6) เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ นริศรราช มหามกุฎวงศ์ จุฬาลงกรณ์นรินทร สยามพิชิตินทรวรางกูร สมบูรณ์พิสุทธิชาติ วิมโลภาษอุทัยปักษ์ อรรควรรัตน์ขัตติยราชกุมาร กรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ประสูติในพระบรมมหาราชวัง ณ วันเสาร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย จัตวาศก จุลศักราช 1244 ตรงกับวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2426 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 40 ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ

เมื่อทรงพระเยาว์ ได้ทรงศึกษาวิชาหนังสือไทยกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) และขุนบำนาญ วรวัฒน์ (สิงโต) ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นต่อมาได้มีการจัดตั้งโรงเรียนราชกุมารขึ้น ในพระบรมมหาราชวังแล้วได้ทรงเข้าโรงเรียนนี้ ทรงศึกษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ครูสอนภาษาอังกฤษ คือ มิสเตอร์วุลสเลย์ และมิสเตอร์เยคอลฟิลค์เยมส์) ครั้นเมื่อพระชนมายุได้ 14 ชันษา คือ ในปี พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จออกไปศึกษาวิชาในทวีปยุโรป โดยมี จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภานุพันธุวงษ์วรเดช เชิญเสด็จไปถึงทวีปยุโรป เมื่อถึงแล้ว ได้ทรงเข้าศึกษาวิชาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ  

ในปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายร้อยทหารบกของประเทศสยาม แต่คงให้ทรงศึกษาวิชาอยู่ในประเทศอังกฤษไปก่อน แล้วจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงศึกษาวิชาในประเทศรัสเซีย ตามที่สมเด็จ พระเจ้านิโคลัสที่ 2 จักรพรรดิรัสเซียได้ขอไว้ จนกระทั่งเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2441 จึงได้เสด็จไปประเทศรัสเซีย เพื่อทรงศึกษา ณ โรงเรียนทหารทางประเทศรัสเซียได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ ทั้งได้มอบให้ผู้บัญชาการโรงเรียนมหาดเล็ก และนายร้อยเอก นายทหารม้ารักษาพระองค์ (พลตรี เคานต์ เค็ลแลร์ และ ร.อ.วัลเอมาร์ฆรูล็อฟฟ์) เป็นนายทหารช่วยเหลือในการศึกษา และคอยถวายความสะดวก ดูแลทุกประการ

ในการศึกษานี้ สมเด็จพระจักรพรรดิ ได้รับสั่งให้เข้าศึกษาวิชาในโรงเรียนมหาดเล็กซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารบกที่มีอยู่ 9 ชั้น ให้สอบไล่ได้ในกำหนด 4 ปี เพราะฉะนั้นในการศึกษาชั้นต้น ๆ จึงจำเป็นจะต้องให้ได้รับการศึกษาวิชา เพื่อเตรียมพระองค์เข้าเป็นนักเรียนชั้น 6 ทีเดียว โดยจัดครูมาสอนในที่ประทับ จากนั้นจึงเข้าศึกษาชั้น 6 และจบชั้น 9 ในปี พ.ศ. 2445 โดยทรงสอบไล่ได้เป็นที่ 1 พระองค์ทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยทหาร และทรงสอบไล่ได้เป็นที่ 1 อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2448 สมเด็จพระเจ้านิโคลัสที่ 2 ทรงพอพระทัยยิ่ง ทรงแต่งตั้งให้เป็นพันเอกพิเศษในกองทัพบกรัสเซีย และเป็นนายทหารพิเศษในกรมทหารม้าฮุสซาร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิกับพระราชทานสายสะพาย เซนต์อันเดรย์ ซึ่งเป็นตราสูงสุดของประเทศรัสเซียสมัยนั้น รวมทั้งตราเซนต์วลาดิเมียร์ อีกด้วย

ในระหว่างที่ประทับอยู่ประเทศรัสเซีย พระองค์ทรงเษกสมรสกับพยาบาลชาวรัสเซีย ชื่อ คัทรินเดนิตสกี้ และทรงมีพระโอรส 1 พระองค์ ซึ่งภายหลังได้พระนามว่า พระเจ้าจุลจักรพงษ์

เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศรัสเซีย ทรงเข้ารับราชการครั้งแรกเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ กระทรวงกลาโหม เมื่อ พ.ศ. 2449 และต่อมาในปีเดียวกันทรงได้รับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนทหารบกอีกตำแหน่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2452 ทรงเป็นผู้รั้งหน้าที่ เสนาธิการทหารบก และได้ทรงเป็นเสนาธิการทหารบกในปีเดียวกันพร้อมกับทรงรั้งหน้าที่เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก (เปลี่ยนการจัดโรงเรียนทหารบก เป็นกรมยุทธศึกษาทหารบก) จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2456 และในปี พ.ศ. 2453  ทรงเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์อีกตำแหน่งหนึ่ง

ในขณะที่ทรงรับตำแหน่งเสนาธิการทหารบก อันเป็นตำแหน่งสำคัญในการรบก็ได้ทรงปรับปรุงงานเสนาธิการให้กว้างขวางเพิ่มขึ้น ทรงริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนเสนาธิการ เพื่อให้การศึกษาแก่ นายทหารที่จะทำหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ บรรจุตามงานในหน้าที่เสนาธิการที่ได้ปรับปรุงขึ้นอย่างกว้างขวาง ทรงจัดวางแนวทางหลักสูตรการศึกษา โรงเรียนเสนาธิการ และการคัดเลือกนายทหารที่มีคุณสมบัติอันเหมาะสมเข้ารับการศึกษา นอกจากนี้ ยังทรงเรียบเรียงตำรา เรื่อง ‘พงศาวดารยุทธศิลปะ’ และเอกสารอื่นๆ ซึ่งใช้เป็นตำราศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการยุคต้นอีกจำนวนมาก ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้นำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาของโรงเรียนเสนาธิการ สืบจนถึงปัจจุบัน

เมื่อ พ.ศ. 2460 ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ในการปรับปรุงให้ราชการทหารเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนทำให้สามารถจัดส่งทหารอากาศไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในทวีปยุโรป ตามพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ผลตามพระราชประสงค์ทุกประการ ในปี พ.ศ. 2461 ทรงก่อตั้งกองบินทหารบก ซึ่งต่อมาได้รับการพัฒนาเป็นกองทัพอากาศ และทรงริเริ่มก่อสร้างค่ายจักรพงษ์ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2462 ได้โปรดให้ทดลองใช้เครื่องบินนำถุงไปรษณีย์ไปเมืองจันทบุรี และบินแสดงให้ประชาชนจังหวัดนั้นชมได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และมีพระราชดำรัสเป็นการสนับสนุนการบินอย่างเต็มที่ว่า "กำลังในอากาศเป็นโล่อันแท้จริงอย่างเดียวที่จะป้องกันมิให้สงครามมาถึงท่ามกลางประเทศของเราได้ ทั้งยังประโยชน์อย่างยิ่งในการคมนาคมปกติ" นับว่าพระองค์ ทรงวางรากฐานบนแนวทางเสริมสร้างกำลังทางอากาศของประเทศไทยอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้มาเป็นกองทัพอากาศในทุกวันนี้

จากพระประวัติโดยสังเขปของพระองค์ จะเห็นได้ว่าพระองค์เป็นผู้ทรงพระปรีชาสามารถเฉียบแหลม ทั้งด้านการศึกษา และด้านรับราชการ ทรงรับผิดชอบการงานต่างๆ อย่างมากมาย และต้องทรงเหน็ดเหนื่อยตลอดมา ยากที่จะหาเวลาพักผ่อนได้อย่างพอเพียง จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2463 พระองค์ก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ไปพักผ่อนพระวรกาย พระองค์พร้อมพระชายาและพระโอรส จึงได้เสด็จไปประพาสทางฝั่งทะเลตะวันตก เมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2463 แต่เสด็จไปได้เพียง 1 วัน ก็ประชวรไข้ไปตลอดทางจนวันที่ 8 มิถุนายน ถึงสิงคโปร์ พระอาการประชวรยิ่งกำเริบหนักขึ้น จนถึงวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2463 เวลา 13 นาฬิกา 50 นาที พระองค์ได้เสด็จทิวงคต สิริพระชนมายุได้ 38 ชันษา 3 เดือน 10 วัน

เพจดัง แจ้ง มีคนแอบเปลี่ยนข้อมูลใหม่ บิดเบือนว่า ‘มวยไทย’ มีต้นกำเนิดมาจาก ‘มวยของเขมร’ วอนผู้เชี่ยวชาญคอม เข้าไปช่วย แก้ไขข้อมูล

(2 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้มีการโพสต์ข้อความจากลูกเพจที่ส่งข้อมูลมาให้ โดยระบุว่า  ลูกเพจฝากมา มีคนมือบอน เข้าไปใส่ข้อมูลเท็จในวิกิพีเดีย อ้างว่ามวยไทยมีต้นกำเนิดมาจากมวยของเขมร ใครว่างๆ ช่วยเข้าไปแก้ไขเอาข้อมูลเท็จออกหน่อยครับ 

ปล. สงสาร สมเพช คนที่ทำเรื่องแบบนี้จัง

'โฆษก รมว.พลังงาน' แจง!! 'หม่อมอุ๋ย' ปมนโยบายพลังงานทำลายประเทศ ยัน!! 'อุ้มดีเซล-ลดค่าไฟ' เป็นมาตรการที่ช่วย ปชช.ได้จริงในระยะสั้น

(2 มี.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ โฆษกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ้กส่วนตัว แสดงความเห็นตอบโต้หนังสือเปิดผนึกของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายณรงค์ชัย อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อการดำเนินนโยบายพลังงานของรัฐบาล โดยข้อความระบุว่า

เข้าใจว่าท่านรัฐมนตรีไม่ได้ชื่นชอบแนวทาง "จ่ายก่อนคืนทีหลัง" เท่าไหร่นัก แต่เป็นมาตรการเดียวที่ลดความเดือดร้อนประชาชนได้ในระยะสั้น ภายใต้โครงสร้างพลังงานเดิมที่มีอยู่ 

ระยะยาวกระทรวงมีการผลักดัน โซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน ปลดข้อจำกัดให้ประชาชนมีไฟฟ้าที่พึ่งพาตัวเองได้ ,กฎหมายน้ำมันสำหรับเกษตรกร และผู้มีรายได้ต่ำกำลังร่างกฎหมายกันอยู่ ,รื้อระบบกองทุนน้ำมันที่ทำให้ภาระหนี้ตกอยู่กับรัฐ  

สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนฉากทัศน์โครงสร้างพลังงานไทย ถาวรแน่นอน

ประเด็น3-4 เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อม ที่ว่ากระทรวงเอาจริงขนาดไหนเกี่ยวกับการลดควันPM2.5

ตอบในฐานะหนึ่งในกรรมาธิการพ.ร.บ. อากาศสะอาด ก็ต้องเรียนว่าทางกระทรวงพลังงานจริงจังมาก ได้ประกาศใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร5 ที่ลดการปล่อยPM2.5ตั้งแต่ต้นม.ค.67 เป็นที่เรียบร้อย 

ส่วนเรื่องราคาที่พรีเมียมขึ้น น่าจะอยู่ในช่วงที่กระทรวงกำลังหารือเจรจากับผู้กลั่นน้ำมัน นอกจากนั้นร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมเรื่องยานยนต์EV3.5 ลดการใช้รถพลังงานสันดาบ และส่งเสริม Utility Green Tariff ไฟฟ้าสีเขียวให้ใช้แพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นที่เรียบร้อย 

อย่าตัดสินว่าลดราคาน้ำมัน แล้วจะไม่จริงจังปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะคนละส่วน

ประเด็นข้อ5 เรื่องสูตรราคาPool Gas 

พูดว่าพูลแก๊ส(ราคาก๊าซเฉลี่ย+นำเข้า) คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชินนัก ต้องบอกประชาชนผู้ใช้พลังงานทุกท่านว่า สูตรที่รัฐมนตรีพีระพันธุ์ ได้ปรับผ่านมติเห็นชอบจากกกพ. เมื่อปลาย ธ.ค. 66 ได้สร้างประโยชน์กับประชาชนผู้ใช้ไฟทั้งประเทศมหาศาล เพราะการนำเอาโควต้าก๊าซธรรมชาติอ่าวไทยราคาถูก ที่เคยให้กับบริษัทปิโตรเคมีเอกชน ไปให้การใช้กับก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนก่อน เอกชนจะต้องไปซื้อราคาPool Gasแพงขึ้น แต่ราคาต้นทุนผลิตไฟฟ้าคนไทยถูกลงถาวร 18สตางค์/หน่วย

หากคิดถึงคนทั้งชาติ กับทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย เรื่องนี้ยกประโยชน์ให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง ดีกว่าเอื้อเอกชนรายใหญ่ไม่กี่ราย จึงไม่ควรต้องปรับเปลี่ยนสูตรกลับไป

"เข้าใจว่าทั้ง 3 ท่านต่างมีเจตนาดีต่อการบริหารงานประเทศ เข้าใจว่าทางรัฐมนตรีและกระทรวงพลังงาน ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ สร้างผลงานให้โครงสร้างพลังงานเป็นธรรม-ยั่งยืน-มั่นคง ให้เป็นที่ประจักษ์ ครับ

รายงานข่าวระบุว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดเพื่อเตรียมชี้แจงข้อเท็จจริง และทำความเข้าใจกรณีต่างๆ ของหนังสือเปิดผนึกอย่างเป็นทางการในที่ 4 มี.ค.2567

ปชช. แห่ไปถ่ายรูป เช็กอิน นั่งเล่นที่บันได จุดเกิดเหตุ ที่หมอถูกฝรั่งทำร้าย จนกลายเป็นข่าวดัง

(2 มี.ค. 67) จากกรณีแพทย์หญิงรายหนึ่งออกมาร้องขอความเป็นธรรม ถูกชายต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างเตะหลังขณะนั่งบันไดชมจันทร์หน้าวิลล่าแห่งหนึ่ง บริเวณชายหาดภูเก็ต แถมยังถูกหญิงไทยซึ่งเป็นภรรยาของฝรั่งคนดังกล่าวด่ากราด อ้างมีตำรวจยศใหญ่คอยดูแลอยู่เบื้องหลัง ขณะที่คู่กรณีโต้ลั่นไม่ได้เตะ แค่สะดุดแล้วเท้าไปโดนหลังเท่านั้น

หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวจนกลายเป็นกระแสโด่งดัง และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก จนสู่กระแสนัดรวมตัวขับไล่ ในวันที่ 3 มีนาคม เวลา 09.00 น. นั้น ล่าสุดทางเพจ “โหดจัง จังหวัดภูเก็ต” โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า

“สุดจัด #แลนด์มาร์ก แห่งใหม่ของชาวภูเก็ต ใครไม่มาถือว่าพลาดอย่างแรงพี่น้อง ใครไปแล้วบ้าง ถ่ายรูปมาโชว์หน่อย !”

กลายเป็นว่า มีประชาชนจำนวนมาก แห่ไปถ่ายรูปเช็กอิน พร้อมกับนั่งบันได จุดเกิดเหตุที่แพทย์หญิงถูกฝรั่งทำร้ายร่างกาย จนกลายเป็นข่าวดังระดับประเทศ

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมกับแนบรูปถ่ายเซลฟี่ เช็กอินสถานที่เกิดเหตุระนาว ก็มีทั้งคนมีชื่อเสียง เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย เช่น หมอแล็บแพนด้า

ขณะที่ นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล ส.ส.ภูเก็ต เขต 3 พรรคก้าวไกล ประธานคณะอนุกรรมาธิการทะเลสาบสงขลาฯ โฆษกคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน

ผอ.ศูนย์วิจัยทอง ชี้ ทองขาขึ้นเต็มตัว ทุบสถิตินิวไฮไม่มีหยุด ลุ้นแตะ 38,000 บาท

(2 มี.ค. 67) นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 600 บาท ภายใน 2 วันทำการ โดยล่าสุดทองคำแท่งราคารับซื้ออยู่ที่ 35,100.00 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,200.00 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณราคารับซื้ออยู่ที่ 34,473.84 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 35,700.00 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ราคาที่ปรับขึ้นมาอย่างร้อนแรงขณะนี้ ถือว่าทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ซึ่งความจริงวกกลับมาเป็นขึ้นตั้งแต่ช่วงราคาแตะ 34,400 บาทต่อบาททองคำแล้ว ขณะนี้ถือเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือออลไทม์ไฮ โดยเป้าหมายราคาในระยะยาวช่วง 1-2 ปีนี้ ที่ระดับราคา 38,000 บาทต่อบาททองคำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ ส่วนในช่วงสั้นๆ นี้ คาดว่าราคาจะปรับขึ้นไปที่ 36,000 บาทต่อบาททองคำได้

“ทองคำกลับหัวเป็นขาขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทำลายสถิติสูงสุดที่เคยขี้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยได้อานิสงส์จากการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ที่ออกมาน้อยกว่าคาดไว้ ประมาณ 2% กว่า ซึ่งถือเป็นระดับที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการควบคุมให้อยู่ระดับประมาณนี้อยู่แล้ว จึงเป็นความหวังให้เฟดถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว บวกกับเงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อยๆ ถึงแม้ช่วงวันที่ผ่านมาจะแข็งค่าขึ้นบ้าง เพราะมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) เข้ามา แต่ก็ยังอ่อนค่าอยู่ ถือเป็นแรงสนับสนุนราคาทองคำได้อย่างต่อเนื่อง” นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าว

นายพิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวว่า ราคาทองคำสปอต อยู่ประมาณ 2,080 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าจะวิ่งขึ้นไปที่เดิมระดับ 2,140 เหรียญสหรัฐต่อบาททองคำ ซึ่งหากปรับขึ้นไปแล้ว จะมีแรงซื้อเข้ามาจากกลุ่มซื้อเทคนิคเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ราคาทองคำจะยิ่งถูกดันสูงขึ้นไปอีก ไม่แตกต่างจากทองคำไทย ที่นักลงทุนมีความเก่งมาก สะท้อนจากตอนนี้ที่แม้มีการปรับขึ้นกว่า 600 บาทต่อบาททองคำแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแรงขายออกมากนัก โดยในช่วงต่อจากนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณลบของราคาทองคำเข้ามาด้วย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สงครามต่างๆ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทองคำจึงถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความต้องการสูง เป็นหลุมหลบภัยชั้นดี และหากเฟดประกาศลดดอกเบี้ยลงแล้ว จะถือว่าของแสลงของทองคำหมดลง ปัจจัยลบที่มีผลกระทบหนักสุดจะหายไป เป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะถัดไปด้วย

หอยนางรมเกาะหิน คล้ายพระพุทธรูป ชาวบ้านแห่ ส่องเลขเด็ด เจ้าของ ยัน ไม่ขาย ตั้งใจเก็บไว้ให้ นทท.ดู ในงานเทศกาลกินหอย

(2 มี.ค. 67) ที่บ้านแหลม หมู่ที่ 3 ต.วังวน อ.กันตัง จ.ตรัง มีชาวบ้านออกไปหาหอยนางรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นำมาขายให้ น.ส. มล ณะสม หรือ จ๊ะมล อายุ 50 ปี แม่ค้ารับซื้อหอยนางรมที่ท่าเรือบ้านแหลม

แต่ปรากฏว่ามีหอยนางรมสุดแปลกอยู่ 1 ตัวเกาะติดอยู่บนก้อนหินที่มีน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม โดยท้ายหอยปักลงด้านล่าง ส่วนตัวหอยอยู่ในแนวตั้ง มองดูคล้ายพระพุทธรูป ซึ่งชาวบ้านพยายามแกะหอยนางรมออกจากก้อนหินก้อนนี้เพื่อเอาแต่ตัวหอย แต่ไม่สามารถแกะออกได้ จึงยกมาขายทั้งหินทั้งหอย ราคา 25 บาท

โดย จ๊ะมล ให้ราคาตามขนาดของหอย คือเป็นหอยนางรมขนาดกลาง รับซื้อตัวละ 25 บาท แต่เห็นว่ามีรูปร่างแปลกตา จึงวางไว้หน้าร้าน ซึ่งเมื่อชาวบ้านผ่านมาพบเห็น ได้สร้างความฮือฮาและแห่เข้ามาดูอย่างต่อเนื่อง บ้างก็ว่ารูปร่างคล้ายพระพุทธรูปบ้าง คล้ายกับเด็กบ้าง คล้ายกับถ้วยรางวัลบ้าง

แต่ที่พลาดไม่ได้ การตีเป็นเลขเด็ดรับวันหวยออก โดยเอาเลขที่บ้านคือ 57 หมู่ที่ 3 ต.วังวน กับเลขที่เห็นจากหินและหอย เป็นเลข 8 บ้าง 9 บ้าง 4 บ้าง

ซึ่งบางคนก็เอามือมาลูบๆ คลำๆ และขอพรให้สมหวัง หากถูกรางวัลจะกลับมาตั้งศาลให้ ขณะที่บางคนบอกถ้างวดนี้ไม่ทัน งวดหน้าก็ยังไม่สาย

เจ๊มล เจ้าของแพรับซื้อ ได้นำไปแช่น้ำทะเลเป็นระยะ เพื่อไม่ให้หอยนางรมตาย และยังไม่ขาย เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะมีงานเทศกาลกินหอยนางรมบ้านแหลม จึงจะเก็บไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ดู เพื่อสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอนุบาลหอยนางรมแหล่งใหญ่ที่สุดใน จ.ตรัง ซึ่งอยู่ที่ตำบลวังวน อ.กันตัง จ.ตรัง

เจ๊มล กล่าวว่า รับซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน หลังชาวบ้านไปเก็บหอยนางรมมาขาย ตัวนี้ซื้อมา 25 บาทพร้อมก้อนหิน เห็นมันแปลกจึงจะเก็บไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดูว่า มีหอยนางรมที่สมบูรณ์ โดยชาวบ้านมาดูเป็นตัวเลขก็มี มาดูความแปลกใหม่ บางคนก็ตีไปตามสายตาของแต่ละคน บางคนว่าเหมือนพระพุทธรูป บางคนว่าเหมือนเด็ก และบางคนว่าเหมือนถ้วยรางวัล ซึ่งช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลงานหอย จึงอยากให้คนนอกพื้นที่เข้ามาดู และยังไม่ขาย

‘ฉางอาน ออโต้’ ตั้งเป้า ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 3,000 คัน ในไทย พร้อมเตรียมเปิดศูนย์บริการ ให้กระจายไปทั่วประเทศ

(2 มี.ค. 67) นายเซิน ซิงหัว ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด และประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยแผนการส่งมอบรถ Deepal S07 และ Deepal L07 ว่า

“เพื่อให้สอดรับกับกระแสความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น CHANGAN ประสบความสำเร็จในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย ด้วยการส่งมอบรถ Deepal S07 และรุ่น Deepal L07 ไปแล้วกว่า 3,000 คัน ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความมุ่งมั่นในการขยายศูนย์บริการที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา CHANGAN มียอดจองมากกว่า 3,000 คัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย การส่งมอบรถได้เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน CHANGAN ยังตั้งเป้าขยายศูนย์บริการให้ครอบคลุม เริ่มจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก่อนกระจายไปทั่วประเทศเพื่อเพิ่มการให้บริการอย่างครบวงจร และตั้งเป้าสร้างโชว์รูมทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงบริการ และอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในทุกพื้นที่”

นอกจากนี้ เซิน ซิงหัว ยังได้กล่าวถึงลูกค้าในประเทศไทยที่มอบความไว้วางใจให้กับทางแบรนด์ด้วยว่า “ต้องขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มอบความมั่นใจ และสนับสนุนด้วยดีเสมอมา ซึ่งความไว้วางใจ และความมั่นใจในแบรนด์นี้ คือสิ่งที่ขับเคลื่อน CHANGAN ให้ก้าวไปข้างหน้า สู่ความสำเร็จในการพัฒนาตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้มีศักยภาพต่อไป ในนาม CHANGAN Thailand มีการคัดสรรทีมงานผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อช่วยกันพัฒนาให้รถแต่ละรุ่นที่ออกจากโรงงานนั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่พร้อมเปิดประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี พร้อมสมรรถนะ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้านการใช้งานในปัจจุบันอย่างแท้จริง” นายเซิน ซิงหัว กล่าว

'พีระพันธุ์' ให้คำมั่น!! ยืนหยัดแก้ปัญหาพลังงาน เพื่อ 'ชาติ-ประชาชน' ตามรอย 'พลโทณรงค์' ในงานสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์

(2 มี.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้รับเชิญจากสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ไปบรรยายเรื่องพลังงาน ในฐานะที่คุณพ่อ 'พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค' เคยเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ และยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักเรียนเก่าฟิลิปปินส์ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นคนแรก  

โดยนายพีระพันธุ์ได้เล่าถึงเรื่องราวของ พลโทณรงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการพลังงานของไทย รวมทั้งเป็นผู้บุกเบิกการก่อสร้าง 'โรงกลั่นน้ำมัน' แห่งแรกของประเทศไทย ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นผู้ก่อตั้งปั๊มน้ำมัน 'สามทหาร' ที่ปัจจุบันแปรสภาพเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อจำหน่ายน้ำมันที่ขุดและกลั่นได้เองจากโรงกลั่นน้ำมันที่อำเภอฝางให้ประชาชนใช้ในราคาถูก และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมสมัยใหม่ของประเทศไทย

นายพีระพันธุ์ กล่าวย้ำว่า พลังงานคือความมั่นคงของประเทศ แต่ปัจจุบันกิจการด้านพลังงานได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของธุรกิจ ตนในฐานะ รมว.พลังงาน จึงตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน ตามแนวทาง รื้อ ลด ปลด สร้าง ที่ได้เริ่มต้นดำเนินการแล้ว

‘องค์การอนามัยโลก’ หวั่น!! ปี 2035 กว่าพันล้านคนจะป่วยเป็น 'โรคอ้วน' แนะ!! 'เพิ่มภาษีน้ำตาล-หนุนอาหารสุขภาพ' ก่อนต้องเจียดเงินมหาศาลแก้

(2 มี.ค.67) Business Tomorrow รายงานเอกสารเผยแพร่จาก Lancet จากศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย Imperial College ในลอนดอนกล่าวว่า โรคอ้วนกำลังเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การมีน้ำหนักที่พอดีกำลังลดลงไปในทั่วโลก นาย Francesco Branca หัวหน้าแผนกสารอารหารแห่ง WHO กล่าวว่า โรคอ้วนอาจเคยเป็นปัญหาของประเทศที่ร่ำรวย แต่ตอนนี้ได้แผ่กระจายเป็นปัญหาระดับโลกเสียแล้ว

จากการเก็บข้อมูลจาก 190 ประเทศทั่วโลกของปี 2022 โรคอ้วนในผู้ใหญ่กำลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในขณะที่เพิ่มขึ้นสี่เท่าในกลุ่มเด็กอายุ 5-19 ปีจากปี 1990 ไป 2022 ผลวิเคราะห์พบว่าเด็กหญิง เด็กชาย และผู้ใหญ่กำลังมีจำนวนผู้มีร่างกายสมส่วนลดลงไป เด็กหญิง 1 ใน 5 เด็กชายลดไป 1 ใน 3 และลดไปครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ กระนั้น ก็ยังมีคนหลักร้อยล้านคนที่ยังไม่มีอาหารเพียงพอในการกิน

ประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำกำลังประสบปัญหาคนเป็นโรคอ้วนพุ่งขึ้นสองเท่ามากขึ้นโดยเฉพาะฝั่งแคริบเบียนและตะวันออกกลาง ในแถบยุโรปบางประเทศก็เพิ่มมากขึ้น ยกเว้นสเปน ที่เริ่มมีตัวเลขโรคอ้วนที่ลดลงหรือคงที่

>> ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจ...
- ประเทศตองกาและประเทศอเมริกันซามัวครองแชมป์ร่วมเพศชาย 81% ของประชากรชาย เป็นโรคอ้วน
- ประเทศนาอูรูและประเทศอเมริกันซามัวครองแชมป์ร่วมฝั่งหญิงที่ 70% เป็นโรคอ้วน
- สหรัฐฯ ครองอันดับ 10 ฝั่งชาย และ 36 ฝั่งหญิง

>> อ้วนครึ่งโลกในปี 2035...
ประชากรที่อายุมากกว่า 5 ปี 774 ล้านคน มีเกณฑ์ที่จะเป็นโรคอ้วนในอนาคต หรือก็คือพบได้ 1 ใน 8 คน ทาง WHO ก็มีการออกมาเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการอย่างการเพิ่มภาษีน้ำตาลและสนับสนุนให้โรงเรียนเปลี่ยนมื้ออาหารให้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้ สหพันธ์โรคอ้วนยังเผยอีกว่า โลกของเราจะมีคนเป็นโรคอ้วนครึ่งโลกภายในปี 2035 และส่งผลให้ต้องใช้เงินแก้ปัญหานี้กว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top