Saturday, 7 June 2025
แจ็ค รัสเซล

‘รัฐบาล’ เดินหน้าประสาน!! ผลประโยชน์ ‘เกาะกูด’ เพื่อใคร‘ฝ่ายค้าน’ หมกมุ่น!! แต่การ ‘ล้มล้างสถาบัน’ เพื่อตะวันตก

(10 ธ.ค. 67) การได้เกิดมาเป็นคนไทย เติบโตมาจนปี พ.ศ. นี้ ก็ต้องพบกับความอดสูหัวใจอย่างที่สุด ใครจะคิดว่าเรามี ‘รัฐบาลไทย’ แต่กลับมีใจให้ ‘คนชาติเขมร’ คอยวิ่งเต้นคิดค้นวิธีสารพัดที่จะเอาผลประโยชน์ทางทะเลมหาศาลที่ไทยเราเป็นเจ้าของอย่างชอบธรรมมาตั้งแต่อดีต แบ่งปันให้กับกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานว่าอาณาเขตทางทะเลส่วนนี้เป็นของคนไทยตามหลักสากล

นั่นเพราะทรัพย์ใต้ทะเลลึกรอบบริเวณเกาะกูดที่เป็นเรื่องเป็นราวนั้นมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาทเป็นอย่างน้อย ด้วยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันดิบมากถึง 300 ล้านบาเรล ก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ประเทศใดได้ไปครอบครองก็จะมีอันจะกินไปอีกยาวนาน เขมรหัวหมอจึงหวานปาก ใช้ความสนิทสนมกับ “นักโทษหนีคดี” ดีลลับส่วนตัว ขอแบ่งสมบัติทางทะเลหน้าตาเฉย เพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่ต้องเป็นคนฉลาดก็จะทราบว่าผลประโยชน์ที่จะได้กลับมาก็จบอยู่ที่ ‘ตระกูลชั้น 14’ หาใช่คนไทยส่วนรวมไม่  

จึงถือเป็น “รัฐบาลไทยหัวใจกัมพูชา” อย่างไม่ต้องสงสัย 

เดินหน้าทำทุกอย่างโดยไม่แคร์เสียงท้วงติงของประชาชน ลุ เหลิงต่ออำนาจ มัวเมาในความโลภ มุ่งแต่จะตัดเฉือนสมบัติชาติของคนไทยทุกคนให้กับชนชาติอื่น ถ้าเป็นสมัยก่อนโทษของคนขายชาติก็ต้องโดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรสถานเดียว 

เมื่อมีรัฐบาลจ้องจะขายชาติ เราก็หวังพึ่งฝ่ายค้านไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะธงของฝ่ายค้านของเรา ก็ปักไว้อย่างโดดเด่นถึงการทรยศคนร่วมชาติไม่แพ้กัน นั่นคือการคิดแต่จะล้มสถาบันยังไงให้สำเร็จเพื่อประเทศตะวันตกที่ขี่คอฝ่ายค้านของเราอยู่ตลอดเวลา 

ทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้านของไทยเรา ต่างมี ‘พฤติกรรมเลว’ ที่กินกันไม่ลง ยากมากที่ประเทศชาติจะพัฒนาไปได้ไกลเพราะนักการเมืองสายพันธุ์ขี้หมาแบบนี้ 

เป็นฝ่ายค้านทีเคยชูว่าจะกำจัดความเหลื่อมล้ำ และกวาดทิ้งนักการเมืองคอร์รัปชั่นให้สิ้นซาก แต่กลับไม่เคยกล้าแตะพฤติกรรมชั่ว ๆ ของ ‘นักโทษชั้น 14’ ที่เป็น ‘หัวหน้าใหญ่ตัวจริงของรัฐบาล’ เริ่มตั้งแต่การไม่นอนคุก กระทั่งดีลลับการขายสมบัติชาติทางทะเล ดีแต่โชว์วาทกรรมโง่ ๆ หลอกต้ม ‘คนที่โง่กว่า’ ไปวัน ๆ 

ถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากความกล้าหน้าด้านที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน 

คุณจะเป็นคนแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ชัดเจน อย่าเป็น 'มนุษย์ย้อนแย้ง' เพราะมันน่ารังเกียจสิ้นดี

ตั้งแต่มีพรรคส้มเกิดขึ้นมาในสังคมไทย คำว่า 'มนุษย์ย้อนแย้ง' ก็กลับมาฮิตติดปาก คนทั่วไปมักจะใช้คำนี้เรียกขานกลุ่มคนที่ 'นิยมส้ม' เพราะจะมีพฤติกรรมที่ 'ขัดแย้งในตัวเอง' ให้เห็นเป็นประจำ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอายสังคมแม้แต่น้อย เช่น…

เคยแต่งชุดดำร้องไห้จะเป็นจะตายร่วมกับคนไทยค่อนประเทศตอนปลายปี 2559 แต่กลับกาเลือกพรรคการเมืองที่มีสันดานจาบจ้วง กัดเซาะ ดูหมิ่น หยาบคาย และมีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ถ้าเพราะไม่รู้ว่าพรรคที่ตนเองเลือกนั้นล้มเจ้า ก็ต้องถือว่าเป็นมนุษย์ที่เบาปัญญาสิ้นดี 

เป็นศิลปินนักร้องที่เกลียดชังสถาบัน แต่กลับทำมาหากินกับการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ หรือรับงานที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการเชิดชูสถาบัน ไม่สนว่าใครจะมองเป็นคนประเภท 'เกลียดตัวแต่ชอบแอบกินไข่' ถือเป็นพฤติกรรมย้อนแย้งที่ไร้ความละอายอย่างจริงแท้ 

เปิดร้านขายผลงานซีดี และแผ่นเสียงเพลงไทย แสดงออกตรง ๆ ว่าเกลียดสถาบัน และเชียร์พรรคการเมืองที่เดินหน้าล้มล้างการปกครอง แต่ภายในร้านกลับวางจำหน่ายผลงานอัลบั้มที่งานประพันธ์นั้นมาจาก 'ในหลวงรัชกาลที่ ๙' หรือติดรูปในหลวงไว้ข้างฝาร้านให้ผู้คนเข้าใจว่าตัวเองนั้นเป็นคนไทยอีกคนที่จงรักภักดีเหมือนคนส่วนใหญ่ เพื่อจะได้ขายของ ทั้ง ๆ ที่ส่วนลึกของหัวใจนั้นนิยมเกลือกกลั้วอยู่ในฝั่งคนชิงชังสถาบัน 

เป็นคนจัดงานคอนเสิร์ตที่แอบสนับสนุนกลุ่มคนล้มเจ้าตลอดเวลา และมักพูดถึงสถาบันไปในทางเสื่อมเสีย แต่กลับรับจ้างจัดงานที่ต้องใช้บทเพลงพระราชนิพนธ์ หรือจัดกิจกรรมที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์ไทย เรียกว่าย้อนแย้งแบบสุด ๆ 

เป็นสื่อที่ปากบอกรักสถาบัน รักในหลวง แต่กลับเชิญแต่พวกล้มเจ้ามาออกในรายการ และปล่อยให้คนที่คิดร้ายพูดถึงสถาบันในทางที่ไม่จริงโดยไม่เคยทัดทาน หรือท้วงติง ถือเป็นคนสื่อที่ย้อนแย้ง และต้องถือว่าเป็นอันตรายต่อสังคมไทย

ใด ๆ ก็ตาม 'มนุษย์ย้อนแย้ง' มักเป็นคนที่ขาดอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อสิ่งที่เชื่อ, คิด และทำ เป็นประเภท 'เงินมาผ้าหลุด' มีชีวิตมีลมหายใจแค่ทำมาหารับประทาน หรือรับจ้างไปวัน ๆ เป็นคนที่น่ารังเกียจ, ไม่จริงใจ และไร้ราคา

14 ล้านเสียงเริ่มตาสว่าง หลังกระจ่างชัดในพฤติกรรม ‘พรรคล้มเจ้า‘ ทั้ง ‘หนีการเกณฑ์ทหาร - ปลิ้นปล้อนกลิ้งกลอก - หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก‘

(26 พ.ย. 67) กว่าที่คน 14 ล้านเสียงจะเริ่มหูตาสว่าง ก็ต้องใช้เวลาลงลึกต่อสิ่งที่เลือกเข้ามาอยู่นานพอดูถึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าสิ่งที่ดี กับสิ่งที่เลวนั้นมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร ถึงวันนี้จาก 14 ล้าน จึงหายศีรษะไปกันเยอะแล้ว

หลายคนให้เหตุผลว่าที่เลือกพรรคล้มสถาบันเพราะเบื่อ “ลุงตู่” เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่แสนจะมักง่าย แค่เบื่อนายกคนเก่า เบื่อรัฐบาลเก่า ก็เลยเลือกส่งเดชเชียร์เด็กนิสัยเกเรแถมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เข้ามาบริหารชาติเพื่อความสะใจ 

พรรคใดที่สามารถจะล้มทหารได้ก็ออกหน้าเชียร์พรรคนั้น โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าทหารก็คือพรรคการเมืองที่แอบร่วมมือกับตะวันตก ยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้า” ให้เขา ร่วมมือกันเพื่อมาล้มล้างการปกครองในประเทศชาติของตัวเอง 

ลองถามใจคุณดู ระหว่างรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร แต่กลับไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังคงปกป้อง รักษา ให้เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติดังเดิม กับพรรคการเมืองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แอบดีลลับร่วมมือกับต่างชาติ หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระทบชิ่งไปถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านน้ำมือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกหลอกใช้ จนโดนคดี 112 จำนวนมาก และที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่น้อย คุณลองคิดดูสิว่าแบบไหน “มันเหี้ยมจนตัวมอม้าหาย” มากกว่ากัน? 

ผมไม่ได้บอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมาด้วยเจตนาที่ดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีที่ประชาชนแบบเราจะพูดถึงความประทับใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การที่เราเบื่อหน่ายพรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกพรรคอื่นที่ตั้งธงรบด้วยการเกลียดพรรคที่เราไม่ชอบเหมือนกัน เพราะพรรคที่เราเลือกมันอาจจะเลวในแบบอื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า เราไม่ควรเอาประเทศชาติไปล้อเล่นเพียงเพราะเหตุผลว่าเราต้องเลือกพรรคการเมืองสักพรรค หรือเพียงเพราะอยากแก้แค้นพรรคที่เราเกลียด

เพราะผลที่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น เราจึงได้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถ หนีการเกณฑ์ทหาร กลิ้งกลอก หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก ซุกกระโปรงเด็กผู้หญิง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อนประชาชนไปวัน ๆ และมีแนวคิดล้มล้างสถาบันเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน มีดีสักคนไหม?

เอาปากกามาวงให้เห็นหน่อยเถอะครับ 

‘นักตบทรัพย์’ อีกหนึ่ง ‘อาชีพชั่ว’ ของคนไร้ความสามารถในทางสุจริต

สังคมไทยยุค ‘คนห่างธรรม’ ก็ได้เกิดหลากหลายอาชีพที่แอบ ๆ ทำมาหากินในทางมิชอบกันมากมาย หนึ่งนั้นคืออาชีพ ‘ตบทรัพย์’ เพราะเมื่อมีโจรเกิดขึ้นมาก จุดอ่อนของโจรก็มากตาม นักตบทรัพย์คืออาชีพที่จะมาช่วย ‘อุดรูชั่วของโจร’ แลกกับโจรก็ต้องจ่ายค่า ‘ปิดปาก’ เพื่อให้ตนเองได้เป็น ‘โจรในคราบขาว’ ของสังคมไทยต่อไปแบบยาว ๆ 

โจรยุคนี้มักเล่นบท ‘ตีสองหน้า’ เบื้องหน้าโชว์ความเป็นเศรษฐีออกสื่อโซเชียลให้สังคมอิจฉา แต่ละวันจึงโชว์ของแบรนด์เนม รถซุปเปอร์คาร์ นาฬิการิชาร์ดมิลล์ บ้านในระดับคฤหาสน์ เรือยอช์ต และเที่ยวต่างประเทศด้วยการพักโรงแรมสุดหรูเป็นว่าเล่น แต่เบื้องหลังรายได้ล้วนมาจากการทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทั้งการทำเว็บพนันออนไลน์ เว็บโป๊ ค้ายาเสพติด ค้าทองปลอม ค้าน้ำมันเถื่อน เปิดบ่อนลับสัญจรในจังหวัดต่าง ๆ Forex 3D การฉ้อโกง การต้มตุ๋นทั้งปวง และแชร์ลูกโซ่ เป็นต้น ซึ่งรายได้จากสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษี ได้มาเท่าไหร่ก็รับไปเต็ม ๆ เนื้อ ๆ ถือเป็นการทำมาหากินที่เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเป็น ‘ภัยสังคม’ ที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นโดยเร็ว

คนยุคห่างธรรม หัวใจย่อมไร้ธรรมะ ไร้ความเมตตาต่อผู้ใดทั้งสิ้น และไม่แคร์คำว่าศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง เราจึงเห็นเหล่าคนดังหลากหลายอาชีพ เช่น ดารานักแสดง นักร้อง นักเคลื่อนไหวทางสังคม ทนายความ อัยการ ตำรวจนอกแถว ร่วมมือกันเป็น ‘นักตบทรัพย์โจร’ กันอย่างมากมาย

เมื่อโจรมีแผล ก็เกิดอาชีพ ‘คนปิดแผล’ เพื่อให้โจรยังเป็นโจรต่อไปได้ในสังคม ถ้าโจรดื้อดึงไม่ยอมจ่ายก็จะถูกแฉพฤติกรรมต่าง ๆ ให้สังคมรับรู้ ความยุ่งยากก็จะเกิดขึ้น การเป็นโจรก็จะสะดุด โจรหลายรายจำต้องถูกดำเนินคดี หยุดอาชีพโจรลงทันที

โจรอาจจะถูกกระชากหน้ากากให้สังคมรับรู้ เข้าไปรับกรรมในคุกตะราง ส่วนหนึ่งแม้จะมาจาก ‘นักตบทรัพย์’ ที่ทำให้สังคมได้ตาสว่าง แต่เหล่าบรรดา ‘นักตบทรัพย์’ เนื้อแท้ก็ไม่ใช่คนดีของสังคม หรือคนที่ทำทุกอย่างด้วยหัวใจที่ขาวสะอาด แต่เป็นเพียง ‘นักบุญในคราบโจร’ ที่มิได้ใส่ใจห่วงใยความเสียหายของสังคมก่อนผลประโยชน์ของตัวเอง

ถึงแม้ ‘นักตบทรัพย์’ จะเป็นอีกหนึ่ง ‘อาชีพชั่ว’ ที่โจรกลัว แต่โจรหัวหมอบางรายก็เป็นอันตรายกับ ‘นักตบทรัพย์’ ไม่ต่างกัน เรียกว่าถ้าแฉมา โจรก็แฉกลับ เปลือยธาตุแท้ให้สังคมเห็น ชั่วโมงนี้จึงมีทั้งโจร และนักตบทรัพย์ ถูกจองจำในคุกตะรางเดียวกัน

เป็นอีกหนึ่ง ‘ตลกร้าย’ ที่ขำไปก็เศร้าใจไปกับสังคมไทยเรา

สังคมไทย สุดป่วยด้วย 'โรคอวดรวย' ระบาด สุดท้ายหลงภาพลักษณ์จนตกเป็นเหยื่อนักต้มตุ๋น

สังคมไทยกำลัง 'ติดโรคอวดรวย' ที่ได้เงินมาจากการต้มตุ๋นผู้คน แพร่เชื้อโรคมาจากคนเด่นดังทางสังคม

คนไทยยุคนี้ได้ชื่อว่า 'ขยันเข้าสังคมเก่ง' แต่กลับขาดทักษะในการเรียนรู้นิสัยใจคอของคนอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่ยังมีความคิดในเชิงโลกสวย เชื่อคนง่าย มองคนแค่เปลือกนอก จึงมักถูกหลอก ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด จนเกิดความสูญเสียตามมาเสมอ

ยิ่งเวลาเห็นข่าวคนดังทางสังคม โผล่ออกมาหน้าจอทีวี เห็นหน้าตาเขาดี พูดจาดี ฉายโชว์แต่เรื่องราวดี ๆ และดูร่ำรวยออกสื่อ ก็จะกระโจนเข้าหา หลงชื่นชม ติดตาม และนิยมชมชอบแบบขาดสติ ไร้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ สำรวจ ศึกษาที่มาที่ไปของคนให้ถ่องแท้ ยิ่งสื่อช่องดังแต่ละช่องขยันเชิญมาแบบขาดการไตร่ตรองให้ครบด้าน คนดูก็ยิ่งตายใจ คิดไปเองว่าทั้งหมดนั้นคือแบบอย่างที่ดี ที่ถูกสื่อคัดกรองมาดีมากพอแล้วที่จะให้สังคมอ้าแขนต้อนรับ

คนดังทางสังคมเหล่านี้เมื่อร่ำรวยขึ้นมา ก็จะโชว์เสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู บ้าน รถ ภาพการกินหรูอยู่โรงแรมคืนละหลักแสน เที่ยวต่างประเทศ กลายเป็น 'ภาพจำโง่ ๆ' ที่คล้าย 'โรคระบาด' ใครมีความร่ำรวยขึ้นมาก็จะติดทำตาม ๆ กันให้เห็นอย่างรวดเร็ว เราจึงพบเห็นคนดัง คนรวย แสดงแต่สิ่งที่กลวงโบ๋ทางปัญญา บ้าบอแต่วัตถุ ความฟุ้งเฟ้อ เป็นภาพลวง ๆ แม้ไม่จีรังแต่ก็ยังสามารถดึงดูด 'คนคิดไม่เป็น' ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทยให้มาหลงเชื่อได้ไม่น้อยเลย 

'โรคอวดรวย' ได้กลายเป็นหนึ่งใน 'โรคระบาด' ที่กำลังแพร่กระจายในสังคม 'เศรษฐีใหม่' ที่มักจะมีรายได้มาโดยวิถีทางที่ไม่สะอาด เบื้องหลังมักทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซ่อนเร้นไปด้วยเล่ห์เพทุบาย บางคนก็หลอกต้มทุกคนไม่ขวางหน้า ไม่สนบาปบุญคุณโทษ หรือแม้แต่ผู้มีพระคุณ 

ประเทศไทยยุคนี้มีคนที่ 'ติดโรคอวดรวย' แทบจะทุกอาชีพแล้ว เช่นดารานักแสดง นักร้อง พิธีกร แม่ค้าขายทอง ตำรวจ ทนาย หรือแม้แต่เจ้าของค่ายมวยที่หน้าฉากกับหลังฉากราวขาวกับดำ แม้จะเกมไปนอนคุกแล้วบางส่วน แต่ที่ยังรอดเล่นบทตีสองหน้ากับสังคมยังมีอีกไม่น้อยเลย 

จับตาดูให้ดี ๆ 

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย

‘สื่อไม่เอาไหน ทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์’ ผุดโผล่ขึ้นเป็นดอกเห็ด จนยากจะแก้ไขได้ทันแล้ว

สำหรับประเทศไทย คงไม่มีช่วงเวลาไหนที่ 'ความโฉดชั่ว' จะปรากฏจนเบ่งบานเท่าสี่ห้าปีมานี้อีกแล้ว บ้านเมืองเรามีแต่ข่าวเทา ๆ ดำ ๆ ของเหล่าทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์ นักการเมืองคอรัปชัน ผุดโผล่ขึ้นมาให้สังคมไทยได้รับรู้กันราวดอกเห็ด และที่น่าเศร้ากว่าใด ๆ 'คนดีในคราบโจร' เหล่านี้ ยังลอยหน้าลอยตาในสังคม อยากจะไปออกสื่อไหน ก็มีคนต้อนรับขับสู้ คอยเชื้อเชิญ เรียกท่าน เรียกคุณ ราวกับว่าคอนเทนต์ และยอดคนดู จะสำคัญกว่าเรื่องความย่อยยับของสังคมไทย

สื่อดังหลาย ๆ สำนักไม่จดจำใส่ใจ ไม่กล้าแสดงการ 'บอยคอต' บุคคลที่เป็นอันตราย หรือมีตำหนิติดตัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข พอข่าวลบ ๆ จางหายไป ทั้ง ๆ ที่ยังไร้การพิสูจน์ความจริง ก็เชื้อเชิญให้มานั่งหน้าสลอนในรายการ พูดเรื่องใหม่เพื่อให้ลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เคยทำไว้ในอดีต ถือเป็นการ 'ช่วยฟอกความผิด' ที่ติดตัวมาช้านาน 

สังคมไทยจึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแต่คนแย่ ๆ หน้าเดิม ๆ ที่ไม่ต้องรับโทษ เพราะมีสื่อที่สนิทชิดเชื้อคอยเก็บกวาดพื้นที่ให้สะอาดจะได้มีที่ยืนใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา จึงพูดได้ว่าสื่อไทยบางสำนักขาดวิสัยทัศน์ และไร้ความหวังดีกับสังคมไทย ด้วยมุ่งหวังแต่การทำมาหากิน กลายเป็นสื่อที่ไร้จรรยาบรรณ ไร้มาตรฐาน ไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง 

เรื่องนี้ยังรวมถึงคนสื่อที่มีชื่อเสียงมายาวนาน สามารถยืนระยะมาได้ถึงปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่บางสื่อถึงกับเคยเปิดพื้นที่ในรายการให้คนที่ทำมาหากินแบบเทา ๆ หรือคนคดโกงผู้คนไม่ต่างจาก 'อาชญากร' มาออกรายการเพื่อนำเสนอธุรกิจที่แฝงการหลอกต้มผู้คน เท่ากับสื่อที่มีคนดูมากมาย ลงมือช่วย 'การันตีโจร' ให้ผู้คนร่วมยินดีไปโดยปริยาย ความเสียหายของสังคมไทยจึงเกินคณานับ 

เหล่ามหาโจรในคราบ 'คนดีของสังคม' จึงปรากฏออกมาให้เห็นบนจอสื่อแทบทุกช่อง เมื่อสื่อคิดแค่ว่าต้องหารายได้ คำว่าสื่อน้ำดีจึงมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีในปัจจุบัน เพราะทันทีที่สื่อเปิดใจต้อนรับคนเทาดำอย่างขาดสติ ขาดอุดมการณ์ที่จะช่วยพยุงให้สังคมไทยนั้นดีขึ้น ชั่วโมงนี้เราจึงเห็น 'คนที่ไม่น่าไว้วางใจ' เล่นบทคนดีมานั่งเสนอหน้าในหลาย ๆ รายการเสมอ 

ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยัง 'คิดกันไม่เป็น' สื่อไทยก็ช่วยให้ 'คนเบาปัญญา' มองเห็นคนเลว ๆ เป็นแบบอย่างที่ดี ที่ควรเดินตาม 

บรรลัยล่ะครับ..ประเทศไทย

พระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา รัฐมนตรี ใครร่วมทำผิดล้วนต้องติดคุก..ไม่มีข้อยกเว้น!!

(22 ต.ค. 67) มหากาพย์แชร์ลูกโซ่ “ดิไอคอน” ที่ “กลุ่มบอสโจร” สุมหัวกันหลอกปล้นผู้เสียหายไปนั้น กำลังเปลือยให้เห็นถึง “ความเน่าเหม็นของสังคมไทย” ชนิดหมดไส้หมดพุง 

ใครก็ตามทั้งพระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา หรือรัฐมนตรีที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งที่ละเอียดรอบคอบมาดีมากพอแล้ว หรือไม่เคยศึกษาลงลึกให้ถ้วนถี่ใด ๆ เลย เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “แชร์นรกแสนล้าน” ทางใดก็ตาม บัดนี้ก็ได้เวลาแล้วที่ “เงาบาป” กำลังไล่ล่าให้ต้องร่วมรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ ของผู้เสียหาย

บาปที่เกิดจากการร่วมเสพสุขบนความทุกข์ระทมใจของผู้บริสุทธิ์นั้น ไม่ต่างจากการจุดไฟเผาให้เขาต้องดิ้นตายทั้งเป็นต่อหน้าต่อตา กรรมรูปแบบนี้ไม่ต้องรอชาติอื่นมาลงทัณฑ์ ทำกับใครเขาไว้ในชาติใด ก็ชดใช้โดยเร็วในชาติชีวิตนั้นทันที 

ส่วนใครเป็นมวย และมีบารมีมาก ก็อาจจะดึงเกมให้ตัวเองอยู่นอกคุกได้นานหน่อย แต่ค่อนข้างแน่ใจว่างานนี้ไม่ช้าก็เร็วใครที่เคยมีเอี่ยวในการโฆษณาชวนเชื่อ คอยพูดชม เชียร์ หรือช่วยชักจูงให้ผู้คนมาเป็น “ทาสแชร์” จนหมดเนื้อหมดตัว ย่อมจะมีปัญหากับชีวิตไม่มากก็น้อยแน่นอน  

บางคนที่เคยตีกินจากความมั่งคั่งของ “บอสนักต้มตุ๋น” เหล่านี้ เงินบาปเหล่านั้นกำลังย้อนศรชีวิตตนเอง หันมาทิ่มแทงให้แต่ละวันต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ หลายคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะโดนแน่ ๆ จึงคิดหาวิธีตีตัวออกห่างในสารพัดรูปแบบ บ้างก็เก็บตัวเงียบ บ้างทำไม่รู้ไม่ชี้ บ้างก็ไปซ่อนตัวต่างประเทศ แม้สื่อจะไล่ขุดเอาหลักฐานเก่า ๆ มาโปรยให้สังคมเห็นรายวัน แต่คนที่เก๋าเกมก็ยังไม่หลงกลสื่อง่าย ๆ หลายรายจึงยังต้องไล่บี้ในข้อกฎหมายต่อไป 

แต่ไม่ว่าจะมีใครเข้าปิ้งตาม “บอสอวดรวย” ที่ไปนอนรับกรรมในตะรางแล้วหรือไม่ อย่างไร คดีนี้ก็เปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง “ความเบาปัญญา” ของสังคมไทยอีกครั้ง 

คนดัง คนมีชื่อเสียงแทบจะทุกวงการ ต่างกระโจนเข้าหาเงินก้อนโต ช่วยกันพูดเชียร์ สนับสนุน ส่งเสริม ผลักดัน ให้เหล่ามหาโจรซึ่งก็ไม่ได้ดูฉลาด กลายเป็นกลุ่มคนที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม จนเกิดเหยื่อผู้น่าสงสารเต็มบ้านเต็มเมือง อย่าลืมว่าเหยื่อจำนวนมากไม่ได้มาเพราะ “บอสโนเนม” แต่มาหมดตัวเพราะมีคนที่น่าเชื่อถือทำให้ “บอสมหาโจร” เหล่านี้มันโด่งดัง

แล้วเวลานี้จะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวได้อย่างไร?

‘นักต้มตุ๋น’ ยุคใหม่ส่วนใหญ่ล้วนผ่าน ‘การทำศัลยกรรม’ หวังหลอกเหยื่อผ่านรูปลักษณ์ แต่ซุกไว้ด้วยจิตใจไม่รู้จักพอ!!

(15 ต.ค. 67) ทำไม นักหลอกลวง นักต้มตุ๋น นักอวดรวย ที่เป็นคนไทย แทบจะ 100% มักเป็นคนที่เสพติดการทำศัลยกรรมใบหน้า?

บทความนี้ไม่ได้จะบอกว่าทุกคนที่ทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ตามประสบการณ์ที่พบเห็นมาหลายคดีความที่เกี่ยวกับการหลอกลวง, การต้มตุ๋น, แชร์ลูกโซ่, Forex-3D, แม่ค้าออนไลน์ขายทอง, ขายครีม, ขายกระเป๋าแบรนด์เนม หรือแม้แต่การหลอกลวงให้นำเงินมาลงทุน ไม่ว่า “นักฉ้อโกงระดับหัวหน้า” จะเป็นชาย หรือหญิง ก็มักจะทำศัลยกรรมใบหน้ามาอย่างโชกโชนทุกคน

เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่โจรมักจะ “เกลียดใบหน้าเดิมของตัวเอง” ตรงกัน หรือเพราะการทำศัลยกรรมใบหน้าสามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคม เพื่อที่จะมีมากกว่าคนอื่น จนสามารถไปยืนในจุดที่มีผู้คนยอมรับ โดยไม่สนว่าจะได้รับความร่ำรวยมาด้วยวิธีการใด?! 

คนที่เกลียดความเป็นจริงของตัวเอง โดยเริ่มจากใบหน้า สรีระร่างกาย ฐานะความเป็นอยู่ หรือสังคมแวดล้อม ก็ย่อมจะหาทางหนีให้ห่าง และพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างชีวิตใหม่ เพื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คน

ไม่ผิด ที่คนเราจะมีความทะเยอทะยานมุ่งหวังให้ชีวิตของตนเองสุขสบาย แต่ควรต้องอยู่ในกรอบของความดีงาม ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร และต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยเลือกเส้นทางอาชญากร หรือเป็น “นักหลอกต้มสังคม” ที่คิดแสวงหาเงินทอง ความมั่งคั่ง ด้วยวิธีที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

แต่คนที่เลือกทางลัด นิยมทางเร็ว เกลียดทางเก่า และเมินโลกสังคมที่ดูไม่โสภาของตัวเอง มักจะไม่กลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในชีวิต เพราะชินชาที่ต้องพบเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว มีดหมอ เข็มแหลมคม จะผ่า หรือฉีด ร้อย ถัก เย็บ ให้ต้องเจ็บสักกี่ครั้งก็คือเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบใหม่หลังลืมตาตื่นดูจากบนเตียงศัลยกรรมนั้นคือสิ่งที่จูงใจ และรอคอยมากกว่า 

การกล้าหาญที่จะหนีจาก “ใบหน้าเดิม” ที่เห็นตัวเองในกระจกมาทั้งชีวิต อาจถือได้ว่าเป็นความมุ่งมั่นเกินคนปกติในแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่บทสรุปว่าคนๆ นั้น ต้องกล้าทำในสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์ต่อมา ส่วนประเด็นที่ว่าแล้วทำไมทุกครั้งที่มีข่าว “โจรหลอกต้มผู้คน” ตามสื่อช่องต่าง ๆ โจรมักจะ “ศัลยกรรมใบหน้า” แทบทุกรายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าแม้ทุกคนที่ศัลยกรรมหน้าอาจจะไม่ใช่โจร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องระมัดระวัง 

ศัลยกรรมคือเครื่องหมายของความทะเยอทะยาน เจอคนดี ชีวิตก็ดี เจอคนผิด ชีวิตอาจพังทลาย 

ยอมใจ!! ‘นักการเมืองพรรคส้ม’ ขยันสร้างเรื่องฉาว แถม ‘ไร้ความสามารถ – ขาดผลงาน’ 14 ล้านเสียงเริ่มเบือนหนี

ทำไมเรื่องฉาวโฉ่ เรื่องหลอกต้มสังคม เรื่องน่าละอาย จึงมีแต่นักการเมืองพรรคส้ม..พรรคเดียว 

แทบจะทุกวันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นข่าวของนักการเมืองแย่ ๆ ทำในเรื่องไม่ดี ๆ ที่คนอื่นไม่กล้าทำกัน สำหรับสังคมไทยก็มักจะเกิดขึ้นกับ 'นักการเมืองพรรคส้ม' พรรคเดียว ตามหน้าฟีดเฟซบุ๊กจะมีข่าวให้คนเอาไปเมาท์ไปก่นด่ากันไม่จบไม่สิ้น 

ถือเป็น 'พรรคเซเลบริตี้' ประจำสังคมไทยยุคใหม่ แต่ดังในทางเสื่อม จนสังคมเอือมระอาและเบื่อหน่าย แม้แต่คนที่เคยอยู่ใน 14 ล้านเสียง จากที่พูดคุยกับคนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยถึงวันนี้ก็หูตาสว่างกันมากแล้ว ด้วยเรื่องแย่ ๆ เรื่องเดิมยังไม่ทันจบ กลิ่นเหม็นเน่ายังไม่ทันจางหายไปจากโซเชียล เรื่องใหม่กับนักการเมืองในพรรคคนใหม่ ก็ผลัดเปลี่ยนมาสร้างเรื่องที่น่าอับอายต่อทันที จนช่องข่าวแทบทุกค่าย ยกเว้นค่าย 'น้อยสีหัวใจแอบส้ม' นำเสนอข่าวคาว ๆ แทบไม่ทัน 

ประสาคนรักบ้านเกิด รักสังคมไทยแบบผม หรือคนไทยอีกมากมายที่เราต่างก็เสียภาษี ไม่ได้รู้สึกดีที่เรามีนักการเมืองคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ เห็นข่าวแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น พฤติกรรมแย่ ๆ ทั้งในและนอกสภา การแอบอ้าง การเอาดีเข้าตัวผลักความชั่วให้คนอื่น การสร้างภาพตบตาคนโง่ว่าตนนั้นเป็นนักการเมืองที่ดี และการได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ไม่ไกลไปกว่าเด็กมัธยมปลาย ผมรู้สึกเสียดายเงินภาษีที่ต้องไปแบ่งจ่ายให้กับนักการเมืองพรรคนี้ ถึงวันนี้ผมก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์ หรือผลงาน ที่นักการเมืองเหล่านี้สร้างทำให้กับสังคมไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะมีแต่เรื่องคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ หรือไม่ก็ยกเลิก 112 

คนเราเมื่อมีมาตรฐานที่ต่ำ ความคิด การกระทำ ก็ย่อมจะไม่สูง เรื่องต่ำ ๆ สกปรก เรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ก็จะเกิดขึ้นในมโนสำนึก และมักจะดึงดูดคนในมาตรฐานเดียวกันให้มาอยู่รวมกัน ถ้าจะมีข้อดี ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ของผู้คนในสังคมไทยมากถึง 14 ล้านเสียงได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เราสามารถคะเนได้ว่าเรามีคนไทยร่วมชาติมีความคิดกันอย่างไร แต่โชคดีที่คนที่กาเลือกพรรคนี้ไม่ได้มีสูงเกินครึ่งของจำนวนคนไทยทั้งประเทศ มิเช่นนั้นประเทศไทยของเราอาจจะยากลำบากกว่านี้ 

เพราะนอกจากเราจะมีนักการเมืองที่โง่เง่า ทำงานไม่เป็น สร้างแต่ข่าวฉาว ๆ และน่าอับอายชาวโลกรายวัน เรายังมีเพื่อนร่วมชาติที่เบาปัญญาไม่ต่างกันมาช่วยสนับสนุนให้ความชั่วนั้นเติบโต หากเป็นเช่นนั้น ประเทศไทยคงจะเกิดสงครามกลางเมืองไปนานแล้ว ผมยังเชื่อว่าคนไทยฝั่งที่เลือกจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่ได้เป็น “เด็กเช็ดรองเท้าให้ตะวันตก” เหมือนพรรคการเมืองไร้ความสามารถพรรคหนึ่ง ยังมีอยู่มากล้นในผืนแผ่นดินไทย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top