Saturday, 19 April 2025
แจ็ค รัสเซล

เมื่อมีรัฐบาลขายแผ่นดิน - ฝ่ายค้านล้มล้างสถาบัน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม

(21 ม.ค. 68) ปีสองปีมานี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปทำอาชีพค้ายาเสพติดกันมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ แบบแอบขายปลีกตามซอกซอย ไปจนถึงนักค้ารายใหญ่ อาชีพรองลงมาก็คือเป็นเจ้ามือหวย มีตั้งแต่หวยเถื่อนปกติที่หนึ่งเดือนมีสองครั้ง กับหวยเถื่อนแบบตั้งวงเล่นในหมู่บ้าน มีให้คนหาเช้ากินค่ำแทงเล่นได้ทุกวันทั้งเช้าและเย็น และส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะหมดตูดกันถ้วนหน้า

รัฐบาลเด็กอมมือนอมินีในสายเลือดของ “นักโทษเทวดา” ก็ยังสนับสนุนให้ประชาชน “รอเงินแจก” เมื่อไร้สมอง และไม่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารชาติให้ก้าวหน้าก็กลับมาเล่นแผน “ประชานิยม” ตามสูตรเดิม ส่งเสริมให้คนไทยที่กำลังขี้เกียจให้ขี้เกียจทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า 

ยังไม่นับการเดินหน้าสนับสนุนให้มีบ่อน เพื่อตอกย้ำการมอมเมาผู้คนให้สิ้นเนื้อประดาตัวในระยะยาว และที่ชั่วได้คลาสสิคที่สุดก็คือการเอื้อให้เขมรได้อณาเขตทางทะเลไทยไปหากินแบบง่าย ๆ ดีที่ยังมีคนไทยส่วนมากตื่นรู้ กล้าหาญออกมาปกป้องแผ่นดินของเราเอง รัฐบาลที่มีแผลอยู่เต็มตัวจึงไม่กล้าออกอาวุธส่งเดช ทุกอย่างจึงยังไปไม่สุด ก็ต้องจับตากันไปมาแบบไม่กะพริบ 

รัฐบาลไทยยามนี้มีแต่ “ความโลภ” จึงเดินหน้าดึงชาติให้ตกต่ำเพื่อ “ผลประโยชน์” ของตนเองเท่านั้น แทบไม่มีผลงานใดที่จะโชว์ให้สังคมโลกเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีต่อคนไทยได้เลย แต่ถึงจะบริหารประเทศได้ย่ำแย่ ตกต่ำกว่าทุกยุคสมัยแค่ไหน แต่ฝ่ายค้านของเราก็ยังนิ่งเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยังคงวางแผนเดินเกมลับเพื่อล้มสถาบันดังเดิม เพียงแต่หนนี้หันไปเล่นเกมในสภา เพราะถ้าจะหลอกใช้เด็กวัยรุ่นให้ไปติดคุกแทนด้วยการแตะ 112 ด้วยการ “เขียนกำแพงวัดพระแก้ว” อีก แผนชั่วนี้คงใช้ไม่ได้ผล เด็ก ๆ ตื่นจากความโง่จนรู้เท่าทัน “กลลวงของพรรคส้มเน่า” แล้ว การมีพรรคฝ่ายค้านในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากการเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้นักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ ถ้านำเงินไปเลี้ยงหมาจรจัดตามข้างถนน เรายังจะได้ “ความซื่อสัตย์จากสุนัข” มากกว่า 

ถึงวันนี้ เราจึงมีแต่นักการเมืองโลภ ไร้คุณภาพ และไร้วิสัยทัศน์ จึงยากที่ประเทศไทยจะอยู่อย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ที่พึ่งสุดท้ายคือประชาชนแบบเรา ๆ ถ้ายังอ่านคนไม่ขาด ดูนักการเมืองไม่ออก ยังคงหลงกลนักการเมืองซ้ำ ๆ เดิม ๆ ก็ตายหมู่แน่นอน 

ปล่อยไว้แบบนี้ อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม 

ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง

จากคอลเซ็นเตอร์ ฟอเร็กซ์ 3d ดิไอคอน จนถึง “คนตื่นธรรม” ที่ทำคนไทยไม่น้อยหลับต่อความจริงสนิท จนยากที่จะฟื้นตื่น

(14 ม.ค. 68) ว่ากันว่า “คนที่มีนิสัยย้อนแย้ง” นำมาซึ่งหายนะต่อคน ๆ นั้นนับครั้งไม่ถ้วน คนเราถ้าขาดซึ่ง “ความชัดเจน” บนฐานรากของความถูกต้อง ก็จะเผยให้เห็นความคิด และการกระทำที่ผิดเพี้ยนตามมาในไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเหล่านี้จะเปลือยภาพความไม่มั่นคง, ไม่น่าเชื่อถือ และเป็นอันตราย จึงไม่ต่างจากความชั่วร้ายที่เป็นพิษภัยต่อสังคม จุดจบของคนเหล่านี้ถ้าไม่ติดคุก ก็ตายทั้งเป็นด้วยชื่อเสียงที่เน่าเหม็นยากจะมีใครกล้าเข้ามาคบค้าสมาคม 

เหล่ามิจฉาชีพ นักต้มตุ๋น นักลวงหลอกผู้คน มักมีคุณสมบัติคือ “ความย้อนแย้ง” เป็นส่วนประกอบหลัก ย้อนแย้งในคำพูด ย้อนแย้งในการกระทำ พูดจากลับไปกลับมา กลิ้งกลอกหลอกล่อผู้คนไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อหวังทรัพย์สิน เงินทอง ความนับถือ โดยปราศจาก “แก่นแท้ทางธรรม” ให้ผู้คนรู้สึกเลื่อมใสใด ๆ  

แต่ที่ยังคงลวงหลอกผู้คนให้ไป “ติดกับดัก” ได้มากมาย สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และความรู้สึกชนิดที่ยากจะประเมินได้นั่นก็เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยเรียนรู้อดีต ไม่ลงลึกเพื่อจดจำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือ “ไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต” แต่ละวันโหยหาแต่ “สิ่งที่ถูกใจ” มากกว่า “สิ่งที่ถูกต้อง” ก็เลยกลายเป็น “เหยื่อคนคดโกง” ที่แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “ลีลาโจร” มา “ต้มตุ๋น” ซ้ำใหม่ได้ง่าย ๆ 

เพียงแต่ “คนมีบุญขนานแท้” เกาะติดกายใจไปทุกชั่วขณะก็จะ “อ่านโจร” ออก จึงรอดปลอดภัยทุกสถานการณ์ ซึ่งยังโชคดีที่ว่ายังเป็น “คยไทยส่วนใหญ่” ของประเทศ แต่ใครที่คล้ายเป็น “คนไร้บุญไร้กุศล” ก็จะมืดบอดด้วยปัญญา ต่อให้ “โจรโง่แสนโง่” สักเท่าไหร่ ก็จะพ่ายแพ้ทางโจรวันยังค่ำ 

การที่สังคมไทยเกิด “อาชีพนักต้มตุ๋น” มากเป็นดอกเห็ด คงจะโทษใครไม่ได้ ต้องกลับไปที่เรื่องของ “ความละเอียดในการใช้ชีวิต” เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เพศ การศึกษา หรือนามสกุลจะใหญ่โตหรือต่ำเตี้ยสักเพียงไหน เพราะถ้าโง่ ก็รอดยาก 

คนไม่โง่ หรือโง่เพียงระยะสั้นเท่านั้น ที่จะปลอดภัยในระยะยาว 

คนที่ไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยว หรือหลงแสดงความชื่นชม “นักต้มตุ๋น” คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็น “ผู้ตื่นธรรม” โดยแท้จริง 

ทิ้งไว้ให้คิด ปริศนาธรรมจากคนที่ตื่นต่อความจริง 

เมื่อพรรคโกงจำนำข้าว แอบผสมโรงพรรคล้มล้างการปกครอง หวังขุด เจาะ ทะลวง เซาะกร่อนสถาบันผ่านสภา

(6 ม.ค. 68) ความเน่าเหม็นของรัฐบาลในหลาย ๆ เรื่อง จนเกิดเป็นความเบื่อหน่ายของประชาชนคนไทยจำนวนมาก บวกกับพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ทำงาน “ตรวจสอบความผิดปกติของรัฐบาล” เงียบปากสนิทราวกับว่าแอบทำงานรับใช้รัฐบาลอยู่ หาใช่การเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนไม่ ที่น่าทุเรศที่สุดคือการออกตัวว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเพื่อต่อสู้และกำจัด “ความเหลื่อมล้ำ” อยากเห็นสังคมไทยเท่าเทียม แต่สิ่งที่เห็น กลับไม่กล้าหืออือสักนิดกับ “เศรษฐีชั้น 14” กรณีที่วางแผนลับไม่ให้ตนเองต้องติดคุกเหมือนนักโทษทั่วไปแม้เพียงวันเดียว 

ประชาชนที่มีปัญญาวิเคราะห์ก็พอจะบอกได้ว่าทั้ง “รัฐบาลและฝ่ายค้าน” น่าจะกำลังพึ่งพากันในเรื่องสำคัญ และถ้าเดาก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ไม่หวังดีต่อสถาบันเบื้องสูง เพื่อจะใช้แผน “สามัคคีชั่วชุมนุม” ต่อรองกับพรรคการเมืองฝั่งที่จะดำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ทุกลมหายใจเข้าออกของนักการเมืองสองพรรคนี้ มีแต่การ “เล่นการเมือง” เพื่อเป้าประสงค์และผลประโยชน์ของตนเอง ไม่มีสักนิดที่จะคิดทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนคนไทย

ฝ่ายค้านเห็นรัฐบาลทำเลว ก็เงียบ ไม่เร่งตรวจสอบ ไม่กล้าทักท้วง กลายเป็น “นักการเมืองทาสนักโทษ” ที่น่าละอายที่สุด แต่กลับเอาเวลาที่มีไปทำหน้าที่อุ้มชูพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านแทน ถือว่าเป็นฝ่ายค้านที่ไร้ประโยชน์ติดอันดับต้น ๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  

ความนิ่งเฉยในการตรวจสอบรัฐบาลของฝ่ายค้าน ทำให้สังคมเริ่มได้กลิ่นการ “ผสมโรงชั่ว” ระหว่าง “นักล้มการปกครอง” กับ “นักโทษชั้น 14” เพื่อการทำลายสถาบันโชยมาเป็นระยะ จากนี้ไปคนไทยที่รักสถาบันต้องช่วยกันจับตาดูสองพรรคนี้ให้ดี ๆ เมื่อพรรคหนึ่งแม้จะได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ทำตามที่พูดไว้ไม่ได้จริง และไม่ได้ใจใครแม้แต่คนที่กาเลือกเข้ามา ทำให้คะแนนเสียงหดหาย ส่วนอีกพรรค เอาแต่คิดล้มล้างการปกครอง ทำแต่เรื่องแย่ ๆ โง่ ๆ ออกสื่อรายวัน จนคนที่เคยเลือกเริ่มจะหูตาสว่าง และถอยห่างกันมากโขแล้วในวันนี้ 

วิธีเดียวที่ทั้งสองพรรคจะต่อรองให้ตนเองมีที่ยืนเพื่อทำเรื่องชั่ว ๆ กับประเทศชาติได้อีกต่อไป ก็คือต้องหันหน้ามา “ผสมพันธุ์” กัน แล้วใช้สภาที่ตนเองอาศัยฟอกตัวอยู่รวมหัวทำร้ายสถาบันเงียบ ๆ 

ทฤษฎีที่ใครเคยบอกว่าเลือกแดงเพื่อมาล้มส้ม ผมพูดเสมอว่านั่นเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ

ย้อนมองกรณี ‘สส.พรรคส้ม’ ขึ้นป้ายแซะสวดมนต์ข้ามปี สะท้อนความคิดขวางโลกเต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ

ป้ายคัทเอาท์ “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” เป็นของ สส. ผู้ทรงเกียรติ หรือเพียงของ “คนบาปเบาปัญญา”??

เข้าใจได้ว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกแขนงอาชีพมักจะได้คนทำงานที่ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' เข้ามาทำงานในองค์กรเป็นจำนวนที่สูงมากกว่าสมัยก่อน ซึ่งก็รวมทั้ง 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ด้วยเช่นกันที่อาจจะได้นักการเมืองน้ำดีและห่วยชนิดที่ยากจะนึกภาพออกว่า 'คุณภาพคนเลือก' ต้องต่ำขนาดไหน ถึงได้เลือก 'สส. สมองกลวง' เช่นนี้เข้าสภามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน 

คนที่เกิดมาเป็น สส. อาสามาเป็นคนทำงานเพื่อส่วนรวม สำคัญกว่าใด ๆ คือต้องมี 'Mindset' ในการใช้ชีวิต และการทำงานที่ต้องสะท้อนให้เห็นอย่างง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่สังคมรู้สึกพึ่งพาได้ ไม่กังขา ไม่สงสัยทั้งความคิด และการกระทำ เพื่อจะได้นำสิ่งที่มีดีติดตัวอันมากมายนั้นมาพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง

แต่ทันทีที่สังคมไทยได้เห็นป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ ติดรูปนักการเมืองไทยคนหนึ่ง เป็น สส. จากพรรคการเมืองที่ถนัดแต่ 'ล้มล้างการปกครอง' และแทบจะทั้งพรรคมี 'พฤติกรรมย้อนแย้ง' เป็นอาชีพ มีข้อความว่า “สวัสดีปีใหม่ ทำบาปมาทั้งปี สวดมนต์ข้ามปีแค่วันเดียว?” ผู้คนในสังคมที่พอจะมีสติปัญญาก็จะสรุปได้ในทันทีว่าช่างเป็นข้อความที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่จรรโลงสังคม เต็มไปด้วยความขุ่นมัวในจิตใจ กระแซะคนชาวพุทธที่ศรัทธาเรื่อง 'การสวดมนต์ข้ามปี' ที่มีมาแต่โบราณ 

นอกจากสร้างความเกลียดชังต่อผู้คนที่พบเห็น ความหมายบนป้ายโฆษณายังมี 'ความย้อนแย้ง' ไม่ต่างจากชีวิตประจำวัน สส. ผู้ไร้ความจริงใจต่อสังคมคนนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่เรื่องโง่ ๆ เกิดขึ้นกับนักการเมืองที่เกลียดการไหว้, ชิงชังการเคารพนอบน้อม และคิดแต่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย 

ตอกย้ำแน่ชัดอยู่สองเรื่องหลัก ๆ ว่า หนึ่งเมื่อใดที่เราได้ สส. ที่ขาดความเคารพต่อสังคมชาติ และสถาบัน ก็ยากจะเคารพต่อขนบ วัฒนธรรม เรื่องที่สองคือคนในแบบเดียวกันก็จะถูกดึงรวมอยู่ใน 'คอกบาป' เดียวกัน เวลาทำเรื่องเลวร้ายใด ๆ ก็จะไม่มีใครห้ามปราม จะปล่อยกันให้ 'ตายทั้งเป็น' คาสังคม ด้วยคนที่คิดข้อความไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ แม้เพียงคิดในใจก็น่าอับอายไปถึงกระดูกแล้ว แต่หากคิดแล้วกลับอยากให้ผู้คนรับรู้ ก็เท่ากับว่าตั้งใจ 'ประกาศสันดาน' ต่อสังคมว่าตัวเองนั้นเป็นคนประเภทใด

ถ้าตอนคิดก่อนลงมือทำ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าผลจะออกมานั้นตนเองจะดูดี จะมีผู้คนชื่นชอบ ก็ต้องพูดว่าเป็น สส. ที่โง่เง่าเป็นทวีคูณ 

ยากจะหาบทสรุปอื่นได้เลย  

ระหว่างกาช่อง ‘โหวตโน’ กับเลือกที่ ‘ไม่เข้าขั้นแย่’ แบบใดจะนำพาประเทศชาติหลุดพ้นจากวังวนเดิม ๆ

อยู่ประเทศไทยหากจะหานักการเมืองที่ซื่อตรงต่อประชาชนอย่างจริงแท้ คนส่วนใหญ่จึงเลือกพรรคการเมืองที่แย่น้อยหน่อยตามความนึกคิดของตัวเองให้เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง เพราะถ้าจะหาในแบบที่ดีบริสุทธิ์ 100% ตายแล้วเกิดใหม่อีกหลายครั้งก็ใช่ว่าจะพบเจอ เป็นการลดความคาดหวังออกจากอุดมคติของตนเอง มาก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เห็นจริงตรงหน้า เพื่อให้สังคมไทยได้เดินต่อ แม้จะเป็นการก้าวเหยียบดินไม่เต็มฝ่าเท้าก็ตาม 

เพราะการมองและเลือกมุมนี้เท่ากับว่า คนไทยส่วนนี้สิ้นหวังแล้วว่าจะไม่พบเจอนักการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ทุจริต และทำงานรับใช้ชาติเพื่อส่วนรวม จึงจำใจกาเลือกไปตามสติปัญญาของตัวเอง 

คนจำนวนนี้คิดว่าการ 'โหวตโน' เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นการเสียสิทธิ์ สู้เลือกพรรคการเมืองที่ยัง 'ไม่เข้าขั้นแย่' ก็น่าจะดีกว่า จะได้เอาไว้คานอำนาจ ไว้ต่อสู้กับพรรคการเมืองที่ 'เลวทั้งโคตร' หรือ 'เป็นอันตรายต่อสถาบันไทย' ย่อมจะมีประโยชน์กว่าการออกไป 'โหวตโน' ให้บัตรทิ้งเสียไปเฉย ๆ 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลของคนที่ไม่กาช่อง 'โหวตโน' แม้สิ่งที่เลือกจะไม่ใช่ในแบบที่ใฝ่ฝันไว้ก็ตาม

แต่ประโยชน์ของช่อง 'โหวตโน' ที่ซ่อนอยู่ คือจะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ไม่ได้มีคุณค่า หรือมีความหมายต่อคนไทยอีกต่อไปแล้ว คนไทยจึงพร้อมใจกันกาเลือก 'ช่องที่ไม่ต้องเลือกใคร' เพราะมองไม่เห็นว่าคนหรือพรรคการเมืองใดควรคู่กับ 'ความไว้วางใจ' ของประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว 

เข็ด เบื่อ เหลืออด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง คนใหม่ก่นด่าว่าคนเก่าแต่พอเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ทำในสิ่งที่แย่กว่า และปัญหาการคอร์รัปชันก็ไม่เคยหมดหายไปจริง ๆ แล้วจะให้ประชาชนกาเลือกในสิ่งที่มีอยู่อีกทำไม? นี่คือเหตุผลหลักของคนที่เลือกช่อง 'โหวตโน' 

หากมองในมุมโลกสวยขึ้นมาอีกนิด คนไทยที่เลือกช่อง 'โหวตโน' หรือเลือกพรรคที่ 'ไม่เข้าขั้นแย่' คนไทยสองกลุ่มนี้ก็ยังเป็นกลุ่มคนที่พอจะหวังพึ่งพิงได้ของประเทศชาติ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่บ้องตื้นกาเลือกพรรคการเมืองที่วัน ๆ คิดแต่จะล้มล้างการปกครอง หรือพรรคการเมืองที่นอกจากเคยโกงจำนำข้าว, มีนักโทษลวงโลกบนชั้น 14 ก็ยังมีนายกนอมินีที่ติดอันดับโง่จนทำให้ประเทศชาติอับอายแทบจะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์สื่อ

ถึงมีคำกล่าวที่ว่า นายกเป็นแบบใด คนเลือกเข้ามามันก็เป็น..แบบนั้น

ตื่นธรรม ต้องตื่นที่ใจ มิใช่ตื่นเพราะลืมตา แต่ยังหลงวนในดงคนบาป ปั้นตัวให้ดูแตกต่างเพื่อต้มตุ๋นเงินทอง

เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นชัดว่า 'คนไทยยุคใหม่' ขาดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอ่อนแอ เปราะบาง พร้อมจะโอนเอนเข้าหาการโน้มน้าวจาก 'ของปลอม' ที่คอยปักธงปล้นเงินในกระเป๋าไว้อย่างรัดกุม ด้วยเพราะรู้ใน 'จุดอ่อน' ของ 'คนหลับธรรม' จำนวนมากในสังคมไทย 

สังคมไทยยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งการถือดีแต่ไม่มีดี อวดฉลาดแต่ก็โง่เขลาเบาปัญญา จึงพร้อมใจกันสาละวนอยู่กับการถูกหลอกลวงจากคนรูปลักษณ์ใหม่ ๆ ในวิธีการลวงล่อที่ไม่ต่างจากอดีต แต่ด้วยเพราะสังคมขาดความรู้ ขาดการลงลึกเพื่อจดจำประวัติศาสตร์ ขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างจริงจัง และไม่ชอบ 'อ่านหนังสือ' ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานของคนในชาติที่เจริญแล้ว เมื่อชาติใดมีประชากรที่ฉลาด ชาตินั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามมา โจรก็จะน้อยลงเป็นเงาตามตัว

แต่สังคมไทยให้ความสำคัญแต่กับเปลือกปลอม ข่าวซุบซิบเรื่องของชาวบ้าน สอดส่องแอบดูความร่ำรวยของผู้คน และการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตัวเอง เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยถึงน้อยมากที่จะให้เวลาหมดไปกับการ 'ศึกษาเรียนรู้' เพื่อที่จะไม่เป็นเหยื่อโจร ซึ่งแปลงโฉมมาต้มตุ๋นสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่เว้นวัน ยุคนี้จึงมุ่งมาหากินกับกลุ่มคนที่ยัง 'หลับธรรม' เพราะเป็นผู้คนที่ 'หลอกง่าย' ด้วยไร้แสงสว่างทางใจแบบฝังลึก

มองมุมหนึ่งกลุ่มคนที่โอนเงินไปบริจาคให้กับ 'นักต้มตุ๋น' ไม่ว่าจะเคยเป็นมาในรูปแบบใด ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าน่าสงสาร เห็นใจ แต่ถ้ามองในมุมใหญ่ก็จะพบว่ายังคงเป็น 'คนกลุ่มเดิม' ที่ยังเดินหน้าให้โจรหลอกซ้ำหลอกซาก แค่โจรเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนวิธีมาดึงดูดเงินทองของเหยื่อที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง  

ตราบที่สังคมไทยยังคงหลับใหล ไม่ตื่นในรสพระธรรมคำสอนที่จริงแท้ของพระพุทธเจ้า ก็จะมองคนสะอาดเป็นคนที่สกปรก และมองคนที่ประสงค์ร้ายต่อสังคมเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อผู้คน สมควรต้องยกย่อง สรรเสริญ และนำเงินทองไปประเคนร่วมบุญตามคำชวน โดยไม่คิดจะตั้งคำถาม หรือสงสัยเส้นสายการเดินทางของเงินอภิมหาบุญเหล่านั้นผ่านช่องทางใคร? ไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน? และนำไปทำสิ่งใดเพื่อสังคมบ้าง? 

ที่สุดก็ไม่พ้นกลุ่มคนที่มีสติ ซึ่ง 'ตื่นธรรม' อยู่ก่อนแล้วโดยที่ไม่ต้องรอคนขึ้นมึง ขึ้นกู มาสั่งสอน ต่างลงแรงช่วยกัน “ยุติโจรในคราบนักบุญ” เสียทุกราย 

คนกลุ่มนี้นี่ต่างหาก สมควรเรียก 'คนตื่นธรรม' โดยแท้จริง

‘รัฐบาล’ เดินหน้าประสาน!! ผลประโยชน์ ‘เกาะกูด’ เพื่อใคร‘ฝ่ายค้าน’ หมกมุ่น!! แต่การ ‘ล้มล้างสถาบัน’ เพื่อตะวันตก

(10 ธ.ค. 67) การได้เกิดมาเป็นคนไทย เติบโตมาจนปี พ.ศ. นี้ ก็ต้องพบกับความอดสูหัวใจอย่างที่สุด ใครจะคิดว่าเรามี ‘รัฐบาลไทย’ แต่กลับมีใจให้ ‘คนชาติเขมร’ คอยวิ่งเต้นคิดค้นวิธีสารพัดที่จะเอาผลประโยชน์ทางทะเลมหาศาลที่ไทยเราเป็นเจ้าของอย่างชอบธรรมมาตั้งแต่อดีต แบ่งปันให้กับกัมพูชา ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานว่าอาณาเขตทางทะเลส่วนนี้เป็นของคนไทยตามหลักสากล

นั่นเพราะทรัพย์ใต้ทะเลลึกรอบบริเวณเกาะกูดที่เป็นเรื่องเป็นราวนั้นมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาทเป็นอย่างน้อย ด้วยมีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันดิบมากถึง 300 ล้านบาเรล ก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ประเทศใดได้ไปครอบครองก็จะมีอันจะกินไปอีกยาวนาน เขมรหัวหมอจึงหวานปาก ใช้ความสนิทสนมกับ “นักโทษหนีคดี” ดีลลับส่วนตัว ขอแบ่งสมบัติทางทะเลหน้าตาเฉย เพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่ต้องเป็นคนฉลาดก็จะทราบว่าผลประโยชน์ที่จะได้กลับมาก็จบอยู่ที่ ‘ตระกูลชั้น 14’ หาใช่คนไทยส่วนรวมไม่  

จึงถือเป็น “รัฐบาลไทยหัวใจกัมพูชา” อย่างไม่ต้องสงสัย 

เดินหน้าทำทุกอย่างโดยไม่แคร์เสียงท้วงติงของประชาชน ลุ เหลิงต่ออำนาจ มัวเมาในความโลภ มุ่งแต่จะตัดเฉือนสมบัติชาติของคนไทยทุกคนให้กับชนชาติอื่น ถ้าเป็นสมัยก่อนโทษของคนขายชาติก็ต้องโดนตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรสถานเดียว 

เมื่อมีรัฐบาลจ้องจะขายชาติ เราก็หวังพึ่งฝ่ายค้านไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะธงของฝ่ายค้านของเรา ก็ปักไว้อย่างโดดเด่นถึงการทรยศคนร่วมชาติไม่แพ้กัน นั่นคือการคิดแต่จะล้มสถาบันยังไงให้สำเร็จเพื่อประเทศตะวันตกที่ขี่คอฝ่ายค้านของเราอยู่ตลอดเวลา 

ทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้านของไทยเรา ต่างมี ‘พฤติกรรมเลว’ ที่กินกันไม่ลง ยากมากที่ประเทศชาติจะพัฒนาไปได้ไกลเพราะนักการเมืองสายพันธุ์ขี้หมาแบบนี้ 

เป็นฝ่ายค้านทีเคยชูว่าจะกำจัดความเหลื่อมล้ำ และกวาดทิ้งนักการเมืองคอร์รัปชั่นให้สิ้นซาก แต่กลับไม่เคยกล้าแตะพฤติกรรมชั่ว ๆ ของ ‘นักโทษชั้น 14’ ที่เป็น ‘หัวหน้าใหญ่ตัวจริงของรัฐบาล’ เริ่มตั้งแต่การไม่นอนคุก กระทั่งดีลลับการขายสมบัติชาติทางทะเล ดีแต่โชว์วาทกรรมโง่ ๆ หลอกต้ม ‘คนที่โง่กว่า’ ไปวัน ๆ 

ถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากความกล้าหน้าด้านที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน 

คุณจะเป็นคนแบบไหนก็ได้ แต่ขอให้ชัดเจน อย่าเป็น 'มนุษย์ย้อนแย้ง' เพราะมันน่ารังเกียจสิ้นดี

ตั้งแต่มีพรรคส้มเกิดขึ้นมาในสังคมไทย คำว่า 'มนุษย์ย้อนแย้ง' ก็กลับมาฮิตติดปาก คนทั่วไปมักจะใช้คำนี้เรียกขานกลุ่มคนที่ 'นิยมส้ม' เพราะจะมีพฤติกรรมที่ 'ขัดแย้งในตัวเอง' ให้เห็นเป็นประจำ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอายสังคมแม้แต่น้อย เช่น…

เคยแต่งชุดดำร้องไห้จะเป็นจะตายร่วมกับคนไทยค่อนประเทศตอนปลายปี 2559 แต่กลับกาเลือกพรรคการเมืองที่มีสันดานจาบจ้วง กัดเซาะ ดูหมิ่น หยาบคาย และมีแนวคิดล้มล้างการปกครอง ถ้าเพราะไม่รู้ว่าพรรคที่ตนเองเลือกนั้นล้มเจ้า ก็ต้องถือว่าเป็นมนุษย์ที่เบาปัญญาสิ้นดี 

เป็นศิลปินนักร้องที่เกลียดชังสถาบัน แต่กลับทำมาหากินกับการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ หรือรับงานที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการเชิดชูสถาบัน ไม่สนว่าใครจะมองเป็นคนประเภท 'เกลียดตัวแต่ชอบแอบกินไข่' ถือเป็นพฤติกรรมย้อนแย้งที่ไร้ความละอายอย่างจริงแท้ 

เปิดร้านขายผลงานซีดี และแผ่นเสียงเพลงไทย แสดงออกตรง ๆ ว่าเกลียดสถาบัน และเชียร์พรรคการเมืองที่เดินหน้าล้มล้างการปกครอง แต่ภายในร้านกลับวางจำหน่ายผลงานอัลบั้มที่งานประพันธ์นั้นมาจาก 'ในหลวงรัชกาลที่ ๙' หรือติดรูปในหลวงไว้ข้างฝาร้านให้ผู้คนเข้าใจว่าตัวเองนั้นเป็นคนไทยอีกคนที่จงรักภักดีเหมือนคนส่วนใหญ่ เพื่อจะได้ขายของ ทั้ง ๆ ที่ส่วนลึกของหัวใจนั้นนิยมเกลือกกลั้วอยู่ในฝั่งคนชิงชังสถาบัน 

เป็นคนจัดงานคอนเสิร์ตที่แอบสนับสนุนกลุ่มคนล้มเจ้าตลอดเวลา และมักพูดถึงสถาบันไปในทางเสื่อมเสีย แต่กลับรับจ้างจัดงานที่ต้องใช้บทเพลงพระราชนิพนธ์ หรือจัดกิจกรรมที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์ไทย เรียกว่าย้อนแย้งแบบสุด ๆ 

เป็นสื่อที่ปากบอกรักสถาบัน รักในหลวง แต่กลับเชิญแต่พวกล้มเจ้ามาออกในรายการ และปล่อยให้คนที่คิดร้ายพูดถึงสถาบันในทางที่ไม่จริงโดยไม่เคยทัดทาน หรือท้วงติง ถือเป็นคนสื่อที่ย้อนแย้ง และต้องถือว่าเป็นอันตรายต่อสังคมไทย

ใด ๆ ก็ตาม 'มนุษย์ย้อนแย้ง' มักเป็นคนที่ขาดอุดมการณ์อันแรงกล้าต่อสิ่งที่เชื่อ, คิด และทำ เป็นประเภท 'เงินมาผ้าหลุด' มีชีวิตมีลมหายใจแค่ทำมาหารับประทาน หรือรับจ้างไปวัน ๆ เป็นคนที่น่ารังเกียจ, ไม่จริงใจ และไร้ราคา

14 ล้านเสียงเริ่มตาสว่าง หลังกระจ่างชัดในพฤติกรรม ‘พรรคล้มเจ้า‘ ทั้ง ‘หนีการเกณฑ์ทหาร - ปลิ้นปล้อนกลิ้งกลอก - หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก‘

(26 พ.ย. 67) กว่าที่คน 14 ล้านเสียงจะเริ่มหูตาสว่าง ก็ต้องใช้เวลาลงลึกต่อสิ่งที่เลือกเข้ามาอยู่นานพอดูถึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าสิ่งที่ดี กับสิ่งที่เลวนั้นมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร ถึงวันนี้จาก 14 ล้าน จึงหายศีรษะไปกันเยอะแล้ว

หลายคนให้เหตุผลว่าที่เลือกพรรคล้มสถาบันเพราะเบื่อ “ลุงตู่” เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่แสนจะมักง่าย แค่เบื่อนายกคนเก่า เบื่อรัฐบาลเก่า ก็เลยเลือกส่งเดชเชียร์เด็กนิสัยเกเรแถมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เข้ามาบริหารชาติเพื่อความสะใจ 

พรรคใดที่สามารถจะล้มทหารได้ก็ออกหน้าเชียร์พรรคนั้น โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าทหารก็คือพรรคการเมืองที่แอบร่วมมือกับตะวันตก ยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้า” ให้เขา ร่วมมือกันเพื่อมาล้มล้างการปกครองในประเทศชาติของตัวเอง 

ลองถามใจคุณดู ระหว่างรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร แต่กลับไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังคงปกป้อง รักษา ให้เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติดังเดิม กับพรรคการเมืองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แอบดีลลับร่วมมือกับต่างชาติ หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระทบชิ่งไปถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านน้ำมือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกหลอกใช้ จนโดนคดี 112 จำนวนมาก และที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่น้อย คุณลองคิดดูสิว่าแบบไหน “มันเหี้ยมจนตัวมอม้าหาย” มากกว่ากัน? 

ผมไม่ได้บอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมาด้วยเจตนาที่ดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีที่ประชาชนแบบเราจะพูดถึงความประทับใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การที่เราเบื่อหน่ายพรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกพรรคอื่นที่ตั้งธงรบด้วยการเกลียดพรรคที่เราไม่ชอบเหมือนกัน เพราะพรรคที่เราเลือกมันอาจจะเลวในแบบอื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า เราไม่ควรเอาประเทศชาติไปล้อเล่นเพียงเพราะเหตุผลว่าเราต้องเลือกพรรคการเมืองสักพรรค หรือเพียงเพราะอยากแก้แค้นพรรคที่เราเกลียด

เพราะผลที่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น เราจึงได้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถ หนีการเกณฑ์ทหาร กลิ้งกลอก หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก ซุกกระโปรงเด็กผู้หญิง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อนประชาชนไปวัน ๆ และมีแนวคิดล้มล้างสถาบันเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน มีดีสักคนไหม?

เอาปากกามาวงให้เห็นหน่อยเถอะครับ 

‘นักตบทรัพย์’ อีกหนึ่ง ‘อาชีพชั่ว’ ของคนไร้ความสามารถในทางสุจริต

สังคมไทยยุค ‘คนห่างธรรม’ ก็ได้เกิดหลากหลายอาชีพที่แอบ ๆ ทำมาหากินในทางมิชอบกันมากมาย หนึ่งนั้นคืออาชีพ ‘ตบทรัพย์’ เพราะเมื่อมีโจรเกิดขึ้นมาก จุดอ่อนของโจรก็มากตาม นักตบทรัพย์คืออาชีพที่จะมาช่วย ‘อุดรูชั่วของโจร’ แลกกับโจรก็ต้องจ่ายค่า ‘ปิดปาก’ เพื่อให้ตนเองได้เป็น ‘โจรในคราบขาว’ ของสังคมไทยต่อไปแบบยาว ๆ 

โจรยุคนี้มักเล่นบท ‘ตีสองหน้า’ เบื้องหน้าโชว์ความเป็นเศรษฐีออกสื่อโซเชียลให้สังคมอิจฉา แต่ละวันจึงโชว์ของแบรนด์เนม รถซุปเปอร์คาร์ นาฬิการิชาร์ดมิลล์ บ้านในระดับคฤหาสน์ เรือยอช์ต และเที่ยวต่างประเทศด้วยการพักโรงแรมสุดหรูเป็นว่าเล่น แต่เบื้องหลังรายได้ล้วนมาจากการทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทั้งการทำเว็บพนันออนไลน์ เว็บโป๊ ค้ายาเสพติด ค้าทองปลอม ค้าน้ำมันเถื่อน เปิดบ่อนลับสัญจรในจังหวัดต่าง ๆ Forex 3D การฉ้อโกง การต้มตุ๋นทั้งปวง และแชร์ลูกโซ่ เป็นต้น ซึ่งรายได้จากสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษี ได้มาเท่าไหร่ก็รับไปเต็ม ๆ เนื้อ ๆ ถือเป็นการทำมาหากินที่เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเป็น ‘ภัยสังคม’ ที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นโดยเร็ว

คนยุคห่างธรรม หัวใจย่อมไร้ธรรมะ ไร้ความเมตตาต่อผู้ใดทั้งสิ้น และไม่แคร์คำว่าศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง เราจึงเห็นเหล่าคนดังหลากหลายอาชีพ เช่น ดารานักแสดง นักร้อง นักเคลื่อนไหวทางสังคม ทนายความ อัยการ ตำรวจนอกแถว ร่วมมือกันเป็น ‘นักตบทรัพย์โจร’ กันอย่างมากมาย

เมื่อโจรมีแผล ก็เกิดอาชีพ ‘คนปิดแผล’ เพื่อให้โจรยังเป็นโจรต่อไปได้ในสังคม ถ้าโจรดื้อดึงไม่ยอมจ่ายก็จะถูกแฉพฤติกรรมต่าง ๆ ให้สังคมรับรู้ ความยุ่งยากก็จะเกิดขึ้น การเป็นโจรก็จะสะดุด โจรหลายรายจำต้องถูกดำเนินคดี หยุดอาชีพโจรลงทันที

โจรอาจจะถูกกระชากหน้ากากให้สังคมรับรู้ เข้าไปรับกรรมในคุกตะราง ส่วนหนึ่งแม้จะมาจาก ‘นักตบทรัพย์’ ที่ทำให้สังคมได้ตาสว่าง แต่เหล่าบรรดา ‘นักตบทรัพย์’ เนื้อแท้ก็ไม่ใช่คนดีของสังคม หรือคนที่ทำทุกอย่างด้วยหัวใจที่ขาวสะอาด แต่เป็นเพียง ‘นักบุญในคราบโจร’ ที่มิได้ใส่ใจห่วงใยความเสียหายของสังคมก่อนผลประโยชน์ของตัวเอง

ถึงแม้ ‘นักตบทรัพย์’ จะเป็นอีกหนึ่ง ‘อาชีพชั่ว’ ที่โจรกลัว แต่โจรหัวหมอบางรายก็เป็นอันตรายกับ ‘นักตบทรัพย์’ ไม่ต่างกัน เรียกว่าถ้าแฉมา โจรก็แฉกลับ เปลือยธาตุแท้ให้สังคมเห็น ชั่วโมงนี้จึงมีทั้งโจร และนักตบทรัพย์ ถูกจองจำในคุกตะรางเดียวกัน

เป็นอีกหนึ่ง ‘ตลกร้าย’ ที่ขำไปก็เศร้าใจไปกับสังคมไทยเรา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top