ปากบอกจะกำจัดความเหลื่อมล้ำ กล้าทุกอย่าง แต่ปอดแหกกับชั้น 14 เราจะเรียกว่าเป็น “พรรคการเมืองขี้ข้านักโทษ” ได้ไหม?
(6 พ.ค. 68) ด้วยเพราะเกลียดสถาบันกษัตริย์เป็นทุน มีอคติสุมอยู่ในใจอย่างร้อนรุ่ม มุ่งคิดร้าย อาฆาต พยาบาท จึงพร้อมใจกันทำทุกวิถีทางที่จะเซาะกร่อน ทำลายความน่าเชื่อถือ แม้กระทั่งการยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้าให้กับตะวันตก” เพื่อมาล้มล้างสถาบันแห่งแผ่นดินเกิดของตนเองก็ยังทำ
ยอมกระทั่งเหยียบศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง ด้วยการสุมหัววางแผนกัน “หลอกต้มเด็ก” ที่ไร้ความคิด เด็กที่อยากเด่น อยากเท่ อยากมีที่ยืนโง่ ๆ ในสังคมให้ออกมาสู้รบแบบก้าวร้าวแทนตัวเอง คอยปลุกปั่นด้วยวาทกรรมเลว ๆ ว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วทุกชีวิตต้องได้รับความเสมอภาค เท่าเทียมโดยถ้วนทั่ว ทั้งหมดก็เพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้เด็กบ้องตื้น และผู้ใหญ่ที่ “คิดไม่เป็น” จำนวนไม่น้อยเห็นคล้อยตาม ตกเป็นเหยื่อจนโดนคดี “112” มหาศาล บางส่วนต้องหนีลี้ภัย ที่เหลือก็ติดคุกยาว ๆ หมดอนาคตนับไม่ถ้วน
ถือเป็น “ตราบาป” ที่พรรคการเมือง “สามกีบ” สร้างไว้ให้กับสังคมไทย
แต่ที่สุดก็วงแตก ไปกันไม่รอด เหยื่อก็คือเหยื่อ กระจัดกระจายหนีหายกันไปคนละทิศละทาง นักการเมืองผู้แอบชักใยอยู่ใต้กระโปรงเด็กจึงเปลี่ยนวิธี เมื่อหลอกใช้เด็กไม่สำเร็จ ก็คิดแผนชั่วแบบอื่น เพื่อจะลบคำว่าสถาบันให้หายไปจากความรู้สึกดี ๆ ของคนไทยให้ได้ ถือเป็นพรรคที่ยืนหนึ่งในเรื่อง “ล้มล้างการปกครอง” เท่านั้น อย่างอื่นเป็นเพียงอาหารว่างคั่นเวลาโจร
คำโฆษณาที่ว่าความเหลื่อมล้ำจะหมดหายไป จึงเป็นได้เพียงคำโป้ปด ที่คอยหลอกต้ม “ด้อมส้มผู้เบาปัญญา” เพื่อให้มาเป็นแรงหนุนและตายแทน เพราะกว่าสองปีที่ “นักโทษเทวดา” กลับไทยมาแล้วเหาะเหินไปนอนนอกคุก ทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนคนเดินดิน เช่นนี้เรียกว่า “โคตรของโคตรความเหลื่อมล้ำ” แต่พรรคการเมืองที่อวดอ้างว่าจะมาต่อสู้ให้สังคมไทยเกิดความเท่าเทียม นับตั้งแต่หัวถึงหางกลับไม่มี สส. ที่เคยปากดีสักตัวแสดงความกล้าหาญที่จะทักท้วง หรือเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนให้สมกับชื่อ “พรรคประชาชน” ของตนเอง
เปลี่ยนชื่อไปเป็น “พรรคขี้ข้านักโทษ” ดูจะเหมาะสมกว่ามากมาย
หรือใครว่าไม่จริง?
โดย : แจ็ค รัสเซล