Wednesday, 15 May 2024
เมียนมา

‘รบ.ทหารเมียนมา’ กำราบ ‘อิรวดี’ สื่อร่างทรงปชต. ส่วนไทยปล่อยให้จรรยาบรรณจอมปลอมลอยนวล

กระทรวงสารสนเทศของเผด็จการทหารพม่าประกาศผ่านทางสื่อรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลเผด็จการได้ทำการเพิกถอนใบอนุญาตสื่อสิ่งพิมพ์ของอิรวดี ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2565 และกล่าวหาว่าสื่ออิรวดี สร้างความเสียหายต่อ ‘ความมั่นคงของรัฐ’ และ ‘ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง’ 

เมื่อเอย่าเห็นข่าวนี้ เอย่าก็รีบเปิดเว็บไซต์ดูทันที ซึ่ง ณ วันที่เขียนบทความนี้ ก็หลังจากการรายงานข่าวนี้มาร่วมอาทิตย์ แต่เว็บไซต์ของสำนักข่าวอิรวดี (Irrawaddy) ก็ยังปกติดี ไม่ได้ต่างอะไรกับสำนักข่าวอื่น ๆ ที่เคยโดนไปอย่าง Mizzima หรือ Myanmar Now ที่ทางรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสื่อได้ และทำให้สื่อหลายสื่อกลายเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มผู้มีอำนาจในรัฐบาลโดยการล้างสมองประชาชน

ก่อนอื่นเราควรมารู้จักสื่ออิรวดีให้ดีก่อนว่าเป็นมาอย่างไร...

สื่ออิรวดี ก่อตั้งขึ้นในไทยเมื่อปี 2536 เป็นสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบเผด็จการทหารในพม่าจากการที่พวกเขารายงานข่าวเชิงส่งเสริมประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อ และสิทธิมนุษยชนในพม่า เมื่อมีการเปิดประเทศ อิรวดีจึงย้ายสำนักงานใหญ่เข้าไปในพม่าเมื่อปี 2555 เพื่อรายงานข่าวสถานการณ์ในพม่า จนถึงการทำรัฐประหารปี 2564

เมื่อมีนาคม 2564 รัฐบาลทหารเมียนมาเคยดำเนินคดีอิรวดี ด้วยกฎหมายมาตรา 505 (a) โดยอ้างว่า ‘เพิกเฉยต่อ’ กองทัพพม่าในการรายงานข่าวการประท้วงต่อต้านเผด็จการทหารที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนั้น แม้ต่อมาจะมีการจับกุม ‘อูต่องวิน’ ผู้ตีพิมพ์เผยแพร่สื่ออิรวดี แต่ก็ไม่สามารถทำให้สำนักข่าวอิรวดีหยุดเผยแพร่ได้ 

และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มีการดำเนินการกับสื่ออย่างอิรวดี แต่ด้วยความที่สื่อมีสำนักงานที่ไทย ทำให้น่าจะลำบากต่อจัดการของรัฐบาลเมียนมาอยู่พอตัว

ถามว่าทำไมสื่ออย่างอิรวดี มีอิทธิพลนัก... 

หากค้นข้อมูลลึก ๆ จะเห็นว่าสำนักข่าวอิรวดี เคยรับทุนจากองค์กร National Endowment for Democracy (NED) ของอเมริกา ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าอเมริกาชักใยหลาย ๆ ประเทศผ่านการจ่ายเงินผ่านกองทุนนี้ โดยสำนักข่าวอิรวดีเคยได้รับทุนจาก NED จำนวน 150,000 ดอลลาร์ในปี 2016 และนั่นคงไม่ต้องถามว่าสื่ออิรวดีจะเป็นสื่อที่มีความเป็นกลางได้จริงหรือไม่? หรือเป็นเพียง ‘สื่อร่างทรง’ ให้แก่ประเทศผู้แจกทุนที่พยายามจะหาทางเข้ามาในภูมิภาคนี้ 

ชาติสมาชิกยูเอ็นแสดงจุดยืน ‘ไม่เลือกข้าง’ ถอนวาระ ‘รมต.NUG’ เข้าร่วมงาน GTH 2022

เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากกับข่าวของ Daw Zin Mar Aung รัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเงาของเมียนมา (NUG) และทีมของเธอได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุม Global Town Hall 2022 (GTH 2022) เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

แต่ในงานกลับเซอร์ไพรส์กว่า เมื่อมีการถอนวาระของเธอออกจากการประชุมในนาทีสุดท้าย ด้วยเหตุผลที่ทางตัวแทนชาติสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้กล่าวกับผู้จัดงานว่า หากให้ Daw Zin Mar Aung และทีมงานของเธอเข้าร่วมในงานครั้งนี้ ก็เท่ากับเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในเมียนมา ซึ่งเพียงแค่นี้ก็แสดงให้เห็นจุดยืนของตัวแทนชาติสมาชิกในงานประชุมครั้งนี้ในระดับหนึ่งแล้ว 

ทั้งนี้หากวิเคราะห์ว่าทำไมทางสหประชาติถึงไปกล่าวกับผู้จัดงาน จนทำให้เกิดการถอนวาระนี้ในที่สุด ก็เพราะว่า…

1.) ประเทศสมาชิกของสหประชาติมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุน NUG ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ NUG และฝ่ายที่วางตัวเป็นกลาง หากการที่ตัวแทนชาติสมาชิกในงานประชุมครั้งนี้ยอมรับให้ทาง NUG เข้าร่วมอาจจะส่งผลในบทบาทบนเวที UN ได้

2.) ทางตัวแทนชาติสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุมนี้ น่าจะได้ประเมินแล้วว่าการให้ NUG มากล่าวโดยไม่มีฝ่ายกองทัพมาพูดเป็น ก็เสมือนสนับสนุนการกระทำของฝ่าย NUG นั้นว่าถูกต้อง

3.) ฝ่าย NUG นั้นยอมรับว่าเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนการต่อสู้ของ PDF ที่ก่อความไม่สงบและเข่นฆ่าผู้คนในเมียนมาในขณะนี้ด้วยเช่นกัน

เมียนมากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ต้องยอมรับว่าการรัฐประหารมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิด New Normal ในเมียนมาอย่างแท้จริง ด้วยการที่หลายธุรกิจพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องใช้เงินตราเป็นดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ประเทศโดนแซงชั่นจึงไม่มีเงินดอลลาร์เข้าประเทศ

แม้รัฐบาลของมิน อ่อง หล่าย จะแก้ปัญหาการไหลออกของเงินสหรัฐ โดยการลดการพึ่งพิงการใช้เงินตราดอลลาร์สหรัฐและหันมาจับการค้าขายตรง เช่น บาท-จ๊าด รูปี-จ๊าด หยวน-จ๊าด เป็นต้น แต่การแก้ปัญหาของรัฐบาลนั้น ก็ยังส่งผลต่อผู้ประกอบการหลายรายโดยเฉพาะผู้ประกอบการชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเมียนมา ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้นเป็นผลให้เกิดเงินเฟ้อในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนเมียนมา

อย่างไรก็ตามกลับยังมีธุรกิจบางธุรกิจที่ปรับตัวโดยการเลือกวัตถุดิบที่มีในประเทศ ลดการใช้วัตถุดิบนำเข้า รวมถึงการเข้าไปทำคอนแทคกับผู้ผลิตโดยตรง เพื่อลดราคาต้นทุนของเขา เพื่อให้ธุรกิจของเขาดำเนินต่อไปได้ 

ยื่นหมูยื่นแมว ค่าเหยียบแผ่นดิน อุปสรรคการเดินทางจากไทยเมียนมา ลุ้น!! ปลดล็อกครั้งใหม่ 'ไทย-เมียนมา' หันกันสะดวกขึ้น

เราจะเห็นได้ว่าเมื่อไทยเปิดประเทศแล้ว สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลไทยมีมติเลย คือ การเก็บค่าเหยียบแผ่นดินสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยจะเรียกเก็บเงินค่าเหยียบแผ่นดินนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศโดยสารทางเครื่องบิน คนละ 300 บาท ส่วนผู้ที่เดินทางแบบไปเช้า เย็นกลับ จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม โดยคาดว่าจะเริ่มเก็บในช่วงต้นปี 2566 

เรื่องนี้สร้างความหวั่นให้กับผู้ประกอบการชาวไทยว่าต่างชาติจะไม่เข้ามาหรือเข้ามาน้อยลง แต่ความจริงแล้วเมื่อดูข้อมูลดี ๆ ในหลาย ๆ ประเทศมีการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินซึ่งจะตั้งชื่อในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น ในญี่ปุ่นจะเรียกว่า Sayonara Tax ในบางประเทศเรียก Tourist Tax และบางประเทศเรียกชื่ออื่นๆ เช่น Bed Tax, Culture Tax, Departure Tax, Occupancy Tax เป็นต้น ซึ่งราคาก็แตกต่างกันออกไป

ในเมียนมา ณ วันนี้ก็มีค่าเหยียบแผ่นดินเช่นกัน แต่มาในรูปของประกันชีวิต โดยทางเมียนมาได้ระบุว่าชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางมายังเมียนมาทุกคนนอกจากจะมีผลฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็มแล้ว จะต้องซื้อประกันชีวิตที่เป็น INBOUND TRAVEL ACCIDENT INSURANCE ซึ่งจะต้องซื้อเท่ากับจำนวนวันที่เราเข้ามาอยู่ในเมียนมา 

โดยขั้นต้นเริ่มที่ 15 วัน ราคาจะอยู่ที่ 50-100 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นกับช่วงอายุและราคาจะสูงขึ้นเมื่ออยู่ในเมียนมานานขึ้น ซึ่งนโยบายนี้เองสร้างผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเมียนมาอยู่ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีรายได้สูงมากนัก ก็จะไม่อยากจ่ายเงินก้อนนี้เพราะรู้สึกว่าเป็นการที่เอาเงินไปทิ้งเปล่าๆ แต่กระนั้นเองก็ทำให้เมียนมาได้กลุ่มนักท่องเที่ยวหรือคนเข้าประเทศที่มีทุนทรัพย์และสามารถจับจ่ายใช้สอยหากเข้ามาท่องเที่ยวหรือทำธุรกิจในเมียนมาจริง ๆ

รพ.ราชบุรี ประกาศเชิดชู ‘นายซิน’ หนุ่มเมียนมา บริจาคอวัยวะช่วยชีวิตผู้ป่วยชาวไทยได้ 13 คน

(6 ม.ค. 66) นายซิน หรือ THANT ZIN TUN สัญชาติเมียนมา วัย 29 ปี ประสบอุบัติเหตุทางถนน จนต้องเข้ารักษาตัวที่ รพ.ปากท่อ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา และถูกส่งตัวมารักษาต่อที่ รพ.ราชบุรี แพทย์ได้ตรวจอาการอย่างละเอียด พบว่า กระดูกต้นคอส่วนบนเคลื่อน จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว ทางแพทย์และทีมพยาบาล จึงแจ้งให้ทางญาติทราบ พร้อมประสานขอรับบริจาคอวัยวะ⁣

ซึ่งทางภรรยาและครอบครัวจึงได้ประสานกับทางพ่อแม่ผู้ป่วย จนทราบว่า ผู้ป่วยได้เคยสั่งไว้ หากมีโอกาสให้บริจาคอวัยวะ เพื่อช่วยเหลือชีวิตคนอื่น จึงนำไปสู่การบริจาคอวัยวะในครั้งนี้⁣

โดยอวัยวะของนายซิน สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยชาวไทยที่สิ้นหวังได้ 13 ชีวิต ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับบริจาคอวัยวะสามารถมีชีวิตต่อไป และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ⁣

จับตา!! หาก 'ไทย' เร่งเจรจาเปิดด่าน 'เมียนมา' สำเร็จ โอกาสสินค้าไทยไหลรับ 'คนจีน' แห่เข้าเมียนมาเพียบ!!

ทางการจีนได้ประกาศเปิดด่านชายแดนฝั่งเมืองมูเซ หรือ ในภาษาไทใหญ่เรียกว่าหมู่แจ้ ทั้ง 3 ด่าน หลังจากปิดไปช่วงโควิด-19 ระบาดที่ผ่านมาในวันที่ 8 มกราคมนี้  

นับเป็นอีกหนึ่งการผ่อนคลายมาตรการของการควบคุมโควิดของฝั่งจีน ซึ่งจะทำให้เกิดการนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และการเปิดด่านครั้งนี้ทางเมียนมาก็จะได้อานิสงส์ในการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ จากจีนในราคาถูกด้วยเช่นกัน

การส่งออกที่ด่านเมืองมูเซในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่เกือบ 550 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทางการเกษตร เช่น กุ้งและปูเป็นที่มีการขนส่งเข้าสู่จีนจำนวนมาก

ในวันที่ 8 มกราคมที่จีนประกาศผ่อนคลายให้ชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ทางเมียนมาคาดการณ์ว่าจะมีชาวจีนจำนวนหนึ่งที่เดินทางมาเที่ยวไหว้พระในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์และอีกจำนวนหนึ่งน่าจะเดินทางข้ามชายแดนมาเพื่อประกอบธุรกิจในเมืองมูเซและอาจจะรวมถึงคนจีนอีกจำนวนไม่น้อยที่น่าจะเข้ามาเล่นคาสิโนในเมืองดังกล่าว

เมื่อ 'รบ.เมียนมา' เดินหน้าสร้างสัมพันธ์กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หวังทยอยเปิดด่านเชื่อม 'ไทย' ชวนสนใจเรื่องปากท้อง

เมื่อวันก่อน ถือเป็นปฐมฤกษ์ที่เราสามารถเปิดพรมแดนระหว่าง 'ไทย -​เมียนมา' ที่สะพานมิตรภาพ 1 ได้สำเร็จ ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของเมียนมาที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคก่อกวนไม่ให้เปิดชายแดนจนลุล่วงสามารถเปิดให้คนข้ามไปมาหาสู่กันได้เหมือนก่อนมีโควิด-19 ระบาด

การที่เอย่ากล่าวว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของเมียนมา เพราะว่าในเมียวดีนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือ KNU นั่นเอง ซึ่งนั่นไม่ง่ายเลยในการที่จะเจรจากับกลุ่ม KNU ถึงการยุติความขัดแย้งที่มีต่อกันแล้วหันหน้ามาทำมาหากิน เพราะแม่สอด-เมียวดี เป็นช่องทางการค้าที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งเม็ดเงินตรงนั้นส่วนหนึ่งคนที่ได้ประโยชน์แรก ๆ ก็คือกลุ่มชาวกะเหรี่ยงที่ค้าขาย ชายแดน ค้าขายแรงงานกันอยู่บริเวณนี้นั่นเอง

ความเฉิดฉายของชาติพันธุ์ของสตรีในเอเชียอาคเนย์เป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อปีนี้มี 2 สาวจากกลุ่มชาติพันธุ์เป็นตัวแทน Miss Universe จาก 2 ประเทศ

คนแรกคือ Zar Li Moe สาวงามจากรัฐคะฉิ่น ปัจจุบันอายุ 20 ปีกับส่วนสูง 178 เซนติเมตรและรอยยิ้มที่ใครมองต้องหลงไหล เธอจบการศึกษาที่ Bamaw University และเคยคว้าตำแแหน่ง Miss Tourism & Culture Universe Bhamo ในปี  2020 ก่อนจะได้เป็น Miss Universe Myanmar ในปี 2022

ส่วนอีกคนเป็นสาวลาวเชื้อสายม้ง ชื่อว่า Payengxa Lor เธอเกิดในเมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาว ปัจจุบันอายุ 21 ปี Payengxa Lor จบการศึกษาที่ Lao-American College เธอมีส่วนสูง 168 เซนติเมตร Lor ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายสตรีม้งในลาว ซึ่งเป็นเครือข่ายสำหรับการเสริมพลังสตรีชาวม้ง  อีกทั้งเธอยังเป็นจิตอาสาช่วยเหลือชุมชนยากจนในประเทศของเธอด้วย
 

เมียนมา เตรียมเปิดดด่านชายแดน เชื่อมต่อแผ่นดินไทย เดินหน้าค้าขาย สร้างความเป็นอยู่อันดีให้คนพม่า

หลังจากความสำเร็จของการเปิดด่านแม่สอดไปเมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมาเป็นเหมือนประตูขั้นแรกที่ไขสู่ความสำเร็จในการจัดการในการเปิดด่าน (https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02E2pLwHcdcJpTKdvuMhBdMBrQEcLqqZL2XF6fTGf8e1wMU268BMyBMgcZAHqUcAEbl&id=100064606066871)

เพราะหลังจากนั้น เมื่อวันที่ 13 มกราคม ทางเมียนมาก็เปิดด่านชายแดนทางเมือง 'มูเซ-รุยลี่' ที่เป็นพรมแดนติดกับจีนได้สำเร็จ หลังจากที่เคยประกาศว่าจะเปิดตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา แต่ทางเมียนมายังไม่พร้อมที่จะเปิดในวันดังกล่าว 

ล่าสุดมีข่าวออกมาจากสำนักข่าวในเมียนมาว่า 'ด่านแม่สาย - ท่าขี้เหล็ก' จะเปิดในวันที่ 22 มกราคมนี้ แม้ฝั่งไทยยังไม่มีประกาศใดๆ ออกมาก็ตาม แต่การเปิดด่านครั้งนี้ ก็มีการส่งสัญญาณที่ดีต่อการค้าชายแดน เพราะหลังจากมีการทยอยประกาศเปิดด่านแผ่นดิน ทางธนาคารฝั่งเมียนมาหลายธนาคาร ก็เริ่มมีการให้บริการเปิดบัญชีแบบ 'บาท-จ๊าด' สำหรับผู้ทำการค้าชายแดนทันที
 

‘ผบ.สส.’ พบ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ไร้ซูเอี๋ย รบ.เมียนมา ชี้ เป็นการเยือนในฐานะแขกของกองทัพเท่านั้น

เป็นข่าวดังในกลุ่มนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารในเมียนมาเมื่อ พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ของไทย เดินทางไปพบกับนายพล มิน อ่อง หล่าย ถึงรัฐยะไข่ งานนี้กลายเป็นเรื่องจับแพะชนแกะว่าไทยกำลังซูเอี๋ยกับรัฐบาลทหารของเมียนมา

แต่หากมามองความเป็นจริงแล้ว การพบปะกันของทหารระหว่างประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงนั้นเป็นกิจการทั่วไปของทหารตั้งแต่ ผบ. หมู่ที่คุมชายแดน จนถึง แม่ทัพภาค รวมไปจนถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำกันมานานแล้ว โดยการพบกันนั้นทางทหารจะพบปะหารือกับทหารของประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงนั้นจะนายทหารจะหารือกับนายทหารประเทศเพื่อนบ้านในชั้นยศเดียวกันเท่านั้น ส่วนประเด็นในการหารือนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ การร่วมมือกันในการปกป้องอธิปไตย การสกัดกั้นการขนส่งยาเสพติด หรือการป้องกันการก่อการร้ายหรือการกระทำผิดระหว่างประเทศ รวมถึงการร่วมมือการช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top