Friday, 23 May 2025
COLUMNIST

ความเหนื่อยล้าทางการเมือง กรณีคนรุ่นใหม่ฮ่องกงเลือก “อยู่กับจีน” เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

ช่วงเร็ว ๆ มานี้ ระหว่างที่ผมใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ผมได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจในชีวิตประจำวันมากมายที่สอดคล้องกับประเด็นการเมืองที่เป็นเนื้อหาในชั้นเรียน ทำให้ได้ขบคิด ค้นคว้า และสนทนา เพื่ออัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการเมืองจีนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน

ประเด็นที่ผมนำมาเล่าในบทความนี้ เกิดจากการที่ผมได้มีพบกับเพื่อนนักศึกษาจากฮ่องกงและไต้หวันที่เดินทางมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ซึ่งบางคนเป็น classmate ของผมด้วย ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือ คนฮ่องกงทุกคนที่ผมรู้จักที่นี่ อายุประมาณ 19 -23 แต่มีแนวคิด ‘Pro-China’ คือหนุนแนวคิดให้ฮ่องกงเข้าร่วมกับจีน หรือบางคนก็เป็นไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่ก็ไม่มีท่าทีต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิด One China ของจีน

ผมต้องกลับมา reset มุมมองเรื่องคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงทั้งหมดอีกครั้ง เนื่องจากเดิมทีผมคิดว่าคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจะต้องมีแนวคิดต่อต้านจีน แต่พอได้สนทนากับเพื่อนในคลาสและนอกคลาสแล้ว ก็พบว่ามีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป...

ในตอนนี้ ใครที่ยังคิดว่าคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงน่าจะนิยมตะวันตก และอยากแยกประเทศมากกว่ารวมเข้ากับจีน อันนี้เริ่มเก่าแล้ว เดี๋ยวเรามา update patch กันครับนะครับ

ช่วงปี 2014 - 2019 เป็นช่วงเวลาที่คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงตื่นตัวทางการเมืองอย่างมาก เห็นได้ movement ต่าง ๆ ทั้งการออกมารวมตัวกันประท้วง และการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วม Umbrella Movement ปี 2014 หรือการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในปี 2019 จนเป็นข่าวใหญ่ที่ขบวนการประชาธิปไตยทั่วโลกต้องติดตามและคอยสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม หลังจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี 2020 สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก นักเคลื่อนไหวจำนวนมากถูกจับกุม องค์กรภาคประชาชนถูกสลาย สื่ออิสระถูกปิดตัว การเมืองกลายเป็นพื้นที่ที่อันตราย และข้อพิสูจน์ที่ชี้ว่าการเคลื่อนไหวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทางความคิดของคนรุ่นใหม่ จาก “การตื่นตัวทางการเมือง” สู่การ “ถอนตัวทางการเมือง” หลายคนเลือกที่จะ "ไม่พูด ไม่ยุ่ง ไม่เสี่ยง" กับประเด็นทางการเมืองอีกต่อไป โดยผลสำรวจจากสถาบันวิจัยเอเชียแปซิฟิก มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง (CUHK) ในปี 2023 พบว่า 62.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองไม่ค่อยสนใจหรือไม่สนใจการเมืองเลย โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึง 7.4% ในขณะที่การศึกษาของ Hong Kong Federation of Youth Groups (HKFYG) ในปี 2019 พบว่า 41.7% ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษารู้สึกเครียดอย่างมาก และ 24% รู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับบรรยากาศทางสังคมที่ตึงเครียด ซึ่งอาจส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพวกเขา

การไม่ต้องการยุ่งกับการเมืองนั้นอาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่า ประเด็นที่น่าสนใจในตอนนี้คือการที่คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจำนวนมากกำลังแสวงหาโอกาสนอกบ้านเกิด บ้างเลือกไปเรียนต่อต่างประเทศ บ้างย้ายไปอยู่ประเทศตะวันตก หรือแม้บางคนก็ย้ายไปอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่

โดยเฉพาะกรณีของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เลือกมาเรียนหรือทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่ อย่างเช่นเพื่อนของผม 3 คนที่ได้ทุนรัฐบาลจีนมาเรียนที่ฟู่ตั้น มีคนหนึ่งได้ทุนทั้ง ป.ตรี และ ป.โท ติดต่อกันเลย อีก 2 คนบอกกับผมว่าจะเข้ารับราชการหลังเรียนจบ ซึ่งการรับราชการที่ฮ่องกงนั้น จริง ๆ แล้วแทบจะเป็นการเลือกข้างไปแล้วกราย ๆ แล้วครับ

สำหรับหลายปีก่อน การเป็นคนรุ่นใหม่แล้วเข้ารับราชการนั้นจะเป็นภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างแย่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วยกัน เพราะต้องทำงานภายใต้รัฐบาลกลาง ภายใต้นโยบาย One China ซึ่งทำให้เรื่องนี้น่าสนใจครับ เพราะในปัจจุบันคนรุ่นใหม่บางคนไม่ได้เลือกที่จะต่อต้านจีน หรือหนีจากจีนเท่านั้น แต่กลับเลือกที่จะ "อยู่กับจีน" โดยมีเหตุผลที่น่าสำรวจในเชิงลึกอยู่หลายประเด็น

คำถามที่น่าศึกษาหาคำตอบคือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากความตั้งใจของใคร?

แน่นอนว่าแทบจะทุกการเปลี่ยนแปลงทางความคิดในเชิงระบบล้วนเริ่มต้นจากบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่กดดัน โดยเฉพาะในฮ่องกง หนึ่งในแรงขับสำคัญที่ผลักดันคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงให้เปลี่ยนแนวทางชีวิต คือความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงลิ่วของฮ่องกงที่อยู่ในระดับท็อปของโลก โดยเฉพาะราคาบ้านและที่อยู่อาศัยที่สูงจนคนวัยทำงานทั่วไปไม่มีทางเป็นเจ้าของบ้านได้ โดยดัชนีค่าครองชีพ (Cost of Living Index) ของฮ่องกงที่วัดโดย Numbeo Index 2024 นั้นอยู่ที่ 76.6 ในขณะที่ เซินเจิ้น, กว่างโจว และจูไห่นั้นอยู่ที่ 42.1, 39.5 และ 37.0 ตามลำดับ

รวมถึงตลาดแรงงานที่ตึงตัวในยุคหลังโควิด โอกาสการจ้างงานสำหรับคนรุ่นใหม่ยิ่งลดลง อัตราว่างงานของคนอายุ 20–29 ปี อยู่ที่ 6.1% ซึ่งสูงกว่าอัตราการว่างงานเฉลี่ยของประชากรทั้งหมดที่อยู่ที่ 3.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน

รวมถึงแรงกดดันจากสังคมในด้านอื่น ๆ ที่มีการแข่งขันสูง ทั้งความเครียดในระบบการศึกษา แรงกดดันจากครอบครัว เมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันแล้ว ความคิดเห็นทางการเมืองเห็นจะเป็นแค่สิ่งที่เพิ่มความวุ่นวายให้ชีวิต

ในขณะที่ความหวังในการสร้างชีวิตในฮ่องกงลดลงเรื่อย ๆ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มพิจารณาทางเลือกอื่นในการสร้างอนาคต

โอกาสใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่

ในทางกลับกัน จีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะเมืองในเขตเศรษฐกิจอย่าง Greater Bay Area (GBA) เช่น เซินเจิ้น กว่างโจว และจูไห่ ที่อยู่ใกล้กับฮ่องกงนั้น กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง โดยเฉพาะการเปิดพรมแดนและระบบรถไฟความเร็วสูงในเขต GBA ที่ทำให้การเดินทางระหว่างฮ่องกง–เซินเจิ้น–กว่างโจวง่ายและรวดเร็วมาก สามารถเดินทางจากฮ่องกงข้ามไปแผ่นดินใหญ่ได้ภายใน 30-45 นาที (เท่ากับเวลาที่ผมเดินทางไปเรียนตอนเช้า หรือขับรถไปทำงานตอนอยู่ไทย) เอื้อต่อการไปทำงาน เรียน หรือแม้แต่ใช้ชีวิตในจีน ขณะยังมีบ้านอยู่ในฮ่องกง ก็ยังสามารถทำงานในจีนแต่กลับมานอนที่บ้านในฮ่องกงได้

ในขณะเดียวกัน เมืองอย่างเซินเจิ้นหรือกว่างโจวซึ่งอยู่ใกล้ฮ่องกง มีค่าครองชีพต่ำกว่ามาก ทั้งค่าเช่าบ้าน อาหาร การเดินทาง ฯลฯ คนรุ่นใหม่บางส่วนเลือกไปทำงานหรือใช้ชีวิตในจีน เพราะเงินเดือนที่ใกล้เคียงกัน แต่ใช้จ่ายน้อยกว่า ทำให้สามารถซื้อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เป็นหัวกะทิด้านเทคโนโลยี ที่มีความสามารถทางเทคนิคหรือธุรกิจที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานจีน กลับเริ่มมองว่าการเข้าไปอยู่ในแผ่นดินใหญ่ เป็นโอกาสในการเติบโตในอาชีพที่ดีกว่า โดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนจำนวนมากตั้งอยู่ใน GBA ที่เปิดรับคนรุ่นใหม่มือดีจากฮ่องกง

ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนจากรัฐจีนก็มีผลอย่างมาก สำหรับมุมมองต่อจีนของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแจกทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนฮ่องกงให้เข้ามาเรียนในแผ่นดินใหญ่ จัดสรรทุนการศึกษาและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักเรียนฮ่องกงให้มาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีโครงการสนับสนุนที่มอบเงินช่วยเหลือต่อปีการศึกษาตั้งแต่ HK$5,900 ถึง HK$19,400 ซึ่งมีนักเรียนฮ่องกงได้รับประโยชน์จากโครงการนี้แล้วกว่า 20,000 คน (เพื่อนผม 3 คนเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้)

นอกจากนี้ ยังมีโครงการจ้างงานสำหรับเยาวชนฮ่องกงในหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจจีน ทุนเปิดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการจากฮ่องกง เช่น โครงการ Greater Bay Area Youth Employment Scheme (GBA YES) ที่รัฐบาลฮ่องกงอุดหนุนเยาวชนฮ่องกงที่มีอายุไม่เกิน 29 ปี และมีวุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาขึ้นไป จำนวนกว่า 1,000 คน โดยให้เงินอุดหนุนสูงสุด 60% ของเงินเดือนรายเดือนของผู้เข้าร่วมโครงการ เป็นระยะเวลาสูงสุด 18 เดือน งบประมาณรวมโดยประมาณ 216 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง

หรือจะเป็นโครงการ Funding Scheme for Youth Entrepreneurship in the Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area โดย Youth Development Commission (YDC) ของฮ่องกง ที่สนับสนุนเยาวชนฮ่องกงที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจในเมืองต่าง ๆ ในเขต GBA โดยมียอดงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติรวมทั้งสิ้น 900 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ให้บริการสนับสนุนและบ่มเพาะธุรกิจแก่เยาวชนมากกว่า 4,000 คน โดนมีทีมสตาร์ตอัปจากโครงการนี้ที่ได้ขยายธุรกิจไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่า 70 ทีม

ภายใต้บริบทนี้ ไม่น่าแปลกใจที่นักเรียนฮ่องกงจำนวนมากเลือกเรียนต่อหรือทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่

ในมุมมองเชิงอัตลักษณ์นั้น คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงที่เติบโตขึ้นภายใต้ระบบการศึกษาที่รัฐบาลจีนส่งอิทธิพลมากขึ้นหลังปี 1997 และการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มจีน เช่น Xiaohongshu หรือ Bilibili ทำให้เยาวชนฮ่องกงบางส่วนรู้สึกใกล้ชิดกับวัฒนธรรมจีนมากขึ้น อย่าง classmate ชาวฮ่องกงของผม พูดใน class discussion ชัดเจน ว่าเขาเป็นคนจีน เพราะคนฮ่องกงก็คือคนจีน และแสดงออกอย่างเปิดเผยในห้องเรียนว่าเขาเคยต่อต้านจีนมาก่อน แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาต่อต้านอุดมการณ์แบบ woke ในจีนและในฮ่องกงแทน เขาพูดในขณะที่ใส่เสื้อยืดที่มีธงชาติจีนแปะอยู่บนหน้าอกซ้าย และตัวอักษรคำว่า CHINA ตัวใหญ่แปะอยู่ด้านหลัง ซึ่งชายคนนี้ครั้งหนึ่งเคยพูดเกินเลยไปถึงขั้นว่าหลังเรียนจบจะสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจ ถ้ามีม็อบในฮ่องกงจะได้เป็นคนไปปราบ ตอนที่เขาพูดเรื่องนี้ ผมสังเกตเห็นเพื่อนหลายคนในห้องเริ่ม “มองบน” กัน เพราะอาจจะฟังดูก้าวร้าวโดยไม่จำเป็น

กลับเข้าเรื่อง เมื่อผมไปค้นคว้าเพิ่มเติม ก็พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจริง ซึ่งก็คือการ Depoliticization หรือการเกิดความเฉยชาทางการเมือง หรือการที่บุคคลหรือสังคมค่อย ๆ เลิกสนใจ/เลิกมีส่วนร่วมทางการเมือง จนกลายเป็นกลุ่ม "ไม่แยแสทางการเมือง" (Political apathy) หรือแม้แต่ “ต่อต้านการเมือง” (anti-political) เป็นแนวคิดที่มองว่า “ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้” หรือการมองว่า “พูดเรื่องการเมือง จะมีปัญหา อย่าไปยุ่งดีกว่า” หรือในบางกรณีคือเปลี่ยนฝ่ายทางการเมืองไปเลยแบบเพื่อนผม

ซึ่งตรงข้ามกับการ Politicization ที่มักจะอธิบายทุกปัญหาอย่างมีจิตสำนึกทางการเมือง และพยายามเสนอการแก้ปัญหาในเชิงระบบ แต่ก็เป็นแนวคิดที่นำมาซึ่งบรรยากาศการถกเถียง และความขัดแย้งจากฝ่ายต่าง ๆ ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง

ประเด็นนี้ เพื่อนชาวฮ่องกงอีกคน (ที่ไม่ใช่ตัวตึง)​ ของผมเล่าให้ฟังว่าเขาเบื่อที่จะต้องตอบคำถามกับเพื่อนเก่าหลายคนที่ชอบมาถามว่า “ทำไมถึงไปเรียนที่จีน ?” เพราะรู้เจตนาที่แท้จริงของคำถามแบบนี้ที่มักจะเป็นการ “แซะ” ยิ่งทำให้ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าหลังเรียนจบแล้วจะเข้ารับราชการต่อ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนบางคน ขอเรียนจบและทำงานอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า เพราะไม่ต้องการให้มีเรื่อง toxic ในชีวิตมากเกินไป ส่วนเหตุผลที่ทำให้อยากเข้ารับราชการนั้น เพื่อนผมบอกว่า เงินเดือนค่อนข้างดี มีสวัสดิการ ทำให้มีชีวิตที่มั่นคงได้ แต่การรับราชการก็ต้องระวังเรื่องแนวคิดทางการเมืองเช่นกัน เพราะถ้ามีแนวคิดขัดกับรัฐบาลกลาง ก็อาจทำให้มีปัญหา เขาจึงมองว่าการไม่ต้องมีแนวคิดทางการเมืองเลยคือทางเลือกที่ดีต่อชีวิตและสุขภาพจิตที่สุด ไม่ต้องขัดแย้งกับกลุ่มเพื่อน ไม่ต้องมีปัญหากับที่ทำงาน

สิ่งที่ทำให้สำนึกทางการเมืองค่อย ๆ จางหายไปจากสังคมฮ่องกงนั้น สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีพื้นฐานทางสังคมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์อย่าง “ทฤษฎีทางเลือกอย่างมีเหตุผล” (Rational Choice Theory) ที่เสนอว่า “มนุษย์ตัดสินใจบนพื้นฐานของการคำนวณผลประโยชน์–ต้นทุน เพื่อเลือกสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดต่อชีวิตตนเอง” ซึ่งการตัดสินใจต่าง ๆ อาจไม่ "ถูกต้องในเชิงศีลธรรม" หรือ "สอดคล้องกับอุดมการณ์" เสมอไป แต่บางครั้ง มนุษย์ก็เลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนเองในสถานการณ์และความเป็นจริง (pragmatic)

สำหรับกรณีของฮ่องกงนั้น ในอดีต คนรุ่นใหม่ในฮ่องกงอาจเลือก "ต่อต้านจีน" ด้วยความเชื่อในประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นการตัดสินใจทางอุดมคติ  (ideological decision) แต่ภายหลังปี 2020 ที่การเมืองถูกปราบปราม การเคลื่อนไหวมีความเสี่ยงสูงมาก เช่น การถูกจับ ถูกแบนอาชีพ หรือถูกคุมขัง ประกอบกับความกดดันทางสังคมในฮ่องกง ทำให้คนฮ่องกงเริ่มมองหาโอกาสจากภายนอก ซึ่งจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีความใกล้ชิดทางดินแดน รากวัฒนธรรมและภาษา รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี ทำให้จีนตอบโจทย์ในการเป็นดินแดนแห่งโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ในฮ่องกง ส่งผลต่อการตัดสินใจของคนฮ่องกงในการ “ประเมินต้นทุน/ความเสี่ยง - ผลตอบแทน” ของการเคลื่อนไหวทางการเมือง

โจทย์ในการเลือกนั้นมีอยู่ 2 โจทย์หลัก ๆ คือ

การเลือกว่าจะ “แสดงออกทางการเมืองต่อต้านจีน” หรือ “ไม่แสดงออกทางการเมืองต่อต้านจีน”
ถ้าเลือกไม่แสดงออกทางการเมือง จะเลือก “อยู่กับจีน” หรือ “ไม่อยู่กับจีน”

ต้นทุนของการ “เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านจีน” คือเสี่ยงติดคุก เสี่ยงตกงาน เสี่ยงไม่มีอนาคต ชีวิตวุ่นวาย ในขณะที่ผลลัพธ์ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนได้จริงหรือไม่

ในขณะที่การ “ไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านจีน” อาจไม่มีต้นทุนอะไร ส่วนประโยชน์คือความสงบ การไม่เสี่ยงติดคุก และไม่ต้องเสียอนาคต

ส่วนการเลือกว่าจะ “อยู่กับจีน” นั้น อาจมีต้นทุนทางสังคมที่ต้องเสียบ้าง แต่ก็อาจได้ประโยชน์ทางอาชีพการงาน/การศึกษา และความมั่นคงของชีวิต

ดังนั้นทาง “เลือกที่ที่สมเหตุสมผลในเชิงปฏิบัติ” (pracmatic decision) หรือทางเลือกที่คุ้มที่สุดในเชิงมูลค่าที่จับต้องได้ของกรณีนี้นั้น คือการ “เลือกไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง และอยู่กับจีน” แม้อาจไม่สอดคล้องกับความดีงามทางอุดมการณ์

ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงส่วนใหญ่ ลึก ๆ แล้วยังมีความเชื่อทางการเมืองในใจ แต่เลือกเก็บไว้กับตัวเองเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าต้นทุนสูง และโอกาสสำเร็จต่ำ ทำให้เข้าสู่ “ภาวะความเหนื่อยล้าทางการเมือง” (Political Burnout) สิ้นหวัง หลบเลี่ยง ถอนตัว ยอมจำนนต่อความเป็นจริง และแสวงหาหนทางใหม่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

ในขณะเดียวกัน การที่คนรุ่นใหม่บางคนเลือก "อยู่กับจีน" ก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาสนับสนุนรัฐบาลจีนโดยอุดมการณ์ หากแต่เป็นเพราะพวกเขา แสวงหาทางอยู่ได้ความมั่นคงในชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้บริบทที่มีทางเลือกไม่มากนัก โดยเฉพาะในสังคมที่แข่งขันสูงและกดดันอย่างฮ่องกง ความต้องการความมั่นคงของชีวิตพุ่งสูงขึ้นกว่าที่เคย

ความเข้าใจแบบนี้ไม่เพียงช่วยอธิบายพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของเยาวชนในบริบทสังคมอื่น ๆ ที่เผชิญกับภาวะกดดันคล้ายคลึงกันทั่วโลกในยุคหลังวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ซึ่งเมื่อขยายมุมมองนี้ไปสู่ประเทศหรือเมืองอื่น ๆ เกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ก็น่าสนใจเช่นกัน ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก คลื่นฝ่ายขวารุ่นใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกสามารถอธิบายด้วยตรรกะเดียวกันนี้ได้หรือไม่ คงต้องศึกษากันต่อไป

สองคำถามสำคัญที่น่านำมาคุยกันต่อจากนี้

ข้อแรก การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนรุ่นใหม่ในฮ่องกงจะส่งผลอย่างไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ? และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นจากความตั้งใจในการใช้กลยุทธ์ Soft Power ของฝั่งจีนหรือไม่ ?

ในประเด็นนี้ ข้อสังเกตสำคัญที่น่าจับตาคือบทบาทของ GBA ที่เข้ามาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการดูดคนรุ่นใหม่ฮ่องกงเข้ามาในจีน และเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมต่อระหว่าง “ต้นทางที่สิ้นหวัง” กับ “ปลายทางที่สดใส” และ “ความเหนื่อยล้าทางการเมือง” กับ “ความมั่นคงและโอกาส” สิ่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ ?

ข้อสอง ในบริบทของไทย ปรากฏการณ์ทำนองนี้ จะเกิดขึ้นหรือไม่ ? หรือเกิดขึ้นแล้ว ? หรือจะไม่มีวันเกิดขึ้น ?

ส่วนตัวผมเห็นคนไทยจำนวนมากมีอาการ Political Burnout ก็จริง แต่ยังไม่เห็นภาพของโอกาสใหม่ ๆ ให้เลือก แบบที่เพื่อนฮ่องกง 3 คนของผมเลือกไป “อยู่กับจีน”

‘อังกฤษ’ หั่นสัมพันธ์การค้า ตอบโต้ปฏิบัติการกาซา คว่ำบาตรผู้นำนิคมเวสต์แบงก์–เรียกทูตอิสราเอลพบด่วน

(21 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี โพสต์ข้อความว่า…อังกฤษฟาดแรง! ระงับเจรจาการค้าอิสราเอล-คว่ำบาตรผู้นำตั้งถิ่นฐาน ตอบโต้ความโหดร้ายในกาซา

รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับอิสราเอล พร้อมเรียกเอกอัครราชทูตอิสราเอลเข้าพบ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงในฉนวนกาซา และการปิดกั้นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ยืดเยื้อกว่า 11 สัปดาห์

นายเดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักร กล่าวในรัฐสภาว่า การกระทำของรัฐบาลอิสราเอลในกาซาและเวสต์แบงก์นั้น 'ไม่สามารถยอมรับได้' และ 'ขัดต่อค่านิยมของประชาชนชาวอังกฤษ'

พร้อมกันนี้ สหราชอาณาจักรได้ประกาศคว่ำบาตรบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลในเวสต์แบงก์ รวมถึงอดีตนายกเทศมนตรีของนิคม Kedumim และองค์กรที่สนับสนุนการตั้งถิ่นฐานใหม่ในพื้นที่พิพาท

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวเสริมว่า "ระดับความทุกข์ทรมานของเด็กๆ ในกาซานั้นไม่สามารถยอมรับได้" และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันที รวมถึงการเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่พื้นที่

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลตอบโต้โดยระบุว่า "แรงกดดันจากภายนอกจะไม่ทำให้อิสราเอลเปลี่ยนเส้นทางในการต่อสู้เพื่อดำรงอยู่และความมั่นคงของตนจากศัตรูที่พยายามทำลายล้าง"

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและอิสราเอล ท่ามกลางวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงในฉนวนกาซา

‘วลาดิมีร์ เมดินสกี’ หนึ่งในขุนพลข้างกาย ‘ปูติน’ นักประวัติศาสตร์ผู้กำหนดอัตลักษณ์แห่งรัสเซีย

เมื่อกล่าวถึงการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนึ่งในชื่อที่ปรากฏอย่างเด่นชัดบนโต๊ะเจรจาคือ วลาดิมีร์ เมดินสกี นักการเมือง นักประวัติศาสตร์และที่ปรึกษาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายรัสเซียในหลายเวทีสำคัญ รวมถึงการเจรจา ณ กรุงอิสตันบูล

วลาดิมีร์ โรสตีสลาวิช เมดินสกี (Владимир Ростиславович Мединский) เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1970 ที่เมืองสเมล่า (Smela) ในเขตสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน (ปัจจุบันอยู่ในยูเครนกลาง) ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ในกรุงมอสโกตั้งแต่ยังเด็ก โดยมีพื้นฐานชีวิตในกลุ่มชนชั้นกลางสายเทคนิค (technical intelligentsia) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างยิ่งในยุคโซเวียต เส้นทางวิชาการของเมดินสกีเริ่มต้นอย่างจริงจังที่ Moscow State Institute of International Relations (MGIMO) สถาบันซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “โรงเรียนเตรียมผู้นำของรัสเซีย” หรือ “Harvard แห่งมอสโก” ที่ผลิตบุคลากรสำหรับการทูตและนโยบายระหว่างประเทศของสหภาพโซเวียตและต่อมาในยุครัสเซียหลังโซเวียต เมดินสกีศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 

แต่ในช่วงเวลานั้นเองเขาเริ่มให้ความสนใจพิเศษกับมิติของ “อัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์” และบทบาทของการรับรู้ทางจิตวิทยาในระดับมหภาค (mass psychology) หลังจบการศึกษาในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ในช่วงรัสเซียเผชิญภาวะสลายตัวทางอุดมการณ์หลังการล่มสลายของโซเวียต เมดินสกีกลับมาใช้เวลาในโลกวิชาการโดยเขียนวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตในหัวข้อที่สะท้อนตัวตนทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน ในหัวข้อ “คุณลักษณะของภาพลักษณ์ของรัสเซียในต่างประเทศ: กลยุทธ์ของรัฐในการจัดการการรับรู้ทางประวัติศาสตร์” งานวิทยานิพนธ์ของเขามุ่งไปที่การวิเคราะห์ภาพลักษณ์ของรัสเซียในตะวันตกและเสนอว่า รัสเซียจำเป็นต้องสร้างกลไกเชิงรัฐเพื่อ “ควบคุมการรับรู้” ทั้งในและนอกประเทศ 

นับจากนั้นเมดินสกีได้ผลิตงานเขียนทางประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์จำนวนมาก โดยมีเป้าหมายไม่ใช่แค่การศึกษาอดีตแต่คือการ “จัดระเบียบอดีตเพื่อควบคุมอนาคต” แนวทางที่สะท้อนโลกทัศน์แบบรัฐนิยมอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน ตัวอย่างผลงานของเขา เช่น “Война. Мифы СССР. 1939–1945” (สงคราม: ตำนานแห่งโซเวียต) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความพยายามลบล้างการตีความตะวันตกเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และ“О правде истории” (ว่าด้วยความจริงของประวัติศาสตร์) ที่เสนอว่าประวัติศาสตร์ไม่ควรถูกทิ้งให้เป็นพื้นที่เสรีทางปัญญาแต่ควรถูกควบคุมโดยรัฐเพื่อรักษาอำนาจและความสามัคคี เมดินสกีมีลักษณะเฉพาะที่หาได้ยากในหมู่นักวิชากา คือความสามารถในการแปลงทฤษฎีเชิงวิเคราะห์ให้กลายเป็นนโยบายสาธารณะที่จับต้องได้ เขาไม่ได้เขียนงานเพื่อโต้วาทีกับนักวิชาการตะวันตกเพียงอย่างเดียวแต่เพื่อ “แปลงอดีตให้กลายเป็นเครื่องมือของรัฐ” ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งใน “นักประวัติศาสตร์เชิงรัฐ” (state-aligned historian) ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของรัสเซียร่วมสมัย

วลาดิมีร์ เมดินสกี เป็นนักคิดที่ให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ชาติอย่างลึกซึ้งโดยมีความเชื่อชัดเจนว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ข้อเท็จจริงนิ่งเฉยแต่สามารถถูกเล่าใหม่เพื่อประโยชน์ของรัฐ” ความเชื่อนี้นำไปสู่การสร้างงานเขียนเชิง “ประวัติศาสตร์ปกป้องตนเอง” (Defensive History) ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความชอบธรรมและปกป้องภาพลักษณ์ของรัสเซียบนเวทีระหว่างประเทศ เมดินสกีไม่ปฏิเสธว่าประวัติศาสตร์ควรเป็นเครื่องมือของรัฐในการรักษาอำนาจและความมั่นคง เขายืนยันว่าวิธีเล่าอดีตของชาติต้องสนับสนุนเป้าหมายในปัจจุบันไม่ใช่บ่อนทำลายศรัทธาหรือเปิดทางให้แนวคิดเสรีนิยมแบบตะวันตกเข้ามาแทรกแซง 

จากฐานคิดเชิงอุดมการณ์นี้เมดินสกีเดินหน้าสู่วงการเมืองอย่างมั่นคงด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งรัสเซีย (2012–2020) ซึ่งแม้จะดูเหมือนตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ไม่สูงมาก แต่สำหรับเขานี่คือสนามรบอันแท้จริงของสงครามอัตลักษณ์ชาติ เมดินสกีเปลี่ยนกระทรวงวัฒนธรรมให้กลายเป็นแนวหน้าในการต่อสู้เชิงวาทกรรมและอุดมการณ์ ตลอดช่วงดำรงตำแหน่งเขาใช้กระทรวงเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันแนวคิด Russian cultural exceptionalism หรือความเชื่อว่ารัสเซียมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สูงส่งกว่าตะวันตก จึงต้องได้รับการปกป้อง ฟื้นฟูและเผยแพร่อย่างเข้มข้น วาทกรรมนี้ไม่เพียงสะท้อนผ่านวรรณกรรมและภาพยนตร์เท่านั้น แต่แทรกซึมเข้าไปในระบบการศึกษา พิพิธภัณฑ์ กิจกรรมรัฐพิธีและกองทุนสนับสนุนงานศิลปะ โดยมีเงื่อนไขว่าเนื้อหาต้อง “ไม่บ่อนทำลายศีลธรรมชาติหรือเกียรติภูมิของรัสเซีย” ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่เมดินสกีเรียกว่า “วัฒนธรรมคือสมรภูมิ” เขาส่งเสริมภาพยนตร์รักชาติ เช่น 28 Panfilov Guardsmen และสารคดีเชิงโฆษณาชวนเชื่อที่พยายามสร้างภาพของรัสเซียในอดีตที่กล้าหาญและศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการรื้อฟื้น “วันแห่งความทรงจำประจำชาติ” เพื่อเน้นย้ำบทบาทอันศักดิ์สิทธิ์ของรัสเซียในชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางความชอบธรรมเชิงประวัติศาสตร์ในยุคปูติน

ภายใต้การนำของเมดินสกีรัฐบาลรัสเซียเดินหน้าโครงการสร้าง “ความทรงจำของชาติ” (national memory construction) ในทุกมิติของสังคมเพื่อปลูกฝังแนวคิดชาตินิยมแบบอนุรักษ์นิยมอย่างเข้มแข็ง หลังพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี เขาไม่ได้ลดบทบาทลงกลับกลายเป็นที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้านนโยบายประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ของรัฐซึ่งเปรียบเสมือน “เสนาบดีเงา” ของวลาดิมีร์ ปูติน ในการกำหนดกรอบวาทกรรมรัฐ เมดินสกีเป็นหนึ่งในแกนนำทีมใกล้ชิดเครมลินที่วางกรอบวาทกรรมความสัมพันธ์รัสเซีย–ยูเครน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังบทความสำคัญของปูติน ปี ค.ศ. 2021 เรื่อง On the Historical Unity of Russians and Ukrainians ที่ยืนยันว่ายูเครนไม่มีตัวตนทางประวัติศาสตร์เป็นรัฐแยกต่างหาก กรอบคิดนี้กลายเป็นพื้นฐานอุดมการณ์รองรับการรุกรานทางทหาร

บทบาทของเมดินสกียิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะเจรจารัสเซีย ในการประชุมอิสตันบูลปี ค.ศ. 2022 แม้ไม่ใช่ทหารหรือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองแต่การส่งนักประวัติศาสตร์ในฐานะตัวแทนเจรจาส่งสัญญาณชัดเจนว่าสงครามครั้งนี้ไม่ใช่แค่สนามรบทางกายภาพหากแต่ยังเป็นสงครามแห่งความหมายและความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ เมดินสกีทำหน้าที่เสมือน “นักบวชแห่งชาติ” ที่ประกาศว่ารัสเซียมีสิทธิเหนือยูเครน ไม่ใช่ด้วยพละกำลังแต่ด้วยประวัติศาสตร์ที่ถูกเล่าใหม่ บทบาทนี้สะท้อนชัดว่าเมดินสกีไม่ใช่แค่นักวิชาการอีกต่อไป แต่คือนักอุดมการณ์ของรัฐที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างโลกปัญญาชนและอำนาจรัฐ เขาไม่ได้เพียงวิเคราะห์รัฐหากแต่กำหนดบทบาทและทิศทางของรัฐผ่านการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ที่หล่อหลอมโลกทัศน์ทางการเมืองยุครัสเซียปูตินให้มีรากฐานบนประวัติศาสตร์ร่วม อัตลักษณ์รัสเซียแท้และความชอบธรรมแบบจักรวรรดิอย่างแนบแน่น

ในยุคที่โลกาภิวัตน์และกระแสเสรีนิยมแบบตะวันตกทะลักเข้ามาทั่วทุกมุมโลก รัสเซียภายใต้การนำของเมดินสกีตระหนักดีว่าการต่อสู้เพื่อ “อธิปไตยทางวัฒนธรรม” คือสนามรบที่สำคัญไม่แพ้การเผชิญหน้าทางทหารและการเมือง อธิปไตยทางวัฒนธรรมในความหมายของเมดินสกีไม่ได้หมายถึงเพียงการอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้นแต่หมายถึงการควบคุมและกำหนดขอบเขตของ “ความจริง” และ “ความหมาย” ที่ประชาชนรัสเซียจะรับรู้และเชื่อถือ เมดินสกีและทีมงานรัฐบาลมองว่ากระแสวัฒนธรรมเสรีนิยมตะวันตก — ทั้งในรูปแบบแนวคิดประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพของสื่อ และค่านิยมเรื่องเพศ สิทธิชนกลุ่มน้อย — เป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อความมั่นคงของรัฐและเอกลักษณ์ของชาติ รัฐบาลรัสเซียจึงประกาศ “สงครามทางวัฒนธรรม” อย่างเปิดเผย เพื่อปกป้อง “จิตวิญญาณรัสเซีย” จากการถูกกลืนกลายและล้มละลายโดยวัฒนธรรมโลกาภิวัตน์และลัทธิเสรีนิยมตะวันตก ยุทธศาสตร์ของเมดินสกีจึงมุ่งเน้นการผลักดันวาทกรรมที่ว่ารัสเซียเป็น “อารยธรรมที่แตกต่าง” และ “สูงส่งกว่าตะวันตก” โดยย้ำว่ารัสเซียต้องเป็นผู้กำหนดนิยามของตนเอง ไม่ใช่ยอมเป็น “ลูกไล่” หรือ “ผู้รับวัฒนธรรม” จากโลกตะวันตก 

กระบวนการนี้ไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมงานศิลปะหรือวรรณกรรมรักชาติเท่านั้นแต่คือการสร้าง “เกราะทางความคิด” ให้กับสังคมรัสเซีย ผ่านการควบคุมสื่อ การตั้งกฎเกณฑ์เข้มงวดต่อสื่อสังคมออนไลน์และการรณรงค์ส่งเสริมค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยมอย่างเข้มข้น การต่อต้านค่านิยมตะวันตกในแง่นี้ยังสะท้อนในนโยบายทางการศึกษาที่บังคับให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องปลูกฝังหลักสูตรที่สนับสนุนอุดมการณ์รัฐโดยเฉพาะการเน้นย้ำบทบาทของประวัติศาสตร์รัสเซียในฐานะ “ผู้พิทักษ์ศีลธรรมโลก” และการแสดงออกถึงความเป็น “อารยธรรมออร์โธดอกซ์” ที่แตกต่างจากโลกเสรีนิยมตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางวัฒนธรรม” นี้มีความหมายในเชิงลึกเพราะมันกำหนดความชอบธรรมของอำนาจรัฐในยุคปูตินและวางรากฐานให้เกิดความเป็นเอกภาพทางสังคมที่มีอุดมการณ์เป็นศูนย์กลาง 

ความพยายามของเมดินสกีในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมให้เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ทำให้รัสเซียสามารถใช้ “วัฒนธรรม” เป็นดาบสองคมทั้งปกป้องความมั่นคงภายในและขยายอิทธิพลเชิงนิ่มนวล (soft power) ไปยังโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ “อธิปไตยทางวัฒนธรรม” จึงไม่ใช่เพียงแค่นโยบายทางวัฒนธรรมธรรมดาแต่คือหัวใจของสงครามความหมายและการประกาศอิสรภาพทางอุดมการณ์ของรัสเซียในโลกที่สื่อสารข้ามพรมแดนอย่างเสรี การควบคุมวัฒนธรรมจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดของรัฐในการต้านทานกระแสโลกาภิวัตน์และรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติเอาไว้ได้อย่างยั่งยืน

ในยุทธศาสตร์วาทกรรมของรัสเซียยุคปูติน เมดินสกีคือผู้วางกรอบและขับเคลื่อนแนวคิด “รัสเซียผู้ยิ่งใหญ่” (Great Russia) ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองและอุดมการณ์สำคัญที่หล่อหลอมความชอบธรรมของรัฐในการดำเนินนโยบายทั้งในและนอกประเทศโดยเฉพาะในบริบทของสงครามกับยูเครน “รัสเซียผู้ยิ่งใหญ่” ไม่ใช่แค่คำขวัญหรือความภาคภูมิใจทางชาติพันธุ์หากแต่เป็นวาทกรรมที่ยืนยันสถานะ “จักรวรรดิที่กลับมาผงาด” (resurgent empire) ที่มีภารกิจและชะตากรรมพิเศษในการรวมดินแดนและผู้คนที่มีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์เดียวกันกลับคืนสู่ร่มเงาอำนาจมอสโก วาทกรรมนี้ทำหน้าที่สร้างภาพของรัสเซียในฐานะมหาอำนาจที่ “มีสิทธิและหน้าที่” ในการปกป้องและเรียกคืนดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในยูเครน เบลารุส หรือประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ เมดินสกีและกลุ่มอุดมการณ์ของเครมลินได้ยกย่องบทบาทประวัติศาสตร์ของรัสเซียในฐานะ “ผู้พิทักษ์ความสงบเรียบร้อยและอารยธรรม” 

ซึ่งถูกคุกคามโดย “ลัทธิชาตินิยมยูเครน” และ “อิทธิพลลัทธิเสรีนิยมตะวันตก” ที่พยายามทำลายเอกลักษณ์และความมั่นคงของชาติรัสเซีย วาทกรรมนี้สร้างความชอบธรรมเชิงประวัติศาสตร์และจริยธรรมให้กับการ “แทรกแซง” และ “ปกป้อง” ประชากรรัสเซียในดินแดนยูเครนผ่าน “ภารกิจศักดิ์สิทธิ์” ที่เกินกว่าการรุกรานทางทหารธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทความ “On the Historical Unity of Russians and Ukrainians” ที่เขียนโดยประธานาธิบดีปูตินในปี ค.ศ. 2021 เมดินสกีมีบทบาทสำคัญในการวางกรอบวาทกรรมที่ปฏิเสธความเป็นตัวตนของรัฐยูเครนอย่างแท้จริงและนิยามว่า “ยูเครนและรัสเซียเป็นส่วนหนึ่งของชาติพันธุ์เดียวกัน” ซึ่งเป็นพื้นฐานความคิดที่เครมลินใช้สนับสนุนความชอบธรรมในการผนวกและควบคุมยูเครน การใช้วาทกรรม “รัสเซียผู้ยิ่งใหญ่” ในการรุกรานยูเครนจึงเป็นการเล่นเกมทางการเมืองที่ใช้

ประวัติศาสตร์เป็นอาวุธ เมดินสกีและฝ่ายอุดมการณ์พยายามสร้างภาพว่า รัสเซียไม่ใช่ผู้รุกรานแต่เป็นผู้คืนความยิ่งใหญ่และปกป้องชาติพันธุ์ของตนเองจากการล่าอาณานิคมแบบใหม่ของโลกตะวันตก ซึ่งนำไปสู่การตีความสงครามเป็น “สงครามศักดิ์สิทธิ์” ที่มีเป้าหมายทางอุดมการณ์และประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่าความขัดแย้งทางดินแดนทั่วไป อย่างไรก็ตามวาทกรรมนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่การชี้แจงความชอบธรรมแต่ยังเป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนและกองกำลังทหารเพื่อกระตุ้นให้เห็นว่าการปกป้องและขยายอิทธิพลของรัสเซียในยูเครนคือภารกิจแห่งความรุ่งโรจน์และเกียรติภูมิของชาติ การทำสงครามจึงถูกนำเสนอในรูปแบบของ “หน้าที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่เหนือกว่าการเมืองหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแบบโลกีย์ ในที่สุดวาทกรรม “รัสเซียผู้ยิ่งใหญ่” ภายใต้การขับเคลื่อนของเมดินสกีได้กลายเป็นฟันเฟืองหลักในเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย เป็นทั้งโล่ป้องกันและดาบที่กรีดกรายเพื่อรักษาอำนาจของเครมลินและขยายอิทธิพลในเวทีโลก โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งกับโลกเสรีนิยมตะวันตกที่พยายามจำกัดบทบาทของรัสเซียในภูมิภาคยุโรป-ยูเรเชีย

ดังนั้นการที่วลาดิมีร์ เมดินสกีนักประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นนักอุดมการณ์รัฐและนักเจรจาผู้ทรงอิทธิพลถูกส่งมายังเวทีอิสตันบูลในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาของรัสเซียในช่วงปี ค.ศ. 2025 เพื่อเป็นตัวแทนในการเจรจาสงครามยูเครนที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความตึงเครียด นี่ไม่ใช่แค่การเจรจาทางการเมืองธรรมดา แต่นี่คือสนามรบของ “สงครามความหมาย” ที่เมดินสกีใช้ประวัติศาสตร์และวาทกรรมเป็นอาวุธในการขับเคลื่อนผลประโยชน์รัฐ บทบาทของเมดินสกีในอิสตันบูลสะท้อนความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งของเครมลินว่า “สงครามไม่ได้จบลงที่สนามรบ” แต่เป็นการต่อสู้เพื่อชิงความชอบธรรมและอำนาจทางความคิด เมดินสกีไม่ได้ถูกส่งมาเป็นนักการทูตหรือทหาร แต่เป็น “นักบวชแห่งประวัติศาสตร์” ที่จะประกาศว่า รัสเซียมี “สิทธิ์เหนือยูเครน” ไม่ใช่เพียงด้วยกำลังอาวุธ 

แต่ด้วยความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ที่ขับเคลื่อนโดยวาทกรรมของเขาเอง ในเวทีอิสตันบูลเมดินสกีพยายามวางกรอบการเจรจาให้สอดคล้องกับแนวคิดของรัฐรัสเซียผ่านการย้ำเตือนเรื่อง “รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ร่วม” และ “ภัยคุกคามจากตะวันตก” ซึ่งใช้เป็นข้ออ้างสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของเครมลินและกดดันฝ่ายตรงข้ามให้ยอมรับเงื่อนไขที่รุนแรงและไม่เป็นธรรม เมดินสกียังใช้ประสบการณ์ด้านวาทกรรมเพื่อ “บรรจุหีบ” การเจรจาในรูปแบบที่ทำให้รัสเซียดูเหมือนเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล และพร้อมเปิดทางสู่สันติภาพแต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธข้อเรียกร้องหลักของยูเครนอย่างเด็ดขาด เป็นการเล่นเกมเจรจาที่เน้นการสร้าง “ข้อเท็จจริงเชิงวาทกรรม” ก่อนที่จะยอมความในบางจุดเพื่อรักษาภาพลักษณ์และอำนาจ นอกจากนี้ เมดินสกียังเป็นตัวแทนของรัฐที่ใช้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็น “อาวุธทางอุดมการณ์” ในการเจรจา เพื่อสกัดกั้นแรงกดดันจากชาติตะวันตกและป้องกันไม่ให้เงื่อนไขการเจรจานำไปสู่การลดทอนอำนาจหรือสถานะของรัสเซียในภูมิภาค ดังนั้นบทบาทของเมดินสกีในอิสตันบูลจึงเป็นการผสมผสานระหว่าง “นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่” กับ “นักการทูตสงครามความหมาย” ที่มีภารกิจสำคัญในการรักษา “ความชอบธรรม” ของรัสเซียบนเวทีโลกผ่านการเจรจาในสนามการทูต โดยไม่ลดละเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐปูติน

บทสรุป วลาดิมีร์ เมดินสกีคือภาพสะท้อนชัดเจนของการเปลี่ยนผ่านจากนักวิชาการที่ใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ชาติไปสู่ตัวแทนรัฐผู้ขับเคลื่อนวาทกรรมทางการเมืองและสงครามความหมายในระดับสูงสุดของเครมลิน เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บันทึกอดีตแต่กลายเป็นผู้แต่ง “บทประวัติศาสตร์” ให้กับรัฐรัสเซียยุคปูตินด้วยความเชื่อที่หนักแน่นว่าประวัติศาสตร์ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องและเสริมสร้างอำนาจรัฐไม่ใช่แค่สะท้อนความจริงที่เป็นกลาง ในฐานะรัฐมนตรีวัฒนธรรมเมดินสกีเปลี่ยนกระทรวงที่ดูเหมือนไม่สำคัญให้กลายเป็นแนวหน้าของสงครามอุดมการณ์และวัฒนธรรมที่ซึ่งเขาผลักดันแนวคิด “Russian cultural exceptionalism” เพื่อปิดกั้นและต่อต้านค่านิยมเสรีนิยมตะวันตก สร้างรากฐานทางวัฒนธรรมสำหรับนโยบายภูมิรัฐศาสตร์และความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ของรัสเซีย เมื่อเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาที่อิสตันบูล ในปีค.ศ. 2025 เมดินสกีไม่ได้มาเพียงเพื่อเจรจาสงครามเท่านั้นแต่เป็นตัวแทนของ “สงครามความหมาย” ที่รัสเซียใช้ประวัติศาสตร์และวาทกรรมปกป้องอธิปไตยและอำนาจในภูมิภาค ด้วยบทบาทนี้เขากลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกของปัญญาชนและอำนาจรัฐ ประสานความคิดและนโยบายให้ไปในทิศทางเดียวกันอย่างแนบเนียนและมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้วเมดินสกีไม่ใช่แค่รัฐมนตรีวัฒนธรรมหรือนักประวัติศาสตร์ทั่วไปแต่คือเครื่องจักรอุดมการณ์ของรัฐรัสเซียที่ผสมผสานความรู้เชิงวิชาการเข้ากับอำนาจทางการเมืองและการทูตเพื่อรักษาและขยายอิทธิพลของรัสเซียในศตวรรษที่ 21 ผ่านสงครามทั้งที่มองเห็นและที่อยู่ในเงามืดของวาทกรรม

รัสเซียเดือด! ตะเพิด ‘แอมเนสตี้’ พ้นแผ่นดิน ชี้เป็นหอกข้างแคร่ของรัฐและความมั่นคง

(21 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี รายงานว่า รัสเซียประกาศลั่นกลางแดนหมีขาว สั่งแบน 'แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล' ให้พ้นแผ่นดิน! ระบุชัดเป็น 'องค์กรไม่พึงปรารถนา' พร้อมห้ามตั้งสำนักงานหรือขยับเขยื้อนทำกิจกรรมใด ๆ ในประเทศโดยเด็ดขาด!

กระทรวงยุติธรรมรัสเซียเผยแบบไม่ไว้หน้า ว่าแอมเนสตี้ไม่ได้มาเพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว แต่แอบแฝงเจตนา 'ปั่นป่วน-ยั่วยุ' สนับสนุนยูเครนในสงคราม พร้อมกล่าวหาแรงถึงขั้นว่าเป็น 'เครื่องมือของฝ่ายนีโอนาซี' ที่ตั้งใจซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้าย

ไม่ใช่แค่ห้ามอยู่ห้ามทำงานเท่านั้น แต่คนรัสเซียคนไหนเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ก็เสี่ยงคุกสูงสุดถึง 5 ปี กลายเป็นการปิดฉากเสียงสะท้อนด้านสิทธิมนุษยชนแบบสิ้นเชิง!

แม้แอมเนสตี้จะเป็นองค์กรเก่าแก่ระดับโลก ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1961 และเคยรณรงค์เพื่อสิทธิของผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก แต่ในสายตารัสเซียวันนี้กลับถูกมองเป็น 'ภัยคุกคามความมั่นคง'

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัสเซียใช้ไม้แข็ง ก่อนหน้านี้ก็เคยซัด 'WWF' ให้เป็น 'ตัวแทนต่างชาติ' และถีบ 'Greenpeace' ออกจากประเทศไปแล้ว คราวนี้ถึงคิวแอมเนสตี้ที่โดนเล่นแรงกว่าทุกองค์กร!

โลกกำลังจับตามองว่า มาตรการเด็ดขาดนี้จะพารัสเซียห่างไกลจากความเข้าใจของประชาคมโลกไปอีกไกลแค่ไหน หรืออาจเป็นเพียงบทเริ่มต้นของการปิดปากสังคมให้เงียบกริบอย่างถาวร

‘ปราชญ์ สามสี’ ผู้เขียนบท ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิบัติ’ ย้ำชัด ขอยืนหยัดตีแผ่ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ด้วยข้อเท็จจริง หวังคนรุ่นหลังได้ตื่นรู้

(20 พ.ค. 68) ณ วันที่ ข้าพเจ้านั่งลงเขียนเกี่ยวกับหนังสือและภาพยนตร์ '2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ' สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ใช่แค่การเขียนคำนำธรรมดา ๆ หากแต่เป็นการถ่ายทอดข้อเท็จจริงที่ต้องการฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ผู้ที่เฝ้ามองและตั้งคำถามกับอดีตและอนาคตของสังคม

ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาและลงมือเขียนบท ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้เราได้หยิบขึ้นมาเรียนรู้และทบทวนในทุกยุคสมัย สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงเพราะ ความจริงมันปรากฎอยู่บนหนังสือมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่อยู่ที่การยอมรับและการไม่ปล่อยให้อคติและโทสะบดบังสายตาแห่งความจริง

การเขียนหนังสือเล่มนี้ เหมือนกับการยืนหยัดในท่ามกลางพายุแห่งการบิดเบือนและการตั้งคำถาม ซึ่ง ข้าพเจ้าได้รับทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ การกดดัน และคำท้าทายจากผู้ที่ไม่ต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผย แต่ข้าพเจ้ากลับเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือแรงผลักดันที่ทำให้เรายืนหยัดมั่นคงยิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเขียนครั้งนี้คือการประกาศถึงสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์ว่า 'ความจริง แม้จะขมขื่น แต่มันก็ยังคงเป็นความจริง' ดังที่ เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ 'ไม่มีใครถูกเกลียดมากไปกว่าผู้ที่พูดความจริง' และในวันนี้ ข้าพเจ้ายังคงยืนหยัดในคำพูดนั้นเช่นเดิม

ท้ายนี้ ข้าพเจ้าอยากฝากถึงผู้อ่านทุกคนว่า จงอย่าเพียงแค่จ้องมองอดีตผ่านกระจกขุ่นมัว แต่จงหยิบยกบทเรียนจากประวัติศาสตร์มาเป็นคบไฟส่องทางในปัจจุบันและอนาคต หากท่านสนใจและต้องการสนับสนุน สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ 2475 Animation หรือหาซื้อหนังสือและสื่ออื่น ๆ ได้ที่ Shopee โดยจะมีลิงก์ให้นะครับ
https://www.facebook.com/share/1AKLpE3mrB/
https://th.shp.ee/nyAER28

อย่าให้แผ่นดินนี้กลายเป็นยูเครนหรือไต้หวัน บทเรียนจากสงครามและการต่อรองที่ต้องจดจำ

(19 พ.ค. 68) ช่วงนี้โลกเรามันก็วุ่นวายเหลือเกินนะ แค่เปิดทีวีหรือเข้าโซเชียลก็เจอแต่ข่าวสงคราม ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ดูอย่างยูเครนสิ เมื่อก่อนก็เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตผู้คนถูกทำลาย ทรัพย์สินโดนยึดไปอย่างน่าสลดใจ

เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สหรัฐฯ และยุโรปเก็บเกี่ยวยูเครนมาเป็นเวลาสามปี เหมือนกับต้นหอม” คำพูดนี้มันสะท้อนถึงความจริงที่โหดร้ายสุด ๆ ที่ยูเครนต้องเผชิญ ถูกใช้เหมือนเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็ถูกทิ้งแบบไม่ใยดี

ตอนนี้คนยูเครนต้องเดินเท้า 5 กิโลเมตรเพื่อหาน้ำดื่ม ในเมืองคาร์คิฟ โรงไฟฟ้าถูกทำลายไป 65% เหลือแต่ซาก กองทัพก็กลายเป็นทาสหนี้ให้กับพ่อค้าอาวุธจากสหรัฐฯ คนละ 150,000 ดอลลาร์ นี่มันราคาของ ‘พันธมิตร’ หรือ ‘ทาสยุคใหม่’ กันแน่?

ที่เจ็บแสบที่สุดคือ ข้อตกลงแร่ธาตุที่สหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนเปิดพื้นที่เหมืองแร่หายาก 18 แห่ง เพื่อแลกกับการล้างหนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่คิดช่วยเหลือทางทหารสักเหรียญเดียว! คือแบบนี้มันแฟร์เหรอ? เหมือนมัดมือชกกันชัด ๆ

ที่สหภาพยุโรปก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาจัดให้ “ปัญหาความมั่นคงของยูเครน” อยู่อันดับที่ 27 ในการประชุมที่บรัสเซลส์ รองจากการปรับปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน! ชีวิตคนทั้งชาติ โดนจัดให้อยู่ท้ายแถวในวาระการประชุม แบบนี้มันไม่ใช่แค่โดนทิ้งนะ แต่มันคือการโดนหักหลัง!

คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” คำพูดนี้มันเหมือนพยากรณ์ถึงชะตากรรมของไต้หวันเลยนะ

ไต้หวันเองก็เหมือนกับยูเครนในหลายแง่มุม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันกลายเป็นสนามประลองของอำนาจมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ในขณะที่ไต้หวันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ กลับไม่มีสิ่งใดกลับมานอกจากหนี้สินและคำสัญญาที่ว่างเปล่า

ก่อนที่สงครามในช่องแคบไต้หวันจะปะทุขึ้น สหรัฐฯ ได้ยึดเอา TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันไปใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับแหล่งแร่ธาตุของยูเครน และตอนนี้ไต้หวันก็ต้องแบกรับหนี้สินจากการซื้ออาวุธในระดับที่หนักหน่วง โดยที่นักการเมืองในไต้หวันก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับสภาพ

แย่กว่านั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันยังต้องเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบและขอการยอมรับ ไม่ต่างจากการ ‘แสวงบุญ’ ที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และการพิจารณาจากผู้นำต่างชาติอย่างน่าหดหู่ เหมือนกับว่าอนาคตของประเทศไม่ได้อยู่ในมือประชาชนตัวเอง แต่อยู่ในมือของมหาอำนาจที่อยู่อีกซีกโลก

คนไทยเราเห็นแล้วก็ต้องคิดบ้าง อย่าให้ใครมายุยงปลุกปั่นให้เราแตกแยก อย่าให้ใครเอาผลประโยชน์หรืออำนาจมาล่อลวง เราต้องรักและหวงแหนแผ่นดินของเราเอง อย่าให้แผ่นดินนี้ต้องกลายเป็น ‘ยูเครนเวอร์ชั่น 2’ หรือ ‘ไต้หวันเวอร์ชั่น 2’ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จ่ายราคาแพงที่สุด ก็คือพวกเราคนไทยเอง

ประเทศไทย... พึงตระหนัก!

KazanForum เมื่อรัสเซียหันหน้าเข้าสู่ ‘โลกมุสลิม’ เพื่อปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ ในโลกยุคหลายขั้ว

(18 พ.ค. 68) ในขณะที่โลกยังคงหมุนวนท่ามกลางความปั่นป่วนของอำนาจและการแย่งชิงผลประโยชน์ รัสเซียเดินหน้าด้วยความเด็ดขาดและไม่ลังเลที่จะ “หันหน้า” เข้าหาโลกมุสลิม — กลุ่มประเทศที่มีพลานุภาพมหาศาลทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมและอุดมการณ์ KazanForum จึงไม่ใช่แค่เวทีเจรจาธรรมดาแต่มันคือการประกาศศักดาอันดุเดือดของรัสเซียในการปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของโลกยุคหลายขั้ว นี่คือการท้าทายอำนาจเก่าที่มองข้ามหรือพยายามกดขี่โลกมุสลิมมาเนิ่นนาน รัสเซียไม่ใช่แค่ผู้เล่นรายหนึ่งในเวทีการเมืองระหว่างประเทศแต่คือ “เสาหลัก” ที่โลกมุสลิมจะจับมือเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และอุดมการณ์ใหม่ที่ไม่ยอมจำนนต่อระบบโลกเดิม ดังนั้น KazanForum คือสนามรบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยพลังความมั่นคงและพันธมิตรที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อโลกถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างอำนาจที่สั่นคลอนและอนาคตที่ไม่แน่นอน KazanForum คือคำตอบของพันธมิตรใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ที่จะปั้นโลกให้เป็นเวทีของความหลากหลาย ศรัทธาและอิทธิพลที่รัสเซียและโลกมุสลิมพร้อมยืนหยัดเคียงข้างกันอย่างไม่หวั่นไหว

จากดอนบาสถึงคาซาน

เมื่อรัสเซียเผชิญแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรระลอกแล้วระลอกเล่า การประชุมทางเลือกนอกโลกตะวันตกจึงกลายเป็นเวทีสำคัญในยุทธศาสตร์ต่างประเทศของเครมลินและหนึ่งในนั้นคือ Russia–Islamic World: KazanForum ซึ่งจัดขึ้นที่สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ดินแดนที่มีทั้งอัตลักษณ์มุสลิมและเชื้อชาติเตอร์กผสมผสานอยู่ในโครงสร้างของรัฐรัสเซียอย่างแนบแน่น KazanForum ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2025 ดึงดูดผู้แทนจากกว่า 80 ประเทศมุสลิมโดยเฉพาะกลุ่ม OIC ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การรวมตัวกันในระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กในโลกที่แตกขั้วอย่างเข้มข้นขึ้นทุกวัน โดย KazanForum มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2025  ณ เมืองคาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย มีตัวแทนจากกว่า 87 ประเทศ รวมถึงประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และ 87 ภูมิภาคของรัสเซียเข้าร่วมงาน หัวข้อและกิจกรรมเด่นประกอบไปด้วย 
1) การประชุมเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจ มีการจัดการประชุมกว่า 150 เซสชัน ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเงินอิสลาม การลงทุน เทคโนโลยี การศึกษาและการท่องเที่ยว รวมถึงมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกว่า 120 ฉบับระหว่างภาครัฐและเอกชน 2) การประชุมกลุ่มวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ "รัสเซีย–โลกอิสลาม" เป็นเวทีสำคัญที่มีผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่าง ๆ เช่น เติร์กเมนิสถาน แอลจีเรีย บังกลาเทศ โมร็อกโกและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วม 3) การประชุมด้านการเงินอิสลาม (AAOIFI Conference) จัดขึ้นครั้งแรกในรัสเซีย โดยเน้นการปรับใช้การเงินอิสลามภายใต้กฎหมายรัสเซีย 4) นิทรรศการ Halal Expo แสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาล
หลากหลายประเภท เช่น อาหาร เครื่องแต่งกาย การเงินและการท่องเที่ยว halaltimes.com 5) การประชุมระดับรัฐมนตรีรวมถึงการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก OIC และการประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมระดับสูงหลายท่าน เช่น นายกุร์บันกูลี เบอร์ดีมูฮาเมโดว์อดีตประธานาธิบดีเติร์กเมนิสถาน นายอันวาร์ อิบราฮิมนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ฯพณฯ อาลี อับดุลลาห์ ธานี จัสซิม อัล ธานี มาชิกราชวงศ์กาตาร์ รวมถึงรัฐมนตรีจากปากีสถาน ลิเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แม้ภาพลักษณ์ของ KazanForum จะถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรมเศรษฐกิจ การลงทุนและความร่วมมือวัฒนธรรมแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือบทสนทนาเรื่อง "ความมั่นคงทางเลือก" ที่ไร้เงาของ NATO หรือ EU หลายประเทศมุสลิมมองรัสเซียในฐานะ “รัฐที่เข้มแข็ง” ที่กล้าท้าทายอำนาจอเมริกาและพร้อมจะจัดระเบียบความมั่นคงร่วมในรูปแบบใหม่ที่ไม่พึ่งพาโลกตะวันตก เช่น การร่วมมือด้านข่าวกรอง การพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศหรือแม้แต่การสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่เปราะบางอย่างซาเฮลหรือคอเคซัส  สิ่งนี้สะท้อนว่า KazanForum ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สร้างเครือข่ายเศรษฐกิจแต่มันเริ่มกลายเป็น “แหล่งรวมแนวร่วมของความมั่นคงเชิงภูมิวัฒนธรรม” ที่ตั้งอยู่บนฐานของอัตลักษณ์อิสลามและการต่อต้านภาวะอาณานิคมใหม่ 

หากมอสโกคือจุดศูนย์กลางของอำนาจรัฐ คาซานก็คือ “เวทีทดลอง” สำหรับยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่รัสเซียต้องการเสนอออกสู่โลกการเลือกจัด KazanForum ในตาตาร์สถานไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะดินแดนนี้เปรียบได้กับ "สะพาน" ระหว่างจักรวรรดิรัสเซียดั้งเดิมกับโลกมุสลิมที่แผ่ขยายจากเอเชียกลางสู่ตะวันออกกลาง การใช้ความเป็นมุสลิมของชาวตาตาร์ในการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ทำให้รัสเซียสามารถ "แสดงบทบาท" ของรัฐพหุวัฒนธรรมได้อย่างแนบเนียน ภูมิรัฐศาสตร์แบบใหม่ของรัสเซียจึงไม่ได้พึ่งแต่กองทัพหรือพลังงานอีกต่อไปแต่ยังพยายามสร้าง "Soft Eurasianism" ผ่านความเชื่อมโยงทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และการต่อต้านอำนาจเดิมของโลกตะวันตก

นอกจากวาทกรรมทางความมั่นคงและอัตลักษณ์ KazanForum ยังเป็นเวทีที่รัสเซียพยายามเสนอภาพตนเองในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศมุสลิมที่ต้องการความหลากหลายในการค้าระหว่างประเทศจากระบบการเงินอิสลาม (Islamic Finance) ไปจนถึงเครือข่ายการค้าฮาลาล รัสเซียเร่งเจาะตลาดใหม่เพื่อชดเชยการสูญเสียการค้ากับยุโรป ในฟอรั่มปีนี้มีการลงนาม MOU หลายฉบับทั้งการส่งออกอาหารฮาลาล การร่วมทุนโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงท่าเรือทะเลสาบแคสเปียนเข้าสู่เส้นทางซัพพลายเชนใหม่ กล่าวได้ว่า KazanForum กำลังทำหน้าที่คล้ายกับ Belt and Road Forum ของจีนในเวอร์ชันมุสลิม—ต่างกันแค่แทนที่จะมี “มังกร” เป็นผู้ชี้ทางที่นี่มี “หมีขาว” สวมชุดมุสลิมเป็นผู้เปิดเกม 

โลกมุสลิมตอบรับ KazanForum ในแง่บวกอย่างชัดเจนโดยมองว่าเวทีนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างพันธมิตรกับรัสเซียในหลากหลายมิติโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากการพึ่งพาตะวันตก เช่น การร่วมมือในด้านการเงินอิสลาม ฮาลาล เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานหลายประเทศมุสลิมมองว่ารัสเซียเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในเวทีโลกหลายขั้ว ที่สามารถเป็นทางเลือกแทนตะวันตกที่มักมีความขัดแย้งกับโลกมุสลิม นอกจากนี้ KazanForum ยังถูกมองว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ประเทศมุสลิมนำเสนอวัฒนธรรมและศักยภาพของตนเองในระดับสากลภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน

เยกอร์ อาเลเยฟ (Yegor Aleyev) นักวิเคราะห์ชื่อดังของสำนักข่าว TASS ของรัสเซียชี้ชัดว่า KazanForum เป็นการแสดงพลังของรัสเซียในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับโลกมุสลิมซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมถึงความมั่นคงและการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก อาเลเยฟเน้นว่า "รัสเซียกำลังสร้าง ‘เวทีใหม่’ ที่โลกมุสลิมสามารถแสดงบทบาทและศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ภายใต้การสนับสนุนและความร่วมมือที่เท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งแตกต่างจากความสัมพันธ์แบบเก่าที่มีเงื่อนไขหรือการครอบงำจากมหาอำนาจตะวันตก" อาเลเยฟมองว่าเวทีนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัสเซียและโลกมุสลิมสามารถรับมือกับความท้าทายร่วมกัน เช่น การกดดันทางการเมืองจากโลกตะวันตก การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์และการก่อการร้าย เขายังชี้ว่าความสัมพันธ์นี้จะไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่พันธมิตรยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนและทรงพลังที่สุดในศตวรรษนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของโลกที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุค “โลกหลายขั้ว” ที่มีอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์กระจายตัวมากขึ้น 

ในขณะที่อเล็กเซย์ วาซิลิเยฟ (Alexei Vasiliev) นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของรัสเซียเน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสร้างความร่วมมือกับโลกอิสลามโดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก เขาเห็นว่า Kazan Forum เป็นเวทีสำคัญที่รัสเซียใช้ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การสร้างโลกหลายขั้วที่รัสเซียผลักดัน

อันเดรย์ โคโรตาเยฟ (Andrey Korotayev) นักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาชาวรัสเซียผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกอิสลามในบริบทของความมั่นคงและวัฒนธรรม เขาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าใจโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของประเทศมุสลิมในการสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน และ KazanForum เป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือดังกล่าว

รุสลาน เคอร์บานอฟ (Ruslan Kurbanov) นักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมจากดาเกสถาน
เน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสนับสนุนและส่งเสริมชุมชนมุสลิมภายในประเทศและการใช้ KazanForum เป็นเวทีในการแสดงออกถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของรัสเซีย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศมุสลิมอื่น ๆ

ตามทฤษฎี Clash of Civilizations ของ ซามูเอล ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) โลกถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มอารยธรรมที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และค่านิยม ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ในบริบทนี้ KazanForum จึงไม่ได้เป็นเพียงงานประชุมเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรมทั่วไปแต่เป็นเวทีที่รัสเซียกำลังสร้าง “สะพาน” เชื่อมโยงระหว่างโลกอิสลามกับอารยธรรมตะวันตก-รัสเซีย ผ่านการแสดงออกถึงอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ได้แก่ 1) ภูมิรัฐศาสตร์หลายขั้วโดยรัสเซียใช้ KazanForum เป็นเครื่องมือผลักดันยุทธศาสตร์หลายขั้วที่ท้าทายอิทธิพลของสหรัฐและตะวันตกในโลกมุสลิม 2) การสร้างอัตลักษณ์ร่วม KazanForum เสริมสร้างภาพลักษณ์ของ “โลกอิสลาม” ที่มีความเป็นเอกภาพและมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นการตอบโต้แนวคิดของตะวันตกที่มองโลกมุสลิมเป็น “อื่น” หรือศัตรู 3) การแข่งขันทางวัฒนธรรมและความมั่นคง โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงผ่าน KazanForum คือการต่อสู้ในสมรภูมิทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมและการกำหนดอนาคตของอารยธรรม

สรุป KazanForum มิใช่เพียงงานประชุมหากคือการเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคมและแยบยล รัสเซียกำลังสลักหมุดใหม่บนแผนที่โลก ไม่ใช่ด้วยกำลังทหารแต่ด้วยการสร้างพันธมิตรในนามของศรัทธา เศรษฐกิจและอารยธรรม ท่ามกลางระเบียบโลกเก่าที่เปราะบางและกำลังล่มสลายต่อหน้าต่อตารัสเซียและโลกมุสลิมกำลังรวมตัวกันอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลังเพื่อวางรากฐานใหม่ของอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากตะวันตกอีกต่อไป เวทีสัมมนาอย่าง KazanForum กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่ “คำพูดสามารถโค่นกองทัพ” และ “การสร้างภาพจำสามารถล้มอารยธรรม” รัสเซียไม่เพียงปรับยุทธศาสตร์แต่กำลังสร้างสนามใหม่ที่คู่แข่งไม่ถนัดและไม่อาจคุมเกมได้ โลกมุสลิมตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเพราะนี่คือพื้นที่ที่ให้เกียรติให้โอกาสและให้อนาคต ในท้ายที่สุด คำถามที่โลกต้องเผชิญไม่ใช่ว่า "รัสเซียกับโลกมุสลิมจะทำอะไรต่อไป?" แต่คือ "จะมีใครกล้าต้านทานพันธมิตรแห่งศรัทธา อำนาจ และภูมิปัญญาใหม่นี้ได้หรือไม่?"

‘NailName’ ขอโทษ!! ‘สนธิ’ กรณีจุดเริ่มต้น สงครามเหลืองแดง หลังออก!! คลิป YouTube บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ตรวจสอบ

(17 พ.ค. 68) รายการ 'แฮชแท็ก' จากช่อง YouTube NailName ออกมาแสดงความรับผิดชอบและกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หลังจากที่คลิปวิดีโอตอน '#สนธิ vs ทักษิณ: ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง' ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์

คลิปดังกล่าวพยายามอธิบายเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต โดยมีเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง

ในคลิปขอโทษล่าสุด เนม – รติศา วิเชียรพิทยา ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวยอมรับความผิดพลาดในการนำเสนอข้อมูลและขอโทษต่อ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อนการเผยแพร่ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของรายการและเคารพต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในคลิปนั้นมีใจความว่า …

"ตามที่ข้าพเจ้า เนม รติศา วิเชียรพิทยา หรือ nailname เผยแพร่คลิปวิดีโอ ชื่อหัวข้อ #สนธิ vs ทักษิณ ตำนานเพื่อนรักไม่ให้ยืมเงิน จุดเริ่มต้นสงครามเหลืองแดง เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ใน YouTube ช่อง NailName ซึ่งเนื้อหาในคลิปวิดีโอดังกล่าว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้วไม่พบหลักฐานหรือข่าวใด ๆ ที่ยืนยันได้ว่า คุณสนธิไปยืมเงินคุณทักษิณ โดยปรากฏข่าวว่าคุณสนธิปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนรักกับคุณทักษิณ และมีบุคคลอื่น เคยขอโทษคุณสนธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่ปรากฏข้อมูลไว้ในคลิปวิดีโอดังกล่าว โดยเนื้อหาในคลิปวิดีโอ ทำให้คุณสนธิได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียง ข้าพเจ้ารับทราบแล้วจึงขออภัยและขอโทษมาด้วยความจริงใจ ต่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และขอบคุณคุณสนธิยินดีที่จะไกล่เกลี่ยและไม่เอาความ มา ณ โอกาสนี้"

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงบทเรียนสำคัญในวงการสื่อออนไลน์ ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจสร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบุคคลและองค์กรได้อย่างมาก

รู้จัก ‘Alcatraz’ คุกบนเกาะกลางอ่าวซานฟรานซิสโก ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมใช้คุมขังนักโทษร้ายแรงอีกครั้ง

โลกใบนี้มีเรือนจำบนเกาะอยู่มากมายหลายแห่ง โดยเกาะเหล่านี้แยกตัวออกมาอยู่กลางทะเลตามธรรมชาติ จึงทำให้นักโทษไม่สามารถหลบหนีได้ The Rock สมญานามของเกาะ Alcatraz เกาะเล็ก ๆ กลางอ่าวซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เกาะนี้ในอดีตเคยเป็นสถานที่ตั้งประภาคาร ป้อมปราการของกองทัพสหรัฐฯ และยังเป็นเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษ แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรือนจำแห่งนี้ รวมถึงเปิดให้เข้าชมพื้นที่ห้องขังจริง ๆ และจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้จริงของนักโทษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวว่า เขาจะสั่งการทำการปรับปรุงเรือนจำบนเกาะ Alcatraz เพื่อเปิดใช้งานใหม่ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งให้มีการประเมินในทุกส่วนที่ยังไม่ได้รับการประเมินเพื่อกำหนดความต้องการและขั้นตอนต่อไปในการปรับปรุงเรือนจำรัฐบาลกลาง Alcatraz ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเพื่อเป็นการฟื้นฟูสัญลักษณ์อันทรงพลังของกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรม ของสหรัฐฯและรัฐบาลกลางของประเทศอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร

เกาะแห่งนี้มีพืชพรรณเพียงเล็กน้อยและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกทะเลเมื่อได้รับการสำรวจในปี 1775 โดยร้อยโท Juan Manuel de Ayala ซึ่งตั้งชื่อเกาะนี้ว่า Isla de los Alcatraces ('เกาะแห่งนกกระทุง') ต่อมาในปี 1849 ถูกขายให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เกาะนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัย เนื่องจากกระแสน้ำทะเล พืชผักที่มีปริมาณน้อยมาก และพื้นดินที่แห้งแล้ง เนื่องจากเกาะแห่งนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางอ่าวตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิเยือกแข็งและคลื่นลมแรง กองทัพสหรัฐฯ สร้างป้อมปราการบนเกาะ Alcatraz ขึ้นในปี 1850 มีการติดตั้งปืนใหญ่เพื่อป้องกันอ่าวจากการรุกรานจากศัตรูต่างชาติอันเนื่องมาจากการเติบโตของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก

นอกจากนี้ยังใช้เพื่อปกป้องนคร San Francisco จากการบุกรุกในช่วงสงครามกลางเมือง ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ได้รับการพิจารณาให้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ มีการสร้างประภาคารแห่งแรก และต่อมามีการสร้างอาคารอื่น ๆ บนเกาะ และกองทหารประจำการชุดแรกได้ตั้งกองทหารรักษาการณ์ในปี 1859 ในปี 1861 เกาะนี้ถูกกำหนดให้เป็นที่กักขังบรรดาผู้กระทำความผิดทางทหาร ต่อมามีนักโทษรวมถึง ชาวอินเดียแดงเผ่านโฮปี 19 คน จากมลรัฐแอริโซนาซึ่งต่อต้านความพยายามของรัฐบาลที่จะกลืนกลายพวกเขา ในปี 1861 เกาะนี้ได้เป็นที่รองรับนักโทษจากสงครามกลางเมืองจากรัฐต่าง ๆ และผลพวงจากสงครามสเปน-อเมริกัน ในปี 1898 ทำให้จำนวนนักโทษเพิ่มขึ้นจาก 26 คน เป็น 450 คน และในปี 1900 กักขังทหารอเมริกันที่ต่อสู้ในฟิลิปปินส์แต่แปรพักตร์เข้าร่วมกับฝ่ายฟิลิปปินส์ ในปี 1907 เกาะนี้ถูกกำหนดให้เป็นสาขาแปซิฟิกของเรือนจำทหารสหรัฐอเมริกา จากนั้นในปี 1906 ได้เกิดแผ่นดินไหวในนครซานฟานซิสโก (ซึ่งทำลายเมืองนี้อย่างรุนแรง) บรรดานักโทษจึงถูกย้ายไปบนเกาะเพื่อความปลอดภัย ในปี 1912 มีการก่อสร้างคุกขนาดใหญ่ที่ใจกลางเกาะ และในปลายทศวรรษ 1920 อาคารสามชั้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์

กองทัพสหรัฐฯ เป็นดูแลผู้รับผิดชอบเกาะแห่งนี้มามากว่า 80 ปี จากปี 1850 จนถึงปี 1933 แล้วเกาะนี้ได้ย้ายไปอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงยุติธรรมเพื่อใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ รัฐบาลกลางได้ใช้เป็นสถานที่กักขังที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด โดยผู้ต้องขังปราศจากสิทธิพิเศษใด ๆ เพื่อจัดการกับบรรดานักโทษ และแสดงถึงประสิทธิภาพทางกฎหมายที่รัฐบาลต้องการลดคดีอาชญากรรมที่มีมากมาย ในช่วงปี 1920 และปี 1930 ตั้งแต่ปี 1934 ถึง 1963 เรือนจำแห่งนี้ทำหน้าที่เป็นเรือนจำของรัฐบาลกลางสำหรับนักโทษพลเรือนที่อันตรายที่สุดบางคนนักโทษที่ มีชื่อเสียง ได้แก่ อัล คาโปน จอร์จ เคลลี และโรเบิร์ต สตรูด มนุษย์นกแห่งเกาะ Alcatraz ('Birdman of Alcatraz') ผู้ซึ่งเลี้ยงนกและทำการวิจัยเกี่ยวกับนกขณะอยู่ในเรือนจำ” แม้ว่าเรือนจำ Alcatraz จะสามารถขังนักโทษได้ 450 คนในห้องขังที่มีขนาดประมาณ 10 x 4.5 ฟุต (3 x 1.5 เมตร) แต่ความเป็นจริงแล้วในแต่ละครั้งจะมีการขังนักโทษโดยเฉลี่ยประมาณคือ 260-275 คน (จำนวนนักโทษนี้ยังไม่ถึงปริมาณที่รองรับได้สูงสุด 336 คน ซึ่งนับได้ว่าจำนวนนักโทษของเกาะมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจำนวนนักโทษทั่วประเทศ) โดยที่นักโทษมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านักโทษที่อื่น (ตัวอย่างเช่น นักโทษหนึ่งคนต่อหนึ่งห้องขัง) ซึ่งมีนักโทษหลายคนได้ขอย้ายไปอยู่ที่เรือนจำบนเกาะเกาะ Alcatraz ความพยายามในการหลบหนีจากเรือนจำบนเกาะแห่งนี้นั้นยากมาก ๆ แต่ก็มีผู้ต้องขังเพียงไม่กี่คนที่หลบหนีออกจากเกาะได้ แต่ที่สุดไม่รู้ว่าพวกเขารอดชีวิตจากกระแสน้ำเย็นในอ่าวได้หรือไม่ การหลบหนีจากเกาะแห่งนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Escape from Alcatraz (1979)

ในที่สุด ความยากลำบากในการขนน้ำจืดและของเสียออกจากเกาะได้ส่งผลทำให้เรือนจำบนเกาะ Alcatraz ก็ถูกปิดตัวลงในปี 1963 เนื่องจากขาดงบประมาณในการบริหารจัดการ ในเดือนมีนาคม 1964 กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันได้อ้างสิทธิ์บนเกาะนี้โดยอ้างถึงสนธิสัญญาปี 1868 อนุญาตให้ชาวอินเดียนจากเขตสงวนอ้างสิทธิ์ใน "ดินแดนของรัฐบาลที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย" อย่างไรก็ตาม พวกเขายึดครอง Alcatraz ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน 1969 นักเคลื่อนไหวชาวอินเดียนรวมถึงสมาชิกของขบวนการอินเดียนอเมริกันได้ทำการยึดครองเกาะนี้อีกครั้ง โดยเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในเกาะและปฏิเสธที่จะออกไป จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐบาลกลางบังคับให้ออกไปในเดือนมิถุนายน 1971 และเกาะ Alcatraz ก็ถูกโอนย้ายไปอยู่ในการดูแลของสำนักอุทยานแห่งชาติในปี 1972 หลังจากนั้นจึงมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ แล้วเปลี่ยนสภาพจากเรือนจำไปเป็นพิพิธภัณฑ์ และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้อนรับผู้เข้าชมประมาณ 1.2 ล้านคนต่อปีมาจนถึงปัจจุบัน เกาะ Alcatraz อยู่ในเขตพื้นที่สันทนาการแห่งชาติโกลเดนเกต (Golden Gate National Recreation Area) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่งตะวันตกรอบ ๆ ปากอ่าวซานฟรานซิสโกกว่า 82,116 เอเคอร์ เกาะ Alcatraz ซึ่งเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้โดยขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือ Pier 33 จากชายฝั่งนครซานฟรานซิสโก ใช้เวลาเดินทาง 4 กิโลเมตรไปยังเกาะประมาณ 20-30 นาที นอกจากนี้ เกาะ Alcatraz ยังเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดหลายเรื่อง และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในปี 1986 อีกด้วย

ถอดรหัส ‘ปูติน’ ปฏิเสธพบ ‘เซเลนสกี’ ที่อิสตันบูล เหตุเพราะรัสเซียมองยูเครนเป็น 'รัฐหุ่นเชิด' ของตะวันตก

นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนโดยสหพันธรัฐรัสเซียในปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา กระบวนการเจรจาสันติภาพยังคงไม่สามารถบรรลุผลในระดับสูงสุดได้ หนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการปฏิเสธของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินที่จะพบกับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน ณ กรุงอิสตันบูลซึ่งเสนอโดยตุรกีในฐานะตัวกลางแต่คำตอบจากมอสโกกลับชัดเจน "ไม่มีเหตุผลที่ต้องพบ" ประธานาธิบดีเซเลนสกีเคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ The Economist ว่า ผมพร้อมเจรจากับปูติน ผมพร้อมมานานสองปีแล้วและผมเชื่อว่า หากไม่เจรจากันเราจะไม่สามารถยุติสงครามนี้ได้ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีปูตินตอบโต้ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียในช่วงปี 2022 ว่า 

“ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกับคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของวอชิงตัน หากยูเครนอยากเจรจาพวกเขาต้องแสดงให้เห็นก่อนว่ามีอำนาจตัดสินใจเป็นของตนเอง” การปฏิเสธครั้งนั้นไม่เพียงเป็นการปิดประตูเจรจา หากยังเผยให้เห็นภาพใหญ่ของสงครามที่ใหญ่กว่ายูเครน — สงครามเพื่อกำหนดระเบียบโลกใหม่ (global order) สงครามแห่งอัตลักษณ์ (identity war) และสงครามของการรับรองความชอบธรรม (legitimacy war) การตัดสินใจของปูตินไม่ใช่เพียงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ในสนามรบ หากยังเป็นคำประกาศเชิงอุดมการณ์ว่า รัสเซียจะไม่ยอมเจรจากับสิ่งที่ตนมองว่าเป็น “รัฐหุ่นเชิด” ของตะวันตก บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์การปฏิเสธครั้งประวัติศาสตร์ของผู้นำรัสเซียผ่านกรอบภูมิรัฐศาสตร์ อำนาจเชิงสัญลักษณ์และจิตวิทยาผู้นำ พร้อมผนวกบทวิเคราะห์จาก Pyotr Kozlov ผู้สื่อข่าวรุ่นใหญ่แห่ง The Moscow Times ที่ชี้ให้เห็นว่าเครมลินใช้การเจรจาเป็นเพียง 'กลยุทธ์ซื้อเวลา' (playing for time) มากกว่าความตั้งใจจริงในการหาทางออกทางการทูตแล้วเราจะเข้าใจว่า "ไม่พบ" นั้น หมายถึงอะไรที่ลึกซึ้งกว่าคำว่า "ไม่พร้อม"

1) เมื่อวิเคราะห์ด้วยกรอบทางภูมิรัฐศาสตร์จะพบว่ารัสเซียกับยูเครนอยู่บนภูมิรัฐศาสตร์ของความไม่เท่าเทียม รัสเซียไม่มองยูเครนเป็นรัฐอิสระสมบูรณ์ ในสายตาของมอสโกยูเครนไม่ใช่รัฐเอกราชหากเป็น “ดินแดนหลงทาง” ที่เคยอยู่ในครรลองของจักรวรรดิรัสเซียและยังคงถูกผูกโยงกับโครงสร้างอำนาจและอัตลักษณ์เชิงประวัติศาสตร์ของรัสเซียอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แนวคิดนี้ฝังลึกในจิตสำนึกภูมิรัฐศาสตร์ของเครมลิน โดยเฉพาะในยุคของวลาดิมีร์ ปูติน ผู้ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่าชาวยูเครนและชาวรัสเซียคือประชาชนชาติเดียวกัน... ยูเครนคือรัฐที่ถูกสร้างขึ้นเทียม ๆ ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเล่น ๆ หากเป็นการกำหนด “ฐานคิด” ทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียที่มองความสัมพันธ์กับยูเครนผ่านกรอบของอารยธรรมร่วม (civilizational unity) มากกว่าจะยอมรับความเป็น “เพื่อนบ้านอธิปไตย” นี่คือรากเหง้าของแนวคิดความไม่เท่าเทียม (asymmetric geopolitics) ที่ทำให้การเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่ใช่การพูดคุยระหว่างสองรัฐที่เท่าเทียมกัน แต่เป็นการ “กำหนดชะตา” ของดินแดนที่ถูกเครมลินมองว่ายังอยู่ภายใต้อิทธิพลที่ชอบธรรมของรัสเซีย ในสายตาของปูตินการนั่งเจรจากับเซเลนสกีจึงเป็นเรื่อง “น่าอับอาย” พอ ๆ กับการยอมรับว่ารัสเซียต้องขอความเห็นชอบจากใครสักคนก่อนจะจัดระเบียบ “พื้นที่หลังบ้าน” ของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการเปิดช่องให้ยอมรับอัตลักษณ์ของยูเครนในฐานะ “ชาติแยกขาด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สวนทางกับแนวคิดจักรวรรดิใหม่ของรัสเซียอย่างรุนแรง

ภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในศตวรรษที่ 21 ถูกขับเคลื่อนด้วยความพยายามฟื้นฟู “อิทธิพลเหนือพื้นที่หลังโซเวียต” (post-Soviet space) โดยมียูเครนเป็นเสาหลักของอัตลักษณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์นี้ หากยูเครนหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของรัสเซียไปอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นสมาชิกของ NATO หรือสหภาพยุโรปเมื่อไร—โครงสร้างอำนาจแบบ “โลกหลายขั้ว” ที่รัสเซียพยายามสถาปนาก็จะพังทลายลงในทันที การพบกับเซเลนสกีในฐานะ “ผู้นำที่เท่าเทียม” จึงเท่ากับการรับรองความชอบธรรมของรัฐบาลเคียฟ ซึ่งสวนทางกับกรอบความคิดหลักของรัสเซียว่ารัฐยูเครนปัจจุบันคือ puppet regime หรือรัฐบาลหุ่นเชิด ความลังเลในการยอมรับเซเลนสกีจึงเป็นผลโดยตรงจากกรอบความคิดแบบจักรวรรดินิยมใหม่ (neo-imperialism) ที่ยังฝังรากในอุดมการณ์ของผู้นำรัสเซีย โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ “Russian World” (Russkiy Mir) ซึ่งมองว่าดินแดนยูเครนเป็นพื้นที่ที่ควรถูกดึงกลับเข้าสู่อิทธิพลของมอสโกอีกครั้ง กล่าวโดยสรุป การปฏิเสธของปูตินที่จะนั่งโต๊ะเจรจากับเซเลนสกีจึงไม่ใช่เพียงการปฏิเสธข้อเสนอเพื่อสันติภาพแต่เป็นการยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่า รัสเซียไม่เคยและจะไม่ยอมรับว่ายูเครนคือ “รัฐเอกราชที่มีอำนาจเทียบเท่า” หากเป็นเพียงภูมิภาคหนึ่งของโลกที่ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของจักรวรรดิรัสเซียใหม่เท่านั้น

2) เป็นกลยุทธ์การถ่วงเวลา การไม่พบเพื่อซื้อเวลาและปรับแต้มต่อให้กับทางรัสเซีย ในโลกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “การเจรจา” อาจไม่ใช่การเดินหน้าเพื่อหาทางออกแต่อาจเป็น “การถ่วงเวลา” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมที่ใหญ่กว่า สำหรับรัสเซียภายใต้การนำของวลาดิมีร์ ปูติน โต๊ะเจรจาไม่ใช่ที่สำหรับสร้างสันติภาพ แต่เป็นสนามประลองเชิงจิตวิทยาที่สามารถใช้เปลี่ยนจังหวะรุกให้เป็นจังหวะตั้งรับ ตั้งรับเพื่อเก็บข้อมูล ตั้งรับเพื่อพักฟื้นยุทธศาสตร์ และตั้งรับเพื่อรุกกลับอย่างทรงพลังในจังหวะถัดไป การปฏิเสธจะพบกับเซเลนสกีในกรุงอิสตันบู ไม่ใช่การปฏิเสธเพราะไร้เหตุผล แต่เป็น “การปฏิเสธเชิงยุทธศาสตร์” ที่มาพร้อมกับการคำนวณอย่างแม่นยำ หากพบกันตอนนี้รัสเซียยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะได้เปรียบเพียงพอ ดังนั้นจึงยังไม่ควรเล่นไพ่ใบนี้แนวคิดนี้คือการเล่นกับเวลา (strategic temporality) ซึ่งเป็นกลยุทธ์คลาสสิกในสงครามและการทูตแบบมหาอำนาจ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการเปลี่ยน “สภาพแวดล้อมเชิงอำนาจ” (power environment) ให้เป็นประโยชน์ต่อฝั่งตนเองมากขึ้นเสียก่อน เช่น การรอให้อาวุธจากตะวันตกส่งไปถึงยูเครนล่าช้า การสร้างความแตกแยกในกลุ่ม NATO หรือแม้แต่การผลักความเหนื่อยล้าเข้าสู่ฝ่ายประชาชนยูเครนผ่านสงครามที่ยืดเยื้อ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปูตินอาจไม่ได้ปฏิเสธการเจรจาโดยสิ้นเชิง แต่เขาปฏิเสธ “จังหวะนี้” เพราะยังไม่ใช่เวลาที่เขาได้เปรียบมากพอ 

นี่คือสิ่งที่ Pyotr Kozlov เรียกว่า “the diplomacy of delay” การทูตที่ไม่ได้หวังข้อตกลง แต่หวังให้เวลาทำงานแทน การไม่พบจึงไม่ใช่ความล้มเหลวของการทูต แต่มันคือ “การใช้การทูตเป็นเครื่องมือในการทำสงครามแบบไม่ใช้กระสุน” หรืออีกนัยหนึ่งคือ โต๊ะเจรจากลายเป็นสนามเพาะกล้าแห่งความสับสน ที่จะเบ่งบานเป็นความได้เปรียบในสนามรบ ดังนั้นถ้าเซเลนสกีเรียกร้องให้พบหน้า ปูตินอาจไม่ได้หวั่น แต่เขาจะถามกลับว่า—"ทำไมต้องรีบ? ในเมื่อเวลาทำงานให้รัสเซียอยู่แล้ว"

3) การเมืองภายใน การแสดงถึงความเข้มแข็งของผู้นำกับความชอบธรรมในสายตาประชาชน สำหรับวลาดิมีร์ ปูตินการเมืองระหว่างประเทศไม่เคยแยกขาดจากการเมืองภายในประเทศหากแต่เป็นกระจกสะท้อน “ภาพลักษณ์ของผู้นำ” ที่ต้องแกร่ง แน่น และแน่วแน่ “ไม่มีวันอ่อนข้อ ไม่มีวันอ่อนแอ” โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ระบอบการปกครองของเขากำลังเผชิญความท้าทายจากแรงต้านภายใน ทั้งเศรษฐกิจที่บีบคั้นจากมาตรการคว่ำบาตรและความล้าจากสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเกินกว่าที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐจะกลบได้ทั้งหมด การพบกับเซเลนสกีในโต๊ะเจรจา ณ กรุงอิสตันบูล จึงไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายต่างประเทศแต่คือเกมเดิมพันภาพลักษณ์ของผู้นำสูงสุดที่ต้อง “แข็งกร้าวพอที่จะไม่ต่อรองกับศัตรูที่ด้อยกว่า” ในสายตาของรัฐเครมลิน “ถ้าจะคุยก็ต้องคุยกับวอชิงตัน ไม่ใช่กับหุ่นเชิดในเคียฟ” 

ซึ่งเป็นคำกล่าวไม่เป็นทางการของเจ้าหน้าที่รัสเซียรายหนึ่งที่หลุดออกมาทางสื่อ ซึ่งสะท้อนจุดยืนว่า เซเลนสกีไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะได้ “เกียรติ” มานั่งโต๊ะกับปูตินในจิตสำนึกของระบอบอำนาจนิยมแบบรัสเซีย ความชอบธรรม (legitimacy) ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการ “แสดงให้เห็นว่าผู้นำคือผู้ปกป้องชาติ” โดยไม่ยอมก้มหัวต่อแรงกดดันใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตกหรือตัวแทนจากยูเครน เพราะการที่ปูตินจะ “พบหน้า” กับเซเลนสกี หมายถึงการยอมรับอีกฝ่ายว่าอยู่ในสถานะเท่าเทียม และนั่นคือภาพที่อาจทลายความชอบธรรมที่เขาสร้างมาตลอดกว่า 20 ปี ยิ่งไปกว่านั้นในบริบทของรัสเซียหลังปี ค.ศ. 2022 ความเข้มแข็งของปูตินไม่ได้ถูกวัดจากผลลัพธ์ของสงครามเท่านั้นแต่ยังวัดจากท่าทีเชิงสัญลักษณ์ เช่น การปฏิเสธไม่พบ การไม่เดินทางไปเจรจา หรือแม้แต่การปล่อยข่าวลือเรื่องการเจรจาที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพื่อรักษาอำนาจเชิงวาทกรรมไว้กับเครมลินเพียงฝ่ายเดียว ในโลกของเครมลิน “การไม่พูด” อาจดังกว่า “การพูด” และการ “ไม่พบ” ก็อาจทรงพลังยิ่งกว่าการ “พบแล้วแพ้”

4) รัสเซียมองว่าอิสตันบูลเป็นพื้นที่กึ่งกลางที่ไม่เป็นกลาง ในทางภูมิรัฐศาสตร์ “เมือง” ไม่ได้เป็นเพียงจุดบนแผนที่ หากแต่คือ “สัญลักษณ์” ของอำนาจ วาระ และตำแหน่งทางการเมือง อิสตันบูลเป็นเมืองแห่งสองทวีปและอดีตศูนย์กลางของจักรวรรดิออตโตมัน แม้ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่เจรจาที่ “กึ่งกลาง” ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก แต่สำหรับรัสเซียแล้วอิสตันบูลไม่เคยเป็นกลางและไม่เคย “ว่างเปล่าจากความหมายทางอำนาจ” ทำไมปูตินจึงไม่อยากเจรจาในอิสตันบูล? คำตอบอยู่ในประวัติศาสตร์ ความรู้สึกและกลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะเจรจา ในสายตาของเครมลินอิสตันบูลคือเวทีของตะวันตกในคราบตะวันออกเป็นพันธมิตร NATO ที่แฝงความไม่ไว้ใจ เป็นประเทศที่แม้จะ “ไม่คว่ำบาตรรัสเซียแบบเปิดหน้า” แต่กลับเปิดประตูให้อาวุธตะวันตกเดินทางเข้าสู่ยูเครนทางอ้อม และที่สำคัญคือ ผู้ที่สนับสนุน Bayraktar TB2 โดรนรบที่ยูเครนใช้โจมตีเป้าหมายของรัสเซีย อย่างได้ผลในช่วงต้นสงคราม นอกจากนี้ตุรกีเองก็เล่นเกมสองหน้าในแบบ “เออร์โดกันสไตล์” ที่พร้อมจะเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของตน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงธัญพืชยูเครน (Black Sea Grain Deal) หรือการเสนอเป็นคนกลางในการปล่อยเชลยศึก 

ซึ่งรัสเซียมองว่าตุรกีไม่ได้เป็นกลาง แต่คือผู้หวังผลจากการสวมบทกลาง “To sit in Istanbul is to play Erdogan’s game.” นี่คือคำพูดที่นักวิเคราะห์การเมืองรัสเซียคนหนึ่งกล่าวไว้แบบตรงไปตรงมา อิสตันบูลจึงกลายเป็น “พื้นที่ที่ดูเหมือนกลาง แต่ไม่เคยกลางจริง” เป็นเหมือนสนามแข่งขันที่วางกับระเบิดทางการเมืองไว้ใต้โต๊ะ สำหรับปูตินการเลือกสถานที่เจรจาคือการเลือก “สัญญะของอำนาจ” และเขาไม่มีวันยอมเสียแต้มด้วยการไปปรากฏตัวในสถานที่ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็น “สนามของอีกฝ่าย” ไม่ว่าจะโดยภาพถ่าย การแถลงข่าว หรือข่าวกรองที่เล็ดลอดออกมา เพราะแค่ปรากฏตัวก็อาจตีความได้ว่าอ่อนข้ และในสงครามที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีชาติ เรื่องแบบนี้คือสิ่งที่เครมลินรับไม่ได้ อิสตันบูลจึงไม่ใช่พื้นที่แห่งความหวังในสายตาของรัสเซีย แต่มันคือเวทีที่ “ข้างหนึ่งหวังจะเจรจา ขณะที่อีกฝ่ายหวังจะซื้อเวลา” และนั่นทำให้โต๊ะเจรจาไม่มีวันเกิดขึ้นจริงแม้จะปูพรมไว้พร้อมแล้วก็ตาม

5) สงครามที่ใหญ่กว่ายูเครน การประลองเชิงอารยธรรมและโครงสร้างโลก สงครามในยูเครนไม่ใช่แค่การยึดดินแดน ไม่ใช่แค่การแย่งเมือง ไม่ใช่แค่สงคราม “ชายแดน” แต่มันคือสงคราม “ชายขอบของระเบียบโลก” สงครามที่เปิดฉากขึ้นเพื่อท้าทายโครงสร้างโลกเสรีนิยมตะวันตกที่ปกครองโลกมานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น ในมุมมองของเครมลิน ยูเครนไม่ใช่เพียงประเทศเพื่อนบ้าน แต่คือ “แนวหน้า” ของสงครามอารยธรรม  การต่อสู้ระหว่างอารยธรรมรัสเซียแบบยูเรเชีย (Eurasianism) กับอารยธรรมตะวันตกแบบแองโกล-แซกซัน การเมืองของวลาดิมีร์ ปูตินไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์แห่งรัฐ แต่คือการฟื้นฟู “อารยธรรมรัสเซีย” ที่เขาเชื่อว่าตะวันตกพยายามจะบดขยี้ให้เหลือเพียงรอยจารึกในพิพิธภัณฑ์ “ยูเครนไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่คือเวทีแรกของการรบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น” เป็นวาทกรรมที่สะท้อนออกมาจากทั้งสื่อรัฐและนักคิดสายภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซียอย่างชัดเจน การปฏิเสธที่จะพบกับเซเลนสกีจึงไม่ใช่แค่การดูแคลนเชิงบุคคลหรือการชะลอการเจรจาแต่มันคือการปฏิเสธที่จะ “ลดสงครามเชิงอารยธรรม” ให้กลายเป็นแค่ข้อพิพาทระดับทวิภาคีเพราะในสายตาของปูตินและวงการนโยบายรัสเซีย ยูเครนไม่ใช่ผู้เล่นที่แท้จริงแต่อเมริกาต่างหากคือศัตรูที่เขากำลังประจันหน้า และในเกมระดับนี้การนั่งโต๊ะกับเซเลนสกีเท่ากับลดระดับการต่อสู้ครั้งนี้ลงเป็นแค่ “ความขัดแย้งชายแดน” เท่านั้น 

ขณะเดียวกันโลกก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของระเบียบอำนาจ — จากโลกแบบขั้วเดียว (unipolarity) ที่อเมริกาครองอำนาจนำมาเป็นโลกแบบหลายขั้ว (multipolarity) ที่จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่า และกลุ่มประเทศโลกใต้เริ่มโผล่หัวขึ้นมาเรียกร้อง “อธิปไตยเชิงอารยธรรม” ของตนเอง รัสเซียไม่ใช่แค่พยายามเอาชนะยูเครน แต่กำลังขยับบทบาทตนในฐานะ “ทัพหน้าแห่งการต่อต้านโลกาภิวัตน์แบบตะวันตก”ดังนั้นโต๊ะเจรจาที่มีแค่เซเลนสกีจึงไม่ใหญ่พอสำหรับปูติน และไม่เพียงพอสำหรับ “โครงการฟื้นฟูรัสเซียในฐานะขั้วอำนาจโลก” ที่เขาหวังจะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ สงครามนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับแผนที่ แต่เกี่ยวกับแบบแผนโลกไม่ใช่แค่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่อง “ความหมายของการมีอยู่” ของอารยธรรมตะวันออกท่ามกลางโลกที่ตะวันตกเขียนบทมาตลอดศตวรรษ

ปีเตอร์ โคซลอฟ (Pyotr Kozlov) นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสแห่งหนังสือพิมพ์ The Moscow Times ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่าไม่ได้มองการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนว่าเป็นความพยายามทางสันติภาพอย่างแท้จริง หากแต่เขาขยี้ให้เห็นชัดว่านี่คือ “สงครามอีกรูปแบบหนึ่งที่เงียบกว่า แต่อันตรายไม่แพ้สนามรบจริง” โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายรัสเซียเป็นผู้ถือไพ่ในเกมนี้ Kozlov ชี้ว่าตั้งแต่ต้นสงครามรัสเซียไม่เคยตั้งใจเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งอย่างแท้จริงแต่กลับใช้ “การเจรจา” เป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายตะวันตกและเป็นการซื้อเวลาให้กับกองทัพในการจัดระเบียบยุทธศาสตร์ใหม่ อีกทั้งยังใช้โต๊ะเจรจาเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงจิตวิทยาเพื่อปลูกฝังความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ยูเครนและชาติตะวันตกตายใจ 

สำหรับเครมลิน การเจรจาไม่เคยเป็นของจริง มันคือฉากบังหน้าเพื่อเบี่ยงแรงกดดันในขณะที่รัสเซียปรับยุทธศาสตร์ใหม่ การทูตที่แท้จริงได้ตายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการแสดงสำหรับผู้ชมจากต่างประเทศ เขายังชี้ว่าเหตุผลที่ปูตินปฏิเสธจะพบเซเลนสกีไม่ใช่เพราะไม่สามารถพูดคุยกันได้ แต่เป็นเพราะ “การไม่พบ” นั้นทรงพลังกว่า “การพบ” หลายเท่า เพราะมันทำให้ยูเครนตกอยู่ในภาวะคลุมเครือ (strategic ambiguity) ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ และบั่นทอนความชอบธรรมของเซเลนสกีในฐานะผู้นำที่มีสิทธิเจรจาโดยตรงกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้น Kozlov ยังชี้ให้เห็นว่า เครมลินไม่ได้มองเซเลนสกีในฐานะ “คู่เจรจา” แต่เป็นเพียง “ตัวแทน” ของตะวันตกเท่านั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่ปูตินจะต้องลดตัวลงไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับผู้นำที่ถูกมองว่า “ไร้อำนาจตัดสินใจจริง” ในสายตาของมอสโก สิ่งที่ชัดเจนในบทวิเคราะห์ของโคซลอฟคือภาพของ “โต๊ะเจรจา” ในบริบทของรัสเซีย คือสนามที่รบด้วยถ้อยคำ บิดเบือนด้วยเวลา และสั่นคลอนด้วยการเล่นกับความหวังของฝ่ายตรงข้าม ยิ่งเครมลินลากเกมออกไปนานเท่าไร พันธมิตรของยูเครนก็จะเริ่มเหนื่อยล้า แตกแถว และหมดความอดทน นี่คือสงครามแห่งความอึดและจิตวิทยา ที่ปูตินรู้ดีว่าตนได้เปรียบในเกมยืดเยื้อ

บทสรุป การที่วลาดิมีร์ ปูตินปฏิเสธที่จะพบกับโวโลดีมีร์ เซเลนสกีในอิสตันบูลไม่ใช่การปฏิเสธเจรจาเฉพาะหน้า แต่คือการปฏิเสธ 'กรอบการรับรู้' ที่ตะวันตกพยายามจะวาดภาพสงครามให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองรัฐ ทว่าในมุมมองของรัสเซียมันคือศึกชี้ชะตาแห่งอารยธรรมการต่อสู้เพื่อยึดคืนสมดุลของโลกที่เปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ภายใต้ฉากหน้าของการทูต ยังมีเกมที่ใหญ่กว่า การซื้อเวลา การกำหนดพื้นที่ต่อรองและการรักษาภาพผู้นำล้วนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มองเกินกว่ายูเครน มองทะลุไปถึงความพยายามในการจัดระเบียบโลกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับอำนาจตะวันตก โต๊ะเจรจาในอิสตันบูลจึงไม่ใช่จุดหมายแต่มันเป็น “สนามทดลอง” ที่รัสเซียเลือกจะเดินหนีเพื่อไปยังสมรภูมิอื่นที่เดิมพันสูงกว่าและหากความขัดแย้งครั้งนี้คือสงครามเพื่ออารยธรรมการเจรจากับผู้นำที่รัสเซียไม่ยอมรับความชอบธรรมก็ย่อมไม่ต่างจากการประกาศยอมแพ้โดยไม่จำเป็น สงครามในยูเครนจึงยังไม่จบ ไม่ใช่เพราะขาดข้อตกลงแต่เพราะขาด 'ความเข้าใจร่วม' ว่าเรากำลังต่อสู้อยู่ในสงครามแบบไหนและเพื่ออะไร

บทวิเคราะห์พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 กับพลวัตด้านอาวุธของ ‘รัสเซีย’ สะท้อน!! การเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ ในการต่อสู้ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

(12 พ.ค. 68) พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 ที่จัดขึ้นในกรุงมอสโกเป็นเวทีที่สะท้อนภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารของรัสเซียหลังจากที่เผชิญกับสงครามยูเครนมาเกือบสองปี อาวุธและขีปนาวุธในขบวนของปีนี้มีจำนวนที่น้อยลงกว่าเดิม ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า “รัสเซียอาวุธหมดแล้วหรือ?” ท่าทีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางทหารของรัสเซียแต่ยังสะท้อนยุทธศาสตร์การรับรู้ (perception management) ที่เครมลินอาจตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความกดดันจากภายนอกและภายในประเทศ

หนึ่งในสัญญาณที่เห็นได้ชัดในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 คือการลดลงของการปรากฏตัวของอาวุธหนักที่เคยมีความโดดเด่นในขบวนสวนสนามปีที่ผ่านๆมา จากที่เคยเต็มไปด้วยรถถัง T-90, T-14 Armata, และขีปนาวุธ Iskander ปีนี้กลับถูกแทนที่ด้วยการเลือกไม่แสดงอาวุธหนักอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ แต่ยังทำให้เกิดคำถามถึงสภาพจริงของอำนาจทางทหารของรัสเซียในปัจจุบัน ทรัพยากรทหารที่จำกัดได้กลายมาเป็นปัญหาหลักที่รัสเซียต้องเผชิญ สงครามในยูเครนทำให้การใช้กำลังรบที่มีอยู่ต้องถูกนำไปใช้ในแนวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่มีหยุดพักทำให้การนำอาวุธหนักที่อาจมีความสำคัญสูงออกมาจัดแสดงในพิธีสวนสนามไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้
ในขณะเดียวกันแนวทางการสงวนพลัง (Resource Allocation) ก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน รัสเซียไม่สามารถเสี่ยงส่งทรัพยากรทางทหารที่มีจำกัดออกมาให้เห็นเพียงเพื่อโชว์ในพิธีการ เมื่อการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในยุทธศาสตร์ “การยืดเยื้อ” และการต่อสู้ระยะยาวต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญใหม่ การแสดงอาวุธหนักที่น้อยลงในปีนี้จึงไม่ใช่แค่การขาดแคลนอาวุธ แต่สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าและการวางแผนระยะยาวที่จะไม่สูญเสียทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์

ดังนั้นการที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงขีปนาวุธรุ่นใหม่หรืออาวุธหนักในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 จึงเป็นกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่รัสเซียเลือกใช้เพื่อควบคุมการรับรู้ (perception management) ทั้งในและนอกประเทศ รัสเซียเลือกใช้วิธีนี้เป็นเครื่องมือทางการทูตและการทหารที่มีความลึกซึ้งมากกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็นซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องโอ้อวดหรือแสดงออกทางทหารในขณะที่ยังคงมีความสามารถในการต่อสู้ โดยสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ดังกล่าวของรัสเซียได้ดังนี้

1) การจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ 
การที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 เป็นการจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่แยบยล ในสถานการณ์ที่ถูกคว่ำบาตรหนักและเผชิญกับสงครามยืดเยื้อรัสเซียต้องการส่งสัญญาณว่าสามารถดำเนินสงครามได้โดยไม่ต้องโอ้อวดพลังทหาร การไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังเกี่ยวกับศักยภาพทางทหารที่ซ่อนเร้นของรัสเซีย การไม่แสดงพลังทหารยังเป็นการส่งสัญญาณไม่ต้องการยั่วยุซึ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในสงคราม และยังสะท้อนถึงการรักษาความสงบภายในประเทศโดยไม่ทำให้ประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงคราม ขณะเดียวกันรัสเซียยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงซึ่งช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามยังอาจสะท้อนถึงการส่งสัญญาณความพร้อมในการเจรจาโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจายังคงเป็นทางเลือกที่เปิดกว้างซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มโอกาสในการหาทางออกทางการทูต

2) สัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ต่อฝ่ายตะวันตก 
ในด้านการทูตการเลือกที่จะ “เงียบ” ในการแสดงพลังทหา อาจเป็นกลยุทธ์การส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกและพันธมิตรว่า รัสเซีย ไม่จำเป็นต้องแสดงขีดความสามารถทหารในที่สาธารณะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกถึงความ “เบาบาง” หรือ “สงบ” ในสถานการณ์แม้ว่าภายในจริงๆ แล้วอาจมีการเตรียมพร้อมในรูปแบบอื่นๆ อย่างลับๆ หรือไม่แสดงออกให้เห็นโดยตรง

3) การสะท้อนอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องถูกแสดงออก
รัสเซียอาจต้องการส่งข้อความไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตรว่า “เราไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธเพื่อแสดงพลัง” หรือแม้กระทั่งการใช้ "ความเงียบ" ในการแสดงให้เห็นว่า “เรายังคงมีกลยุทธ์และความสามารถที่แฝงตัวอยู่” การเลือกที่จะไม่แสดงออกอาจเป็นการทำให้โลกเห็นว่ารัสเซียไม่ต้องการการยั่วยุหรือไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายเห็นความสามารถที่แท้จริงของตนในสนามรบ

4) การสร้างอารมณ์ในประเทศ
ในมุมมองภายในประเทศการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามอาจเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนรับรู้ถึงความมั่นคงว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธหนักเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งและการสงวนพลังนั้นเป็นการเตรียมพร้อมในระยะยาว แม้ในเวลาที่มีการท้าทายจากต่างประเทศการแสดงความมั่นใจโดยไม่ต้องแสดงพลังทหารสามารถทำให้ประชาชนรู้สึกถึงการควบคุมสถานการณ์และไม่จำเป็นต้องเกิดความวิตกกังวล

5) ความหมายของการสงวนพลังในระยะยาว
การเลือกที่จะ “เงียบ” และไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามนั้นอาจสะท้อนถึงความคิดที่ว่ารัสเซียกำลังมองไปข้างหน้าในสงครามระยะยาวที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความเข้มแข็งเพียงแค่ในวันนั้น ๆ แต่ต้องมีการจัดการทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปในสนามรบในอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น การแสดง “ความเงียบ” จึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้พลังอย่างมีกลยุทธ์ในอนาคต

นักวิชาการรัสเซียมองว่าการไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามเป็นการดำเนินกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับการรักษาภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารในระดับโลก แม้รัสเซียจะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทูตแต่การจัดแสดงอาวุธในระดับใหญ่จะไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงภายในและการคงสถานะของประเทศในเวทีการทูต เช่นเดียวกับการหลีกเลี่ยงการยั่วยุฝ่ายตะวันตก ในทัศนะของ ดร. เซอร์เกย์ คารากานอฟ (Sergey Karaganov) นักวิชาการด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียมองว่าการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักเป็นการบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์และไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นจุดอ่อนในพลังทหารของรัสเซีย ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Alexander Dugin) ได้อธิบายถึงการใช้ความสงบในพิธีสวนสนามเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการสงครามได้ในลักษณะที่ไม่ต้องแสดงพลังทหารอย่างโจ่งแจ้ง การที่รัสเซียไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงในพิธีสวนสนามเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายตะวันตกว่า รัสเซียไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถทางทหารทั้งหมด การเลือกใช้การสงวนพลัง (power preservation) ถือเป็นกลยุทธ์ที่รัสเซียใช้เพื่อไม่ให้คู่แข่งสามารถคาดเดาทิศทางของรัสเซียได้

สื่อมวลชนฝั่งรัสเซียเช่น RT และ Sputnik News ได้เสนอบทวิเคราะห์ที่สนับสนุนการตัดสินใจไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 โดยให้เหตุผลว่าการแสดงออกเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการทูตที่มุ่งเน้นการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ และส่งสัญญาณว่าแม้รัสเซียจะเผชิญกับสงครามในยูเครน แต่รัสเซียยังคงมีอำนาจทางทหารที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง การเลือกที่จะสงวนอาวุธหนักทำให้รัสเซียสามารถรักษาภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงได้ในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในด้านการทหาร ในขณะที่ Izvestia ได้รายงานเกี่ยวกับการที่รัสเซียยังคงสามารถผลิตอาวุธและใช้เทคโนโลยีทหารที่ทันสมัย เช่น โดรน และ สงครามไซเบอร์ โดยไม่ต้องแสดงอาวุธหนักในการแสดงในที่สาธารณะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ "สงครามรูปแบบใหม่" ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแสดงพลังทหารในสนามรบแบบเดิม ๆ การแสดงในพิธีสวนสนามเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางการเมืองที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับความสามารถจริงในสนามรบ

อย่างไรก็ตามมุมมองจากฝั่งตะวันตกมองว่ารัสเซียอาจกำลังเผชิญกับการขาดแคลนอาวุธระยะยาว เช่น ขีปนาวุธที่มีระยะยิงไกลและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถเข้าถึงเป้าหมายในระยะไกลได้ องค์กรInternational Institute for Strategic Studies (IISS) หรือ The Economist ได้ชี้ว่า รัสเซียประสบปัญหาในการผลิตกระสุนและอาวุธบางประเภทที่ใช้ในการสงคราม เช่น กระสุนหนักสำหรับปืนใหญ่และอาวุธปล่อยที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งมีผลมาจากการคว่ำบาตรจากตะวันตกและการขาดแคลนเทคโนโลยีที่ทันสมัย รัสเซียต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพันธมิตรเช่น จีนและอิหร่านเพื่อเติมเต็มช่องว่างในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินสงครามอย่างยั่งยืน นักวิชาการบางคนมองว่าการที่รัสเซียไม่มีอาวุธเหล่านี้ในมือเทียบเท่ากับในอดีตอาจเป็นสัญญาณของการที่ประเทศกำลังสูญเสียความสามารถในการขยายสงครามไปยังพื้นที่อื่น ๆ และมุ่งเน้นการต่อสู้ภายในยูเครนเท่านั้น นักวิเคราะห์จากฝ่ายตะวันตกยังชี้ว่าการคว่ำบาตรจากตะวันตกได้จำกัดการเข้าถึงชิ้นส่วนและวัสดุที่จำเป็นในการผลิตอาวุธขั้นสูงอาทิ ชิปเซ็ต เทคโนโลยีการผลิตมิสไซล์หรืออุปกรณ์การผลิตที่ล้ำสมัยซึ่งจำกัดความสามารถของรัสเซียในการผลิตอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทสรุป การเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 ไม่เพียงแค่เป็นกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีโลก แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของฝ่ายตรงข้าม การไม่ยั่วยุ และการสร้างความมั่นคงภายในประเทศ โดยทั้งนักวิชาการและสื่อรัสเซียมองว่า การแสดงพลังทหารในที่สาธารณะอาจไม่จำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันที่การจัดการกับวิกฤติโดยไม่แสดงพลังทางทหารให้เห็นนั้นเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม

‘Song Wencong’ วิศวกรผู้ออกแบบ และสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ ‘J – 10’ ราคา 30 ล้านเหรียญ สามารถยิงเครื่องบินขับไล่ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกได้

(11 พ.ค. 68) เป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเครื่องบินขับไล่แบบ J-10C ที่มีราคา 30 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยจีนของกองทัพอากาศปากีสถานสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ราคา 200 ล้านเหรียญสหรัฐที่ผลิตโดยฝรั่งเศสของกองทัพอากาศอินเดียตก ผลลัพธ์ของการรบทางอากาศระหว่างอินเดียและปากีสถานสร้างความตกตะลึงให้กับโลก และเครื่องบินขับไล่ J-10 ก็ได้เปิดฉากช่วงเวลาสำคัญนี้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการกว่าจะมาถึงการสร้างเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 เป็นความยากลำบากที่มีเพียงไม่กี่คนที่ยังจำได้ เริ่มต้นในปี 1956 คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานเหมาเจอตงได้เรียกร้องครั้งสำคัญให้จีน “เดินหน้าสู่วิทยาศาสตร์” โดยเลือกเส้นทางของการพึ่งพาตนเองและการพัฒนาที่เป็นอิสระ โดยจีนยุคใหม่ได้นำพาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่การพัฒนาประเทศ

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1964 ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนและสหภาพโซเวียต บุคลากรด้านการบินของจีนใหม่เริ่มพัฒนาเครื่องบินขับไล่ตามแนวคิดของประธานเหมาฯ ที่ว่า "พึ่งพาตนเองเป็นหลัก" และภารกิจพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-8 และ J-9 ได้รับการเสนอและดำเนินการโดยสถาบัน 601 และหน่วยงานอื่น ๆ ในเมืองเสิ่นหยางตามลำดับ เครื่องบินขับไล่ J-7 ลำก่อนหน้านี้ที่จีนผลิตนั้นเป็นเพียงสำเนาของเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 2 ของอดีตสหภาพโซเวียตซึ่งก็คือเครื่องบินขับไล่ MiG-21 ตามแผนเดิม J-8 ถือเป็นเครื่องบินขับไล่ MiG-21 สองเครื่องยนต์รุ่นขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่ J-9 ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในด้านตัวบ่งชี้การออกแบบและแผนงานเมื่อเทียบกับ J-8 และได้ก้าวไปถึงระดับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นรุ่นที่ 3 ของโลกในขณะนั้นแล้ว

ในปี 1970 จีนตัดสินใจเร่งพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากทางเหนือ ในปีเดียวกัน Song Wencong ซึ่งเคยเป็นวิศวกรอากาศยานในสงครามเกาหลี ได้ย้ายจากเมืองเสิ่นหยางไปยังนครเฉิงตูพร้อมกับนักออกแบบเครื่องบินกว่า 300 คน ด้วยความฝันที่จะพัฒนาเครื่องบินขับไล่ ในเวลานั้น พวกเขามีชื่อรหัสเพียงว่า “สถาบัน 611” ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากคือการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ J-9 ที่สามารถแข่งขันกับเครื่องบินรบที่ทรงพลังที่สุดในโลกได้ นักออกแบบเหล่านี้ที่เพิ่งมาถึงนครเฉิงตูได้เริ่มต้นความฝันในการสร้างเครื่องบินขับไล่ขั้นสูงภายใต้เงื่อนไขทางวัสดุที่เรียบง่าย ในขณะที่พวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตัวเอง ปลูกข้าวและธัญญพืช และแม้กระทั่งต้องขนปุ๋ยคอกและใส่ปุ๋ยเอง

พวกเขาได้ออกแบบเครื่องบินขับไล่ J-9 ทีละขั้นตอนโดยจากแบบร่างเปล่า ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากดังกล่าว ทำให้ชุดแบบจำลองการออกแบบชุดแรกที่มีปีกหน้าสามเหลี่ยม (Canard) และเริ่มทำการทดสอบในอุโมงค์ลมความเร็วสูง ในปี 1974 หลังจากใช้งานและแก้ไขข้อบกพร่องมานานกว่า 5 ปี เครื่องยนต์ 910 (WS-6 ซึ่งเลิกผลิตไปแล้วในภายหลัง) ของ J-9 ในที่สุดก็แก้ปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญได้ ทำความเร็วได้ 100% และเข้าสู่การทดสอบการทำงานความเร็วสูง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1975 คณะกรรมการวางแผนของรัฐและสำนักงานอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศตกลงที่จะทดลองผลิต J-9 จำนวน 5 ลำ โดยต้องบินครั้งแรกในปี 1980 และเสร็จสิ้นในปี 1983 และอนุมัติในหลักการให้จัดสรรค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมอีก 400 ล้านหยวน (400 ล้านหยวนถือเป็นตัวเลขที่สูงลิบลิ่วในขณะนั้น)

ในช่วงต้นปี 1976 สถาบัน 611 ได้ปรับโครงร่างอากาศพลศาสตร์โดยรวมและพารามิเตอร์การออกแบบเพิ่มเติมตามประเภท J-9VI โดยปรับปรุง J-9VI-2 ให้มีช่องรับอากาศทั้งสองด้านเป็นระบบมัลติเวฟแบบปรับไบนารีแบบผสมการบีบอัด เครื่องบินติดตั้งเรดาร์แบบ 205 ที่มีระยะตรวจจับ 60-70 กิโลเมตรและระยะติดตาม 45-52 กิโลเมตร ปืนกล Gatling 30 มม. 6 ลำกล้อง ขีปนาวุธสกัดกั้น PL-4 4 ลูก ซึ่งแบ่งออกเป็นสองระบบการค้นหาที่แตกต่างกันได้แก่ (1) เรดาร์กึ่งแอคทีฟประเภท PL-4A ที่มีระยะสูงสุด 1B:F- เมตร และ (2) อินฟราเรดแบบพาสซีฟประเภท PL-4B ที่มีระยะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 8 กิโลเมตร เครื่องบินติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน 6 ที่มีแรงขับสถิตท้ายเครื่องยนต์เต็มกำลัง 124 kN

J-9VI-2 มีรูปทรงทางอากาศพลศาสตร์ของ J-9VI-2 นั้นมีความคล้ายคลึงกับ J-10 มาก เพียงแต่ Canard เป็นแบบตายตัวและไม่คล่องตัวเท่า J-10 เท่านั้นเอง J-10C ก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศต่างพากันปล่อยข่าวลือว่า J-10 นั้นได้ต้นแบบมาจาก Lavi ของอิสราเอล และ Gripen ของสวีเดน และ J-10 นั้นใช้เทคโนโลยีของอิสราเอล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี หาก J-9 ไม่ถูกยกเลิก ก็จะกลายเป็นเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เดียวลำแรกของโลกที่มีเลย์เอาต์แบบ Canard ก่อน Gripen ของสวีเดนอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 1978 ตามคำแนะนำ โครงการ J-9 ถูกยกเลิกเนื่องจากการปรับเปลี่ยนโครงการของหน่วยพัฒนา และมีการจัดเก็บข้อมูลไว้ ในปี 1980 อันเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติในขณะนั้น โครงการ J-9 จึงถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง

ในเดือนพฤศจิกายน 1979 ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง เครื่องยนต์ WS-6 ได้บรรลุการทำงานที่มั่นคงในระยะยาวที่ความเร็วสูง เมื่อโครงการ J-9 สิ้นสุดลงและนำเครื่องยนต์ Spey มาใช้ การพัฒนาเครื่องยนต์ WS-6 ที่เข้าคู่กันก็หยุดลงโดยสิ้นเชิงในเดือนกรกฎาคม 1983 และแผนการพัฒนาก็ถูกหยุดลงโดยสิ้นเชิงในช่วงต้นปี 1984 เรดาร์ขับไล่แบบ 205 ที่รองรับ J-9 ก็หยุดการพัฒนาเช่นกันในปี 1981 ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ PL-4 อยู่ในสถานะ "เฝ้าระวัง" เป็นเวลานานหลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบต้นแบบ หลังจากการทดสอบร่วมกันในช่วงปลายปี 1985 ก็หยุดการพัฒนา ก่อนที่ J-9 จะถูกยกเลิก

ในความเป็นจริงแล้ว J-9 ใช้เงินไปเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐในการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและวัสดุใหม่ ๆ มากมายแล้ว มีการผลิตโมเดล ชิ้นส่วนทดสอบ และอุปกรณ์ทดสอบมากกว่า 500 ชิ้น และทดสอบอุโมงค์ลมความเร็วสูงและความเร็วต่ำ 12,000 ครั้ง รวมถึงทดสอบโครงสร้าง ความแข็งแรง ระบบ และวัสดุพิเศษ 258 ครั้ง มีการรวบรวมโปรแกรมคำนวณ 154 โปรแกรม วิเคราะห์การคำนวณมากกว่า 15,000 ชั่วโมง และแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่สำคัญมากกว่า 20 ปัญหา น่าเสียดายที่ J-9 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การสะสมทางเทคนิคของ J-9 ได้กลายเป็นทรัพย์สินอันมีค่าสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีการบินของจีนในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่น การจัดวางแบบแคนาร์ดส่งผลกระทบต่อ J-10 และ J-20 อย่างมากมายในเวลาต่อมา มีการเก็บรักษาอุปกรณ์ทดสอบและทีมงานของ WS-6 ไว้ ซึ่งวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเครื่องยนต์ Kunlun ในเวลาต่อมา จึงเป็นการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับวางรากฐานการวิจัยและพัฒนาสำหรับการพัฒนาเรดาร์และอาวุธในเวลาต่อมา

หลายคนยังคงให้ร้าย J-9 ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวจากการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยกล่าวว่าการยุติการผลิต J-9 เป็นผลจากความทะเยอทะยานเกินไป แต่ความถูกผิดนั้นอยู่ในใจของผู้คน ข้อเท็จจริงสามารถให้ความรู้แก่ผู้คนได้ดีที่สุด ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แนวคิดที่ว่า "การซื้อดีกว่าการผลิต" ได้รับความนิยม และกองทัพอากาศก็เริ่มสนใจ Mirage 2000 ของฝรั่งเศสและ F16 ของอเมริกา ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอยู่ในช่วงหวานชื่น และการจัดซื้อ F16 ดูเหมือนจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาต้องการขาย F16 ที่ใช้เครื่องยนต์ด้วยที่ล้าสมัย และราคาซื้อขายที่ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สหรัฐฯ จะขาย F16 ให้กับจีนในราคา 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากกลางทศวรรษ 1980 ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโซเวียตและสหรัฐอเมริกากับโซเวียตเริ่มคลี่คลายและดีขึ้นทีละน้อย และสหรัฐอเมริกาก็สูญเสียความต้องการเชิงยุทธศาสตร์ในการ "เป็นพันธมิตรกับจีนเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต" ช่วงเวลาหวานชื่นระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาจึงสิ้นสุดลง และในที่สุด แผนการจัดหา F16 ก็พังทลายลง

ในที่สุด ความฝันที่จะการแปลงโฉม J-8 ในที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น เดือนมกราคม 1986 คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการป้องกันประเทศแห่งชาติได้ประกาศ “อนุมัติการพัฒนาเครื่องบินขับไล่รุ่นที่ 3 ของประเทศ เครื่องบินขับไล่แบบ J-10 ซึ่งมีชื่อรหัสว่า Project No. 10 โดย Song Wencong วิศวกรอากาศยานซึ่งอายุ 56 ปีในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ออกแบบเครื่องบินขับไล่แบบ J-10 หลังจากความสำเร็จของ J-10 สื่อบางสำนักได้ทบทวนประวัติของ J-10 และมักกล่าวถึงว่าโครงการ J-10 ใหม่นั้น "ได้รับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นประมาณ 500 ล้านหยวน" ไม่ชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวได้รับเงินมากมายขนาดนั้นในช่วงเริ่มต้นหรือไม่ เมื่อ Song Wencong เริ่มต้นการทำงานกับทีมของเขา โดยเขายังคงใช้แนวทางดั้งเดิมที่สุดในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่! ทีมของ Song Wencong ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์เพราะต้องรักษาข้อมูลไว้เป็นความลับอย่างเคร่งครัด นักออกแบบเครื่องบินของสาธารณรัฐใช้พัดลมที่ดังสนั่นไหวทำงานในโกดังที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส สวมเสื้อกั๊กและกางเกงขาสั้น และวาดแบบร่างด้วยมือถึง 67,000 ภาพ! สำหรับทีมของ Song Wencong นอกจากจะมีปัญหาทางเทคนิคแล้ว ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือการขาดเงิน! เนื่องจากครอบครัวของเขาประสบปัญหาทางการเงิน Song Wencong จึงต้องขายบะหมี่ที่แผงขายของหลังเลิกงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ในเมื่อหัวหน้านักออกแบบยังเป็นแบบนี้ สถานการณ์ที่บรรดานักวิจัยและพัฒนาคนอื่น ๆ เผชิญก็ยิ่งจินตนาการได้ยากยิ่งไปกว่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการไม่มีเงินและไม่มีเทคโนโลยีก็คือ Song Wencong กังวลอยู่เสมอว่า J-10 จะประสบชะตากรรมเดียวกับ J-9 ในปี 1989 จีนได้จัดคณะผู้แทนทางทหารชุดใหญ่เพื่อเยือนสหภาพโซเวียต และ Song Wencong ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมคณะผู้แทนด้วย หลังจากการเยี่ยมชมเครื่องบินขับไล่แบบ Su-27SK ซึ่งเครื่องบินรบล้ำสมัยของโซเวียตในขณะนั้นทำให้คณะผู้แทนจากจีนต้องตกตะลึง หลังจากกลับถึงจีน มีคนเสนอทันทีว่า "เมื่อเทียบกับJ-10 แล้ว Su-27 มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมกว่ามาก จึงควรเลิกผลิต J-10 แล้วประหยัดเงินเพื่อซื้อ Su-27 แทน น่าจะคุ้มทุนกว่า"

ผู้นำในยุคนั้นบางคนพูดตรง ๆ ว่าการพัฒนา J-10 คือความ "ต้องการปีนกำแพงเมืองจีนด้วยเงินเพียง 5 เซนต์ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้"! แต่คนรุ่นเก่าในวงการการบินที่นำโดย Song Wencong นั้นมีจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้! ตลอด 18 ปีของการพัฒนา J-10 ที่ยากลำบาก นักออกบบและวิศวกรหลักหลายคนเสียชีวิตระหว่างทำงาน อาทิ Yang Baoshu ผู้จัดการทั่วไปของ Chengfei มีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการพัฒนา J-10 แต่โชคร้ายที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดและเสียชีวิตในวัย 60 ปี Su Dor รองหัวหน้าหน่วยบินทดสอบ J-10 ป่วยเป็นมะเร็งทวารหนักและอุจจาระเป็นเลือดวันละ 3-4 ครั้ง แต่เขายังคงยืนกรานที่จะทำงานจนเสียชีวิต Zhou Zhichuan หัวหน้าวิศวกรการบินทดสอบ อายุ 63 ปีแล้วในขณะนั้น แต่เขาอาศัยอยู่ในฐานบินทดสอบนาน 10 เดือน และเป็นหมดสติหลายครั้งระหว่างการทำงาน แต่สั่งอย่างเคร่งครัดให้แพทย์ที่เดินทางไปด้วย "อย่าบอกใคร" ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีที่ J-10 ขึ้นบินเป็นครั้งแรก

รู้จัก ‘Muhammad Mahmood Alam’ ผู้ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทียิงเครื่องบินรบอินเดียตก 5 ลำ

ข่าวการสู้รบระหว่างอินเดียและปากีสถานในขณะนี้เป็นที่จับตามองของชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยทั้ง 2 ชาติต่างมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ผลจากการปะทะในครั้งนี้อินเดียต้องสูญเสียเครื่องบินรบสมรรถนะสูงไปถึง 5 ลำ โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2025 กองทัพอากาศอินเดียได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale พร้อมขีปนาวุธ SCALP และระเบิด AASM Hammer ออกปฏิบัติการในช่วงเช้าตรู่เพื่อโจมตีค่ายก่อการร้ายหลายแห่งในปากีสถาน ซึ่งปากีสถานระบุว่าได้ยิงเครื่องบินอินเดียตก 5 ลำที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีครั้งนี้ รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale จำนวน 3 ลำ ก่อนหน้านี้ ปากีสถานได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สามารถต่อต้านระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale ของอินเดียได้สำเร็จ ตามรายงานของ CNN เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้ยืนยันถึงการสูญเสียเครื่องบิน Rafale 1 ลำ และกำลังสืบสวนการสูญเสียในการรบเพิ่มเติม โดยปรากฏภาพของชิ้นส่วนเครื่องบิน Rafale หมายเลขประจำเครื่อง BS001 ของกองทัพอากาศอินเดียบนโซเชียลมีเดีย ปากีสถานระบุว่า เครื่องบินรบของอินเดียถูกยิงตกโดยขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาห์ (อากาศสู่อากาศ) แบบ PL-15Es จากเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE (ซึ่งทั้งคู่ผลิตโดยจีน) ในเวลาต่อมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้อ้างว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่เปิดเผยชื่อได้ยืนยันการยิงเครื่องบินรบอินเดียตกอย่างน้อย 2 ลำ (รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบ Rafale) โดยเครื่องบินขับไล่แบบ J-10CE ของปากีสถาน

อันที่จริงแล้ว กองทัพอากาศปากีสถานมีขีดความสามารถในการรบทางอากาศเหนือกว่ากองทัพอากาศอินเดียมานานแล้ว ตั้งแต่การรบทางอากาศในสงครามระหว่างอินเดียและปากีสถานในปี 1965 โดยสงครามครั้งนั้น กองทัพอากาศอินเดียสูญเสียเครื่องบินรบในราว 60-75 ลำ ขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานสูญเสียเครื่องบินรบในราว 19-20 ลำ คิดเป็นอัตราส่วนความสูญเสียของอินเดีย-ปากีสถานที่ 3-3.5 ต่อ 1 ในยุคนั้นกองทัพอากาศอินเดียประจำการด้วยเครื่องบินรบจากอังกฤษ อดีตเจ้าอาณานิคมเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่กองทัพอากาศปากีสถานใช้เครื่องบินรบส่วนใหญ่จากสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ เครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre และ F-104

หนึ่งในเสืออากาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองทัพอากาศปากีสถาน ได้แก่ นาวาอากาศเอก(พิเศษ) Muhammad Mahmood Alam (6 กรกฎาคม 1935 – 18 มีนาคม 2013) เป็นที่รู้จักในชื่อ M.M. Alam หรือ มังกรน้อย (Little dragon) หรือ M.M. Sabre เป็นนักบินขับไล่และวีรบุรุษสงครามแห่งปากีสถาน เขาเป็นเสืออากาศที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากกองทัพอากาศปากีสถานว่าสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของอินเดียตกได้ 5 ลำในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาทีในสงครามอินเดีย-ปากีสถานในปี 1965 M.M. Alam เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 1935 ในครอบครัวชาวเบงกอลมุสลิม เขาเกิดและเติบโตในนครกัลกัตตา เบงกอล จักรวรรดิอินเดียของอังกฤษในขณะนั้น เขาพูดภาษาเบงกอลได้คล่องเนื่องจากเป็นภาษาแม่ ด้วยมารดามีเชื้อสายเบงกอลและบิดามีเชื้อสายบิฮารี โดยอพยพมาจากปัตนาและต่อมาตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดเบงกอล ต่อมาครอบครัวของเขาอพยพมาอพยพต่อไปยังดินแดนเบงกอลตะวันออก (ซึ่งต่อมากลายเป็นปากีสถานตะวันออกและบังกลาเทศในปัจจุบัน) หลังจากก่อตั้งปากีสถานในปี 1947 เขาจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในปากีสถานตะวันออก โดยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐบาลในเมืองธากาในปี 1951 เขาเข้าร่วมกองทัพอากาศปากีสถานในปี 1952 โดยเข้าประจำการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1953 เนื่องจากเป็นพี่คนโตในบรรดาพี่น้อง 11 คน เขาจึงไม่ได้แต่งงานเนื่องจากต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูครอบครัว น้องชายของเขาเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในทางวิชาการที่หลากหลาย อาทิ M. Shaheed Alam นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น บอสตัน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และ M. Sajjad Alam นักฟิสิกส์อนุภาคแห่งมหาวิทยาลัยออลบานี (SUNY) มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

วันที่ 7 กันยายน 1965 ในช่วงสงครามอินเดีย-ปากีสถาน M.M. Alam ประจำการอยู่กับฝูงบินที่ 11 ฐานทัพอากาศ Sargodha และทำการบินด้วยเครื่องบินขับไล่แบบ F-86F Sabre เขาประสบความสำเร็จในภารกิจสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์การรบทางอากาศ โดยสามารถยิงเครื่องบินขับไล่แบบ Hawker Hunter ของกองทัพอากาศอินเดียตกเพียงลำพังได้ถึง 5 ลำภายในเวลาไม่ถึงสองนาที โดย 4 ลำใช้เวลาเพียง 30 วินาทีเท่านั้น โดยมีการกล่าวอ้างว่า ครั้งนั้นเขาสามารถยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกถึง 7 ลำ แต่ 2 ลำในจำนวนนี้ถูกจัดว่า "น่าจะ" ถูกยิงตก (ซึ่งไม่มีการยืนยัน) โดยเขาเล่าว่าในขณะนั้น เขาได้บิน "หมุนตัว 270 องศาด้วยความเร็วประมาณ 12 องศาต่อวินาที และยิงเครื่องบินรบ Hunter ตกไป 4 ลำรวด และต่อมาอีก 1 ลำ" ผลงานอันน่าทึ่งนี้ทำให้เขาได้รับการยอมรับทั่วโลกและได้รับเกียรติอันหายากในการเป็น 'สุดยอดเสืออากาศในหนึ่งวัน' ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มอบให้กับนักบินขับไล่ที่สามารถยิงเครื่องบินของศัตรูตกได้ตั้งแต่ 5 ลำขึ้นไปในหนึ่งวัน ผลงานของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ทักษะ ความแม่นยำ และความกล้าหาญที่ไม่มีใครเทียบได้ภายใต้การโจมตี ตำนานของ M.M. Alam ยังคงสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากมายให้กับชาวปากีสถาน และชื่อของเขายังได้รับการจารึกไว้ในปากีสถานผ่านเกียรติยศต่างๆ เช่น ถนน M. M. Alam ซึ่งเป็นถนนสายหลักในเมืองลาฮอร์ รัฐปัญจาบ ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา ในสงครามปากีสถาน-อินเดียปี 1965 ในการสู้รบทางอากาศ เขาสามารถยิงเครื่องบินรบอินเดียตกได้ทั้งหมด 9 ลำ (และน่าจะยิงตกอีก 2 ลำ)

M.M. Alam เป็นนักบินขับไล่คนแรกของกองทัพอากาศปากีสถานที่ถูกจัดให้อยู่ในรายชื่อหอเกียรติยศ (Hall of Fame) ของพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศปากีสถาน ในนครการาจี และได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งชาติของปากีสถาน รางวัล 'Sitara-e-Jurat' และเหรียญ BAR อีกด้วย ในปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการฝูงเครื่องบินขับไล่แบบ Dassault Mirage III ฝูงบินแรกที่กองทัพอากาศปากีสถานจัดหา ในปี 1982 เขาเกษียณอายุราชการและย้ายไปอยู่ที่นครการาจี เขาปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดในช่วงบั้นปลายชีวิต ในบางครั้ง เขาจะรับเชิญให้ไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในปากีสถาน เขาสะสมหนังสือเป็นจำนวนมาก และอ่านหนังสือพิมพ์วันละหลายฉบับเพื่อติดตามข่าวสาร หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของปากีสถานระบุว่า "M.M. Alam เป็นชายที่เคารพตัวเองมาก เขาใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและนับถือตัวเองอย่างที่สุด เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นกันเองกับเพื่อนที่เขาไว้ใจ" M.M. Alam เข้ารับการรักษาปัญหาทางเดินหายใจเป็นเวลา 18 เดือนที่โรงพยาบาล PNS Shifa ของฐานทัพเรือปากีสถานในนครการาจี และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2013 สิริอายุ 77 ปี มีการสวดภาวนาเพื่อไว้อาลัย ณ ฐานทัพอากาศ PAF Masroor ซึ่งเป็นที่ที่เขาประจำการใช้ในช่วงหลายปีที่สำคัญในอาชีพทหาร เขาถูกฝังที่สุสาน Shuhuda (ผู้พลีชีพ) ซึ่งตั้งอยู่ภายในฐานทัพอากาศ Masroor

BRN แถลงเสียใจ!! แต่ความรุนแรงยังต่อเนื่องสวนทางกับคำขอโทษ กลบไม่มิดความจริง…เมื่อคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ถูกใช้เพื่อแลกกับชีวิตเด็ก พระ และครู

(6 พ.ค. 68) จากโพสต์ล่าสุดของเพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี ถึงเรื่อง “คำขอโทษที่ลอยอยู่เหนือซากศพ: ความจริงที่สวนทางกับคำแถลงของ BRN”

แม้ BRN หรือแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี จะออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พร้อมยืนยันว่า “ไม่มีนโยบายโจมตีพลเรือน” และอ้างว่ายึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ แต่ประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชายแดนใต้กลับตอกย้ำความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้—ว่าพลเรือนตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่องจากการกระทำที่มีลักษณะเป็นการมุ่งเป้าโดยตรงจากกลุ่มติดอาวุธที่อ้างชื่อ BRN เอง

ในเดือนเมษายน 2568 กลุ่มติดอาวุธได้ยิงถล่มรถที่พระภิกษุและสามเณรใช้บิณฑบาตในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา ส่งผลให้สามเณรอายุ 16 ปีเสียชีวิต และเด็กชายวัย 12 ปีได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ และไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ชีวิตของเยาวชนต้องดับสูญเพียงเพราะความรุนแรงที่กลุ่มติดอาวุธอ้างว่า “ต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี”

ย้อนไปเมื่อปี 2560 ห้างบิ๊กซีในจังหวัดปัตตานีถูกโจมตีด้วยระเบิดสองลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึง 56 ราย รวมถึงเด็กเล็ก ขณะที่ปี 2562 จุดตรวจในจังหวัดยะลาถูกลอบโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสียชีวิตถึง 15 ราย—ล้วนเป็นบุคคลไร้อาวุธ ผู้ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น

ยิ่งไปกว่านั้น สถิติการสังหารครูในพื้นที่ภาคใต้ระหว่างปี 2547–2556 ระบุว่าครูอย่างน้อย 157 รายถูกสังหาร ไม่ใช่เพราะมีบทบาททางทหาร แต่เพียงเพราะทำหน้าที่ให้ความรู้เด็กๆ ในพื้นที่ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีรายงานว่าเด็กอายุ 14 ปีขึ้นไปถูกกลุ่มติดอาวุธเกณฑ์เข้าฝึกและใช้เป็นผู้สอดแนม นั่นย่อมขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”

ในบริบทนี้ การที่ BRN ออกแถลงการณ์เสียใจภายหลังการสังหารเด็ก คนชรา หรือพระสงฆ์ แทนที่จะกล่าวถึงความรับผิดชอบหรือแสดงเจตจำนงที่จะยุติการใช้ความรุนแรง กลับยิ่งทำให้แถลงการณ์กลายเป็นเพียงคำพูดลอยๆ ที่ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมแต่อย่างใด

เพราะการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีนั้น ต้องไม่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ และไม่ควรมีเด็กคนใดต้องโตมากับเสียงปืนเพื่อให้ใครบางคน “ได้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

หากการต่อสู้ของ BRN ยังคงดำเนินไปด้วยแนวทางเดิม แถลงการณ์ใดๆ ที่ตามมาจะเป็นเพียงฉากหน้าของการใช้กำลังที่ไร้ความชอบธรรม และจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากสังคมไทยหรือประชาคมโลกได้อย่างแท้จริง

BRN ใช้!! ‘ความเงียบ’ เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้าย ซุ่มยิง ลอบสังหาร ฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนพิการ อย่างโหดเหี้ยม

(5 พ.ค. 68) ขณะที่ประเทศไทยกำลังสลดกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ — เด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกยิงเสียชีวิต ผู้หญิงตาบอดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม — กลับมีบางเสียงในสังคมผลักดันให้รัฐไทย "เจรจา" กับกลุ่มผู้ก่อเหตุภายใต้หน้ากากคำว่า "สันติภาพ" และ "หยุดยิงชั่วคราว" 15 วัน จากกลุ่ม BRN

ข้อเสนอของ BRN ดังกล่าวถูกส่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” และ “บรรยากาศสันติภาพ” แต่ตลอดช่วงเวลากว่าสามเดือนหลังจากนั้น — แทนที่เราจะได้เห็นท่าทีสงบ — กลับเต็มไปด้วยข่าวการซุ่มยิง การลอบสังหาร และที่รุนแรงที่สุดคือการฆ่าเด็ก ผู้หญิง และผู้พิการ

นั่นคือหลักฐานชัดเจนว่า BRN ไม่ได้รอการตอบรับ — แต่ใช้ “ความเงียบ” เป็นข้ออ้างในการเดินหน้าก่อการร้ายต่อ

1. ข้อเสนอที่ขาดความจริงใจ ไม่ใช่หนทางของประเทศไทย
“สันติภาพ” ที่ปราศจากจริยธรรม ไม่ใช่สันติภาพที่ประเทศไทยควรยอมรับ ข้อเสนอของ BRN ฟังดูหรูหราทางเทคนิค แต่ในทางคุณธรรม มันคือการขอคืนภาพลักษณ์จากสังคมโลก โดยไม่ต้องไถ่โทษให้เหยื่อแม้แต่รายเดียว ประเทศไทยจะให้รางวัลกับความรุนแรงหรือ??

2. หยุดยิง 15 วัน หรือหยุดเพื่อตั้งลำยิงใหม่?
ข้อเสนอ “หยุดยิงสองฝ่าย” โดยตั้งทีมติดตามจาก CSO และ NGO ที่ไร้ความชัดเจนในจุดยืน อาจเป็นเพียงกลไกให้ BRN ซุ่มสะสมกำลังใหม่ พื้นที่หยุดยิงคือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่สำหรับประชาชน

3. ความเงียบของทางการไทย คือหลักประกันว่าประเทศนี้ไม่อ่อนข้อให้ความตาย
การที่ไทยยังไม่ตอบรับตลอด 3 เดือน ไม่ได้แปลว่าไม่ใส่ใจ แต่เป็นการแสดงจุดยืนอย่างมีหลักการ เพราะความเงียบไม่ควรถูกตอบแทนด้วยกระสุนที่ยิงใส่เด็กวัย 9 ขวบ หรือคนชราที่ไร้อาวุธ

4. หาก BRN จริงใจ – หยุดยิงโดยไม่ต้องต่อรอง
ประเทศไทยไม่ใช่ผู้เริ่มความรุนแรง และไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายยื่นมือก่อน หาก BRN ต้องการเจรจาจริง — ขอให้ปลดอาวุธ หยุดทุกการกระทำอันเป็นภัยต่อประชาชน และแสดงความเสียใจกับเหยื่อ เสียก่อน

5. ยื่นข้อเสนอแล้วฆ่าเด็ก = เจตนาไม่บริสุทธิ์
การที่ BRN ยื่นข้อเสนอหยุดยิง แต่กลับดำเนินความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อเป้าหมายที่อ่อนแอที่สุดของสังคม คือ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อแนวคิด “สันติภาพ”

หากยังมีใครพยายามผลักให้ประเทศไทยยอมอ่อนข้อในสถานการณ์เช่นนี้ — จงอย่าหลอกตัวเองว่านั่นคือสันติภาพ แต่คือการเปิดประตูให้กับการทำร้ายซ้ำอีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top