Thursday, 28 March 2024
COLUMNIST

3 เหตุผลขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน เพื่อ ‘ปกป้องชีวิตทรัพย์สิน-ล่าสัตว์-การกีฬา’

การใช้ปืนยิงทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีโทษตามกฎหมายสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต แต่เมื่อผู้ก่อเหตุเป็นเพียงเด็ก เหตุใดผู้ก่อเหตุจึงสามารถมีอาวุธร้ายแรงไว้ในครอบครองได้

สถิติการครอบครองปืนในประเทศไทยมีมากถึง 10.3 ล้านกระบอก มากเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ซึ่งสิงค์โปร์เป็นประเทศในอาเซียนที่ประชาชนมีปืนในครอบครองน้อยที่สุดเพียง 20,000 กระบอก

ในประเทศไทยหากต้องการมีปืนสักกระบอก ต้องทำอย่างไรบ้าง และจะมีปืนไว้เพื่อประโยชน์อะไร

พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการครอบครองปืนของประชาชน ทำให้รัฐสามารถควบคุม เก็บข้อมูลและและเป็นการจำกัดจำนวนของปืนที่มีอยู่ในประเทศไทย

หากประชาชนทั่วไปจะมีปืนสักกระบอกต้องเป็นไปเพื่อ 
1.ป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน 
2.ใช้ล่าสัตว์ 
3.เพื่อการกีฬา

ใบอนุญาตเกี่ยวกับอาวุธปืนที่สำคัญได้แก่ 
-การขออนุญาตซื้อขายปืน (แบบ ป.3)

-การอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) มีสองประเภทคือชั่วคราว 6 เดือน และแบบถาวร

-ใบพกพา ทั่วราชอาณาจักร หรือในเขตจังหวัด (แบบ ป.12)

การพกพาอาวุธปืนไปในทางหรือที่สาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะเป็นปืนที่มีทะเบียนก็เป็นความผิด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น เช่น การใช้ป้องกันทรัพย์สิน หรือการนำปืนไปใช้ในการแข่งขันกีฬา

ยกเว้นอาวุธสงคราม ที่จะไม่มีการอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถครอบครองได้

ปืน BB GUN หรือปืน แบลงค์ กัน ถือเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืน หมายถึง สิ่งซึ่งมีรูปและลักษณะอันน่าจะทำให้หลงชื่อว่าเป็นอาวุธปืน การจะมีไว้ครอบครองไม่ต้องขออนุญาตเหมือนปืนจริง

ถึงเวลาแล้วที่การให้มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธ ควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้น เช่น การกำหนดระยะเวลาใบอนุญาต การประเมินสภาพจิตก่อนออกใบอนุญาต เพื่อให้การควบคุมจำนวนปืน เป็นประโยชน์ในการป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับสุจริตชน

‘Zhang Xinyang’ สุดยอดเด็กจีนอัจฉริยะ จบโทตอน 15 ต่อเอกตอน 16 สู่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักโต เพราะพิษผลพวงจากความคาดหวังของพ่อ-แม่

‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะ...ผู้ล้มเหลว

ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ของ ‘พ่อ-แม่’ อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสของผู้เป็นลูก ข่าวของเด็กชายวัย 14 ปี ที่ใช้อาวุธปืนกราดยิงในห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน นำมาซึ่งความหดหู่เศร้าใจแก่สังคมไทยอย่างมาก มีเรื่องราวที่กล่าวถึงมากมาย ซึ่งรวมแล้วสรุปความได้ว่า “ความคาดหวังต่อลูกของพ่อ-แม่นั้น เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกำหนดชะตาชีวิตของเด็ก”

เคยนำเรื่องของ ‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’  https://thestatestimes.com/post/2023061701 มาเล่าแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้จะขอนำเรื่องราวของ ‘Zhang Xinyang’ อัจฉริยะชาวจีน ผู้ซึ่งจบปริญญาตรีในวัยเพียงอายุ 13 ปี จบปริญญาโท และเรียนปริญญาเอกด้วยวัยเพียง 16 ปี ปัจจุบันนี้เขาอายุ 28 ปีแล้ว แม้จะมีวุฒิปริญญาเอกติดตัว แต่ทุกวันนี้เขายังต้องขอเงินพ่อ-แม่ใช้อยู่เลย

‘Zhang Xinyang’ วัย 28 ปี ผู้ซึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สุดยอดเด็กอัจฉริยะของจีน’ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “การนั่งเฉย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย คือกุญแจสู่ความสุขตลอดชีวิต” ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมานั้น Zhang กล่าวว่า ตอนนี้เขากำลังทำงานฟรีแลนซ์ และเขายังต้องขอพึ่งพาทางการเงินจากพ่อแม่ของเขาอยู่

Zhang เข้าเรียนปริญญาตรีที่วิทยาลัยวิศวกรรม Tianjin เมื่ออายุ 10 ขวบ โดยพ่อของเขาต้องลาออกจากงานเพื่อตามมาดูแล และแม่ของเขาซึ่งเป็นครู ต้องย้ายมาสอนที่โรงเรียนใกล้ ๆ ครอบครัวต้องพักอาศัยอยู่รวมกันในหอพักของมหาวิทยาลัย และเมื่ออายุ 13 ปี เขาได้เข้าเรียนในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง ซึ่งสร้างสถิติใหม่ในฐานะบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดของจีน ในปี ค.ศ. 2011 เด็กชายวัย 16 ปีผู้นี้กลายเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ที่มหาวิทยาลัย Beihang ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของกรุงปักกิ่ง

และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็เรียกร้องให้พ่อ-แม่ให้ซื้ออพาร์ตเมนต์มูลค่า 2 ล้านหยวน ในกรุงปักกิ่งให้เขา หากพวกท่านไม่ยอมซื้อ Zhang บอกกับพ่อ-แม่ของเขาว่า จะไม่ยอมสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของเขา และจะปฏิเสธข้อเสนอทุนระดับปริญญาเอกสำหรับเขาอีกด้วย

“พ่อ-แม่คาดหวังให้ผมอยู่ในปักกิ่งมากกว่าใคร ๆ ดังนั้น พ่อ-แม่จึงต้องพยายามเพื่อสิ่งนี้ด้วยอย่างหนัก” Zhang บอกกับพ่อแม่ของเขา ซึ่งมาจากเมืองเล็ก ๆ ในมณฑลเหลียวหนิง

ความต้องการของ Zhang ในขณะนั้น เกิดจากความเชื่อของเขาที่ว่า การเป็นเจ้าของบ้าน การได้งานที่ดี และการได้จดทะเบียนเป็นผู้อาศัยในกรุงปักกิ่ง ถือเป็นจุดเด่นของความสำเร็จในชีวิต และเพื่อเอาใจเขา พ่อ-แม่ของ Zhang ต้องลงเอยด้วยการเช่าอพาร์ตเมนต์ในกรุงปักกิ่ง แล้วโกหกลูกชายว่าเป็นอพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาซื้อ นักวิจารณ์ออนไลน์บางคนกล่าวโทษพ่อ-แม่ของ Zhang ที่หมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังให้ Zhang เป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ในที่สุดแล้ว… เด็กก็คือเด็ก

แม้ว่าในที่สุด หลังจากใช้เวลาศึกษามากว่า 8 ปี Zhang จึงสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ. 2019 จากนั้นแล้ว Zhang Xinyang ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย Ningxia เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะลาออกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2021 ปัจจุบัน Zhang ทำงานอิสระ อาศัยเช่าอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในนครเซี่ยงไฮ้ และมีเงินในบัญชีธนาคารเพียงแค่ไม่กี่พันหยวน แต่ได้รับเบี้ยเลี้ยง 10,000 หยวนจากพ่อ-แม่ทุก ๆ 2-3 เดือน Zhang อ้างว่า “พวกเขาเป็นหนี้ผม” พร้อมเสริมว่า “อพาร์ทเมนต์ที่พวกเขาไม่เคยซื้อให้ผม ในตอนนี้น่าจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวนแล้ว”

อดีตเด็กอัจฉริยะรายนี้กล่าวต่อไปว่า เขาพอใจกับสถานการณ์ปัจจุบันของเขา Zhang พร้อมพูดถึงรายได้ที่น้อยนิดของเขาว่า “ผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต ไม่เพียงแต่ผมสามารถพึ่งพาพ่อแม่ได้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปู่-ย่า และ ตา-ยายอีกด้วย”

นอกจากนี้เขายังยอมรับว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างห่างเหินและเย็นชากับพ่อ-แม่ เพราะเขารู้สึกว่า พวกท่านทั้ง 2 คน ควบคุมเขามากจนเกินไป “เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการให้คำแนะนำกับผม” Zhang กล่าว

มุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปของ Zhang และการพึ่งพาพ่อแม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการสนทนาออนไลน์อย่างดุเดือด อาทิ “เขามีพรสวรรค์ที่ดี” สมาชิก Weibo รายหนึ่งกล่าว “แต่เพราะพ่อ-แม่ของเขาหมกมุ่นอยู่กับการปลูกฝังความเป็นอัจฉริยะ และในที่สุดเขาก็ชดเชยกระบวนการเติบโตที่ขาดหายไปในอีกทางหนึ่ง” บางคนรู้สึกเสียดาย เมื่อนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของ Zhang โดยระบุว่า มันเป็น ‘ความล้มเหลวของอัจฉริยะ’

และในทางกลับกัน มีอีกหลาย ๆ คน ที่รู้สึกว่า ยังไม่สายเกินไปที่ Zhang จะกลับตัวเพื่อพลิกสถานการณ์ อาจารย์ Zhang Yuehui ผู้เคยสอนเขาในระดับปริญญาตรีบอกกับสื่อว่า เขารู้สึกว่าอดีตนักศึกษาของเขายังสามารถบรรลุ ‘สิ่งที่ยิ่งใหญ่’ ได้ ถ้าเขาต้องการ เพียงแต่ Zhang จะต้อง ‘ไม่ยอมแพ้และย่อท้อ’

ความสุขที่แท้จริงของพ่อ-แม่แล้ว ต้องเป็น การที่ได้รับรู้ว่า “ลูก ๆ ของพวกเขาเป็นคนดี”

‘การค้น’ เครื่องมือสำคัญสำหรับจับโจร อำนาจ จนท.ตามหลักปฏิญญาสากล

ก่อน พ.ศ. 2540 การค้นเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อทำการสืบสวน จับกุม ผู้กระทำผิด

เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้กำหนดหลักเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับการค้นว่า... 

การค้นสถานที่ส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า ที่รโหฐาน จะกระทำไม่ได้ถ้าไม่มีคำสั่งหรือหมายค้นที่ออกโดยศาล

ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ตามหลักที่ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในเคหสถาน 

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็ได้มีการระบุหลักเกณฑ์สำคัญดังกล่าวไว้เช่นกัน โดยการค้นตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์หลักๆ อยู่ 2 ประการ…

ประการที่ 1 ค้นเพื่อหาคน ทั้งคนร้ายและผู้ที่อาจถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้
ประการที่ 2 ค้นเพื่อหาสิ่งของ ได้แก่สิ่งของที่ผิดกฎหมายเพื่อพบและยึดสิ่งของนั้นๆ

>> ผู้มีอำนาจค้น 1.ตำรวจ (ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป) 2.พนักงานฝ่ายปกครอง (ระดับสามขึ้นไป)

>> วิธีการค้น ตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครอง สั่งให้เข้าของหรือคนอยู่ในนั้น ยินยอมให้เข้าไปค้นได้ ถ้าไม่ยินยอม มีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไปได้ ในกรณีจำเป็นจะเปิดหรือทำลาย ประตูหรือช่องทางต่างๆ หรือสิ่งกีดขวางได้ ต้องพยายามมิให้เกิดความเสียหายหรือกระจัดกระจายเท่าที่จะทำได้

>> ช่วงเวลาที่ค้นได้ ต้องทำการค้นในเวลากลางวัน ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก ยกเว้น ค้นตั้งแต่เวลากลางวันแล้วยังไม่แล้วเสร็จ หรือในกรณีฉุกเฉินหรือมีกฎหมายอื่นให้ค้นได้ หรือการค้นเพื่อจับผู้ร้ายสำคัญแต่ต้องได้รับอนุญาตจากศาล

ประชาชนทั่วไปหากมีเหตุการณ์ถูกค้นบ้าน ให้ตั้งสติและดำเนินการดังนี้…

1.ตรวจสอบหมายค้น เช่น ศาลที่ออกหมาย ฐานความผิด รายละเอียดต่างๆ ในเอกสาร
2.สอบถามรายละเอียดของเจ้าหน้าที่ผู้ถือหมายว่ามาจากหน่วยงานใด 
3.หากอยู่ตามลำพังควรขอให้เจ้าหน้าที่รอให้มีผู้ที่เราไว้วางใจเดินทางมาถึงที่ตรวจค้นก่อนจึงอนุญาตให้ค้น ทั้งนี้ต้องไม่เป็นการประวิงเวลาเพื่อการอื่น 
4.ควรอนุญาตให้ตรวจค้นทีละห้อง ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพขณะเจ้าหน้าที่ตรวจค้น 
5.เมื่อการตรวจค้นแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่จะทำรายละเอียดการตรวจค้น ควรให้เจ้าหน้าที่ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานและเก็บเอกสารดังกล่าวไว้

อย่างไรก็ตาม หากการค้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของบ้านสามารถอ้างสิทธิป้องกันตามกฎหมายได้ 

ทั้งนี้ ในส่วนของข้อยกเว้นหมายค้นนั้น หากเจ้าบ้านยินยอม อาจไม่ต้องมีหมายค้น ก็สามารถทำการตรวจค้นได้ แต่ผู้ยินยอมต้องเป็นเจ้าของบ้านหรือคู่สมรส

สำหรับการค้นบ้านพักบิ๊กตำรวจที่เป็นกระแสในระหว่างนี้ ในหมายค้นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อบิ๊กคนดังกล่าว หมายค้นก็ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากในหมายค้นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อเจ้าบ้านแต่อย่างใด อีกทั้งในขั้นตอนการออกหมายค้น จะต้องมีหลักฐานพอสมควร ที่ทำให้ศาลเชื่อว่ามีบุคคลที่กระทำความผิด หรือมีสิ่งของที่เป็นความผิดหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาล ไม่ว่าบ้านพักดังกล่าวจะเป็นของใคร

เป็นไปตามหลักปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ว่า ทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายและมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด

ประธานาธิบดียอดอัจฉริยะ ฉายา ‘บิดาแห่งเทคโนโลยี’ ของอินโดนีเซีย ผู้ปฏิวัติความปลอดภัยและยกระดับประสิทธิภาพระบบการบินของโลก

‘B.J. Habibie’ ประธานาธิบดียอดอัจฉริยะแห่งอินโดนีเซีย

‘ประธานาธิบดี’ เป็นตำแหน่งประมุขของประเทศที่มีการปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republic) และในอีกหลายประเทศที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นทั้งตำแหน่งประมุขของประเทศและประมุขฝ่ายบริหาร เช่น สหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศใกล้ ๆ บ้านเราที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นทั้งตำแหน่งประมุขของประเทศและประมุขฝ่ายบริหาร ได้แก่ อินโดนีเซีย
.
หากนึกถึงประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนอาจนึกถึงประธานาธิบดีเหล่านี้ อาทิ Abraham Lincoln, John F. Kennedy, Nelson Mandela หรือ Barack Obama แต่เชื่อหรือไม่ ว่ามีประธานาธิบดีคนหนึ่งที่ได้รับสิทธิบัตรในสาขาการบินถึง 46 ฉบับ เขาผู้นั้น คือ ‘Bacharuddin Jusuf Habibie’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘B.J. Habibie’ ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ค.ศ. 1998-1999)

‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ เกิดเมื่อ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1936 จังหวัดซูลาเวซีใต้ ขณะนั้นอินโดนีเซียยังเป็นหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ (เนื่องจากเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์) หลังจากจบการศึกษาสถาบันเทคโนโลยีบันดุง เมืองบันดุง แล้ว ประธานาธิบดี Habibie ได้เดินทางไปยังเมือง Delft ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อศึกษาวิชาการบินและอวกาศที่ Technische Hogeschool Delft (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Delft) แต่ด้วยเหตุผลทางการเมือง (กรณีพิพาทนิวกินีตะวันตก ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอินโดนีเซีย) เขาจึงต้องย้ายไปศึกษาต่อที่ Technische Hochschule Aachen (มหาวิทยาลัย RWTH Aachen) ในเมือง Aachen ประเทศเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1960 ประธานาธิบดี Habibie ได้รับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ของเยอรมนี (Diplom-Ingenieur) และยังคงอยู่ในเยอรมนีในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัยของ ‘Hans Ebner’ ที่ Lehrstuhl und Institut für Leichtbau, RWTH Aachen เพื่อทำการวิจัยในระดับปริญญาเอก

‘ประธานาธิบดี Habibie’ แต่งงานกับแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun’ วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1962

ในปี ค.ศ. 1962 ประธานาธิบดี Habibie ได้ลาหยุดเพื่อเดินทางกลับอินโดนีเซียเป็นเวลา 3 เดือน ช่วงเวลานี้เองที่ เขาได้พบกับแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun’ เพื่อนในวัยเด็กสมัยมัธยมต้นและมัธยมปลายที่ SMA Kristen Dago (โรงเรียนมัธยม Dago Christian) เมืองบันดุง ทั้งสองได้เข้าพิธีสมรสในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1962 และเดินทางกลับเยอรมนี หลังจากนั้นไม่นาน Habibie และภรรยาของเขา ก็ได้ตั้งรกรากในเมือง Aachen ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะย้ายไปยังเมือง Oberforstbach ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1963 โดยพวกเขาได้ให้กำเนิดลูกชาย คือ ‘Ilham Akbar Habibie’

ต่อมา ประธานาธิบดี Habibie ได้ร่วมงานกับบริษัทค้าหุ้นการรถไฟ ‘Waggonfabrik Talbot’ ซึ่งเขาได้เป็นที่ปรึกษาในการออกแบบตู้รถไฟ ในปี ค.ศ. 1965 ประธานาธิบดี Habibie ทำวิทยานิพนธ์ในสาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศ และได้รับคะแนน ‘ดีมาก’ ทำให้เขาได้รับ ‘Doktoringenieur’ (Dr.-Ing.) ในปีเดียวกันนั้น เขายอมรับข้อเสนอของ Hans Ebner ที่จะวิจัยต่อเกี่ยวกับ Thermoelastisitas และทำงานด้าน Habilitation แต่เขาปฏิเสธข้อเสนอที่จะเข้าร่วมกับ RWTH ในตำแหน่งศาสตราจารย์ วิทยานิพนธ์ของเขานั้นยังดึงดูดข้อเสนอการจ้างงานจากบริษัทต่าง ๆ เช่น Boeing และ Airbus ซึ่งประธานาธิบดี Habibie ก็ได้ปฏิเสธอีกครั้ง

‘ประธานาธิบดี Habibie’ ได้ร่วมงานกับ ‘Messerschmitt-Bölkow-Blohm’ ในเมือง Hamburg ที่นั่น เขาได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับอุณหพลศาสตร์ การก่อสร้าง และอากาศพลศาสตร์ที่เรียกว่า ‘อุณหพลศาสตร์’ (Habibie Factor) เขามีส่วนในการพัฒนาเครื่องบินโดยสาร ‘Airbus A-300B’ ในปี พ.ศ. 2517 ต่อมาเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานบริษัท ในปี ค.ศ. 1974 ‘ประธานาธิบดี Suharto’ ได้ขอให้เขากลับไปยังอินโดนีเซีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศ

ในตอนแรก ประธานาธิบดี Habibie ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพิเศษของ ‘Ibnu Sutowo’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทน้ำมันของรัฐ Pertamina และประธานหน่วยงานเพื่อการประเมินและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี (Badan Pengkajian dan Penerapan Teknologi (BPPT)) อีก 2 ปีต่อมา เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ของ ‘Industri Pesawat Terbang Nurtanio’ (IPTN) หรือ ‘Nurtanio Aircraft Industry’ โดยในขณะนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งใหม่ของอินโดนีเซีย ซึ่งในปี ค.ศ. 1985 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘Industri Pesawat Terbang Nusantara’ (Nusantara Aircraft Industry หรือ ‘IPTN’) และเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘Indonesia Aerospace’ (PT. Dirgantara Indonesia) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000


เครื่องบินโดยสาร ‘N-250 Gatotkaca’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบเพียง 2 ลำ

ในปี ค.ศ. 1978 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการวิจัยและเทคโนโลยี (Menteri Negara Riset dan Teknologi, Menristek) แต่ยังคงมีบทบาทสำคัญใน ‘เชิงกลยุทธ์’ ของ IPTN โดยในช่วงทศวรรษ 1980 IPTN เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเชี่ยวชาญด้านการผลิตเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก และกลายเป็นผู้ผลิตเครื่องบิน ซึ่งรวมถึงเฮลิคอปเตอร์แบบ Puma และเครื่องบิน CASA และเป็นผู้บุกเบิกออกแบบและสร้างเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก ‘N-250 Gatotkaca’ ในปี ค.ศ. 1995 แต่โครงการนี้ประสบความล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของอินโดนีเซีย ประธานาธิบดี Habibie ได้นำแนวทางที่เรียกว่า ‘เริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดและสิ้นสุดที่จุดเริ่มต้น’ วิธีการนี้ องค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การวิจัยขั้นพื้นฐาน จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ต้องให้ความสำคัญ ในขณะที่การผลิตเครื่องบินจริงถือเป็นวัตถุประสงค์แรกที่สำคัญที่สุด

ไม่ถึง 3 เดือน หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 7 เมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2541 ประธานาธิบดี Habibie ก็ต้องเข้ารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดี Suharto ซึ่งลาออกหลังจากดำรงตำแหน่งมา 32 ปี ในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงจุดสังเกตในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคการปฏิรูป

เมื่อขึ้นเป็นประธานาธิบดี เขาได้เปิดให้กฎหมายสื่อและพรรคการเมืองของอินโดนีเซียมีอิสระเสรีมากขึ้น และจัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก่อนกำหนดถึง 3 ปี ซึ่งส่งผลให้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาสิ้นสุดลง ด้วยวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 517 วันและรองประธานาธิบดี 71 วัน ซึ่งถือว่าสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย

ขณะที่ดำรงตำแหน่งนั้น ประธานาธิบดี Habibie ต้องประสบพบเจอกับปัญหาหลายประการ ได้แก่
• การเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย
• การถูกโจมตีว่าเขาไม่สามารถก้าวพ้นจากอำนาจของประธานาธิบดี Suharto ได้
• ไม่มีฐานการเมืองมาสนับสนุนอย่างจริงจัง กล่าวคือ ‘พรรคกลการ์’ (Golkar : Partai Golongan Karya) ของอดีตประธานาธิบดี Suharto ไม่ได้ให้การสนับสนุนเขา 
• การลดจำนวนที่นั่งในรัฐสภาของทหาร และห้ามข้าราชการทำกิจกรรมทางการเมือง ทำให้กองทัพอินโดนีเซียก็ไม่ให้การสนับสนุนเขา
• เรื่องทุจริตอื้อฉาวเกิดขึ้นเกี่ยวกับธนาคารบาหลี ซึ่งมีการกล่าวหาว่าลูกชายของเขามีส่วนเกี่ยวข้อง

แต่ประธานาธิบดี Habibie ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติ ในเรื่องการจัดการกับปัญหา ‘ติมอร์ตะวันออก’ แม้ว่า ประธานาธิบดี Habibie จะไม่เห็นด้วยกับการให้ติมอร์ตะวันออกเป็นเอกราช แต่เขาเห็นสมควรว่า ชาวติมอร์ตะวันออกควรลงประชามติเลือกว่าจะอยู่กับอินโดนีเซียต่อไปหรือเป็นเอกราช ซึ่งท้ายที่สุด ชาวติมอร์ตะวันออกก็ต้องการเป็นอิสระ ประธานาธิบดี Habibie จึงให้เอกราชแก่ติมอร์ตะวันออก จนทำให้ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ไม่พอใจ ด้วยมองเป็นการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในชาติ

รัฐบาลของประธานาธิบดี Habibie ทำให้เศรษฐกิจของอินโดนีเซียมีเสถียรภาพ เมื่อเผชิญกับวิกฤติการเงินในเอเชีย และความวุ่นวายในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ของประธานาธิบดี Suharto รัฐบาลของประธานาธิบดี Habibie มีท่าทีประนีประนอมต่อชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีน ซึ่งตกเป็นเป้าหมายในการจลาจลในปี ค.ศ. 1998 เนื่องจากความเหลื่อมล้ำของสถานะทางชนชั้นในเรื่องเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1998 ประธานาธิบดี Habibie ได้ออก ‘คำสั่งของประธานาธิบดี’ ห้ามใช้คำว่า ‘pribumi’ และ ‘non-pribumi’ เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างชาวอินโดนีเซียพื้นถิ่น และชาวอินโดนีเซียที่ไม่ใช่ชนพื้นถิ่น

และสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยทราบกันเกี่ยวกับตัวประธานาธิบดี B.J. Habibie ก็คือ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรผู้ค้นพบทฤษฎีที่ก้าวล้ำ ซึ่งปฏิวัติความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเครื่องบิน จนได้รับฉายาว่า ‘Mr.Crack’ เนื่องจากความเป็นอัจฉริยะ ที่สามารถออกแบบวิธีคิดคำนวณรอยแตกร้าวบนโครงสร้างโลหะของเครื่องบิน ประธานาธิบดี Habibie มีระดับ IQ (Intelligence Quotient) ประมาณ 200 ซึ่งสูงกว่า IQ ของ ‘ประธานาธิบดี John Quincy Adams’ ที่มีระดับ IQ ประมาณ 175 ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคน

นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดี Habibie ยังได้รับเลือกให้เป็นประธานคนแรกของ ‘สมาคมปัญญาชนมุสลิมแห่งอินโดนีเซีย’ (ICMI) ในปี ค.ศ. 1990 และเนื่องจากเขามีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างเครื่องบินเป็นลำแรกในประเทศอินโดนีเซีย จึงได้รับตำแหน่ง ‘บิดาแห่งเทคโนโลยี’ ของอินโดนีเซียด้วย

เครื่องบินโดยสารแบบ R-80 ขนาด 80 ที่นั่งที่ออกแบบและผลิตโดย ‘Regio Aviasi Industri’ (RAI) 

ในปี ค.ศ. 2012 เขาได้ก่อตั้ง ‘Regio Aviasi Industri’ (RAI) บริษัทผลิตเครื่องบิน ซึ่งกำลังพัฒนาเครื่องบินโดยสารแบบ R-80 ขนาด 80 ที่นั่ง และได้รับคำสั่งซื้อแล้ว 150 ลำ

ประธานาธิบดี Habibie ผู้เป็นยอดอัจฉริยะทางวิศวกรรมการบิน เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐอินโดนีเซียได้เพียงสมัยเดียว เพราะความอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงตรรกะแห่งความจริงและความถูกต้องทั้งหมดทั้งมวลนั้น ไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองได้ และทุกประเทศบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่แล้วก็มักเป็นเช่นนั้น

พิธีฝังศพของ ‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ ณ สุสานวีรบุรุษ Kalibata

ช่วงต้นเดือนกันยายน ค.ศ. 2019 เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารบก Gatot Soebroto เนื่องจากเขาเป็น ‘โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม’ และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2019 เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อการจากไปของประธานาธิบดี Habibie รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศให้ไว้ทุกข์ทั้งประเทศเป็นเวลา 3 วัน (12-14 กันยายน ค.ศ. 2019) และประกาศลดธงชาติอินโดนีเซียครึ่งเสา

ประธานาธิบดี B.J. Habibie เป็นประธานาธิบดีของอินโดนีเซียคนแรกที่ได้รับการฝัง ณ สุสานวีรบุรุษ Kalibata เคียงข้างหลุมฝังศพของแพทย์หญิง ‘Hasri Ainun Habibie’ ผู้เป็นภรรยาของเขา


อนุสาวรีย์ของ ‘ประธานาธิบดี B.J. Habibie’ ใกล้กับท่าอากาศยาน Jalaluddin จังหวัด Gorontalo

จอดรถอย่างไรให้ถูกใจทุกคน ไม่ละเมิดสิทธิ ไม่ผิดกฎหมาย

ปี 2566 ในประเทศไทยมีรถยนต์ที่จดทะเบียนมากถึง 41 ล้านคัน ต่อจำนวนประชากร 66 ล้านคน โดยเฉลี่ยแล้ว ในประชากร 100 คน มีรถยนต์มากถึง 61 คน ปัญหาที่ตามมานอกจากปัญหามลภาวะ ปัญหาการใช้พลังงาน และที่เป็นปัญหาไม่แพ้กันคือปัญหาที่จอดรถ 

ในบางประเทศเช่น ประเทศญี่ปุ่น มีข้อกฎหมาย กำหนดว่าหากใครต้องการซื้อรถยนต์ต้องมีเอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐว่ามีที่จอดรถ ถึงจะสามารถซื้อรถยนต์ได้ เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนและป้องกันปัญหาที่จอดรถยนต์ไม่เพียงพอ 

ในประเทศสิงคโปร์มีกฎหมายจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนบางเส้นที่มีการจราจรหนาแน่น และมีการเรียกเก็บภาษีรถยนต์ในอัตราสูง เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนรถยนต์

ในประเทศไทยมีแนวคิดการกำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีรถยนต์ประจำปี กรณีรถยนต์ที่มีอายุเกินสิบปีเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการควบคุมจำนวนรถยนต์และเหตุผลเรื่องมลภาวะ ซึ่งยังไม่มีการประกาศใช้แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามเมื่อมีรถยนต์แล้ว ลองมาดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า เราจะจอดรถอย่างไรให้ถูกใจทุกคน และไม่เกิดปัญหาทางกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สองอย่างคือ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มุ่งเน้นเพื่อสร้างความปลอดภัย เนื่องมาจากการใช้รถ จึงกำหนดไว้ว่าห้ามจอดรถในที่ต่างๆ ดังนี้ เช่น ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง, บนทางเท้า, บนสะพานหรือในอุโมงค์, ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ, ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ, ในเขตปลอดภัย หรือในลักษณะกีดขวางทางจราจร หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 การกระทำการต่อผู้อื่น...ให้เดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือที่เรียกว่าความผิดลหุโทษ 

กรณีการจอดรถในหมู่บ้านจัดสรร ในซอยแคบ หรือในสถานที่ต่างๆ ในลักษณะที่ขวางทางเข้า-ออก ของเพื่อนบ้าน หรือกีดขวางการสัญจรโดยปกติของประชาชนทั่วไป โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น จึงอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายได้ 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากกรณีปัญหาจากการจอดรถนี้ หากเกิดขึ้นในหมู่บ้านจัดสรร ที่มีคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย สามารถออกกฎหรือระเบียบ การจอดรถเพื่อประโยชน์ร่วมกันของสมาชิกในหมู่บ้านได้  หากมีการฝ่าฝืนกฎหรือระเบียบของหมู่บ้านก็สามารถมีมาตรการดำเนินการได้ตามที่ระเบียบของแต่ละหมู่บ้านกำหนด

แต่หากปัญหาการจอดรถเกิดขึ้นนอกเหนือพื้นที่หมู่บ้านจัดสรร ท่านสามารถแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเพื่อบังคับใช้กฎหมายได้ 

แต่ทุกปัญหา สามารถแก้ไขได้ด้วยการหันหน้ามาพูดคุยกัน โดยเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งครับ

‘กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี’ วีรชนแห่งสมรภูมิรบเกาหลี จากนักเรียนธรรมดา สู่ทหารผู้ยืนหยัดปกป้องชาติด้วยความหาญกล้า

กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี (Korea Student Volunteer Force)

สังคมปัจจุบัน เมื่อพูดถึง ‘ความรักชาติ’ แล้ว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวที่พ้นสมัยของคนเฒ่าชะแรแก่ชราในยุคก่อน ทั้ง ๆ ที่เรื่องของ ‘ความรักชาติ’ นั้น เป็นปกติวิสัยทั่วไป เพราะเป็นหน้าที่ของพลเมืองตามแต่ละประเทศที่เกิดและอาศัยอยู่ เป็นเรื่องธรรมดาของพลเมืองในทุกชาติบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่ยังคงอยู่ในสภาวะสงคราม เช่น สาธารณรัฐเกาหลี หรือ ‘เกาหลีใต้’ ซึ่งยังคงอยู่ในช่วงการหยุดยิงกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลี หรือ ‘เกาหลีเหนือ’ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 หรือ 70 ปีมาแล้ว และจนทุกวันนี้ ทั้งสองเกาหลียังไม่มีการทำสนธิสัญญาสงบศึก หรือสนธิสัญญาสันติภาพ อันเป็นการยุติสงครามระหว่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่อย่างใด

กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี กำลังขึ้นรถไฟเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ชาวเกาหลีใต้ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ชายเกาหลีใต้ทุกคนจึงต้องเป็นทหารกองประจำการโดยไม่มีการยกเว้น ไม่มีอภิสิทธิพิเศษใด ๆ รวมทั้งแทบไม่มีการผ่อนผันเลย เว้นแต่บางกรณี เช่น เป็นนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งยังต้องฝึกซ้อมเพื่อเป็นตัวแทนของประเทศ ในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ 

เมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 เกาหลีใต้ได้มีการจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนอยู่ในเกาหลีใต้ และนักเรียนเกาหลีที่ไปเรียนในญี่ปุ่น (เกาหลีเคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2) ในช่วงสงครามเกาหลี นักเรียนเกาหลีจำนวน 642 คน ได้รวมตัวกันเดินกลับมายังเกาหลีใต้ และอาสาสมัครเข้าร่วมสู้รบภายใต้กองทัพสาธารณรัฐเกาหลี และกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีก็ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในการรบมากมายหลายครั้งหลายหน

สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีจำนวนมาก ต้องสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ โดยไม่มี ยศ สังกัด หรือแม้แต่หมายเลขประจำตัวทหาร

‘กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี’ (학서의용군 อ่านว่า Hak Do Ui Yong Gun) โดยนักเรียนอาสาสมัครเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 14–17 ปี ซึ่งอายุต่ำกว่าอายุครบเกณฑ์ทหาร 18 ปี (ในขณะนั้น การแจ้งเกิดมักจะล่าช้า ดังนั้น อายุที่แท้จริงของนักเรียนอาสาสมัครจึงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 16–19 ปี) หลังจากสงครามสองเกาหลีปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1950 กองทัพเกาหลีใต้สามารถระดมกำลังนักเรียนอาสาสมัครได้ถึง 198,380 นาย จัดกำลังเป็น กองพลทหารราบ 10 กองพล, กองพลยานเกราะ 1 กองพล และหน่วยยานยนต์ 1 หน่วย และระหว่างสงครามจนถึงการหยุดยิงระหว่าง 2 เกาหลี มีนักเรียนประมาณ 275,200 คน เข้าร่วมรบในสงครามกับกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ทั้งทำการรบ ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือประชาชน การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ

‘การจัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในยามฉุกเฉิน’ (비상학 시단) โดยนักเรียน 200 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมนักเรียนอาสาปกป้องประเทศ (학 서호성단) จากทั่วกรุงโซลได้มารวมตัวกันที่ซูวอน นับเป็นครั้งแรกที่นักเรียนถูกเกณฑ์ให้ร่วมรบเช่นทหารประจำการ อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ ได้มอบหมายให้กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนส่วนใหญ่ รับผิดชอบภารกิจในพื้นที่ด้านหลังแนวรบ ซึ่งรวมถึงการบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัย การแจ้งข่าว และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามท้องถนน แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนไม่พอใจกับภารกิจในแนวหลัง ต่อมากองทัพเกาหลีใต้ได้มอบภารกิจในการสู้รบเพื่อรักษาแนวป้องกันแม่น้ำนักดงให้แก่กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ซึ่งถือเป็นป้อมปราการแห่งสุดท้ายในขณะนั้น และกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนก็ประสบความสำเร็จในการรักษาแนวป้องกันดังกล่าว แม้ไม่มีการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ไม่มียศทางทหาร แต่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเข้าร่วมกับกองทัพเกาหลีใต้ และกองทัพสหประชาชาติ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปกป้องประเทศ ซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลีเข้าร่วมในปฏิบัติการยกพลขึ้นบกอินชอน โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังสหประชาชาติ, ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่วอนซันและอิวอน, ปฏิบัติการยึดคืนของกัปซันและฮเยซันจิน, ยุทธการที่อ่างเก็บน้ำจางจิน และยุทธการที่เนินเขาแบกมา ฯลฯ

ภาพวาดของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนเกาหลี ขณะเดินทางเข้าสู่สนามรบ

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1951 เมื่อกองทัพสาธารณรัฐเกาหลีและกองกำลังสหประชาชาติ สามารถตีโต้กองทัพเกาหลีเหนือและกองทัพจีน จนข้ามเส้นขนานที่ 38 กลับไปในเขตเกาหลีเหนือได้แล้ว ‘Syngman Rhee’ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้ออกประกาศให้กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนกลับไปโรงเรียนเพื่อเรียนต่อ และออกคำสั่งคืนสถานะ โดยตามคำสั่งคืนสถานะนี้ กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ต้องถอดเครื่องแบบทหารและเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นนักเรียนตามเดิม โดย

1.) นักเรียนทุกคนจะต้องกลับคืนสู่หน้าที่เดิม ซึ่งก็คือการเรียนของตน
2.) การยอมรับการเป็นทหารของนักเรียนที่ถูกระงับการเรียน เนื่องจากการเป็นทหาร เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจะต้องยอมรับการกลับมาที่โรงเรียนของนักเรียนเหล่านั้น อย่างไม่มีเงื่อนไข
3.) โรงเรียนในแต่ละระดับ จะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ สำหรับนักเรียนที่กลับมาจากการเป็นทหาร
4.) นักเรียนที่พลาดการเลื่อนระดับชั้นในขณะที่เป็นทหาร จะได้รับอนุญาตให้เลื่อนระดับชั้นได้ตามความต้องการ

อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่เป็นสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ต่างยืนกรานที่จะสู้รบจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด และได้รับยศ หมายเลขประจำตัวทหาร และเข้าร่วมในการสู้รบ โดยมีวีรกรรมสำคัญบางเหตุการณ์ ได้แก่

• การรบที่โรงเรียนมัธยมสตรี P'ohang จังหวัด Gyeongsang-do เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1950 ซึ่งสมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียนจำนวน 71 นาย สู้รบกับทหารเกาหลีเหนือ หน่วยที่ 766 โดยฝ่ายเกาหลีเหนือมียานเกราะ 5 คันสนับสนุน การสู้รบกินเวลา 11 ชั่วโมง สมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียนเสียชีวิตไป 48 นาย เหลือรอดชีวิตเพียง 23 นาย วีรกรรมครั้งนั้นถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘71 : Into the Fire’

ภาพยนตร์เรื่อง 71 : Into the Fire

• การรบที่หาด Jangsari อำเภอ Yeongdeok จังหวัด Gyeongsang-do ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน ค.ศ. 1950 โดยสมาชิกของกำลังอาสาสมัครนักเรียน 560 นาย ร่วมกับทหารของกองทัพเกาหลีใต้ ได้รับการจัดตั้งเป็น ‘กองพันกองโจรอิสระที่ 1’ รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจเพื่อลวงกองกำลังเกาหลีเหนือ ให้คิดว่ากองกำลังสหประชาชาติจะเปิดฉากการรุกอย่างเด็ดขาดที่นั่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการยกพลขึ้นบกที่ Inchon สมาชิกของกองพันกองโจรอิสระที่ 1 เสียชีวิตไป 139 นาย และการยกพลขึ้นบกที่ Inchon ประสบความสำเร็จด้วยดี และวีรกรรมนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ‘The Battle of Jangsari’

ภาพยนตร์เรื่อง The Battle of Jangsari

ตัวเลขสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี มีผู้เสียชีวิต 2,464 นาย และบาดเจ็บ 3,000 นาย ในจำนวนนี้มี 347 นาย ถูกฝังอยู่ในสุสานแห่งชาติ อีก 1,188 นาย ถูกจารึกไว้บนป้ายแห่งความทรงจำ และอีก 929 ราย ที่ไม่มีศพหรือแผ่นจารึกที่ระลึกเลย ส่วนสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนที่รอดชีวิตมักจะไม่กลับไปเรียนต่อ และยังคงอยู่ในกองทัพ แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

อนุสาวรีย์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี

‘อนุสาวรีย์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียนในสงครามเกาหลี’ ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนมัธยมหญิง P'ohang ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน 71 นาย เพื่อเป็นเกียรติแก่การเสียสละอันสูงส่งของพวกเขา เมือง P'ohang จึงสร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1977 และจัดพิธีรำลึกขึ้นทุกปี

หออนุสรณ์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน เมือง P'ohang

‘หออนุสรณ์กองกำลังอาสาสมัครนักเรียน เมือง P'ohang’ เปิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2002 ในสวนสาธารณะ Yongheung เพื่อเป็นเกียรติแก่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ในการร่วมรบที่เขตเมือง P'ohang ในช่วงสงครามเกาหลี ในห้องนิทรรศการมีโบราณวัตถุประมาณ 200 ชิ้น เช่น ไดอารี่ ภาพถ่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนใช้ในขณะนั้น นอกจากนี้ ยังมีการฉายสารคดีเกี่ยวกับสงครามในห้องโสตทัศนูปกรณ์อีกด้วย

อนุสรณ์สถานกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนาม

‘อนุสรณ์สถานกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนาม’ ตั้งอยู่ที่สุสานแห่งชาติ กรุงโซล ด้านหลังเป็นหลุมศพสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนนิรนามจำนวน 48 นาย ที่เสียชีวิตในเขตเมือง P'ohang ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1968 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบรางวัลแก่สมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียน ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่จะได้รับ ซึ่งมีสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนจำนวน 317 นาย ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ ในปี ค.ศ. 1996 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มอบรางวัลดังกล่าว ให้กับสมาชิกของกองกำลังอาสาสมัครนักเรียนอีก 45 คน ที่ยังไม่เคยได้รับมาก่อน

ภาพจำลองแสดงเหตุการณ์ที่ยุวชนทหารสู้รบกับทหารญี่ปุ่น
ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร

ย้อนกลับมาดูบ้านเรา เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกตลอดอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดปัตตานีถึงจังหวัดสมุทรปราการ ขอเดินทัพผ่านไทยโดยไม่บอกล่วงหน้า คนไทยในที่เกิดเหตุแทนที่จะวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่ทั้งทหาร ตำรวจ และประชาชนต่างเข้ารักษาแผ่นดินไทยโดยไม่คิดชีวิต ทุกแห่งมียุวชนทหารเข้าร่วมด้วย และได้สร้างวีรกรรมไว้หลายแห่ง โดยเฉพาะที่เชิงสะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร ยุวชนทหาร 30 คน ได้ทำการสู้รบกับทหารญี่ปุ่นอย่างกล้าหาญ จนกระทั่งได้รับคำสั่งจาก ‘จอมพล ป. พิบูลสงคราม’ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สั่งให้ยุติการต่อต้าน และปล่อยให้ทหารญี่ปุ่นผ่านไปได้ และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น จึงถูกเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดไปทั่ว แต่ก็มียุวชนทหารเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยจากการทิ้งระเบิด โดยไม่เกรงกลัวอันตรายแต่อย่างใด ยุวชนทหารในสมัยนั้นได้มีพัฒนาการต่อเนื่อง และกลายมาเป็นนักศึกษาวิชาทหารในสมัยนี้

อนุสาวรีย์ยุวชนทหาร 
ริมทางหลวงหมายเลข 4001 สายชุมพร-ปากน้ำ
ตำบลบางหมาก เชิงสะพานท่านางสังข์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกในขณะนี้ คือการเกิดสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย จึงมีความเป็นไปได้ที่สงครามอาจจะเกิดขึ้นอีกในเวลาใดเวลาหนึ่งก็เป็นได้ และไม่ได้หมายถึงสงครามที่ต้องรบกันด้วยกำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสงครามที่ทุกคนในชาติจะต้องร่วมรบด้วยกัน ต้องร่วมแรงร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

แต่น่าเป็นห่วงที่คนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง ที่หลงผิดคิดว่า ภยันตรายที่คุกคามความมั่นคงของชาตินั้นได้หมดไปแล้ว หากพินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่เยี่ยงปัญญาชนและวิญญูชนแล้วจะพบว่า ไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดทางยุทธศาสตร์ ในการเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจ

วิธีเดียวที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อชาติน้อยที่สุดคือ การรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและชัดเจน บนพื้นฐานของความมั่นคงของชาติในทุก ๆ มิติ รวมทั้งกำลังทหารที่มีความพร้อมต่อการรุกรานของอริราชศัตรูตลอดเวลา ซึ่ง “พลังอำนาจทางการรบ” ตลอดจน “ศักย์สงคราม” จะทำให้ประเทศชาติมีความมั่นคงเข้มแข็ง และหากเมื่อต้องเผชิญกับภยันตรายใด ๆ ที่คุกคามแล้ว ชาติบ้านเมืองก็จะมีพร้อมต่อภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และเมื่อเหตุการณ์สร่างซาสงบลงแล้ว ประเทศชาติก็จะมีความบอบช้ำที่น้อยที่สุด

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘Anny Divya’ หญิงแกร่งแห่งอินเดีย ผู้ก้าวข้ามกำแพงอคติทางเพศ จนสามารถเป็นกัปตันหญิงของ Boeing 777 ที่อายุน้อยที่สุดในโลก

‘Anny Divya’ กัปตันเครื่องบินโดยสาร Boeing 777 หญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก

“ผู้หญิงแบกค้ำฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง” เป็นคำกล่าวของประธาน ‘เหมา เจ๋อตง’ ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่องราวแบบนี้จากบอกเล่าเพื่อให้ผู้ที่รู้สึกว่า ขาดโอกาส ท้อแท้ สิ้นหวังได้มีพลังใจเช่นเดียวกับ ‘Anny Divya’ หญิงสาวผู้ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ จนประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเกิดเป็น ‘หญิงชาวอินเดีย’ ด้วยในสังคมฮินดูนั้น ผู้หญิงถูกจัดให้มีสถานะที่ด้อยกว่าชายในแทบทุกด้านมาตั้งแต่ในอดีต ธรรมเนียมสังคมฮินดูมีลักษณะที่เป็นแบบ ‘ชายเป็นใหญ่’ หรือ ‘Patriarchy’ ทำให้สถานะความเป็นหญิงเสียเปรียบชายในแทบทุกด้าน เห็นได้จากปัญหาความไม่เท่าเทียมทางกฎหมายในอินเดีย อาทิ ภรรยาไม่สามารถฟ้องร้องสามีตัวเองได้ ในกรณีที่ฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์นอกสมรส หญิงไม่ได้รับโอกาสได้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่ดีอย่างเพียงพอ ฯลฯ

กัปตัน ‘Anny Divya’ เกิดที่เมืองปาทานโกต รัฐปัญจาบ ประเทศอินเดีย เมื่อปี ค.ศ. 1987 ในครอบครัวที่ใช้ภาษาเตลูกู (ภาษาที่พูดโดยชาวเตลูกูในรัฐอานธรประเทศกับรัฐเตลังคานาในอินเดีย) พ่อของเธอเคยเป็นทหารในกองทัพบกอินเดีย ครอบครัวของเธอเคยอาศัยอยู่ใกล้กับฐานทัพในเมืองปาทานโกต รัฐปัญจาบของอินเดีย หลังจากที่พ่อของเธอเกษียณ ครอบครัวของพวกเขาก็ย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองวิชัยวาทะ รัฐอานธรประเทศ ซึ่งเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองนี้ ญาติ ๆ ของเธอนอกเหนือจากครอบครัวใกล้ชิดของเธอ ต่างไม่เห็นด้วยกับความคิดที่เธอจะเป็นนักบิน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอท้อแท้แต่อย่างใด แต่พ่อ-แม่ของเธอสนับสนุนให้เธอทำตามความฝันอยู่เสมอ และไม่เคยขอให้เธอประกอบอาชีพที่พ่อ-แม่เลือก ซึ่งต้องขอบคุณพ่อ-แม่และคุณครูของเธอ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เธอเป็นเธอในวันนี้

หลังจากสำเร็จมัธยมศึกษาในวัย 17 ปี เธอได้ลงทะเบียนเรียนที่ Indira Gandhi Rashtriya Uran Akademi (IGRUA) ซึ่งเป็นโรงเรียนการบินในรัฐอุตตรประเทศ และจบการศึกษาเมื่ออายุ 19 ปี แล้วเริ่มอาชีพนักบินกับแอร์อินเดีย เธอเดินทางไปสเปนเพื่อฝึกบินด้วยเครื่องบิน Boeing 737 เมื่ออายุ 21 ปี เธอถูกส่งไปรับการฝึกเพิ่มเติมที่สหราชอาณาจักร ซึ่งเธอเริ่มบินด้วยเครื่องบิน Boeing 777 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่มีพิสัยบินไกลที่สุด และเป็นเครื่องบินไอพ่นสองเครื่องยนต์ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ปัจจุบันเธอเป็นกัปตันหญิง วัย 36 ปี ของเครื่องบินโบอิ้ง 777 ที่อายุน้อยที่สุดของอินเดียและในโลก (เธอเป็นกัปตันตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี) อีกทั้ง เธอยังได้บินไปที่นครนิวยอร์ก นครชิคาโก และนครซานฟรานซิสโก เป็นประจำอีกด้วย

ในช่วงที่เรียนหนังสือ เธอเป็นนักเรียนที่สดใสและมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก เธอเรียนที่ Kendriya Vidyalaya ในเมืองวิชัยวาทะ ใน Grade 11 เธอสามารถสอบได้คะแนนเต็ม 100 ในทุกวิชา ยกเว้นภาษาอังกฤษได้ 92 คะแนน และสันสกฤตได้ 98 คะแนน อีกทั้ง เธอยังทำได้ดีเป็นพิเศษในการสอบ Grade 12 และในขณะที่ทำงานกับ Air India เธอเข้าเรียนปริญญาตรีสาขาการบินจนจบ นอกจากนี้ เธอยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทางกฎหมายจาก Rizvi Law College of University of Mumbai และยังเป็นทนายความอีกด้วย

อาชีพนักบินของกัปตัน Anny ได้เปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของครอบครัวเธอด้วย เธอสามารถส่งน้องชายให้เรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย และสามารถส่งพี่สาวของเธอเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาได้ สามารถซื้อบ้านหลังใหม่ให้พ่อแม่ของเธอในเมืองวิชัยวาทะ และลงทุนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในนครไฮเดอราบัดได้อีกด้วย

กัปตัน Anny กล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉันก็สงสัยเกี่ยวกับการที่ได้บินอยู่เหนือเมฆ เมื่อฉันเล่าความฝันที่จะบินให้แม่ฟัง แม่บอกฉันว่า ฉันไม่มีปีกที่ทำให้บินได้ และเพื่อจะบิน ได้ฉันจะต้องได้ปีกจากการเป็นนักบิน” เธอเล่าต่อว่า “ในสมัยนั้น การเป็นนักบินเป็นเรื่องรองจากการฝันถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนรอบตัวฉันต่างเลือกอาชีพด้านการแพทย์ วิศวกรรม ข้าราชการ ฯลฯ เป็นอาชีพ” อย่างไรก็ตาม เธอยังคงยึดมั่นในความฝันของเธอ

กัปตัน Anny เล่าว่า “การมาจากเมืองเล็ก ๆ และมาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และช่วยขัดเกลาการใช้ภาษาอังกฤษให้ดียิ่งมากขึ้น คือหนึ่งในความท้าทายแรก ๆ และขอย้ำอีกครั้งว่า ฉันไม่มีพื้นฐานด้านการบินเหมือนเพื่อน ๆ ของฉัน” แม้ว่า โรงเรียนการบินอาจมีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ แต่กัปตัน Anny รู้สึกว่า เรื่องราวเกี่ยวกับการบินกำลังเปลี่ยนไป เธอบอกว่า อุตสาหกรรมการบินกำลังพัฒนา ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาทำงานมากขึ้น กัปตัน Anny เน้นย้ำว่า อคติทางเพศของอินเดียมีมากกว่าในประเทศอื่น ๆ

กัปตัน Anny นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งว่า “ฉันบินในเที่ยวบินโดยที่นักบินผู้ช่วยของฉันเป็นชายต่างชาติ เขาให้ความเห็นว่า ผู้หญิงควรอยู่ในครัวและไม่ควรขับเครื่องบิน ฉันบอกว่า เราควรเลือกงานโดยพิจารณาจากสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด และฉันไม่รังเกียจที่จะอยู่ในครัว แต่ถ้าฉันบินได้ดีกว่า ฉันควรจะได้บิน และถ้าคุณทำอาหารเก่ง คุณก็ควรลองอยู่ในครัวดู และบางทีคุณอาจจะอยู่ที่นั่นได้ดีกว่า” กัปตัน Anny กล่าวว่า เธอเริ่มต้นการเดินทางในอาชีพนักบิน โดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้อย่างช้า ๆ ทีละก้าว จนเธอมาถึงจุดที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้

“ฉันพูดเสมอว่าแม้จะไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไรที่จะไม่เรียนรู้” เธอยังกล่าวอีกว่า ทุกความท้าทายถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับเธอ กัปตัน Anny มองว่า อคติต่อผู้หญิงเป็นย่างก้าวให้ผู้หญิงได้ไปสู่ความเป็นเลิศในชีวิตและอาชีพ เธอกระตุ้นให้บรรดาหญิงสาวมีศรัทธา และยอมรับทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จอย่างซาบซึ้ง ซึ่งจะกลายเป็นความสำเร็จ ให้คำปรึกษาแก่ผู้หญิงในรุ่นของเธอ กัปตัน Anny บอกว่า “ผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะสาว ๆ ฉันอยากให้คุณทุกคนบรรลุสิ่งที่คุณฝันไว้ สิ่งที่สังคมสอนไม่มีถูกหรือผิด แต่จงฟังหัวใจของคุณและหาทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

กัปตัน Anny ยังเข้าร่วมกลุ่มผู้นำอินเดียในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรม LinkedIn Influencer มากกว่า 500 คน รวมถึง Narendra Modi, Bill Gates, Priyanka Chopra, Oprah Winfrey, Sachin Tendulkar และ Kiran Mazumdar Shaw ฯลฯ และปัจจุบันในฐานะ LinkedIn Influencer ที่เธอแบ่งปัน เรื่องราวของเธอกับสมาชิกหลายล้านคนของ LinkedIn ทั่วโลก เกี่ยวกับการที่เธอต้องต่อสู้กับอนุสัญญาทางสังคม อุปสรรคทางภาษา และความกดดันจากครอบครัว เพื่อประสบความสำเร็จในอาชีพที่เคยมีแต่ผู้ชายเท่านั้น

Air India Boeing 777

‘Marianne Williamson’ หญิงแกร่งแห่งพรรค Democratic ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ที่วาดฝันจะสามารถเปลี่ยนสหรัฐฯ ได้

โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป… หากในปี ค.ศ. 2024 ‘Marianne Williamson’
ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันทุกวันนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีบทบาทมากที่สุดบนโลกใบนี้ นับเนื่องมายาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ บทบาทการเป็นผู้นำโลกเสรี แม้กระทั่งประเทศผู้นำของคอมมิวนิสต์ขั้วตรงข้ามอันได้แก่ ‘สหภาพโซเวียต’ จะถึงกาลอวสานล่มสลายไปแล้วก็ตาม แต่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในบทบาทนี้มาโดยตลอดจนทุกวันนี้

ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและประมุขแห่งรัฐนั้นเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของชาวอเมริกันผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทุก 4 ปี และมีวาระในการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย ปีหน้า ค.ศ. 2024 จะเป็นปีที่ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันดำรงตำแหน่งครับ 4 ปีในวาระแรก ซึ่งโดยปกติแล้วประธานาธิบดีในตำแหน่งมักจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 โดยอัตโนมัติ ถ้าไม่มีคู่แข่งขันหรือผู้ท้าชิงภายในพรรค เว้นแต่จะวางมือทางการเมืองเอง

แต่สำหรับการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2024 ปรากฏว่า ภายในพรรค Democratic มีผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีก 2 คน คนแรกคือ ‘Robert F. Kennedy Jr.’ หรือ ‘RFK Jr. วัย 69 ปี จากตระกูลคหบดีและนักการเมืองเก่าแก่ Kennedy ซึ่งเขาเป็นบุตรชายของ ‘Robert Kennedy’ ผู้เป็นน้องชายของประธานาธิบดี Kennedy วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของพี่ชาย Robert Kennedy ผู้ที่ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต ขณะรณรงค์หาเสียง เพื่อชิงตำแหน่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับ Robert F. Kennedy Jr. ผู้เป็นลูก ซึ่งจะเป็นผู้เข้าท้าชิงผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี ค.ศ. 2024 เป็นทนายความด้านสิ่งแวดล้อม นักเขียน และนักเคลื่อนไหวต่อต้านวัคซีน mRna

และคนต่อมา ซึ่งคือผู้ที่เราจะได้นำเรื่องราวและแนวคิดของเธอมาบอกเล่าคือ ‘Marianne Deborah Williamson’ (เกิด 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) วัย 71 ปี เธอเกิดที่เมือง Houston รัฐ Texas เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้ง 3 คนของ ‘Samuel Sam Williamson’ ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 และทนายความด้านการย้ายถิ่นฐาน และ ‘Sophie Ann Kaplan’ แม่บ้านและอาสาสมัครในชุมชน Peter พี่ชายของเธอเป็นทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานเหมือนกับบิดาของเขา พี่สาวผู้ล่วงลับของเธอ ‘Elizabeth Jane’ เป็นคุณครู บิดาของเธอและปู่ย่าตายายของเธอเป็นผู้อพยพชาวยิว-รัสเซีย ปู่ของเธอเปลี่ยนนามสกุลจาก ‘Vishnevetsky’ เป็น ‘Williamson’ หลังจากเห็นป้ายโฆษณา ‘บริษัท Alan Williamson จำกัด’ บนรถไฟ เธอได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชนชั้นกลางที่นับถือศาสนายิวแบบอนุรักษ์นิยม จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาของโลก และความยุติธรรมทางสังคมจากครอบครัว Williamson บรรยายตัวเองว่าเป็น ‘สาวยิว’ ในการให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ. 2022 เธอเริ่มสนใจในการสนับสนุนและเข้าร่วมในเรื่องราวสาธารณะต่าง ๆ เมื่อเธอเห็น ‘Rabbi’ นักบวชในศาสนายิวของเธอ กล่าวต่อต้านสงครามเวียดนาม และทำให้เธอมีแนวคิดแบบเสรีนิยมมาจนทุกวันนี้

เธอผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เธอมีชีวิตแต่งงานช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1979 กับนักธุรกิจชาว Houston เธอบอกว่า การแต่งงานของเธอใช้เวลาเพียง ‘นาทีครึ่ง’ เท่านั้น ในปี ค.ศ. 1990 เธอให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘India Emmaline’ และมีหลานยายหนึ่งคน ในปี ค.ศ. 2012 การสำรวจความคิดเห็นของ Newsweek เสนอให้เธอเป็นหนึ่งใน ‘50 baby boomers’ (ผู้ที่เกิดในยุค baby boom) ที่มีอิทธิพลมากที่สุด

‘Marianne Williamson’ เป็นนักเขียน เธอแต่งหนังสือ 14 เล่ม ส่วนใหญ่เกี่ยวเรื่องของจิตวิญญาณ รวมถึงบทภาพยนตร์ ‘Advice, How To and Miscellaneous’ หนังสือที่เธอแต่ง 7 เล่ม อยู่รายชื่อหนังสือขายดีของ ‘The New York Times’ โดย 4 เล่มที่เปิดตัวมียอดขายสูงสุด ในปี ค.ศ. 1998 เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peace Alliance’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘Project Angel Meal’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งให้บริการอาหารฟรี สำหรับผู้ที่ป่วยเกินกว่าจะซื้อของและปรุงอาหารเองได้ โดยให้บริการในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเทศมณฑล Los Angeles กับ Los Angeles ตอนใต้ และนคร Los Angeles เป็นพื้นที่ให้บริการที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งขององค์กรนี้ ในปี ค.ศ. 2017 ผู้รับบริการคือ ชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิกและลาติโน 39% ชาวแอฟริกันอเมริกัน 29% คนขาว 21% และเชื้อชาติอื่น ๆ อีก 11%

เธอไปออกรายการ ‘The Oprah Winfrey Show’ หลายครั้ง จนกลายเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณของ ‘Oprah Winfrey’ ด้วย เธอเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ (ผู้สมัครอิสระ) เขตรัฐสภาที่ 33 ของมลรัฐ California ในปี ค.ศ. 2014 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เธอสมัครเป็นสมาชิกพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2019 และลงสมัครชิงตำแหน่งผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic ในปี ค.ศ. 2020 ในที่สุดก็ถอนตัว และหันไปสนับสนุน ‘Bernie Sanders’ แทน แต่ก็พ่ายให้กับ Joe Biden ผู้ซึ่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนปัจจุบัน และครั้งนี้เธอลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรค Democratic สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี ค.ศ. 2024 ในเวทีรณรงค์หาเสียง ในตำแหน่งผู้แทนพรรคเพื่อเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี Williamson เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ การจ่ายค่าชดเชยสำหรับความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ การจัดการกับสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง และการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา

การรณรงค์ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 2024 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 เธอยืนยันว่า เธอจะเปิดตัวลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ปี ค.ศ. 2024 เธอเริ่มการรณรงค์หาเสียงในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2023 โดยมีนโยบายในด้านต่าง ๆ ดังนี้

- สิทธิในการทำแท้ง เธอสนับสนุนการเข้าถึง การทำแท้ง การบริการ และทางเลือกต่าง ๆ เธอได้พูดสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง ที่ได้รับการประกันภายใต้การคว่ำบาตรในขณะนี้ ตามคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1973 (Roe v. Wade)

- การชดเชยสำหรับชาวอเมริกันผิวสี เธอสนับสนุนการจัดสรรเงินค่าชดเชยผู้ที่เคยเป็นทาส หรือลูกหลานทายาท มูลค่า 200-500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งกระจายไปตลอด 20 ปี สำหรับ ‘โครงการทางเศรษฐกิจและการศึกษา’ โดยจะจ่ายตามคำแนะนำของกลุ่มผู้นำผิวสีที่ได้รับเลือก

- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพลังงาน เธอถือว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘ความท้าทายทางศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน’ เธอสนับสนุนข้อตกลงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้งโดยทันที และระบุว่า เธอยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือภาคพื้นแปซิฟิก หากมีการรวมการคุ้มครองคนงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเธอยังสนับสนุนการอุดหนุนโดยตรงของสหรัฐฯ จากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงถ่านหิน และลงทุนใหม่ในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

- การควบคุมอาวุธปืน เธอสนับสนุนการควบคุมอาวุธปืน โดยอธิบายว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับเธอ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอได้กล่าวปาฐกถาสำคัญแก่สตรีมุสลิมและชาวยิวหลายร้อยคน ที่การประชุม Sisterhood of Salaam-Shalom ในเมือง Doylestown มลรัฐ Pennsylvania แปดวันหลังจากชาวยิว 11 คนถูกสังหารที่โบสถ์ยิว ‘Tree of Life’ ในเมือง Pittsburgh เธอคัดค้านความกลัวที่ว่า ‘เรื่องนี้จะถูกใช้เป็นพลังทางการเมือง’ และสนับสนุนการทดแทนด้วยการมอบความรักต่อกัน

- การดูแลสุขภาพและการฉีดวัคซีน เธอสนับสนุนการดูแลสุขภาพถ้วนหน้าภายใต้ ‘แผน Medicare for All’ และสนับสนุนกฎระเบียบที่เป็นอิสระของอุตสาหกรรมยา เพื่อป้องกันสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘การปฏิบัติแบบน่าล่า’

- การย้ายถิ่นฐาน เธอไม่สนับสนุนการเปิดพรมแดน แต่เรียกร้องให้สิ่งที่เธออธิบายว่า เป็นแนวทางที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นต่อนโยบายเรื่องพรมแดน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 เธอวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดี ‘Donald Trump’ ในขณะนั้น เกี่ยวกับนโยบายการเข้าเมืองของเขา หลังจากมีรายงานว่า เด็กถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกส่งตัวเข้าศูนย์กักกัน เธอเรียกการกระทำเหล่านี้ว่า ‘อาชญากรรมที่รัฐสนับสนุน’ หลังจาก Trump ประกาศว่า “ICE จะเริ่มการส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศ” เธอกล่าวว่า “ไม่แตกต่างกับสิ่งที่ชาวยิวเผชิญกับนาซีเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2” นอกจากนั้น เธอยังสนับสนุนการดำเนินการรอการตัดบัญชีสำหรับการมาถึงในวัยเด็ก (DACA) และขยายการคุ้มครองและการแปลงสัญชาติให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร ซึ่งถูกนำตัวมายังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก โดยไม่คำนึงถึงอายุปัจจุบันของพวกเขา

- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติ เธอสนับสนุนการจัดตั้งกระทรวงสันติภาพของสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยในการออกแบบที่เธอเสนอใหม่ ซึ่งรวมถึงแผนการจัดตั้งสถาบันสันติภาพ ซึ่งจำลองมาจากสถาบันการทหาร แต่ยังคงสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางทหาร เมื่อชาติพันธมิตร NATO ถูกคุกคาม เมื่อสหรัฐอเมริกาตกอยู่ภายใต้การคุกคามของการโจมตี หรือ ‘เมื่อระเบียบด้านมนุษยธรรมของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง’ เธอสนับสนุนการถอนทหารสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากอัฟกานิสถานอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด และจะพิจารณาใช้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติดำเนินการแทน เธอกล่าวว่า “สหรัฐฯ มีฐานทัพในต่างประเทศมากถึง 750 แห่ง หากสามารถลดทอนงบประมาณด้านการทหารลงได้ จะสามารถนำไปใช้ดำเนินการโครงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ได้อีกมาก”

- เธอสนับสนุนสหรัฐฯ อย่างจริงจัง โดยใช้จุดยืนของตน เช่น ผ่าน CFIUS : The Committee on Foreign Investment in the United States (คณะกรรมการร่วมของหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบธุรกรรมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา และธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์บางอย่างโดยบุคคลต่างชาติ เพื่อพิจารณาผลกระทบของธุรกรรมดังกล่าวต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา) เพื่อป้องกันไม่ให้จีนซื้อบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเธอเชื่อว่าจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผลประโยชน์ และสิทธิมนุษยชน เช่นเดียวกับในกรณีของชาวอุยกูร์และผู้อยู่อาศัยในฮ่องกง เธอสนับสนุนการกลับเข้าร่วมแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (JCPOA : Joint Comprehensive Plan of Action) ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศต่อโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งบรรลุในกรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ระหว่างประเทศอิหร่านกับ P5+1 (สมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกาบวกเยอรมนี) และสหภาพยุโรปอีกครั้ง และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ที่ยกระดับความตึงเครียดกับอิหร่าน เธอสนับสนุนการแก้ปัญหา 2 รัฐ ต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–ปาเลสไตน์

- ชุมชน LGBTQ เธอสนับสนุนรัฐบัญญัติความเท่าเทียมกัน

- ค่าแรงขั้นต่ำ เธอสนับสนุนการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายของ Marianne Williamson ค่อนข้างจะมีทัศนคติเชิงบวกต่อความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่จากสรุปผลสำรวจเปรียบเทียบระหว่างผู้เข้าท้าชิงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic ทั้ง 3 คนแล้ว เธอมาเป็นอันดับ 3 ท้ายสุด ห่างจาก Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำในทุก Poll มาก ส่วน Robert F. Kennedy Jr. ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ก็ถูกประธานาธิบดี Biden นำชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ส่วน Marianne Williamson เธอมีคะแนนที่เลือกเพียงครึ่งเดียวของ Robert F. Kennedy Jr. เท่านั้น จึงเป็นการยากมาก ๆ ที่เธอจะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เพื่อไปชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Republican กอปรกับคณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ได้แสดงการสนับสนุนประธานาธิบดี Biden อย่างเต็มที่แล้ว

และ ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 คณะกรรมการระดับชาติของพรรค Democratic ก็ยังไม่มีแผนที่จะจัดเวที debate เบื้องต้น ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรคอย่างเป็นทางการใด ๆ ซึ่ง Marianne Williamson ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น ‘แผนการที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว’ และ ‘เป็นกระบวนการกีดกันผู้สมัครรายอื่น’ ด้วยแนวคิดและนโยบายของเธอ แม้ว่าจะเป็นมิตรกับความสงบสุขและสิ่งแวดล้อมของโลก แต่นโยบายเช่นนี้ก็เป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของบรรดากลุ่มทุนการเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ เธอจึงไม่น่าที่จะมีโอกาสได้รับเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของพรรค Democratic เลยแม้แต่น้อย

‘George Stinney Jr.’ เด็กชายผิวสี ผู้ถูกพรากความเป็นธรรม จนกลายเป็นนักโทษประหารที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เมื่อความยุติธรรมในสหรัฐฯ ไม่มีอยู่จริง!! ‘George Stinney Jr.’ วัยเพียง 14 ปี… ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยมิชอบ

‘George Stinney Jr.’ เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจและเป็นโศกนาฏกรรมที่สุด ที่ออกมาจากประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมอเมริกัน เมื่อ ‘George Stinney Jr.’ เด็กชายผิวสี ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 14 ปี ถูกตัดสินโดยมิชอบ ในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิงผิวขาวสองคนในเมือง Alcolu มลรัฐ South Carolina เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1944 จากการพิจารณาคดีที่ที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง นำไปสู่การตัดสินลงโทษที่ไม่มีความยุติธรรม โดยอาศัยคำสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือของเด็กชาย ซึ่งถูกบังคับภายใต้การบังคับขู่เข็ญของตำรวจ

ในปี ค.ศ. 1944 George Stinney Jr. เด็กชายวัย 14 ปี อาศัยอยู่ที่เมือง Alcolu มลรัฐ South Carolina กับ ‘George Stinney Sr.’ ผู้เป็นพ่อ ‘Aimé’ ผู้เป็นแม่ ‘John’ พี่ชาย อายุ 17 ปี ‘Charles’ น้องชาย อายุ 12 ปี น้องสาว ‘Katherine’ วัย 10 ขวบ และ ‘Aime’ วัย 7 ขวบ พ่อของ Stinney ทำงานที่โรงเลื่อยในเมือง และครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในบ้านของบริษัท Alcolu เป็นเมืองอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ที่ชนชั้นแรงงานอาศัยอยู่ ซึ่งย่านที่พักอาศัยของคนผิวขาวและผิวสีนั้น ถูกแบ่งแยกออกจากกันด้วยทางรถไฟ ในสมัยนั้นเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ธรรมดาทั่วไปทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองพวกค่อนข้างจำกัด เมื่อพิจารณาจากโรงเรียนและโบสถ์ที่แยกจากกัน สำหรับคนผิวขาวและคนผิวสี

วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1944 ศพของเด็กหญิง ‘Betty June Binnicker’ อายุ 11 ปี และ ‘Mary Emma Thames’ อายุ 7 ปี ถูกพบในคูน้ำทางฝั่งของคนผิวสีของเมือง Alcolu หลังจากที่เด็กหญิงทั้งสองไม่กลับบ้านเมื่อคืนก่อน (22 มีนาคม) พ่อของ Stinney ก็เป็นคนหนึ่งที่ออกช่วยในการค้นหา สภาพศพเด็กหญิงทั้งสองถูกทุบตีด้วยอาวุธ ซึ่งรายงานระบุว่า เป็นชิ้นส่วนโลหะจากรางรถไฟ เด็กหญิงทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บจากการใช้อาวุธที่มีลักษณะทื่ออย่างรุนแรง ที่แผลกะโหลกของเด็กหญิงทั้งสองคนถูกเจาะด้วยอาวุธดังกล่าว ตามรายงานของแพทย์นิติเวชระบุว่า บาดแผลเหล่านี้ ‘เกิดจากเครื่องมือทื่อที่มีหัวกลม ขนาดประมาณค้อน’ รายงานนิติเวชยังระบุอีกว่า ไม่มีหลักฐานการล่วงละเมิดทางเพศของ Binnicker เด็กหญิงที่โตกว่า แม้ว่าอวัยวะเพศของ Binnicker จะมีรอยฟกช้ำเล็กน้อยก็ตาม

  

ดอก ‘Maypops’

รายงานการสอบสวนระบุด้วยว่า มีผู้พบเห็นเด็กผู้หญิงครั้งสุดท้ายขี่จักรยานเพื่อมองหาดอกไม้ ขณะที่พวกเขาผ่านบ้านของครอบครัว Stinneys พวกเขาได้ถาม George และ Aime น้องสาวของเขาว่า จะหาดอก ‘Maypops’ ซึ่งเป็นชื่อท้องถิ่นของดอกเสาวรสได้จากที่ไหน ตามคำบอกเล่าของ Aime เธออยู่กับ George ตามเวลาที่ตำรวจระบุในภายหลังว่า “เป็นเวลาที่การฆาตกรรมเกิดขึ้น” ตามบทความในรายงานของ ‘Wire Services’ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1944 ตำรวจท้องที่ได้ประกาศว่า ได้ทำการจับกุม ‘George Junius’ และระบุว่า เด็กชายได้สารภาพและนำเจ้าหน้าที่ไปที่ ‘วัตถุสังหารที่ถูกซ่อนอยู่’

George และ John พี่ชายของเขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเด็กหญิง ต่อมาตำรวจได้ปล่อยตัว John แต่ George ถูกควบคุมตัวไว้ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบพ่อแม่ของเขา จนกระทั่งหลังจากการพิจารณาคดีและถูกพิพากษาลงโทษแล้ว ตามข้อความที่เขียนด้วยลายมือ เจ้าหน้าที่จับกุมของเขาคือ ‘H.S. Newman’ เจ้าหน้าที่ตำรวจของเทศมณฑล Clarendon ซึ่งกล่าวว่า “ผมได้จับกุมเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ‘George Stinney Jr.’ จากนั้นเขาก็รับสารภาพและบอกผมว่า จะหาวัตถุสังหารได้ที่ไหน มันยาวประมาณ 15 นิ้ว โดยที่เขาบอกว่า เขาเอามันไปทิ้งในคูน้ำห่างจากจักรยานราว 6 ฟุต”

หลังจากการจับกุม Stinney พ่อของเขาถูกไล่ออกจากงานที่โรงเลื่อยในท้องถิ่นทันที และครอบครัว Stinney ต้องย้ายออกจากที่พักอาศัยของบริษัทด้วย ครอบครัวกังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขา พ่อแม่ของ Stinney ไม่เจอเขาอีกเลยก่อนการพิจารณาคดี เขาไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ เลยในระหว่างการคุมขัง และระหว่างการพิจารณาคดี 81 วัน เขาถูกควบคุมตัวที่เรือนจำในเมือง Columbia ห่างจากเมือง Alcolu ราว 50 ไมล์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกประชาทัณฑ์ Stinney ถูกสอบสวนเพียงลำพัง โดยไม่มีพ่อแม่หรือทนายความ แม้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตรา 6 จะรับประกันการได้คำปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ต้องหา แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจนกระทั่งคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1963 ซึ่งระบุว่า “การดำเนินคดีทางอาญาผู้ต้องหาจำเป็นต้องมีทนายความทำหน้าที่เป็นตัวแทน”

 

ลายพิมพ์นิ้วมือของ George Stinney Jr.

การดำเนินคดีทั้งหมดต่อ Stinney รวมถึงการคัดเลือกคณะลูกขุนเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1944 ทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาลของ Stinney คือ ‘Charles Ploughden’ ทนายความคดีภาษี (คนผิวขาว) ซึ่งไม่ได้ทักท้วงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 คน ที่ให้การเป็นพยานว่า Stinney รับสารภาพในข้อหาฆาตกรรม นอกจากนี้ เขายังไม่ได้ทักท้วงการนำเสนอคำสารภาพด้วยวาจาของ Stinney 2 ครั้งที่มีความแตกต่างกันของฝ่ายโจทก์ ในคำสารภาพแรก Stinney ถูกเด็กหญิงทำร้ายหลังจากที่เขาพยายามช่วยเด็กหญิงคนหนึ่งที่ตกลงไปในคูน้ำ และเขาฆ่าพวกเธอเพื่อป้องกันตัว ในอีกคำสารภาพหนึ่งระบุว่า เขาได้ติดตามเด็กหญิง โดยทำร้าย Mary Emma Thames ก่อน จากนั้น จึงทำร้าย Betty June Binnicker ซึ่งไม่มีบันทึกคำสารภาพของ Stinney เป็นลายลักษณ์อักษรเลย นอกเหนือจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ Newman

 

นอกเหนือจากคำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นายแล้ว อัยการยังได้เรียกพยานอีก 3 ราย ได้แก่ สาธุคุณ ‘Francis Batson’ ผู้พบศพของเด็กหญิงทั้งสอง และแพทย์ 2 คนที่ทำชันสูตรพลิกศพ ศาลอนุญาตให้มีการพูดคุยถึง ‘ความเป็นไปได้’ ของการข่มขืน เนื่องจากอวัยวะเพศของ Betty June Binnicker มีรอยช้ำ นอกจากนั้น แล้วที่ทนายความของ Stinney ยังไม่ได้เรียกพยานใด ๆ ทั้งยังไม่ได้ซักถามพยานเลย และแทบจะไม่ได้เสนอข้อแก้ต่างเลย โดยการไต่สวนใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

 

ผู้พิพากษา ‘Philip H. Stoll’

ชาวอเมริกันผิวขาวมากกว่า 1,000 คน มารวมตัวกันในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่อนุญาตให้ชาวอเมริกันผิวดำเข้ามาแม้แต่คนเดียว และในเวลานั้น Stinney ถูกพิจารณาคดีต่อหน้าคณะลูกขุนผิวขาวทั้งหมด (ในปี ค.ศ. 1944 ชาวอเมริกันผิวสีส่วนใหญ่ในภาคใต้ถูกเพิกถอนสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่พร้อมจะทำหน้าที่ในคณะลูกขุน) หลังจากพิจารณาในเวลาไม่ถึง 10 นาที คณะลูกขุนตัดสินว่า “Stinney มีความผิดฐานฆาตกรรม” ผู้พิพากษา Philip H. Stoll ตัดสินให้ประหารชีวิต Stinney ด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ไม่มีหลักฐานประกอบการพิจารณาคดีอื่น ๆ อีก และไม่มีการยื่นอุทธรณ์โดยทนายความของ Stinney เลย

  

ครอบครัว โบสถ์ และชุมชนคนผิวสีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ‘Olin D. Johnston’ ผู้ว่าการมลรัฐ South Carolina เพื่อขอลดโทษ เมื่อพิจารณาจากอายุของเด็กชาย แต่กลุ่มคนผิวขาวก็เรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐปล่อยให้การประหารชีวิตดำเนินต่อไป ซึ่งเขาก็ยอมทำตามนั้น และ 2 วันก่อนการประหารชีวิต ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เขาได้ไปเยี่ยม George Stinney Jr. ในแดนประหาร (Death House) และผู้ว่า Johnston ได้เขียนตอบต่อการอุทธรณ์ขอลดโทษครั้งสุดท้ายโดยระบุว่า “ผมเพิ่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่จับกุมในคดีนี้ มันอาจจะน่าสนใจสำหรับคุณที่รู้ว่า Stinney ได้ฆ่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เพื่อข่มขืนเด็กหญิงที่ตัวโตกว่า จากนั้นเขาก็ฆ่าและข่มขืนศพของเธอ 20 นาทีต่อมา เขากลับมาและพยายามข่มขืนเธออีกครั้ง แต่ศพของเธอเย็นจนเกินไป ซึ่งทั้งหมดนี้เขายอมรับสารภาพเอง” ระหว่างช่วงเวลาที่ Stinney ถูกจับกุมและการประหารชีวิต พ่อแม่ของเขาได้รับอนุญาตให้พบเขาอีกครั้งหลังจากการพิจารณาคดี เมื่อเขาถูกควบคุมตัวในเรือนจำ Columbia ภายใต้การข่มขู่ว่าจะมีการประชาทัณฑ์ และพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับ George อีกเลย

 

George Stinney Jr. ถูกนำตัวไปประหารชีวิต

Stinney ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เวลา 07.30 น. เขาเตรียมพร้อมสำหรับการประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า โดยใช้พระคัมภีร์เสริมรองนั่ง เนื่องจาก Stinney ตัวเล็กเกินไปสำหรับเก้าอี้ตัวนั้น จากนั้น เขาก็ถูกจับผูกแขน ขา และลำตัวไว้กับเก้าอี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถาม George ว่าเขามีคำพูดสุดท้ายที่จะพูดก่อนการประหารชีวิตเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เขาเพียงแค่ส่ายศีรษะเท่านั้น เพชฌฆาตดึงสายรัดออกจากเก้าอี้แล้วปิดปากของ George  ทำให้เขาน้ำตาไหล จากนั้น เขาก็วางหน้ากากไว้บนใบหน้าของเขา ซึ่งมีขนาดที่ไม่พอดีกับเขาเช่นกัน และในขณะเขาก็ยังคงสะสะอีกสะอื้นต่อไป เมื่อมีการปล่อยกระแสไฟฟ้า หน้ากากที่ปิดอยู่ก็หลุดออก เผยให้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของ Stinney ศพของเขาถูกฝังในหลุมศพที่ไม่มีป้ายเครื่องหมายในเมือง Crowley มลรัฐ Louisiana ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุด ที่มีการบันทึกอายุที่ถูกประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกา

จนกระทั่ง 70 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 2014) ในที่สุดคดีของ George Stinney Jr. ก็ได้รับการพิจารณาใหม่ หลังจากมีหลักฐานใหม่ออกมาสนับสนุนความบริสุทธิ์ของเขา ซึ่งพิสูจน์ว่า “ไม่เคยมีหลักฐานสำคัญใดที่เชื่อมโยงเขาหรือใครก็ตามในเรื่องการฆาตกรรมครั้งนั้นเลย” สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าและความอยุติธรรมให้กับคดีนี้ และสร้างความเศร้าสะเทือนใจให้กับผู้ที่รับรู้เรื่องราวของ George Stinney Jr. มากยิ่งขึ้น

‘Carmen Mullen’ ผู้พิพากษาผู้กลับคำตัดสินในคดีของ Stinney

Katherine Stinney Robinson

Aime Stinney Ruffner

น้องสาวสองคนของ George Stinney Jr. ให้การเป็นพยานในการพิจารณาคดี เพื่อเปิดการพิจารณาคดีของ George Stinney Jr. พี่ชายของพวกเธอใหม่อีกครั้งในเมือง Sumter มลรัฐ South Carolina และแทนที่จะอนุมัติให้มีการพิจารณาคดีใหม่ วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2014 Carmen Mullen ผู้พิพากษาได้กลับคำตัดสินในคดีที่ตัดสินแล้วเมื่อ 70 ปีก่อนของ Stinney โดยเธอตัดสินว่า “เขาไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม เนื่องจากเขาไม่ได้รับการปกป้องอย่างมีประสิทธิภาพ และสิทธิ์ในการแก้ต่างตามรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ของเขาถูกละเมิด” คำตัดสินดังกล่าวเป็นการใช้วิธีการเยียวยาทางกฎหมายที่ถือว่าเป็นไปได้ยากยิ่ง ผู้พิพากษา Mullen ระบุว่า “คำสารภาพของเขามีแนวโน้มว่าจะ ‘ถูกบังคับ’ และด้วยเหตุนี้ การตัดสินจึงไม่อาจที่จะยอมรับได้” นอกจากนี้ เธอยังระบุว่า “การประหารชีวิตเด็กอายุ 14 ปีถือเป็น ‘การลงโทษที่โหดร้ายและผิดปกติ’ และทนายความของเขาไม่ได้เรียกพยานหรือไม่พยายามที่จะรักษาสิทธิในการอุทธรณ์ของเขาเอาไว้” Mullen จำกัดการตัดสินของเธอไว้ในกระบวนการของการฟ้องร้อง โดยให้ข้อสังเกตว่า Stinney ‘อาจจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรมนี้ได้’ โดยอ้างอิงจากกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งผู้พิพากษา Mullen ได้ตัดสินว่า “ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เหตุผลให้เด็กอายุเพียง 14 ปี ซึ่งถูกกล่าวหา ถูกพิจารณาคดี ถูกตัดสินลงโทษ และถูกประหารชีวิตจนแล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 84 วันได้” แม้จะมีการกลับพิพากษาไม่ว่าจะมีการอ้างเหตุใดก็ตาม ชีวิตของ George Stinney Jr. ก็ไม่มีวันฟื้นคืน เช่นนี้แล้ว สหรัฐอเมริกายังมีความยุติธรรมมีอยู่จริงหรือ?

‘Darra Adam Khel’ เมืองเล็กๆ ในประเทศปากีสถาน ชุมชนแหล่งผลิต-จำหน่าย ‘อาวุธปืน’ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Darra Adam Khel แห่งช่องเขา Khyber 
เมืองวิสาหกิจชุมชนของแท้… ผลิตและจำหน่ายอาวุธปืน!!

จากข่าวของนักการเมืองคนหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อที่เอาชื่อจังหวัดมาตั้ง แล้วโฆษณาออกสื่อ* ว่า เป็นของดีประจำจังหวัด แต่เบียร์ดังกล่าวนั้นกลับไม่ได้ผลิตในจังหวัดนั้นแต่อย่างใด เพราะผู้จัดจำหน่ายไปจ้างบริษัทรับผลิต OEM เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผลิตในอีกจังหวัดหนึ่ง เบียร์ที่ว่า จึงไม่ใช่วิสาหกิจชุมชนของจังหวัดแต่อย่างใด เลยขอนำเสนอเรื่องราวของวิสาหกิจชุมชนแท้ ๆ ที่อยู่ในประเทศปากีสถานให้ผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป

*การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกสื่อเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

หากพูดถึงร้านค้า โรงงานผลิตอาวุธปืนและกระสุนแล้ว ผู้คนมากมายต่างพากันเข้าใจและนึกถึงแต่ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ประชาชนครอบครองปืนได้อย่างเสรี และมีจำนวนปืนที่ประชาชนครอบครองมากที่สุดในโลก ซึ่งน่าจะมีร้านค้าและโรงงานผลิตอาวุธปืนมากที่สุดในโลกด้วย หรือไม่ว่าจะเป็นจีน และรัสเซีย ต่างก็เป็นประเทศผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่เช่นกัน หรือแม้กระทั่ง เยอรมนี ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ หรือตุรกี แต่เปล่าเลย ประเทศที่มีโรงงานผลิตอาวุธปืนมากรายที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศปากีสถาน ประเทศมุสลิมในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า ‘Darra Adam Khel’ อยู่ระหว่าง Kohat และ Peshawar ในเขต Kohat Khyber Pakhtunkhwa ของประเทศปากีสถาน ใกล้ ๆ ชายแดนประเทศอัฟกานิสถาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ แต่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Federally Administered Tribal Areas’ (FATA) เมืองที่มีพลเมืองไม่ถึงหนึ่งแสนคน แต่มีวิสาหกิจชุมชนและร้านขายปืนมากถึงสองพันแห่ง มีช่างทำปืนราว 25,000 คน (ราวหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งเมือง) จึงน่าจะเป็นเมืองที่มีโรงงานและร้านขายปืนมากที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของตลาดอาวุธปืนที่มีอายุกว่า 150 ปีอีกด้วย

เมือง Darra Adam Khel ประกอบด้วยถนนสายหลักสายหนึ่งที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าหลายแห่ง ในขณะที่ตรอกซอยและถนนด้านข้างมีโรงงานผลิตอาวุธปืนอยู่มากมาย มีการผลิตอาวุธปืนหลากหลายประเภทในเมือง ตั้งแต่ปืนต่อสู้อากาศยานไปจนถึงปืนปากกา รวมไปถีงกระสุนปืน อาวุธปืนทำมือโดยช่างฝีมือแต่ละคนที่ใช้เทคนิคการผลิตแบบดั้งเดิม ซึ่งมักจะตกทอดจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก มีการทดสอบอาวุธปืนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการยิงเข้าบังเกอร์ทรายข้างโรงงานหรือยิงขึ้นฟ้า

เมืองนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอัฟกานิสถาน และอยู่ไม่ห่างจากทางหลวงที่มุ่งสู่กรุง Islamabad เมืองหลวงของประเทศ และอยู่ห่างออกมาประมาณ 20 นาทีจากเมือง Peshawar ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของภูมิภาคนี้ สันเขาที่อยู่ใกล้เคียงเป็นจุดเริ่มต้นของพื้นที่ชนเผ่ากึ่งปกครองตนเองของประเทศ ซึ่งกลุ่มนักรบที่อาศัยอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ Pashtuns หรือ บ้านเราเรียกว่า ‘Pathans’ นับตั้งแต่ความพยายามของกองทัพในการจัดระเบียบเมืองใหม่ในยุค 2000 ชาว Darra Adam Khel ที่ถูกหมายหัวหลายคนได้พาไปกันอพยพไปอยู่ตามเทือกเขาต่าง ๆ แต่ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้ยังคงเป็นอาวุธปืนและกระสุนปืน

ภาพวาดเหตุการณ์สังหารหมู่ในเมือง Amritsar

เรื่องราวความเป็นมาของการเป็นเมืองที่มีร้านค้าและโรงงานผลิตอาวุธปืนมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเกิดจากนักสู้ชาว Pashtuns ผู้หนึ่งที่ชื่อว่า ‘Ajab Khan Afridi’ ซึ่งอาศัยอยู่ในเขต Frontier Tribal (เขต Kohat Khyber Pakhtunkhwa ในปัจจุบัน) ของชนเผ่า Afridi ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ Pashtuns ในยุคที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ และยังไม่แบ่งแยกกันระหว่างอินเดียและปากีสถาน หลังจากการสังหารหมู่ในเมือง Amritsar อันเนื่องมาจากการที่ชาวอินเดียนับหมื่นคนชุมนุมทางการเมือง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของรัฐบาลอินเดียภายใต้จักรวรรดิอังกฤษ กองทหารอังกฤษ-อินเดีย (British Indian Army) จึงทำการล้อมยิงผู้ประท้วงดังกล่าว ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) ทำให้ชาวอินเดียเสียชีวิตไปจำนวนมาก โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตไม่ยืนยันชัดเจน (ประมาณ 379 จนถึง 1,500 คน) สร้างความโกรธแค้นให้ชาวอินเดียเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผู้คน อีกทั้งความเกลียดชังต่ออังกฤษก็เพิ่มสูงขึ้น ยาวนานต่อเนื่องหลายสิบปีต่อมาจนกระทั่งอินเดียและปากีสถานได้รับเอกราช

Ajab Khan Afridi

เหตุการณ์สังหารหมู่ในเมือง Amritsar ทำให้กลุ่มต่อต้านอังกฤษกลุ่มเล็ก ๆ จากเผ่า Afridi, Shinwari และ Mohmand เกิดขึ้น ต่อมามีการ บุกเข้าไปในคลังอาวุธของหน่วยทหารม้าของกองทหารอังกฤษ-อินเดียที่ประจำอยู่ในเขต Kohat แล้วขโมยปืนยาวไปราว 100 กระบอก กลุ่ม Afridi ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิบัติการ ทำให้ Ajab Khan ผู้นำกลุ่ม ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์นี้ ดังนั้น หมู่บ้านของเขาจึงถูกปิดล้อมโดยกำลังทหารและตำรวจของอังกฤษ แต่ Ajab Khan ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกในกลุ่มของเขาบางคนพยายามหลบหนี โดยปลอมตัวเป็นผู้หญิง ผู้บัญชาการกองกำลังจึงสั่งให้ทำการตรวจค้นผู้อยู่อาศัยทั้งหมด รวมทั้งผู้หญิงด้วย แต่ก็ไม่พบร่องรอยของปืนที่ถูกขโมย การตรวจค้นผู้หญิงถือเป็นการละเมิด ‘Purdah’ (ความเคารพ) และถูกมองว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างยิ่ง

อนุสาวรีย์ Ajab Khan Afrid ในเมือง Darra Adam Khel

Ajab Khan ซึ่งต้องการแก้แค้น จึงร่วมกับพรรคพวกได้บุกเข้าไปในค่าย Kohat เข้าไปในบ้านของพันตรี Ellis แต่เขาไม่อยู่ และภรรยาของพันตรี Ellis ขัดขืนจึงถูกแทงเสียชีวิต และได้ลักพาตัว Molly ลูกสาวของพันตรี Ellis ไป ต่อมา Molly ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ Ajab Khan และพรรคพวกยังได้ต่อสู้กับกองทหารอังกฤษ-อินเดียอีกหลายครั้ง และหลบหนีไปอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) Ajab Khan Afridi ได้เสียชีวิตลง ขณะอายุ 95 ปี ในเมือง Mazar-i-Sharif ในจังหวัด Balkh ของอัฟกานิสถาน และเป็นตำนานชีวิตของวีรบุรุษนักสู้ชาว Pashtuns แห่งเมือง Darra Adam Khel นับแต่นั้นเป็นต้นมา

โดยที่เมือง Darra Adam Khel อยู่ในภูมิภาคซึ่งยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนเผ่าท้องถิ่น ทำให้เมืองนี้มีกฎหมายพิเศษเกี่ยวกับอาวุธปืน เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนที่เหลือของประเทศปากีสถาน ประชากรส่วนใหญ่ที่นี่ทำหรือขายสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ‘อาวุธปืน’ ในขณะที่ธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของชาวเมืองนี้คือ ‘การขนส่ง’ ไม่ว่าลูกค้าต้องการอาวุธปืนเลียนแบบ Beretta หรือ ปืนยิงเร็ว AK-47 ที่มีการ ‘รับประกัน’ ว่าใช้งานได้ดีเหมือนของแท้ แต่จำหน่ายในราคาเพียงเศษเสี้ยว ไม่ต้องมองหาอาวุธปืนราคาถูกคุณภาพดีจากที่ไหนเลย นอกจากเมือง Darra Adam Khel ซึ่งอยู่ใกล้กับอัฟกานิสถาน ประเทศที่มีความขัดแย้งรุนแรง และมีการใช้อาวุธปืนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ที่นี่ ในเมือง Darra Adam Khel จะสามารถพบกับอาวุธปืนของแท้ ควบคู่ไปกับอาวุธปืนที่ผลิตเลียนแบบเกือบทุกอย่างที่นักรบอิสระอาจต้องการ ไม่ว่าจะเป็น Kalashnikovs (AK-47), M16, Glock ปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ในราคาถูกมาก ในยุครุ่งเรือง เมือง Darra Adam Khel เป็นที่หลบภัยของคนเร่ร่อน พ่อค้ายา และผู้ลี้ภัยต่าง ๆ โดยตำรวจปากีสถานไม่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่นี้ได้ กระทั่งมีการปราบปรามโดยกองทัพปากีสถาน จึงทำให้ธุรกิจอาวุธปืนซบเซาลง แต่บรรดาพ่อค้าที่นั่นยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด ‘Azmatullah Orakzai’ เจ้าของร้านวัย 31 ปี กล่าวกับนักข่าวว่า “ผู้คนมักต้องการปืน”

ปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M16 ‘Darra copy’ เลียนแบบและผลิตในเมือง Darra Adam Khel

ปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M16 ซึ่งไม่ใช่ปืนดั้งเดิมของอเมริกา แต่เป็นของเลียนแบบจากจีน จะมีราคา 180,000 ถึง 230,000 รูปี ($1,800 ถึง $2,300) แต่ที่เลียนแบบและผลิตในท้องถิ่นเรียกว่า ‘Darra copy’ จะมีราคาเพียง 30,000 ถึง 80,000 รูปี ($300 ถึง $800) เท่านั้น

อาวุธปืน Glock ‘Darra copy’ ที่ทำเลียนแบบ ‘โครงปืน’ (Frame) เป็นพลาสติกใส

Orakzai กล่าวว่า “ปืนเลียนแบบ Glock ราคาเพียง 30,000 ถึง 35,000 รูปี” ปืนพกกึ่งอัตโนมัติของออสเตรียที่สามารถซื้อได้ในราคาต่ำกว่า $350

แล้ว ‘ปืน AK-47’ หรือ ‘Kalashnikov’ ตัวโปรดของกองโจรทั่วโลกล่ะ? Orakzai บอกว่าของแท้จะมีราคา 80,000 ถึง 200,000 รูปี ($800 ถึง $2,000) เขานำปืน AK-47 ยุคโซเวียตออกมาแสดงอย่างภาคภูมิใจ ปืน AK-47 ปี ค.ศ. 1971 ของอดีตสหภาพโซเวียต 8 ปี ก่อนที่อัฟกานิสถานจะถูกกองทัพแดงของสหภาพโซเวียตรุกราน เครื่องหมายบนปืนเป็นภาษารัสเซีย แต่ของเลียนแบบราคาเพียง 7,000 ถึง 25,000 รูปี ($70 ถึง $250) เทียบกับเคบับแพะหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งเป็นอาหารกลางวันสำหรับ 4 คนในราคา $20

โรงงานผลิตปืนแห่งหนึ่งในจำนวนหลายร้อยหรืออาจจะเป็นพันแห่งในเมือง Darra Adam Khel

การใช้เลเซอร์ในการเขียนตัวอักษรและแกะลายบนอาวุธปืน

การผลิตกระสุนปืนในเมือง Darra Adam Khel

ส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมอาวุธปืนของเมือง Darra Adam Khel ยังคงดำรงคงอยู่ได้ เพราะความขัดแย้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในประเทศอัฟกานิสถาน อาวุธปืนเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ขายเป็นประจำและขายเป็นจำนวนมากให้กับ ‘มูจาฮิดีน’(ขบวนการประชาชนมุญาฮิดีนอิหร่าน หรือ กองกำลังเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติอิหร่าน) ในอัฟกานิสถาน ช่วงสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน (พ.ศ. 2522-2532) ทุกวันนี้ ความต้องการก็ยังคงมีอยู่และดำเนินต่อไป พร้อมกับการถือกำเนิดของการผลิตอาวุธปืนที่ทันสมัยมากขึ้น การนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามา อาทิ การใช้เลเซอร์ในการเขียนและแกะลายอาวุธปืน ตลอดจนการผลิตกระสุนปืนอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วอาวุธปืนและกระสุนปืนของกองกำลังสหรัฐฯ และ NATO ที่เคยประจำอยู่ในอัฟกานิสถานที่ถูกทิ้งไว้มากมายมหาศาลก็ถูกลักลอบนำออกมาจำหน่ายในปากีสถาน ซึ่งรวมถึงเมืองแห่งนี้ด้วย เพราะรัฐบาลตาลีบันของอัฟกานิสถานห้ามประชาชนชานอัฟกันครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนที่กองกำลังสหรัฐฯ และ NATO ทิ้งไว้ ด้วยถือว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนเหล่านั้นเป็นสมบัติของรัฐบาลโดยปริยาย

อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด 12 (ลูกซอง) นัดเดียวบรรจุเดี่ยว

สำหรับบ้านเราแล้ว ฝ่ายที่คัดค้านหรือเห็นต่าง ซึ่งเป็นบรรดาผู้ที่ไม่ชอบอาวุธปืนก็จะให้เหตุผลว่า เรื่องของอาวุธปืนเป็นเรื่องไม่ดี เพราะอาวุธปืนถูกนำไปใช้เข่นฆ่าเพื่อคร่าชีวิต ทำร้ายผู้คน แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยก็ให้เหตุผลว่า ปืนก็เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกนี้ ตัวอย่างเช่น มีดเล่มหนึ่ง… ถ้านำไปใช้งานต่าง ๆ เพื่อการทำอาหาร หรือทำประโยชน์อื่น ๆ ก็ไม่ได้มีพิษภัยอันตรายแต่อย่างใด แต่เมื่อใดที่มีดเล่มนั้นถูกนำไปใช้ทำร้ายผู้คน เมื่อนั้นมีดเล่มเดียวกันนี้เอง ก็กลายเป็นอาวุธร้ายไป เช่นเดียวกับอาวุธปืน ซึ่งถูกผลิตออกมาโดยความมุ่งหมายเพื่อให้สุจริตชนเอาไว้ใช้ป้องกันชีวิต และทรัพย์สินจากภยันตรายต่าง ๆ รวมไปถึงใช้ในการป้องกันชาติบ้านเมืองจากอริราชศัตรู ซึ่งถือว่ามีคุณประโยชน์ เป็นเรื่องเชิงบวก หากแต่อาวุธปืนถูกทุจริตชนนำไปใช้ก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ก็กลายเป็นพิษภัยร้ายแรงต่อผู้คนและสังคมไปได้

วังบูรพาแหล่งรวมร้านค้าอาวุธปืนของไทย

ทุกวันนี้การครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในบ้านเราต้องขออนุญาตซื้อ (ป.3) และครอบครอง (ป.4) จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถพกพานำติดตัวโดยไม่มีเหตุอันควรได้ ซึ่งการพกพาต้องมีใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน (ป.12) จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีแต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเท่านั้น ที่จะมีสิทธิพกพาอาวุธปืนในขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ อีกทั้งอาวุธปืนที่ขายในประเทศทุกวันนี้ก็มีราคาแพงมาก ๆ ราคาขายปลีกอาวุธปืนในไทยสูงกว่าราคาขายปลีกอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกามากกว่า 5 เท่าขึ้นไป อันเนื่องมาจากการจำกัดโควตาการนำเข้าอาวุธปืนของร้านค้าอาวุธปืน ที่สามารถสั่งนำเข้าอาวุธปืนมาจำหน่ายใบอนุญาตร้านค้าละ 30 กระบอกสำหรับอาวุธปืนสั้น และ 50 กระบอกสำหรับอาวุธปืนยาว (รวมปืนลูกซอง) ต่อปี จึงทำให้อุปสงค์ของอาวุธปืนสูงกว่าอุปทานมาก จนส่งผลให้ราคาของอาวุธปืนในบ้านเรามีราคาสูงมาก ๆ

ปืนเล็กกลแบบ 11 (Heckler & Koch HK33) ผลิตอาวุธปืนโดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบกไทย

ประเทศไทยมีการผลิตอาวุธปืนโดยกรมสรรพาวุธทหารบก กองทัพบกไทย โดยได้ซื้อสิทธิบัตรเพื่อนำมาผลิตเอง โดยผลิตปืนเล็กกลแบบ 11 (Heckler & Koch HK33) เอง และเคยผลิตปืนพกทั้งจากการซื้อลิขสิทธิ์และเลียนแบบ แต่ยังมีอุตสาหกรรมเอกชนไทยผลิตอาวุธปืนได้สำเร็จในเชิงธุรกิจ เหมือนกับวิสาหกิจชุมชนของเมือง Darra Adam Khel ประเทศปากีสถานเลย หากพิจารณาจากกรณีวิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนของปากีสถานแล้ว การผลิตอาวุธปืนไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นสำหรับวงการอุตสาหกรรมของบ้านเราแต่อย่างใด เพียงแต่ยังขาดความเข้าใจและการสนับสนุนในการเข้าถึงโอกาส สำหรับอุตสาหกรรมประเภทนี้ของประเทศไทยเท่านั้นเอง

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งในการที่ทางการปากีสถานยังปล่อยให้วิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนของเมือง Darra Adam Khel ดำรงคงอยู่ก็คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างปากีสถานและอินเดีย ซึ่งยังมีอยู่เป็นระยะ ๆ การมีวิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนในประเทศนั้น ถือเป็นการเสริมสร้าง "ศักย์สงคราม" หรือความสามารถในการทำสงครามของปากีสถานไปโดยปริยาย ปากีสถานซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าอินเดีย 5 เท่า กองทัพจึงมีขนาดเล็กกว่าไปด้วย แต่กองทัพปากีสถานก็มีความพร้อมบวกกับกองทัพอินเดียโดยตลอด วิสาหกิจชุมชนผลิตอาวุธปืนและกระสุนปืนของเมือง Darra Adam Khel จึงมีทั้งคุณและโทษ โดยที่คุณค่าที่มีนั้นยังคงจำเป็นต่อความมั่นคงของปากีสถานทำให้วิสาหกิจดังกล่าวจึงดำรงคงอยู่ได้จนทุกวันนี้ และต่างจากบ้านเราที่ยังต้องสั่งนำเข้าทั้งอาวุธของกองทัพ ตำรวจ และพลเรือน

‘ICAC’ สุดยอดหน่วยปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชัน ผู้ปัดกวาดเกาะฮ่องกง ลบภาพจำดินแดนแห่งการคดโกง

‘ICAC’ (The Independent Commission Against Corruption) ของฮ่องกง… สุดยอดต้นแบบแห่งการปราบปรามคอร์รัปชันทุจริตโกงกิน

การปราบปรามการทุจริตโกงกินของประเทศใด ๆ ก็ตาม ไม่มีวันที่จะสำเร็จหากหน่วยงานปราบปรามการทุจริตของประเทศนั้น ๆ ทำงานในเชิงรับ (Defensive) ตัวอย่างที่ดีที่สุดและพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ถึงความสำเร็จในการปราบปรามการทุจริตเชิงรุก (Offensive) ก็คือหน่วยงานปราบปรามทุจริตของฮ่องกง อย่าง ‘ICAC’ ซึ่งทำงานเชิงรุกมาโดยตลอด นับแต่ตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นในเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เลยขอนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ ICAC ซึ่งยาว แต่มีประโยชน์มากครับ

การปราบปรามการทุจริตของฮ่องกงเป็นต้นแบบที่ดีที่สุด ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันกรณีหนึ่งของโลก ด้วยเหตุที่ฮ่องกงในอดีตเผชิญกับปัญหาคอร์รัปชันอย่างรุนแรง ชนิดที่เรียกว่า แค่ย่างเท้าก้าวออกจากบ้านก็ต้องจ่าย สินบน ค่าน้ำร้อนน้ำชาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างน้อยคนหนึ่ง (ฮ่องกงในอดีตอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ฮ่องกงจึงกลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน และกลายเป็น ‘เขตปกครองพิเศษ’ ภายใต้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ เป็นแห่งแรกของจีน)

ช่วงต้นทศวรรษที่ 70 รัฐบาลอังกฤษส่ง Sir. Murray MacLehose มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเกาะฮ่องกง (Governor of Hong Kong) ผลงานชิ้นสำคัญของ MacLehose คือ การตั้งหน่วยงานปราบปรามการทุจริต ขึ้นเมื่อ15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) หน่วยงานนี้มีชื่อว่า ‘Independent Commission Against Corruption’ หรือ ‘ICAC’ ความสำเร็จของฮ่องกงที่กลายเป็นศูนย์กลางด้านการเงินระหว่างประเทศ เป็นสวรรค์ของบรรดานักช้อปทั้งหลาย มีเศรษฐกิจเฟื่องฟูต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี โดยในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 นั้นถือเป็นยุคที่บูมสุด ๆ ของเกาะแห่งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลงานของ ICAC

‘ICAC’ เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมา เพื่อปราบปรามและป้องกันการทุจริต โดยมีบทบาทอย่างสูงยิ่งในการปัดกวาด กำจัดการทุจริตโกงกินที่เกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้จนสะอาดสะอ้าน ทำให้ปัญหาคอร์รัปชันบรรเทาเบาบางลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ จนเกาะสะอาดแห่งนี้คว้าตำแหน่งศูนย์กลางทางการเงินแห่งภูมิภาคมาครองได้ในที่สุด ซึ่งนับเนื่องมาถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ 50 ปีแล้วที่องค์กรนี้มุ่งมั่นในการทำหน้าที่ตามภารกิจนี้มา

เดิมการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในฮ่องกง เป็นเพียงแผนกหนึ่งของกรมตำรวจฮ่องกง แต่ทว่า ตำรวจฮ่องกงในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 ขึ้นชื่อในเรื่องการเรียกร้องสินบนมากที่สุด ชนิดชาวบ้านร้านตลาดต่างเอือมระอา ภาพลักษณ์ตำรวจฮ่องกงในยุคนั้นไม่ต่างอะไรกับ ‘โจรในเครื่องแบบ’ ที่รีดไถเก็บค่าคุ้มครองสุจริตชน หนำซ้ำยังอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มมาเฟีย โดยแลกกับผลประโยชน์จากการรับส่วย สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ ทำให้ชาวฮ่องกงมีต้นทุนในการดำรงชีวิตแพงขึ้น เพราะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อแลกกับการใช้บริการภาครัฐ หรือไม่ก็แลกกับการที่ผู้รักษากฎหมายจะไม่มากลั่นแกล้ง หรือยัดเยียดข้อหาให้ ฮ่องกงกำลังตกอยู่ในสภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเติบโตอย่างฮวบฮาบของจำนวนประชากร และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ล้วนเป็นตัวเร่งเร้าจังหวะก้าวของการพัฒนา ทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจให้ร้อนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ภาครัฐเองในเวลานั้น ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่ดูจะไม่มีวันอิ่มของจำนวนประชากร ที่นับวันจะขยายตัวยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์เช่นนี้เอง ที่เป็นเสมือนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ให้แก่เหล่าผู้คนประเภทไร้ศีลธรรมทั้งหลาย หลายคนได้หันไปใช้วิธีที่เรียกว่า ‘เข้าหลังบ้าน’ เพียงเพื่อยังชีพ และให้ได้มาซึ่งสิ่งพิเศษนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐาน สิ่งที่เรียกว่า ‘เงินค่าน้ำร้อนน้ำชา’, ‘เงินสกปรก’, ‘เงินเก๋าเจี๊ยะ’ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ จึงไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่คนฮ่องกงคุ้นเคย แต่ต้องจำใจยอมรับมันว่าได้กลายเป็น ‘วิถีชีวิตอันไม่อาจปฏิเสธได้’ ไปเสียแล้ว

ในสมัยนั้น คอร์รัปชันได้ลุกลามไปทั่วในภาคเอกชนของฮ่องกงไม่ว่าจะเป็นพวกห้างร้านต่างๆ ก็ต้องจ่ายเงินให้พนักงานดับเพลิงเสียก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าคนพวกนี้จะโผล่หน้ามาตอนเกิดไฟไหม้จริงๆ หรือเวลายื่นคำร้องขอติดตั้งโทรศัพท์บ้านสักเครื่องก็ต้องจ่ายค่า ‘หยอดน้ำมัน’ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ ‘โทรศัพท์’ มาใช้งาน พนักงานรถพยาบาลก็ไม่วายเรียกร้องเงินค่าน้ำร้อนน้ำชาก่อนจะออกไปรับผู้ป่วยมาโรงพยาบาล หรือแม้แต่นางพยาบาลเองยังเรียกร้องเงินค่า ‘ทิป’ ก่อนจะหยิบกระโถนฉี่ หรือเอาน้ำสักแก้วมาบริการผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้คิดดูเถิด การหยิบยื่นเงิน ‘เก๋าเจี๊ยะ’ ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ถูกคน ยังเป็นเรื่องจำเป็นในการติดต่อเพื่อเช่าแฟลตการเคหะ ฝากลูกเข้าโรงเรียน รวมทั้งเพื่อความคล่องตัวในการติดต่อราชการอีกสารพัดเรื่อง 

ปัญหาคอร์รัปชันได้กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในฮ่องกงเรื่อยมา ทว่ารัฐบาลในสมัยนั้นดูเหมือนจะไร้น้ำยาที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้ ความอดทนของประชาชนต่อเรื่องนี้นับวันจะน้อยลงๆ ทุกที หลายคนจึงเริ่มออกมาแสดงความไม่พอใจโจมตีความไม่เอาไหนของรัฐฯ ในการจัดการกับปัญหานี้ ในช่วงต้นๆ ของทศวรรษที่ 1970 ปรากฏว่าผู้คนในสังคมได้รวมพลังกันแสดงความคิดเห็นต่อปัญหานี้กันอย่างแข็งขัน จนเกิดเป็นพลังทางสังคมที่รัฐฯ ไม่อาจทำเป็นหูทวนลมต่อไปได้ สาธารณชนได้ทำการกดดันฝ่ายบ้านเมืองชนิดกัดไม่ปล่อย เพื่อให้รัฐฯ ตัดสินใจใช้มาตรการอันเฉียบขาดในการสะสางปัญหาอันเรื้อรังนี้เสียที

‘Sir. Murray MacLehose’ ผู้ว่าการเกาะฮ่องกง ผู้ก่อตั้งหน่วย ICAC

‘Sir. Murray MacLehose’ ผู้ว่าการเกาะฮ่องกง (ข้าหลวงใหญ่ฮ่องกง) ในขณะนั้น (ดำรงตำแหน่ง 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982)) ได้ชี้แจงแสดงเหตุผลความจำเป็น ที่จะต้องจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อต่อต้านการทุจริต ในสุนทรพจน์ของเขาที่แสดงต่อคณะกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายนิติบัญญัติในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) จนในที่สุดได้ส่งผลให้เกิดการจัดตั้งองค์กรอิสระที่เรียกว่า ‘คณะกรรมการอิสระป้องกันและปราบปรามการทุจริต’ หรือ ‘Independent Commission Against Corruption’ (ICAC) ขึ้นมาเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974)

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างหนึ่งของฮ่องกง คือ ภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งเมื่อก่อนไม่ค่อยสนใจ หรือตระหนักถึงอันตรายของปัญหาคอร์รัปชัน และมองว่าเรื่องการจ่ายใต้โต๊ะเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ได้มีการปรับเปลี่ยนทัศนคติจนทำให้มีส่วนร่วมในการปราบคอร์รัปชัน ทั้งภายในองค์กรของตัวเอง และที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐมากขึ้น องค์กรธุรกิจภาคเอกชนที่ไปขอคำแนะนำเรื่องการปราบปรามคอร์รัปชันจาก ICAC มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ. 2537 ICAC เริ่มรณรงค์เรื่องจริยธรรมทางธุรกิจและต่อมาอีก 18 เดือนมีบริษัทและสมาคมการค้ากว่า 1,200 แห่ง ประกาศเรื่องประมวลจรรยาบรรณของบริษัท (Code of conduct)

ปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้ฮ่องกงประสบความสำเร็จในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชัน : 

ปัจจัยแรก การยอมรับสภาพปัญหาและความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันของรัฐบาล ทำให้ความพยายามในการปราบปรามคอร์รัปชันได้ผลคือ เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงสุดตระหนักถึงความเลวร้ายของปัญหาคอร์รัปชัน และมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง โดยเน้นว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่จะต้องใช้เวลาแก้ไขอย่างต่อเนื่องมากกว่ามาตรการระยะสั้น อย่างกรณีของฮ่องกง ข้าหลวงใหญ่เป็นผู้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการอิสระ เพื่อการปราบปรามคอร์รัปชัน (ICAC) โดยตรง และตั้งเป็นองค์กรอิสระจากการแทรกแซงการเมือง เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อถือ รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการสร้างองค์กรนี้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการคัดเลือกและตรวจสอบพนักงานอย่างมีคุณภาพ ให้เงินเดือนและสวัสดิการสูง เพื่อให้เป็นองค์กรที่อยู่ได้อย่างยาวนาน ต่างจากการรณรงค์การปราบปรามการคอร์รัปชันระยะสั้นในหลายประเทศ ซึ่งมักเป็นการหาเสียงทางการเมือง มากกว่าจะมีความจริงใจในการปราบปรามการคอร์รัปชัน และทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือและไม่ให้ความร่วมมือกับองค์กรที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา

ปัจจัยที่ 2 การมีองค์กรปราบปรามคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส คือ ICAC ของฮ่องกงจะมีการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ที่มาทำงานอย่างเข้มงวดมาก ๆ คือจะต้องคัดเลือกคนที่เก่ง ทั้งมีคุณธรรมและความซื่อสัตย์สูง เจ้าหน้าที่ของ ICAC จะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติตัวตามวินัย และมีการตรวจสอบภายในอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ถูกเย้ายวนใจให้เป็นผู้คอร์รัปชันเสียเอง ในบางประเทศที่เจ้าหน้าที่ด้านนี้มีอำนาจมากอาจเป็นดาบสองคม หากพวกเขาหลงทางใช้อำนาจไปในทางที่ผิดได้ จะทำให้การปราบปรามคอร์รัปชันไม่ได้ผล

ปัจจัยที่ 3 การมียุทธศาสตร์ระยะยาวที่มีการวางแผนที่ดี คือ มียุทธศาสตร์ในการจัดปราบคอร์รัปชันระยะยาวที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ สงครามปราบคอร์รัปชันไม่อาจเอาชนะได้ด้วยการจับกุม ลงโทษผู้ทำคอร์รัปชันและปรับปรุงกลไกการทำงานของราชการ สิ่งที่จำเป็น คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชนขั้นพื้นฐานด้วย ยุทธศาสตร์ในการปราบปรามคอร์รัปชันของฮ่องกง คือ การทำสงครามด้านคอร์รัปชัน 3 ทางพร้อมกันแบบบูรณาการ คือ การสอบสวน การป้องกัน และการให้การศึกษาแก่ประชาชน ทางแรก มีหน่วยปฏิบัติการที่ทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงตามที่ได้รับรายงานหรือมีการร้องเรียนเข้ามา ทางที่ 2 มีหน่วยป้องกันคอร์รัปชัน ซึ่งทำหน้าที่ในการป้องกัน เพื่อลดโอกาสในการคอร์รัปชัน ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทางที่ 3 มีหน่วยประชาสัมพันธ์ชุมชนทำงานด้านให้การศึกษา ให้ประชาชนตระหนักถึงความเลวร้ายของคอร์รัปชัน และแสวงหาการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากพลเมืองด้วย ‘หน่วยประชาสัมพันธ์ชุมชน’ (Community Relations Department) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ราว 200 คน ตั้งขึ้นมาด้วยความตระหนักว่า ต้องเปลี่ยนทัศนคติประชาชนเรื่องการคอร์รัปชันให้ได้เท่านั้น จึงจะสามารถปราบคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่โตลึกซึ้งได้อย่างแท้จริง งานที่หน่วยนี้ทำ คือ พยายามอธิบายกฎหมายการต่อต้านสินบนให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ ให้การศึกษาเด็กนักเรียนที่โรงเรียน และกระตุ้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการปราบปรามคอร์รัปชัน ด้วยการรายงานข่าวหรือข้อสงสัยเรื่องการคอร์รัปชันให้องค์กร ICAC ทราบ

การที่จะทำเช่นนี้ได้เจ้าหน้าที่จะต้องมียุทธวิธีเฉพาะและทำงานใกล้ชิดกับคนกลุ่มต่าง ๆ ในชุมชน จนกระทั่งประชาชนไว้วางใจว่า ICAC เป็นองค์กรที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ประชาชนจึงจะเป็นกำลังที่สำคัญในการยกระดับทางศีลธรรม และปฏิรูประบบการบริหารจัดการองค์กรภาคเอกชนที่จะช่วยป้องกันการคอร์รัปชัน ความสำเร็จด้านหนึ่งขององค์กร ICAC คือ การที่องค์กรทำให้สาธารณชนเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า การติดสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐนั้น เป็นการส่งเสริมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เพิ่มค่าใช้จ่ายให้สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจมีกำไรลดลง และเป็นการทำลายระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี

การทำงานในด้านการสอบสวนและลงโทษผู้ทำผิดได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้ประชาชนเชื่อถือองค์กร ICAC และช่วยรายงานข้อมูลมาให้องค์กร ICAC มากขึ้น รวมทั้งร่วมมือในการป้องกันคอร์รัปชันมากขึ้น แม้ 3 หน่วยนี่จะทำงานคนละด้าน แต่ก็มีความร่วมมือและส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพราะการทำงานประสบความสำเร็จของแต่ละหน่วยนั้น จะช่วยให้หน่วยอื่น ๆ ทำงานได้สำเร็จมากขึ้น

ปัจจัยที่ 4 การใส่ใจต่อรายงานข้อร้องเรียนเรื่องคอร์รัปชันทุกฉบับ ปัจจัยที่จะทำให้ประชาชนไว้วางใจ และร่วมมือในการรายงานร้องเรียนเรื่องคอร์รัปชันมาที่ ICAC ก็คือ ICAC จะรับและติดตามสอบสวนรายงานที่ประชาชนร้องเรียนมาทุกเรื่อง แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยและจะตอบให้ประชาชนทราบด้วยว่า เรื่องที่ร้องเรียนมานั้นสอบสวนไปถึงไหน ผลเป็นอย่างไร เพื่อที่ประชาชนจะได้ไว้วางใจว่า เรื่องที่พวกเขาร้องเรียนไปไม่ได้หายเข้ากลีบเมฆ และประชาชนจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาคอยรายงานให้ ICAC อีกในครั้งต่อไป แม้บางเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมาเป็นเรื่องปัญหาของหน่วยงานรัฐมากกว่าจะเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน แต่ ICAC ก็ไม่โยนทิ้งตะกร้า แต่จะส่งต่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่อไป เพื่อให้ประชาชนไว้วางใจว่า ICAC เป็นองค์กรที่พึ่งที่หวังได้

ปัจจัยที่ 5 การรักษาความลับของผู้ร้องเรียน ปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ คือ ICAC รักษาความลับของผู้ร้องเรียนอย่างเข้มงวด เพราะการร้องเรียนนั้นมีความเสี่ยงอยู่ คนที่จะร้องเรียนต้องมีความกล้าและความมั่นใจว่า ICAC ต้องปกปิดชื่อผู้ร้องเรียน โดยไม่ทำให้พวกเขาได้รับอันตรายภายหลัง การบันทึกข้อมูลของผู้ร้องเรียนในคอมพิวเตอร์และระบบไฟล์ จะมีการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลอย่างดี จะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่จำเป็นต้องรู้เท่านั้น จึงจะเข้าถึงข้อมูลได้ เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่เกี่ยวข้องจะเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ ข้อมูลที่ใช้ไปและหมดความจำเป็นแล้วจะถูกทำลาย กฎหมายของฮ่องกงยังให้ ICAC มีสิทธิไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูลของตนได้ด้วย

ปัจจัยที่ 6 การมีปัจจัยแวดล้อมโดยรวมที่เอื้อให้ ICAC ทำงานประสบความสำเร็จ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำงานร่วมกันอย่างเอื้ออำนวยต่อการปราบปรามคอร์รัปชัน ข้าหลวงใหญ่ฮ่องกงเป็นผู้แต่งตั้งเลขาธิการและรองเลขาธิการสำนักงาน ICAC เลขาธิการ ICAC เป็นผู้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ICAC คนอื่น ๆ และรายงานตรงต่อข้าหลวงใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานอื่นหรือนักการเมืองข้าราชการคนอื่น ๆ เข้าไปแทรกแซง ICAC เลขาธิการ ICAC เป็นผู้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลและรัฐสภาในเรื่องงบประมาณประจำปี เจ้าหน้าที่ของ ICAC ต้องทำตามระเบียบเงื่อนไขการจ้างงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่การปฏิบัติงานของ ICAC เป็นอิสระโดยสิ้นเชิง

เพื่อป้องกันไม่ให้ ICAC ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด จะมีระบบการตรวจสอบ ICAC ที่เข้มงวด งานของ ICAC จะถูกชี้นำโดยคณะกรรมการที่ปรึกษา 4 คณะ สมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษามาจากตัวแทนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้แต่งตั้ง และยังมีคณะกรรมการคณะที่ 5 ประกอบไปด้วยตัวแทนจากฝ่ายบริหารของรัฐสภามีหน้าที่พิจารณาเรื่องที่ประชาชนร้องเรียน ICAC ผู้ที่เป็นประธานกรรมการทั้ง 5 ชุด ไม่ใช่เลขาธิการ ICAC แต่เป็นหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษา ทั้งนี้ เพื่อให้คณะกรรมการที่ปรึกษาเป็นอิสระอย่างแท้จริง

ปัจจัยที่เอื้ออำนวยอย่างสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การที่ระบบกฎหมายของฮ่องกงสนับสนุนให้ ICAC ทำงานปราบคอร์รัปชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ICAC มีอำนาจที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ต้องสงสัยว่าจะคอร์รัปชันโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินได้ สามารถร้องขอต่อศาลสั่งห้ามผู้ต้องสงสัยเดินทางออกนอกประเทศได้ สามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีและตู้นิรภัยของผู้ต้องสงสัยได้ เรียกร้องให้ผู้ต้องสงสัยต้องแสดงสถานการณ์ทางการเงินโดยละเอียด รวมทั้งเข้าไปตรวจค้นที่บ้านพักของผู้ต้องสงสัย ถ้าการสอบสวนโยงใยไปถึงบุคคลอื่น ICAC ก็สามารถตามไปตรวจสอบคนคน นั้น เพื่อที่จะโยงในเรื่องการคอร์รัปชันทั้งหมดได้

อาวุธที่สำคัญข้อหนึ่งที่ระบบกฎหมายฮ่องกงยื่นให้ ICAC คือ การที่ ICAC สามารถตั้งข้อหาต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีทรัพย์สินมากและไม่อาจอธิบายได้ หรือใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยเกินกว่ารายได้ประจำจากเงินเดือน ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐผู้นั้นไม่สามารถอธิบายต่อศาลได้ว่า ทรัพย์สินเหล่านั้นมาอย่างไร เขาจะถูกถือว่าคอร์รัปชัน กฎหมายนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐของฮ่องกงต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์เพิ่มขึ้น (B.E.D.DE Speville The Experience Of Hong Kong, China in Combating Corruption 5 Daniel Kaufmann. FINANCE AND DEVELOPMENT, September 2005, V.42 NO. 3.)

การคอร์รัปชันในระบบราชการของฮ่องกงเมื่อ 30 ปีที่แล้วถูกขจัดไป แต่ปัญหาใหม่คือ การคอร์รัปชันในภาคเอกชนที่สลับซับซ้อน ซึ่งต้องการการติดตามแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น ต้องการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น การที่ฮ่องกงกลับคืนจากการอยู่ใต้ปกครองของอังกฤษมาเป็นเขตปกครองพิเศษ (Special Administrative Region – Sar) ของจีนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ก็ทำให้โฉมหน้าการเมืองเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง

แม้ระบบกฎหมายฮ่องกงจะรองรับการดำรงอยู่ของ ICAC ในฐานะองค์กรอิสระต่อไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับการเมืองภายในประเทศจีนอยู่มาก โดยทั่วไปแล้วการปราบปรามคอร์รัปชันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาฮ่องกงให้มั่นคงและเจริญรุ่งเรืองต่อไป รวมทั้งการร่วมมือกับหน่วยงานทำนองเดียวกันในกวางตุ้ง และมณฑลอื่น ๆ ของจีน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจีนเอง การปราบคอร์รัปชันในหมู่นักการเมืองและข้าราชการคงดำเนินต่อไป ยกเว้นจะมีการคอร์รัปชันในระดับข้าราชการที่สูงมาก ๆ แต่ประสบการณ์ของฮ่องกงก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่นให้ศึกษาได้ว่า แม้แต่ประเทศที่เคยมีวัฒนธรรมการจ่ายสินบนใต้โต๊ะที่เรียกว่า ‘ค่าน้ำร้อนน้ำชา’ อย่างถือเป็นเรื่องปกติ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเลิกวัฒนธรรมแบบนี้ได้ ถ้ามีการรณรงค์อย่างจริงจัง (ขอบคุณที่มา นโยบายรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ : การทับซ้อนของผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Conflict of Interest) อาจารย์วิทยากร เชียงกูล)

ทุกวันนี้หน่วยงานต่อต้านและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของบ้านเรามีทั้ง (1) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการสอบสวนกลส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ (3) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งยังคงทำงานเชิงรับ และทำงานไม่ได้เหมือนและไม่ได้เท่ากับ ICAC ของฮ่องกง เช่นนี้แล้วต่อให้เราท่านตายแล้วเกิดใหม่อีก 7 ชาติ สถานการณ์ทุจริตโกงกินในบ้านเราก็จะยังคงเป็นเหมือนเช่นเดิมอยู่ต่อไป

ชมคลิป ดร.โญ มีเรื่องเล่า เรื่อง ICAC  ออกอากาศทาง ททบ5 เมื่อ 18 เมษายน 2562 https://youtu.be/51-6j8wRBVk

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘โจรสลัดแห่งน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ กลุ่มคนใจโฉด ที่อดีตเคย ‘ปล้น-ฆ่า’ ผู้อพยพและชาวประมงอย่างเลือดเย็น


โจรสลัดแห่งน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

‘โจรสลัด’ (Pirate, Buccaneer, Frigate) ตามนิยามของวิกิพีเดียสารานุกรมออนไลน์คือ ‘บุคคลที่ปล้นหรือโจรกรรมในทะเล หรือแม้กระทั่งตามชายฝั่งหรือท่าเรือต่าง ๆ ในบางโอกาส’ โจรสลัดในอดีตที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น มีผ้าคาดหัว ใช้ดาบใบกว้าง หรือปืนพก และเรือโจรสลัดที่มีขนาดใหญ่ แต่โจรสลัดในปัจจุบันนิยมใช้เรือเร็ว และใช้ปืนพก ปืนกล กระทั่งจรวดต่อสู้รถถังแทนดาบ โดยมีเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกสินค้า

Cellattes (ชาวบ้านที่อยู่อาศัยตามเกาะแก่งในช่องแคบมะละกา)

‘โจรสลัด’ เป็นคำในภาษาไทยที่ใช้มานานนับแต่สมัยอยุธยา มีปรากฏในเอกสารเก่า เป็นคำที่มาจากภาษามลายู คือ ‘Salat’ (โจรปล้นเรือ) หรือ ‘Selat’ (ช่องแคบ) ในเอกสารต่างประเทศ กล่าวถึงการที่พ่อค้าต่างชาตินิยมเข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาด้วย เพราะทะเลอ่าวไทยไม่มีโจรสลัด คำว่า ‘สลัด’ หรือ ‘โจรสลัด’ ใช้เรียกเฉพาะโจรที่ทำการปล้นเรือกลางทะเล และยกพลไปปล้นบนบกตามหัวเมืองชายทะเลทางภาคใต้ของไทยเท่านั้น โดยโจรสลัดเหล่านี้มีรกรากถิ่นฐานบริเวณดินแดนทั้ง 2 ฟากฝั่งของช่องแคบมะละกา จึงเรียกโจรเหล่านี้ว่า ‘สลัด’ หมายถึงโจรที่มาจากช่องแคบ เนื่องด้วยชาวอังกฤษในสมัยก่อน เรียกชาวบ้านที่อยู่อาศัยตามเกาะแก่งในช่องแคบมะละกาว่า ‘Cellattes’ โดยชาวบ้านพวกนี้จะทำการปล้นเรือต่างๆ ที่แล่นผ่านมาในอาณาเขตของตน


เรื่องราวเกี่ยวกับโจรสลัด สามารถย้อนหลังไปได้ถึงราว 1,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อบริเวณทะเลอีเจียน และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีชนพื้นเมือง 2 พวก คือ ‘อิลลีเรียน’ และ ‘ไทร์เรเนียน’ ทำการปล้นสะดมเรือสินค้าของชาวฟีนีเชียนเป็นประจำ และจับเอาเด็กทั้งชายและหญิงไปขายเป็นทาสอีกด้วย โจรสลัดที่มีความโด่งดังอีกคนหนึ่งคือ ‘คาริโก้ แจ็ค’ (Calico Jack หรือ Jack Rackham) เป็นโจรสลัดชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ฉายามาจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง มีผู้ช่วยเป็น 2 โจรสลัดหญิง ‘แอน บอนนี่’ (Anne Bonny), ‘แมรี่ รีช’ (Mary Read) ต้นตำรับธงโจรสลัด รูปหัวกะโหลกและดาบ 2 เล่ม ทำให้เป็นโจรสลัดที่ได้รับการจดจำมากที่สุดในบรรดาโจรสลัดมากมาย


โจรสลัดในปัจจุบันยังคงมีปรากฏอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบริเวณชายฝั่งและทะเลในอเมริกาใต้ รวมถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็ยังคงมีโจรสลัดทำการปล้นเรือที่แล่นผ่านไปมาอยู่ โดยเฉพาะแถบชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา และชายฝั่งของทะเลแคริบเบียน แต่จำนวนลดน้อยลงไปมาก ด้วยมาตรการป้องกันจากกองกำลังรัฐบาลชาติต่างๆ ยุคต่อๆ มายังคงมีโจรสลัดทำการปล้นอยู่เรื่อยมา ‘อ่าวเอเดน’ ประเทศโซมาเลีย เป็นน่านน้ำที่โจรสลัดยังคงปฏิบัติการปล้นจี้เรือที่แล่นผ่านไปมาอย่างอุกอาจที่สุด และขึ้นชื่อที่สุดในยุคปัจจุบันอีกด้วย ประมาณการว่า ค่าเสียหายที่เกิดจากการปล้นของโจรสลัดทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ที่ปีละหลายแสนล้านบาท โดยโจรสลัดสมัยใหม่ใช้เรือยนต์ขนาดเล็กติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ที่ทันสมัย มีทั้งโทรศัพท์ดาวเทียม, จีพีเอส, ระบบเรดาห์และโซนาร์


น่านน้ำในทวีปเอเชีย ก็หนีไม่พ้นจากเป้าหมายในปฏิบัติการปล้นของโจรสลัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย จุดที่อยู่ระหว่างช่องแคบมะละกาและประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีเรือพาณิชย์แล่นผ่านกว่า 50,000 ลำต่อปี โดยโจรสลัดที่ทำการปล้นในแถบนี้ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ปฏิบัติการปล้นจะใช้เรือเล็กเร็วเทียบขนานเรือใหญ่ แล้วปีนขึ้นเรืออย่างรวดเร็วและเงียบเชียบด้วยความชำนาญ จนบางครั้งลูกเรือใหญ่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่บางคนจะบริกรรมคาถา ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยในการกำบังกายได้ด้วย และสามารถควบคุมลูกเรือทั้งหมดให้อยู่ในจุดเดียวกัน ขณะที่บุคคลสำคัญ เช่น กัปตัน หรือต้นหน จะถูกกักตัวไว้เพื่อเรียกค่าไถ่ ในบางครั้งอาจจะแค่ปล้นทรัพย์อย่างเดียว ส่วนตัวบุคคล หากไม่มีความจำเป็นหรือหมดประโยชน์แล้ว อาจมีการสังหารทิ้งศพลงทะเล


สำหรับโจรสลัดในน่านน้ำอาเซียน ในยุคปัจจุบัน น่าจะเริ่มจากรัฐบาลที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนที่พ่ายแพ้แก่กองกำลังของคอมมิวนิสต์ ทั้งในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในช่วง ปี พ.ศ. 2518-2526 อันทำให้ชาวเวียดนามใต้จำนวนมาก หลั่งไหลหลบหนีออกจากประเทศ ด้วยเกรงภัยจากคอมมิวนิสต์ทั้งเวียดกง และเวียดนามเหนือ โดยชาวเวียดนามใต้ที่อพยพหนีภัยสงครามออกมา ส่วนใหญ่หลบหนีทางเรือมุ่งสู่ประเทศไทย และมาเลเซีย บางส่วนก็ไปยังฮ่องกงและฟิลิปปินส์ ผู้อพยพเหล่านี้ต่างนำทรัพย์สินมีค่าที่มีอยู่ติดตัวออกมา เช่น เครื่องประดับ และทองคำ และส่วนหนึ่งตกเป็นเหยื่อการปล้นของโจรสลัดในอ่าวไทย ซึ่งมีทั้งการปล้นเอาทรัพย์สิน ข่มขืน และฆ่า ตลอดจนนำหญิงสาวที่เหยื่อข่มขืนไปขายต่อให้กับซ่องโสเภณี และความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือ โจรสลัดเหล่านั้น ส่วนหนึ่งคือ ชาวประมงไทยที่เปลี่ยนสภาพเป็นโจรสลัดด้วยความละโมบโลภมากนั้นเอง มีการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาโจรสลัดของประเทศไทยของรัฐบาลไทยในขณะนั้น ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ด้วยนโยบายของประเทศไทยที่มักแก้ไขที่ปลายเหตุเป็นส่วนใหญ่ คือ มุ่งเน้นการปราบปรามด้วยกำลังทหารเรือและตำรวจน้ำ แทนที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การสกัดกั้นการอพยพของประชาชนชาวเวียดนามทางทะเลอ่าวไทย การปล้นเรืออพยพของโจรสลัดในอ่าวไทยลดจำนวนลง ด้วยการอพยพของผู้อพยพเวียดนามลดลงเรื่อย ๆ จนไม่มีปรากฏอีก กระทั่งหมดลงในราวปี พ.ศ. 2530 โจรสลัดเหล่านั้นจึงเปลี่ยนมาปล้นเรือประมงแทน มีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ยังไม่อาจยืนยันได้ ด้วยความที่มีข่าวเล่าลือกันว่า กองทัพเรือได้จัดทหารเรือพร้อมอาวุธ ลงประจำในเรือประมงแทรกซึมอยู่ในหมู่เรือประมง และได้ทำการกวาดล้างจับกุมโจรสลัดเหล่านี้ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โจรสลัดหมดไปจากอ่าวไทย


ทุกวันนี้ทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางการเดินเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะเดียวกันภูมิประเทศที่เป็นเกาะเล็กเกาะน้อย ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มโจรสลัดสามารถใช้เป็นที่กบดานได้ง่าย นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณช่องแคบมะละกาก็ยังเป็นเส้นทางการเดินเรือขนส่งสินค้ากว่า 1 ใน 4 ของโลก มีเรือขนส่งน้ำมันกว่าครึ่งหนึ่งของโลกเดินทางผ่านเส้นทางนี้ ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงกลายเป็นศูนย์กลางของการปล้นสะดมเรือสินค้า และเรือประมงของโลกโจรสลัดในน่านน้ำอาเซียน


สำหรับสถานการณ์การกระทำอันเป็นโจรสลัด บริเวณน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ห้วงปี พ.ศ. 2565-2566 ในภาพรวมมีจำนวนเหตุการณ์สูงขึ้นกว่าในปี พ.ศ. 2564 แต่ก็ยังต่ำกว่าในปี พ.ศ. 2563 โดยสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ที่เพิ่มขึ้น อาจมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ลดความรุนแรงลง ซึ่งนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์/จำกัดการเคลื่อนไหว ของเรือในน่านน้ำแต่ละประเทศ และน่านน้ำในภูมิภาค ทำให้โจรสลัดมีโอกาสกระทำความผิดได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังจากการคลายข้อจำกัดของ COVID-19 ดังกล่าว โดยเหตุการณ์การกระทำอันเป็นโจรสลัด และปล้นเรือด้วยอาวุธในทะเล ในน่านน้ำอาเซียนส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นในช่องแคบสิงคโปร์ ตามมาด้วยน่านน้ำในประเทศเมียนมา และ จุดจอดเรือ Belawan บระเทศอินโดนีเซีย (บริเวณใกล้เคียงกับช่องแคบมะละกา) ซึ่งเรือบรรทุกสินค้าเทกอง (Bulk Carrier) เป็นประเภทเรือที่มีการถูกปล้น/ลักลอบขึ้นเรือมากที่สุดในน่านน้ำอาเซียน ตามมาด้วยเรือบรรทุกน้ำมัน และเรือลากจูง เนื่องจากเรือเหล่านี้มีระวางขับน้ำที่ต่ำกว่า และต้องใช้ความเร็วที่ช้าเมื่อผ่านพื้นที่เดินเรือที่จำกัดและตื้น (ช่องแคบต่างๆ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรทุกสินค้ามาเต็มพิกัด


วิธีการปล้นเรือ/ลักลอบขึ้นเรือ จะเป็นในลักษณะการฉวยโอกาส โดยผู้กระทำผิดจะมุ่งเป้าไปที่เรือเคลื่อนที่ช้าและมีตัวเรือเหนือแนวน้ำต่ำ (Free Board) ซึ่งง่ายต่อการปีนขึ้นเรือ โดยขณะกระทำความผิดอาจมีอาวุธหรือไม่มีก็ได้ ส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนบนเรือและจะหลบหนีเมื่อถูกพบเห็น ในหลายกรณีมีรายงานว่า เรือที่ประสบเหตุไม่มีอะไรถูกขโมย แต่หากถูกขโมยก็จะเป็นสิ่งของประเภทเครื่องมือต่างๆ บนเรือ เศษเหล็ก หรืออะไหล่ หรือสินค้าหลักที่บรรทุกมาบนเรือ ซึ่งบางเหตุการณ์เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ และวิธีที่ใช้ปฏิบัติการ มีความเป็นไปได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดกลุ่มเดียวกัน ที่มุ่งเป้าไปที่เรือหลายลำในคืนเดียวกัน


ปัจจุบันปัญหา ‘โจรสลัดในน่านน้ำอาเซียน’ ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทหรือเจ้าของเรือ จากความไม่ปลอดภัยของโจรสลัดที่ทำการปล้น หรือเรียกค่าคุ้มครองกับเรือขนส่งสินค้าที่แล่นผ่านไปมาในบริเวณเส้นทางช่องแคบมะละกา ที่มีการปล้นเรือสินค้าเป็นประจำเพิ่มสูงขึ้น ด้วยเหตุที่การเดินเรือในเส้นทางดังกล่าว ต้องแล่นผ่านช่องแคบที่มีเกาะแก่งอยู่มากมายหลายแห่ง ทำให้ง่ายต่อการหลบหนีและหลบซ่อนของเหล่าโจรสลัดที่ใช้เรือยนต์ขนาดเล็ก และทำให้กองกำลังของรัฐบาลต่างๆ ไม่สามารถปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมได้โดยง่าย มูลค่าความเสียหายจาก โจรสลัดในน่านน้ำอาเซียนประเมินว่าสร้างความเสียหายแก่บริษัทเดินเรือและประมงเฉลี่ยโดยรวมในแต่ละปีนับหมื่นล้านบาท


แม้ชาติอาเซียนมีความกระตือรือร้นในการจัดการปัญหาดังกล่าว อาทิ ฟิลิปปินส์ ได้ร่วมกับสหรัฐฯ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคนประจำเรือเพื่อการต่อต้านโจรสลัด (Seafarers’ Training-Counter Piracy Workshop-EAST-CP) เพื่อให้คนประจำเรือที่เข้าร่วมการฝึก พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากถูกบุกโจมตีหรือจับกุมโดยโจรสลัด ขณะที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้ริเริ่มโครงการลาดตระเวนทางอากาศบริเวณช่องแคบมะละกา เรียกว่า ‘Eyes in the Sky’ เพื่อร่วมมือกันป้องกันภัยคุกคามทางทะเลในช่องแคบมะละกาและพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีหน่วยงานความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ :


‘องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ’ (International Maritime Organization : IMO) เป็นองค์การชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ (UN specialized agency) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นองค์กรกลางในการกำหนดมาตรฐานและแนวปฏิบัติเพื่อ ความปลอดภัยในการเดินเรือและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศสมาชิก ปัจจุบันมีสมาชิกจานวน 174 ประเทศ และสมาชิกสมทบ โดยหน้าที่และความรับผิดชอบหลักประกอบด้วย ความปลอดภัยในการขนส่งทางทะเล, การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม, การรักษาความปลอดภัยทางทะเล : เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความปลอดภัยทางทะเล โดยพัฒนามาตรการในการป้องกันการกระทำอันเป็นโจรสลัด การปล้นเรือด้วยอาวุธ และภัยคุกคามด้านความปลอดภัยอื่นๆ รวมทั้งมาตรการในการรักษาความปลอดภัยท่าเรือระหว่างประเทศ (International Ship and Port Facility Security Code (ISPS Code)), การสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ, การดำเนินการด้านกฎหมาย, ความร่วมมือทางเทคนิคและการสร้างขีดความสามารถ และการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง


‘International Maritime Bureau’ (IMB) เป็นหน่วยงานเฉพาะของ สภาหอการค้านานาชาติ (International Chamber Of Commerce (ICC)) IMB เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2524 เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางทะเลทุกประเภท ตามมติ A 504 (XII) (5) และ (9) ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่รับรองเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ซึ่งเรียกร้องให้รัฐบาล ผลประโยชน์และองค์กรทั้งหมด ร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันกับ IMB โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาและพัฒนาการดำเนินการร่วมกันในการต่อต้านการฉ้อโกงทางทะเล ทั้งนี้ IMB มี MOU กับองค์การศุลกากรโลก (WCO) และมีสถานะผู้สังเกตการณ์ในองค์การตำรวจสากล (Interpol (ICPO))


‘Regional Cooperation Agreement on Combating Piracy and Armed Robbery against ships in Asia’ (ReCAAP) ก่อตั้งขึ้นจากการที่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 มีเหตุการณ์การกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือด้วยอาวุธในทะเลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยธุรกิจการเดินเรือระหว่างประเทศ และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทำให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาครู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับภัยคุกคามทางทะเลรูปแบบใหม่ลักษณะดังกล่าว จึงได้รวมตัวกันจัดการประชุมระดับภูมิภาค ว่าด้วยการต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือด้วยอาวุธต่อเรือในภูมิภาคเอเชีย ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2543 เรียกว่า ‘การประชุม Asia Challenge 2000’ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และได้มีการรับรองในที่ประชุม เรียกร้องให้รัฐบาล หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และอุตสาหกรรมการเดินเรือ ให้มีการร่วมมือกันในความพยายามในการต่อสู้กับกระทำอันเป็นโจรสลัด และการปล้นเรือด้วยอาวุธในทะเลที่มีความรุนแรงให้ห้วงเวลาดังกล่าว


ประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศต่างๆ นอกภูมิภาคอีก 6 ประเทศ ร่วมกับหน่วยงานด้านการขนส่งทางทะเลในภูมิภาค ได้ร่วมลงนามในความตกลงความร่วมมือระดับภูมิภาค ว่าด้วยการต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัด และการโจรกรรมด้วยอาวุธต่อเรือในเอเชีย (ReCAAP) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 นับเป็นข้อตกลงฉบับแรกและฉบับเดียวที่เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลในระดับภูมิภาค ในระยะเริ่มต้นโดยมีประเทศในเอเชีย 14 ประเทศเป็นภาคีคู่สัญญา ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ReCAAP ได้ก่อตั้งขึ้นในสิงคโปร์ และเปิดตัวเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปัจจุบัน ReCAAP จำนวน 21 รัฐ (14 ประเทศในเอเชีย, 5 ประเทศในยุโรป, ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา) ได้เข้าเป็นภาคีคู่สัญญากับ ReCAAP ทั้งนี้ มาเลเซียปฏิเสธการลงนาม เพราะมองว่ารูปแบบการทำงานของ ReCAPP ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ที่สิงคโปร์ จะทับซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของศูนย์รายงานโจรสลัดของ IMB ที่ตั้งอยู่ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการวิเคราะห์วิจัยในพื้นที่เฝ้าระวัง ทำให้รายงานของหน่วยงานทั้ง 2 สถาบันบางส่วนขัดแย้งกันอย่างน่าประหลาดใจ ขณะที่อินโดนีเซียก็ไม่ยินยอมให้สัตยาบันในข้อตกลง ReCAPP ด้วยเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจละเมิดอธิปไตยของอินโดนีเซีย และมองว่าปัญหาโจรสลัดเป็นปัญหาความมั่นคงภายในของอินโดนีเซียเอง สามารถแก้ไขได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเสริมความเข้มแข็งให้กับกองทัพเรือในการลาดตระเวน และจัดการกับกลุ่มโจรสลัดที่แฝงตัวอยู่ตามหมู่เกาะต่างๆ


‘Information Fusion Centre’ (IFC) เป็นความร่วมมือระดับภูมิภาค ในการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความมั่นคงทางทะเลระหว่างสมาชิก เช่น กองทัพเรือ หน่วยยามฝั่ง และหน่วยงานทางทะเลจากประเทศต่างๆ ในพื้นที่สนใจ (AOI) ในมหาสมุทรอินเดียตะวันออก และภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552 โดยเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารทางทะเลระดับภูมิภาค มีความมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางทะเล และให้การแจ้งเตือนล่วงหน้า และข้อมูลที่หน่วยงานความมั่นคงทางทะเลและอุตสาหกรรมเดินเรือ และที่เกี่ยวข้องทางทะเลสามารถน้ำไปใช้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเองได้ เพื่อเตรียมการรับมืออย่างทันการ ปัจจุบัน IFC มีสมาชิก 25 ประเทศ (Australia, Brunei, Cambodia, Canada, China, Chile, France, Germany, Greece, India, Indonesia, Italy, Japan, Korea, Malaysia, Myanmar, New Zealand, Pakistan, Peru, Philippines, South Africa, Thailand, United Kingdom, United States and Vietnam)


ข้อจำกัดของความร่วมมือด้านความมั่นคงของอาเซียนในการแก้ไขปัญหา จึงเป็นอุปสรรคที่น่ากังวล และทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโจรสลัดให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างสมบูรณ์ หากแต่ละประเทศยังคงไม่แก้ไขกฎหมายทางทะเลที่มีความหละหลวม ทั้งยังมีปัญหาขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมไปถึงปัญหาเรื่องการประสานงานระหว่างประเทศอย่างไม่จริงจังในการต่อต้านโจรสลัด เนื่องจากหลายประเทศมักมีข้อพิพาทด้านอธิปไตยเหนือดินแดนทางทะเลระหว่างกัน จนเป็นเหตุให้แต่ละประเทศเกรงว่า การยอมลงนามในข้อตกลงทางทะเลระหว่างประเทศใดๆ อาจกลายเป็นการยอมรับสิทธิอันชอบธรรมทางกฎหมายเหนือดินแดนทางทะเลของชาติอื่นอย่างไม่ตั้งใจ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการหวงแหนอธิปไตยของชาติอาเซียน จนกลายเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภาพรวมของการเป็นประชาคมการเมือง-ความมั่นคงอาเซียน แต่ข่าวดีในปัจจุบันนี้ก็คือ ตัวเลขจำนวนการกระทำอันเป็นโจรสลัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มลดลง ทำให้ทุกวันนี้ปัญหาโจรสลัดในน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงพอบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง

ชมคลิป ดร.โญมีเรื่องเล่า ‘โจรสลัด’ https://youtu.be/hbQ-bjDoZqc

‘The Five Eyes’ ปฏิบัติการล้วงความลับระดับโลก สอดส่องคนดังทุกวงการไม่ให้เล็ดรอดสายตา

FVEY (The Five Eyes) : ชุมชนข่าวกรองเนตรทั้ง 5

ท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความของผมมาโดยตลอด บางท่านหรือหลายท่านก็อาจจะรู้จักหรือได้ยินเรื่องราวของ ‘The Five Eyes (FVEY)’ ซึ่งเป็นชุมชนข่าวกรองของ 5 ชาติ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นภาคีของข้อตกลงพหุภาคี สหราชอาณาจักร – สหรัฐอเมริกา (UKUSA Agreement) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาอันเป็นข้อตกลงพหุภาคีตั้งต้นสำหรับความร่วมมือด้านข่าวกรองสัญญาณระหว่าง 5 ประเทศดังกล่าว พันธมิตรของปฏิบัติการข่าวกรองเป็นที่รู้จักกันในนามของ ‘The Five Eyes’ ซึ่งเรียกโดยย่อว่า ‘FVEY’ โดยแต่ละประเทศจะถูกเรียกด้วยชื่อย่อว่า AUS, CAN, NZL, GBR และ USA

ปี ค.ศ.1941 ‘The Atlantic Charter’ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาลับได้รับการต่ออายุโดยผ่านข้อตกลง ‘BRUSA’ ปี ค.ศ.1943 ก่อนที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ.1946 โดยเริ่มจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ในเวลาต่อมามีการขยายครอบคลุมถึง แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ ในฐานะ ‘บุคคลที่สามหรือผู้สังเกตการณ์’ เช่น เยอรมนีตะวันตก ฟิลิปปินส์ ประเทศกลุ่มนอร์ดิกหลายประเทศ เข้าร่วมชุมชน ‘UKUSA’ ในฐานะภาคี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลไกสำหรับการแบ่งปันข่าวกรองโดยอัตโนมัติที่มีอยู่ตั้งแต่การก่อตั้งในปี ค.ศ.1946 พันธมิตรเกิดขึ้นในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ 5 ประเทศ ประกอบด้วยหน่วยงานด้านความมั่นคงของชาติเหล่านั้นได้แก่ National Security Agency (NSA) ของสหรัฐฯ, (GCHQ) ของสหราชอาณาจักร, (ASD) ของออสเตรเลีย, (CSEC) ของแคนาดา และ (GCSB) ของนิวซีแลนด์ ซึ่งประกอบด้วยข้อตกลงทวิภาคีเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและการแบ่งปันข่าวกรอง แม้ว่าข้อตกลงเหล่านี้มักเรียกกันทั่วไปว่า “เป็นข้อตกลง United Kingdom-United States Communication Intelligence Act (UKUSA)” เป็นองค์กรพหุภาคีในความร่วมมือร่วมกันในการแลกเปลี่ยนข่าวกรองทางทหารและข่าวกรองโดยเจ้าหน้าที่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอกสารของ FVEY แสดงให้เห็นว่า มีการจงใจในการสอดแนมพลเมืองของกันและกัน และแบ่งปันข้อมูลที่เก็บรวบรวมซึ่งกันและกัน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบภายในของแต่ละประเทศสมาชิก ซึ่งมีความเข้มงวดต่อการเฝ้าระวังและการสอดแนมพลเมืองของตนเอง

ย้อนกลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีการออกกฎบัตรแอตแลนติก โดยสัมพันธมิตรในการกำหนดเป้าหมายของพวกเขาสำหรับโลกหลังสงครามครั้งที่ 2 ในช่วงสงครามเย็น ระบบการเฝ้าระวัง ‘ECHELON’ เป็นโครงการเฝ้าระวังเครือข่ายการรวบรวมและวิเคราะห์สัญญาณ (SIGINT) ซึ่งได้รับการพัฒนาโดย FVEY ในตอนแรกเพื่อตรวจสอบการสื่อสารของอดีตสหภาพโซเวียต และกลุ่มประเทศบริวารในยุโรปตะวันออก ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ตัวตนของ ECHELON ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน ทำให้เกิดการอภิปรายครั้งใหญ่ในรัฐสภายุโรปและรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา และ FVEY ได้ขยายขีดความสามารถในการสอดแนมเฝ้าระวังในช่วง ‘สงครามกับความหวาดกลัว’ โดยเน้นที่การตรวจสอบเวิลด์ไวด์เว็บ (www.) เป็นอย่างมาก ‘Edward Snowden’ ผู้สร้าง wikileaks อดีตผู้รับจ้างของ NSA อธิบายว่า Five Eyes เป็น ‘องค์กรข่าวกรองระดับชาติ ที่ไม่ตอบโจทย์ของกฎหมายที่เป็นที่รู้จักในประเทศของตน’ เอกสารที่รั่วไหลโดย Snowden ในปี ค.ศ. 2013 เปิดเผยว่า “FVEY กำลังสอดแนมพลเมืองของกันและกัน และแบ่งปันข้อมูลที่รวบรวมซึ่งกันและกัน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบภายในประเทศที่เข้มงวดในการสอดส่องตรวจสอบพลเมือง” แม้จะมีการโต้เถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับวิธีการของ FVEY แต่ความสัมพันธ์ของ FVEY ยังคงเป็นพันธมิตรชุมชนข่าวกรองที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์

เนื่องจากหน่วยข่าวกรองประมวลผลข้อมูลที่ถูกรวบรวมจากหลายแหล่งข้อมูล ดังนั้น ข่าวกรองที่ใช้ร่วมกันจึงไม่จำกัดเฉพาะสัญญาณข่าวกรอง (Signal Intelligence (SIGINT) คือ การใช้อุปกรณ์ดักรับดักฟังการสื่อสาร การตัดการสื่อสาร การแปลงข่าวสารให้มีข้อความที่เปลี่ยนไป) และเกี่ยวข้องกับข่าวกรองด้านการป้องกัน เช่นเดียวกับหน่วยข่าวกรองที่ปฏิบัติการด้วยเจ้าหน้าที่ (Human Intelligence (HUMINT)) คือ การส่งบุคคลลงพื้นที่เข้าไปหาข่าว เมื่อได้ข้อมูลดิบมา จะมีกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวกรองที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น) และหน่วยข่าวกรองปฏิบัติการในเชิงพื้นที่ (ข่าวกรองในรูปแบบข่าวกรองภูมิสารสนเทศ (Geospatial Intelligence (GEOINT))

ในขณะที่ความสามารถในการเฝ้าระวังสอดแนมของ FVEY เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ระบบเฝ้าระวังทั่วโลกจึงได้รับการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อดักจับการสื่อสารของประชากรทั้งหมดที่ข้ามพรมแดนของแต่ละประเทศ บรรดาบุคคลต่อไปนี้เป็นเป้าหมายส่วนหนึ่งของ FVEY โดยเป็นบุคคลสาธารณะในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลของบุคคลที่อยู่ในรายชื่อจึงต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่มีข้อมูลครบถ้วนตามแหล่งที่มา ซึ่งเชื่อถือได้ เช่น เอกสาร FVEY ที่รั่วไหล หรือไม่ถูกจัดประเภท หรือบัญชีผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นเป้าหมายโดยเจตนาในการสอดแนมเฝ้าระวัง

ยอดดาราตลกชาวอังกฤษอย่าง ‘Charlie Chaplin’ เองก็เคยถูกสอดแนมเฝ้าระวังโดย ‘MI5’ และ ‘FBI’ เขาเป็นทั้งนักแสดงตลก ผู้สร้างภาพยนตร์ และนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคเงียบ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่า มีความเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ เขาจึงถูกเจ้าหน้าที่ MI5 ที่ทำหน้าที่ภายใต้การดูแลของ FBI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเพื่อเนรเทศเขาออกจากสหรัฐอเมริกา

‘Diana, Princess of Wales’ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ สัญชาติอังกฤษ ผู้นำในการรณรงค์ต่อต้านการใช้กับระเบิดระหว่างประเทศ ถูกสอดแนมเฝ้าระวังโดย ‘GCHQ’ และ ‘NSA’ ซึ่งเก็บไฟล์ข้อมูลลับสุดยอดไว้มากกว่า 1,000 หน้า อีกทั้ง NSA ไม่ได้เผยแพร่ไฟล์ข้อมูลลับของ Princess Diana ด้วยเหตุผลจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ

‘Kim Dotcom’ สัญชาติฟินแลนด์และเยอรมัน ถูกสอดแนมเฝ้าระวังโดย ‘FBI’ และ ‘GCSB’ นักธุรกิจผู้ประกอบการธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต และเป็นนักแฮ็กข้อมูล ชื่อสกุลเดิมของเขาคือ Kim Schmitz เขาเป็นผู้ก่อตั้งบริการเว็บโฮสต์ ‘Megaupload’ โดย Dotcom ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในนิวซีแลนด์ โดยนายกรัฐมนตรี ‘John Key’ ต้องออกมาขอโทษในภายหลัง สำหรับการสอดแนมเฝ้าระวังที่ผิดกฎหมายของ GCSB

‘Jane Fonda’ สัญชาติอเมริกัน นักแสดง นักเขียน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และอดีตนางแบบแฟชัน เป็นผู้รับรางวัลออสการ์สองรางวัล รางวัลเอ็มมี และลูกโลกทองคำสามรางวัล ถูกสอดแนมเฝ้าระวังโดย GCHQ และ NSA เนื่องจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการสื่อสารของเธอ รวมถึง ‘Tom Hayden’ สามีของเธอจึงถูกขัดขวางโดย GCHQ และต่อมาภารกิจดังกล่าวถูกส่งมอบให้กับ NSA เพื่อปฏิบัติการต่อ

‘Ali Khamenei’ นักบวชชีอะห์และอดีตประธานาธิบดีแห่งอิหร่าน ปัจจุบันเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศอิหร่าน ในระหว่างการเยือนประเทศเคอร์ดิสถานในปี ค.ศ. 2009 เขาและผู้ติดตามถูกกำหนดเป็นเป้าหมายที่ถูกสอดแนมเฝ้าระวัง ภายใต้ภารกิจจารกรรมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ไฮเทค ในการวิเคราะห์และประมวลผลภาพถ่ายดาวเทียม เป็นปฏิบัติการร่วมกันโดย GCHQ และ NSA

‘John Lennon’ นักดนตรี นักแต่งเพลง และนักร้องนำวง ‘The Beatles’ สัญชาติอังกฤษ ผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการต่อต้านสงครามผ่านบทเพลงที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์หลายเพลง เช่น Give Peace a Chance และ Happy Xmas (War Is Over) ในปี ค.ศ.1971 เขาย้ายไปนิวยอร์กซิตีและร่วมกับ นักเคลื่อนไหวในสหรัฐอเมริกา เพื่อประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนาม อีก 12 เดือนต่อมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มปฏิบัติการสอดแนมเฝ้าระวังอย่างกว้างขวาง เพื่อตรวจสอบกิจกรรมของเขา เพื่อส่งตัวเขากลับอังกฤษ การดำเนินการดำเนินการโดย FBI ด้วยความช่วยเหลือของ MI5

‘Nelson Mandela’ นักเคลื่อนไหว ทนายความ และผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1994 ถึงปี ค.ศ.1999 Nelson Mandela ถูกนักวิจารณ์ประณามว่าเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ และอยู่ภายใต้การสอดแนมเฝ้าระวังของ MI6 ใน ค.ศ. 1962 Mandela ถูกจับกุมหลังจากปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกล่าวหาในเรื่องกิจกรรมการก่อการร้ายของเขา ที่ถูกรวบรวมโดย ‘CIA’ และส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

‘Angela Merkel’ นักการเมือง อดีตนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ปี ค.ศ.2005-2021 ถูกดังฟังการสื่อสารทางโทรศัพท์โดย ‘Special Collection Service’ (SCS หน่วยตรวจสอบเฝ้าฟัง F6 ของ NSA และ CIA) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสอดแนมเฝ้าระวัง ‘STATEROOM’ ของ FVEY

‘Ehud Olmert’ นักการเมือง นักกฎหมาย และอดีตนายกเทศมนตรีของนครเยรูซาเล็ม และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 12 ของอิสราเอล เขาพร้อมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ‘Ehud Barak’ ถูกระบุว่า อยู่ในรายชื่อเป้าหมายการสอดแนมเฝ้าระวังของ GCHQ และ NSA ด้วย

‘Strom Thurmond’ ผู้สมัครเข้าการรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรค Dixiecrat ในปี ค.ศ.1948 เขาเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐเซาท์แคโรไลนาในวุฒิสภาแห่งสหรัฐอเมริกา และได้รับการยอมรับในปี ค.ศ.2003 ว่าเป็นวุฒิสมาชิกที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในปี ค.ศ.1988 ‘Margaret Newsham’ ซึ่งเป็นพนักงานของ Lockheed เปิดเผยในการสอบสวนเป็นการลับของรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า “โทรศัพท์ของ Thurmond ถูกดักฟังโดย FVEY ผ่านระบบเฝ้าระวัง ECHELON”

‘Susilo Bambang Yudhoyono’ อดีตหัวหน้าผู้สังเกตการณ์ทางทหาร ของกองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติในบอสเนีย และอดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และภรรยาของเขาเคยถูกสอดแนมเฝ้าระวังโดย ASD ซึ่งปฏิบัติการร่วมกับ NSA

ปัจจุบันข้อตกลงการแบ่งปันข่าวกรอง ซึ่งได้ขยายไปมากกว่า FVEY เพื่อร่วมงานกับหน่วยข่าวกรองของประเทศอื่น ๆ ได้แก่ : 
9 Eyes : นอกเหนือจาก FVEY เพิ่มเติมด้วย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และนอร์เวย์
14 Eyes : นอกเหนือจาก the 9 Eyes เพิ่มเติมด้วย เยอรมนี เบลเยียม อิตาลี สเปน และสวีเดน

แม้จะมีข่าวว่า ญี่ปุ่นจะเป็นผู้สมัครรายล่าสุดเพื่อเข้าเป็นสมาชิกใน FVEY ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการแบ่งปันข่าวกรองซึ่งประกอบไปด้วยประเทศที่เป็นรัฐ Anglosphere (English Native speaker) ทั้ง 5 ประเทศ แต่ ‘Tsuruoka Michito’ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศเชื่อว่า โตเกียวควรดำเนินความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากกว่าการเข้าร่วมเป็นสมาชิกโดยคำนึงถึง FVEY ถึงแม้ว่า ญี่ปุ่นจะมีความร่วมมือในฐานะพันธมิตรภายนอก แต่ญี่ปุ่นเองก็ต้องการพัฒนางานของหน่วยข่าวกรองครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน และสิ่งซึ่งเราคนไทยต้องพึงระลึกเสมอคือ แม้ว่าไทยเราจะเป็นมิตรกับทุกประเทศสมาชิกของ FVEY ก็ตาม แต่ FVEY ก็พร้อมเสมอที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติของประเทศ FVEY นั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘ETIAS’ กระบวนการยื่นขอวีซ่าเข้ายุโรป ที่นักเดินทางสหรัฐฯ ต้องรู้ ก่อนเดินทางเข้าประเทศสมาชิกยุโรป 30 ประเทศ เตรียมเริ่มปีหน้า

ปีหน้า (ค.ศ. 2024) ผู้ถือหนังสือเดินทางสหรัฐฯ
จะต้องยื่นขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 30 ประเทศ

ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ผู้ถือหนังสือเดินทางสหรัฐฯ ซึ่งประสงค์ที่จะเดินทางไปยังประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป จะต้องยื่นขออนุญาตผ่าน ‘ระบบข้อมูลและการอนุญาตการเดินทางของยุโรป’ (the European Travel Information and Authorization System : ETIAS) และต้องได้รับการอนุมัติล่วงหน้าก่อนเดินทาง

ในขณะที่ปัจจุบัน บุคคลที่ถือสัญชาติสหรัฐฯ ยังสามารถเดินทางเข้าสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่าจากประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่ความสะดวกนี้กำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับกระบวนการระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการอนุญาตการเดินทาง (The U.S. Electronic System for Travel Authorization : ESTA) ของสหรัฐฯ ซึ่ง ETIAS มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเข้าประเทศ ที่จะช่วยให้นักเดินทางชาวอเมริกันได้รับความสะดวกในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบัน นักเดินทางชาวอเมริกันสามารถเข้าถึงจุดหมายปลายทางทั่วโลก 185 แห่ง โดยไม่ต้องใช้วีซ่า อ้างอิงจาก Henley Passport Index ด้วยในขณะที่ปัจจุบันนี้หนังสือเดินทางของสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของหนังสือเดินทางที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อสหภาพยุโรปเพิ่มข้อกำหนดด้านเอกสารใหม่สำหรับชาวอเมริกัน

แบบฟอร์มใบสมัครซึ่งจะมีอยู่บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ ETIAS เช่นเดียวกับแอปพลิเคชันบนมือถือ มีค่าธรรมเนียม 7 ยูโรหรือ 7.79 ดอลลาร์สหรัฐฯ การสื่อสารทั้งหมดทำได้ทางอีเมล เมื่อได้รับการอนุมัติให้เดินทางแล้ว การอนุญาตดังกล่าวจะให้สิทธิ์แก่นักท่องเที่ยวที่จะพำนักในประเทศในยุโรป ที่ต้องใช้ ETIAS เป็นเวลาสูงสุด 90 วัน ภายในระยะเวลา 180 วัน วันใดก็ได้ และผู้เดินทางจะต้องมี ETIAS ที่ถูกต้องในครอบครองตลอดการเข้าพัก

ETIAS เป็นการอนุญาตการเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เชื่อมโยงกับหนังสือเดินทางของผู้เดินทาง ซึ่งอนุญาตให้เข้าประเทศในยุโรประยะสั้นได้สูงสุดนาน 90 วัน ภายในระยะเวลา 180 วัน อย่างไรก็ตาม ETIAS ไม่สามารถรับประกันการเข้าประเทศในยุโรปของนักเดินทางผู้ที่ได้ลงทะเบียนในระบบ ETIAS โดยอัตโนมัติ เพราะเมื่อมาถึงเมืองแรกในยุโรปเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของประเทศนั้น ๆ จะมีการตรวจสอบว่า ผู้ได้รับอนุญาตให้เดินทาง มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขการเข้าประเทศหรือไม่

หากต้องการสมัคร ETIAS สามารถกรอกแบบฟอร์มการสมัครบนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ ETIAS หรือสามารถใช้แอปพลิเคชันผ่านโทรศัพท์มือถือได้ โดยมีค่าใช้จ่ายในการสมัครอยู่ที่ $7.79 แต่ผู้เดินทางบางรายอาจได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมนี้ (ต้องอ่านข้อกำหนดการสมัคร และข้อยกเว้นการชำระเงินก่อนดำเนินการ)

ใบสมัคร ETIAS ส่วนใหญ่จะดำเนินการภายในไม่กี่นาที อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีแอปพลิเคชันอาจใช้เวลานานกว่านั้น หากเป็นเช่นนั้น ผู้ยื่นจะได้รับคำอนุมัติภายใน 4 วัน ในกรณีพิเศษ และระยะเวลานี้อาจขยายได้ถึง 14 วัน ในกรณีที่ต้องการข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติม หรืออาจนานถึง 30 วัน หากจำเป็นต้องมีการสัมภาษณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในนาทีสุดท้าย จึงควรสมัครล่วงหน้าก่อนการเดินทางตามแผน

เมื่อส่งใบสมัครแล้ว จะได้รับการยืนยันทางอีเมลพร้อมหมายเลขใบสมัคร ETIAS ที่ไม่ซ้ำกัน ให้เก็บหมายเลขนี้ไว้ใช้อ้างอิงในขณะเดินทางในยุโรป หลังจากดำเนินการแล้ว จะได้รับอีเมลแจ้งผลอีกครั้ง ผู้เดินทางต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลทั้งหมด เช่น ชื่อและหมายเลขหนังสือเดินทางของผู้ยื่นมีความถูกต้องบน ETIAS เนื่องจากข้อผิดพลาดใด ๆ อาจทำให้ผู้ยื่นไม่สามารถเข้าประเทศยุโรปได้ และหากใบสมัครถูกปฏิเสธ อีเมลจะระบุเหตุผลในการตัดสินใจ พร้อมกับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีอุทธรณ์

ใบอนุญาตเดินทาง ETIAS มีอายุไม่เกิน 3 ปี หรือจนกว่าหนังสือเดินทางของผู้ยื่นจะหมดอายุ แล้วแต่ว่าจะถึงอย่างใดก่อน โปรดจำไว้ว่า ผู้เดินทางต้องมี ETIAS ที่ถูกต้องตลอดการเข้าพักในโรงแรม ซื้อตั๋วเดินทางในยุโรป และการอนุญาตให้ออกและกลับเข้ามาใหม่ได้ ตราบเท่าที่ผู้เดินทางปฏิบัติตามข้อจำกัดการเข้าพัก 90 วัน ภายในระยะเวลา 180 วัน

ETIAS ของผู้เดินทางจะเชื่อมโยงทางอิเล็กทรอนิกส์กับเอกสารการเดินทางของผู้เดินทาง ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เอกสารเดียวกันกับที่ผู้เดินทางใช้ในใบสมัคร ETIAS เมื่อเดินทาง การไม่ปฏิบัติตามอาจทำให้ผู้เดินทางไม่สามารถขึ้นเครื่องบิน รถประจำทาง เรือ หรือเข้าประเทศในยุโรปใด ๆ ที่ต้องใช้ ETIAS ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ผู้เดินทางต้องรับทราบว่า การมี ETIAS ไม่ได้เป็นการรับประกันสิทธิ์ในการเข้าประเทศยุโรปของผู้นั้นได้โดยอัตโนมัติ ด้วยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะทำการตรวจสอบว่า ผู้เดินทางตรงตามเงื่อนไขการเข้าประเทศ และผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ นั่นหมายถึงการถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทางโดยทันที

‘ระบบเกียรติยศ’ ระบบแห่งความซื่อสัตย์และศักดิ์ศรี เพื่อปลูกฝังการไว้วางใจซึ่งกันและกันแก่สังคม

ระบบเกียรติยศ (Honor system)
ระบบแห่งความซื่อสัตย์และศักดิ์ศรี อันแสดงถึงตัวตนและคุณค่าของบุคคล

‘ระบบเกียรติยศ’ หรือระบบของความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นระบบแห่งความซื่อสัตย์ อันเป็นวิธีดำเนินการต่าง ๆ ของความพยายามบนพื้นฐานของความไว้วางใจ เกียรติ และความซื่อสัตย์

ระบบเกียรติยศยังเป็นระบบที่ให้อิสระจากการตรวจสอบ เฝ้าดู หรือจับตามองตามจารีตประเพณีด้วยความเข้าใจที่ว่า ผู้ที่ได้รับการปฏิบัติจากระบบนี้จะถูกผูกมัดด้วยเกียรติของตน ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ และจะไม่ใช้ความเชื่อใจที่มีไปในทิศทางที่ผิด

Thomas Jefferson
ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ

ระบบเกียรติยศถูกนำมากล่าวถึงเป็นครั้งแรกในอเมริกาโดย ‘Thomas Jefferson’ ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกา ณ ‘College of William and Mary’ ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของ Jefferson เอง

ในบางมหาวิทยาลัย ระบบเกียรติยศนิยมใช้ในการจัดการสอบโดยไม่มีผู้ควบคุม โดยทั่วไปแล้วนักเรียนจะถูกขอให้ลงนามในคำชี้แจงรหัสเกียรติยศที่ระบุว่า จะไม่โกงหรือใช้ทรัพยากรที่ไม่ได้รับอนุญาตในการทำข้อสอบ

นักศึกษาปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัย Vanderbilt ปฏิญาณต่อรหัสเกียรติยศ

ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Vanderbilt นักศึกษาที่ทำการสอบจะต้องลงนามและรวมคำปฏิญาณดังต่อไปนี้

“เพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้าในฐานะนักศึกษา ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ หรือรับความช่วยเหลือในการสอบนี้”

นักศึกษาคนใดก็ตามที่ถูกจับได้ว่า ละเมิดรหัสเกียรติยศจะถูกส่งต่อไปยังสภาเกียรติยศ ซึ่งจะสอบสวนและกำหนดการลงโทษที่เหมาะสม ซึ่งมีตั้งแต่การไม่ผ่านหลักสูตรไปจนถึงการไล่ออกจากมหาวิทยาลัย

ป้ายจารึกแสดงถึงระบบเกียรติยศ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย

‘มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย’ นักศึกษาที่กำลังสอบจะต้องลงนามในคำปฏิญาณ ว่าจะไม่ให้หรือรับความช่วยเหลือ และมีบทลงโทษสำหรับการฝ่าฝืนรหัสเกียรติยศ คือ การไล่ออกจากมหาวิทยาลัย

‘มหาวิทยาลัย Texas A&M’ ยังมีระบบเกียรติยศ ซึ่งระบุว่า “Aggies (นักศึกษาของ ม.Texas A&M) จะไม่โกหก โกง หรือขโมย หรือยอมจำนนต่อผู้ที่ทำเช่นนั้น” ซึ่งแสดงไว้ที่จุดเริ่มต้นของการสอบทั้งหมด นักศึกษาคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามรหัสจะถูกส่งต่อไปยังสภาเกียรติยศ เพื่อให้พวกเขาสามารถกำหนดความรุนแรงตามแต่ละกรณี และวิธีที่นักศึกษาควรถูกลงโทษหรือหากจำเป็นก็ให้ไล่ออก

นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ธแคโรไลนา วิทยาเขต Chapel Hill ยังคงรักษาระบบเกียรติยศ โดยนักศึกษาจะต้องรักษาความซื่อตรงของมหาวิทยาลัย โดยให้คำมั่นว่าจะไม่โกง ขโมย หรือโกหก แตกต่างจากมหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย ระบบการให้เกียรติที่วิทยาเขต Chapel Hill อนุญาตให้มีการลงโทษที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ไปจนถึงการไล่ออก รหัสเกียรติยศแบบลงโทษเดียวมีอยู่ที่สถาบันการทหารเวอร์จิเนีย (VMI) ซึ่งพิธี ‘ตีกลองออก’ ยังคงดำเนินต่อไปเมื่อนักเรียนนายร้อยถูกไล่ออก

ระบบเกียรติยศถูกนำมาใช้ในธุรกิจเช่นกัน เครือซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง อนุญาตให้ลูกค้าสแกนของชำของตนเองด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบพกพา ขณะวางสินค้าในรถเข็นของตนเอง ในขณะที่ระบบช่วยให้ลูกค้าสามารถใส่ของชำในถุงได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน และลูกค้าสามารถสุ่มตรวจสอบได้ ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เข้าร่วมได้รายงานว่า ระบบทดลองนี้ไม่ได้เพิ่มจำนวนการขโมยของในร้าน

ในบางประเทศ เกษตรกรทิ้งถุงผลิตผลข้างถนนนอกบ้าน โดยติดราคาไว้ให้ผู้สัญจรไปมาได้ซื้อด้วยการจ่ายเงิน โดยวางเงินสดไว้ในภาชนะ ในไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร เรียกสิ่งนี้ว่า ‘ระบบกล่องแห่งความซื่อสัตย์’ (The honesty box system) ในประเทศอื่น ๆ ร้านค้าไร้แคชเชียร์ขนาดเล็กเปิดดำเนินการอยู่ ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าไปได้ รับสิ่งที่ต้องการ และชำระเงินในจุดชำระเงินไร้คน

ในระบบสาธารณสุข ช่วงการระบาดของ ‘COVID-19’ เนื่องจากผู้คนจำนวนมากที่ได้รับวัคซีนแล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคได้ออกคำแนะนำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป หลายแห่งใช้ระบบเกียรติเพื่อเชื่อว่า ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนยังคงสวมหน้ากากอนามัย

 

มีข้อวิจารณ์เกี่ยวกับระบบเกียรติยศว่า ในการตัดสินใจจะปฏิบัติตามระบบเกียรติยศหรือไม่นั้น อาจเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคนคนนั้นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของสถาบันที่พวกเขารับผิดชอบ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบในอนาคตต่อผลประโยชน์ส่วนตนของพวกเขา บ้างก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเกียรติยศว่า เป็นการส่งเสริมความเกียจคร้านและพฤติกรรมที่ไม่ดี บ้างก็เห็นว่า มันเป็นเรื่องความของขัดแย้งและเห็นต่างที่จะขอให้ผู้คนเชื่อฟังกฎหมาย หากกฎหมายไม่มีความชัดเจน

บ้านเรามีการนำระบบเกียรติยศมาใช้มากมายหลายมิติ อาทิ ระหว่างการระบาดของ COVID-19 มีการตั้ง ‘ตู้ปันสุข’ แจกจ่ายสิ่งของในหลาย ๆ สถานที่ ซึ่งมีทั้งคนที่ปฏิบัติตามระบบเกียรติยศ โดยหยิบเอาสิ่งของในตู้ไปใช้ตามความจำเป็น แต่หลาย ๆ คนก็กวาดข้าวของทีเดียวจนหมดตู้ เหตุการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

ในการสมัครงาน การสมัครเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งทางอาชีพ การศึกษา การเมือง หรือทางสังคม ฯลฯ ของบ้านเรานั้น ได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครเอาไว้อย่างชัดเจน แต่บ่อยครั้งที่การรับสมัครได้ยินยอมให้มีการสมัครโดยไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครอย่างละเอียดก่อน ด้วยความเชื่อใจและให้เกียรติ เพราะเชื่อว่า ผู้สมัครนั้นเป็นผู้ที่มีเกียรติ ศักดิ์ศรี และความซื่อสัตย์ เป็นไปตามระบบเกียรติยศ แต่ปรากฏว่ายังมีคนหลาย ๆ คนที่ไม่ปฏิบัติตาม เมื่อถูกตรวจสอบหรือความจริงปรากฏจนกลายเป็นข่าว กลับไม่ยอมรับความผิด อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ระบบเกียรติยศจึงใช้ได้เฉพาะสังคมที่ผู้คนเป็นคนดี มีคุณธรรม และมีศีลธรรมเท่านั้น

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top