Monday, 20 January 2025
COLUMNIST

ทำความรู้จัก ‘เดนนิส ลอว์’ ราชันย์สตั๊ดเหินหาวแห่ง ‘โอลด์แทรฟฟอร์ด’ หนึ่งในตำนาน ‘United Trinity’ คนสุดท้ายที่เพิ่งลาลับตลอดกาล

(19 ม.ค. 68) หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักในเกมฟุตบอล ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานถึงความเก่งกาจของชายผู้เป็นตำนานสุดยอดดาวยิงคนหนึ่งเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของลีลาถล่มประตูที่ดุดัน ถึงลูกถึงคน ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะท่าไม้ตายการกระโดดวอลเลย์ลูกกลางอากาศอย่างสวยงาม รวมไปถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการยกแขนขวาเหยียดตรงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นภาพคุ้นตาของแฟนบอลในยุค 60’s ต่อ 70’s และเป็นหนึ่งในสามประสาน ‘United Trinity’ ร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบส อดีตขุนพลเอกแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างถล่มทลาย สถิติมากมายได้ถูกสร้างขึ้นและคงอยู่อย่างยาวนาน บางสถิติก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปได้จนถึงปัจจุบัน 

เนื่องในโอกาสการจากไปของเดนนิส ลอว์ ใดใด Digest ขอน้อมคารวะชายผู้เป็นตำนานท่านนี้ด้วยการบันทึกเรื่องราวของเขาไว้ ณ ที่นี้ครับ 

เดนนิส ลอว์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1940 ณ เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ ในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ฐานะไม่สู้ดีนัก โดยเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน และในความยากจนนี่เองที่เด็กน้อยเดนนิสได้ค้นพบความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของตัวเองจากการเตะลูกฟุตบอลทำเองจากเศษผ้าเล่นกับบรรดาพี่น้องและเพื่อนฝูง และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเดนนิส ทำให้เขาฉายแสงออกมาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชัดเจนและในไม่นานก็ถูกค้นพบโดยแมวมองจากสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทำให้เดนนิสได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพด้วยอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยสโมสรที่ค้นพบเดนนิสและเซ็นสัญญาอาชีพด้วยเป็นทีมแรกคือสโมสรฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ (อ่านมาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกคุ้นๆชื่อสโมสรนี้ ใช่ครับ! นี่คือสโมสรที่หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลชาวไทยอย่างพี่ซิโก้ เกียติศักดิ์ เสนาเมืองของเราเคยบินมาค้าแข้งด้วยเป็นเวลาสั้นๆนั่นเอง) ในเวลานั้นกุนซือของฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ได้แก่ บิลล์ แชงค์ลี่ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับอภิมหาตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง ตลอด 4ปีที่ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์นี่เองที่เดนนิสได้เริ่มเปล่งประกายความเป็นสุดยอดดาวยิงฟ้าประทานออกมา และทำให้ตัวเขากลายเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสรในอังกฤษ จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นเวลาสั้นๆแค่ 1 ปีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้นที่ 55,000 ปอนด์ ก่อนที่จะถูกสโมสรโตริโน่จากอิตาลีซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงที่สุดเป็นสถิติโลกในเวลานั้นที่ 110,000 ปอนด์ และทำให้เดนนิสเป็นนักเตะจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ย้ายมาเล่นในภาคพื้นยุโรป แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปรับตัวหลายๆอย่างในสมัยนั้น ทำให้เดนนิสย้ายกลับมายังเกาะอังกฤษ และสโมสรที่ซื้อเขากลับมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกอีกเช่นกันที่ 115,000 ปอนด์ ก็คือสโมสรที่ส่งให้เขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาลในเวลาต่อมาซึ่งก็คือสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั่นเอง

เดนนิสค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรวมแล้วทั้งหมด 11 ปี ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1973 ซึ่งตลอดระยะเวลานี้ เขาได้สร้างความสำเร็จและสถิติต่างๆฝากไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น

1. สถิติยิงประตูให้สโมสรสูงที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยลงเล่นทั้งหมดให้กับยูไนเต็ด 404 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 237 ประตู 

2. ได้รับการขนานนามจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งเสตร็ทฟอร์ดเอ็นด์’ ซึ่งมีที่มาจากการฉลองการทำประตูของเดนนิสร่วมกับแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ทีมเหย้าของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นภาพชินตาของแฟนบอลในยุคนั้น 

3. เดนนิสเป็นสมาชิกคนสำคัญที่นำถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมายได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 สมัย, แชมป์สโมสรยุโรป 1 สมัย (แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นผู้มีความสำคัญในการพาทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ), แชมป์ FA Cup 1 สมัย

4. ในด้านรางวัลส่วนตัว เดนนิส ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลระหว่างเล่นให้ยูไนเต็ดด้วยการได้รับรางวัล Ballon D’Or หรือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1964 และเป็นนักเตะชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคงจะเป็นหนึ่งเดียวจากสก็อตแลนด์ไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป 

ในช่วงปลายอาชีพเดนนิสได้ย้ายกลับไปเล่นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้อีกครั้งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 1 ปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ เดนนิสเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นให้แมนเชสเตอร์ซิตี้เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ในนัดท้ายๆของฤดูกาล 1974 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกชั้นในปีนั้นในที่สุด ซึ่งเดนนิสก็ได้แสดงความเคารพอย่างสูงต่ออดีตสโมสรของเขาด้วยการไม่แสดงการดีใจและมีสีหน้าเสียใจหลังยิงประตูนั้นได้ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคเหตุการณ์หนึ่งของโลกฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบัน

ในด้านเกียรติประวัติกับทีมชาติสก็อตแลนด์นั้น เดนนิสลงสนามรับใช้ชาติไปทั้งหมด 55นัด โดยยิงไปได้ 30 ประตู รวมถึงการพาสก็อตแลนด์เข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด 2 สมัย

ภายหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1974 เดนนิสก็ยังคงมีส่วนร่วมกับวงการฟุตบอลที่เขารักอย่างต่อเนื่องด้วยการรับตำแหน่งเป็นทูตฟุตบอลให้กับสโมสรที่เขาผูกพันที่สุดอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และออกงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ 

เดนนิส ลอว์ จากไปอย่างสงบในคืนวันที่ 17 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาด้วยวัย 84 ปีจากอาการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง โดยฝากผลงานและตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลกฟุตบอลและโดยเฉพาะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฐานะ ‘United Trinity’ คนสุดท้าย โดยรูปปั้นของเดนนิสในท่าเหยียดแขนขวาขึ้นสุดพร้อมชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเป็นท่าฉลองประตูประจำตัวอันคุ้นชินขนาบข้างด้วยสองสหายรักและเพื่อนร่วมทีมอย่างเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบส หันหน้าเข้าสู่สนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน รวมถึงความสามารถอันเป็นตำนานและคุณูปการต่างๆที่เดนนิส ลอว์สร้างขึ้นและฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็จะถูกจดจำและกล่าวขานไปอีกนานแสนนานเช่นกัน 

ด้วยจิตคารวะ

‘CAL FIRE’ ทีมนักสู้ไฟป่าแห่งแคลิฟอร์เนีย เหล่าผู้กล้าผจญเพลิงที่อาสาทำเพื่อส่วนรวม

เหตุการณ์ไฟไหม้ป่าที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของนครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 24 ราย (14/1/2568) เผาผลาญบ้านเรือนประชาชนไปแล้วนับหมื่นหลัง และส่งผลทำให้ต้องออกคำสั่งอพยพผู้คนหลายแสนคนออกจากพื้นที่ ด้วยสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก มีผืนป่าขนาดใหญ่มากมายโดยเฉพาะในมลรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเกิดไฟไหม้ป่าเป็นประจำทุกปี

โดยภารกิจในการดูแลรักษาผืนป่า การป้องกันและดับไฟป่าในมลรัฐนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ ‘กรมป่าไม้และป้องกันอัคคีภัยแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Department of Forestry and Fire Protection : CAL FIRE)’ เป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Natural Resources Agency : CNRA) สหรัฐอเมริกามีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันอัคคีภัยในพื้นที่ต่างๆ ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐรวม 31 ล้านเอเคอร์ รวมถึงการบริหารจัดการป่า ทั้งป่าส่วนบุคคลและป่าสาธารณะภายในมลรัฐ

นอกจากนี้ ‘CAL FIRE’ ยังให้บริการฉุกเฉินด้านต่าง ๆ ใน 36 จาก 58 เทศมณฑลของมลรัฐผ่านสัญญากับรัฐบาลท้องถิ่น ผู้อำนวยการ ‘CAL FIRE’ คนปัจจุบันของกรมคือ Joe Tyler ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดย Gavin Newsom ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2022

นอกจากภารกิจหลักที่สำคัญที่สุดของ ‘CAL FIRE’ คือการต่อสู้และป้องกันไฟป่าบนพื้นที่ป่าของรัฐ 31 ล้านเอเคอร์แล้ว ‘CAL FIRE’ ยังปฏิบัติงานทั้งด้านการดับและป้องกันในพื้นที่ของมลรัฐ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือในการตอบสนองต่อภัยพิบัติและเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงแผ่นดินไหว การกู้ภัยทางน้ำ และการรั่วไหลของวัสดุอันตราย ‘CAL FIRE’ ยังทำหน้าที่ในการบริหารจัดการป่าสาธิตของมลรัฐ 8 แห่งในเรื่องของการปลูกและตัดไม้ สันทนาการ และการวิจัย ส่วนที่ใหญ่ที่สุดและเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดในการปฏิบัติการของ ‘CAL FIRE’ คือการป้องกันอัคคีภัย โดยเฉพาะไฟป่า การปฏิบัติการแบ่งหน่วยออกเป็น 21 หน่วยปฏิบัติการ ซึ่งแบ่งตามเขตพื้นที่ของแต่ละเทศมณฑล หน่วยแต่ละหน่วยประกอบด้วยพื้นที่ของเทศมณฑลหนึ่งแห่งขึ้นไป หน่วยปฏิบัติการแบ่งตามภูมิภาคแคลิฟอร์เนียเหนือหรือภูมิภาคแคลิฟอร์เนียใต้

‘CAL FIRE’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1885 เป็นหน่วยดับเพลิงที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่ 12,800 นาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ประจำ 6,100 คน เจ้าหน้าที่ไม่ประจำ (พนักงานจ้างตามฤดูกาล) 2,600 คน ผู้ต้องขัง 3,500 คน สมาชิกกองกำลังอนุรักษ์ อาสาสมัครป้องกันภัยส่วนบุคคล (VIP) 600 คน รวม 12,800 คน พร้อมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการปฏิบัติงานมากมาย ด้วยงบประมาณประจำปีที่ได้รับ 4.2 พันล้านเหรียญ (ราว 1.457 แสนล้านบาท) ‘CAL FIRE’ มีศูนย์ฝึกอบรม 2 แห่ง แห่งแรกเป็นสถาบันเดิมคือ ศูนย์ฝึกอบรม CAL FIRE ในเมืองไอโอเน ทางทิศตะวันออกของนครซาคราเมนโต (เมืองหลวงของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย) สถาบันแห่งที่สองตั้งอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรม Ben Clark ในเทศมณฑลริเวอร์ไซด์ทั้งสองศูนย์เป็นที่ตั้งของสถาบันดับเพลิง (Fire Fighter Academy : FFA) เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของ CAL FIRE ทุกคนจะต้องผ่านสถาบันนี้ก่อนที่พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำ และยังมีสถาบันฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ประจำ (Company Officer Academy : COA) ในเมืองไอโอเน เจ้าหน้าที่ประจำบรรจุ/เลื่อนตำแหน่งใหม่ทั้งหมดของ ‘CAL FIRE’ (วิศวกร หัวหน้าหน่วย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ฯลฯ) จะต้องผ่านการฝึกอบรมจากสถาบันแห่งนี้ ณ ปี 2017 เงินเดือนเฉลี่ยของนักดับเพลิงประจำ (ซึ่งรวมเงินเดือนพื้นฐาน เงินพิเศษ ค่าล่วงเวลา และสวัสดิการ) เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 148,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5,134,120 บาท) เนื่องจากจัดว่าเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมาก

นอกจากนี้ ‘CAL FIRE’ ยังทำงานร่วมกับกรมราชทัณฑ์และการพัฒนาพฤตินิสัยแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Department of Corrections and Rehabilitation : CDCR) ใช้ผู้ต้องขังหลายพันคนในทัณฑสถาน 44 แห่งทั่วมลรัฐ หรือที่เรียกว่า ‘โครงการทัณฑสถาน/ค่ายดับเพลิง’ เพื่อทำหน้าที่ในการป้องกันอัคคีภัย การดับเพลิง และโครงการบำรุงรักษาและอนุรักษ์ต่าง ๆ ภารกิจของโครงการนี้คือ ให้การ “สนับสนุนหน่วยงานของรัฐบาลท้องถิ่น และรัฐบาลกลางในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม และภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นอื่น ๆ” มีผู้ต้องขังทั้ง ชาย หญิง และเยาวชน มากกว่า 3,000 คนทำงานในโครงการนี้ทุกปี ทั้งหมดเป็นอาสาสมัครของโครงการฯ อาสาสมัครทุกคนได้รับการฝึกอบรมระดับเริ่มต้นเช่นเดียวกับนักดับเพลิงตามฤดูกาลของ ‘CAL FIRE’ มีนักดับเพลิงที่เป็นผู้ต้องขังราว 3,500 คน ทำให้มีนักดับเพลิงที่เป็นผู้ต้องคุมขังคิดเป็นประมาณ 27% ของศักยภาพในการดับเพลิงทั้งหมดของมลรัฐ

หน่วยปฏิบัติการภายใต้ ‘CAL FIRE’ คือหน่วยงานที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับมือกับการดับเพลิงในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ โดยมีขนาดและภูมิประเทศที่มีความแตกต่างกัน อาทิ หน่วยปฏิบัติการ Lassen-Modoc-Plumas ครอบคลุมพื้นที่ชนบท 3 แห่ง และประกอบด้วยสถานีดับเพลิง 8 แห่ง ฐานเฮลิคอปเตอร์ 1 แห่ง ค่ายดับเพลิง 3 แห่ง และศูนย์ฝึกอบรมนักดับเพลิงผู้ต้องขัง ทรัพยากรที่ใช้การดับเพลิงประกอบด้วยรถดับเพลิง 13 คัน เฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ รถปราบดิน 3 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงผู้ต้องขัง 14 คน หน่วยนี้ใช้ศูนย์บัญชาการฉุกเฉินร่วมกันกับหน่วยงานของรัฐบาลกลาง รวมทั้งกรมป่าไม้แห่งสหรัฐอเมริกา กรมอุทยานแห่งชาติ และสำนักงานจัดการที่ดิน เป็นศูนย์ปฏิบัติการร่วมระหว่างหน่วยงาน รองรับความร่วมมือ และเอื้อต่อการปฏิบัติงานที่ราบรื่นยิ่งขึ้น พื้นที่นี้มีเขตอำนาจในการปฏิบัติที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ชนบทขนาดใหญ่ตามแนวเขตแดนมลรัฐเนวาดาและโอเรกอน ส่วย Riverside Operational Unit เป็นหน่วยดับเพลิงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ โดยมีสถานีดับเพลิง 95 แห่งและทรัพยากรที่ใช้การดับเพลิงประมาณ 230 รายการ ปฏิบัติการร่วมกับ Riverside County Fire Department ตามสัญญาซึ่งรวมถึงดำเนินการดับเพลิงใน 18 เมืองและ 1 เขตบริการชุมชน สถานีเหล่านี้ 9 แห่งเป็นของมลรัฐ ส่วนที่เหลือเป็นของหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หน่วยนี้ดำเนินการศูนย์บัญชาการฉุกเฉินของตนเองใน Perris พื้นที่ที่ให้บริการรวมถึงเขตเมืองและชานเมืองของ Inland Empire และชุมชนในเขต Palm Springs พื้นที่ดังกล่าวรวมถึงภูเขาที่มีป่าไม้ลุ่มแม่น้ำโคโลราโดทะเลทรายโมฮาวีและทางหลวงระหว่างรัฐหมายเลข 10 เขต Marin (MRN), Kern (KRN), Santa Barbara (SBC), Ventura (VNC), Los Angeles (LAC) และ Orange (ORC) ได้รับเงินสนับสนุนจาก ‘CAL FIRE’ เพื่อจัดเตรียมการป้องกันอัคคีภัยให้กับพื้นที่รับผิดชอบของมลรัฐภายในเขตเทศมณฑลเหล่านั้น แทนที่จะให้ ‘CAL FIRE’ จัดหาการป้องกันอัคคีภัยโดยตรง และเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “เขตสัญญาเทศมณฑล (Contract counties)”

‘CAL FIRE’ ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศหลายระบบในการจัดการการดำเนินงาน อาทิ Altaris CAD ซึ่งเป็นระบบจัดส่งด้วยความช่วยเหลือของคอมพิวเตอร์ผลิตโดย Northrop Grumman ถูกใช้โดยศูนย์บัญชาการฉุกเฉิน (ECC) ของแต่ละหน่วย เพื่อติดตามทรัพยากรและงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งทำได้โดยใช้ระบบระบุตำแหน่งยานพาหนะอัตโนมัติ (AVL) ซึ่งระบุตำแหน่งยานพาหนะ การสื่อสารข้อมูล และการจัดส่งผ่านเทอร์มินัลข้อมูลเคลื่อนที่ (MDT) และระบบสลับเครือข่ายหลายเครือข่ายในยานพาหนะมากกว่า 1,200 คันทั่วทั้งรัฐ หน่วยปฏิบัติการแต่ละหน่วยมีระบบแบบ stand alone ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่อยู่และแผนที่โดยละเอียด

ในการดับไฟป่าและภารกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ นั้น ‘CAL FIRE’ มีอากาศยานที่ใช้ในภารกิจรวม 70 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินโปรยน้ำ/สารเคมี 30 ลำ เครื่องบินตรวจการณ์ 16 ลำ และเฮลิคอปเตอร์อีก 24 ลำ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของโครงการบริหารจัดการการบิน (Aviation Management Program) โดยเมื่อมีความจำเป็น ‘CAL FIRE’ จะจัดเช่าอากาศยานเพิ่มเติม เครื่องบินทั้งหมดเป็นของ ‘CAL FIRE’ เอง แต่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการและบำรุงรักษาโดย DynCorp International ซึ่งโครงการฯ นี้เป็นหนึ่งในโครงการปฏิบัติการทางอากาศของหน่วยงานพลเรือน (ที่ไม่ใช่ทางทหาร) ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ประกอบด้วย เครื่องบินบรรทุกน้ำ/สารเคมี Grumman S-2 Tracker (S-2T) ขนาดความจุ 1,200 แกลลอน จำนวน 23 ลำ เครื่องบินบรรทุกน้ำ/สารเคมี Lockheed-Martin C-130H Hercules ขนาดความจุ 4,000 แกลลอน จำนวน 7 ลำ เครื่องบินตรวจการณ์ North American Rockwell OV-10 Bronco จำนวน 14 ลำ และ เฮลิคอปเตอร์ Bell UH-1H Super Huey จำนวน 12 ลำ ปัจจุบัน ‘CAL FIRE’ ได้เริ่มปฏิบัติการบินด้วย เฮลิคอปเตอร์ Sikorsky S-70i Firehawk รุ่นใหม่สำหรับการสนับสนุนการดับเพลิงทางอากาศ รวมถึงการทิ้งน้ำ/สารเคมีดับเพลิง และกำลังวางแผนที่จะจัดหาเฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้ 12 ลำเพื่อทดแทนเฮลิคอปเตอร์ Bell UH-1H Super Huey ที่เก่ามากแล้ว

จากฐานปฏิบัติบิน 13 แห่งและฐานบินเฮลิคอปเตอร์ 10 แห่งของ ‘CAL FIRE’ ที่ตั้งอยู่ทั่วมลรัฐ เครื่องบินโปรยน้ำ/สารเคมีจะสามารถเข้าถึงจุดไฟไหม้ส่วนใหญ่ได้ภายในเวลา 20 นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เกิดไฟป่า มีการใช้ทั้งเครื่องบินในการบินดับเพลิง และเฮลิคอปเตอร์ในการส่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง (Helitack) เข้าไปในพื้นที่ที่เกิดไฟไหม้ และโปรยน้ำและสารเคมีหน่วงไฟลงเพื่อดับไฟ เครื่องบินตรวจการณ์จะทำหน้าที่ในการสั่งการ สังเกตการณ์ และทิ้งสารเคมีหน่วงไฟลงบนพื้นที่เกิดไฟไหม้ด้วย ในอดีต ‘CAL FIRE’ เคยทำสัญญากับ 10 Tanker Air Carrier เพื่อเช่าใช้เครื่องบินดับเพลิงทางอากาศ McDonnell Douglas DC-10-10 (Tanker 911) เป็นเวลา 3 ปี โดยมีค่าใช้จ่าย 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นอกจากนี้ยังมีการเช่าใช้เครื่องบินดับเพลิงทางอากาศ DC-10-30 เพิ่มเติม (Tanker 911 และ Tanker 912) ในปี 2014 Tanker 910 ได้ถูกปลดระวาง และทุกวันนี้ 10 Tanker Air Carrier ยังคงใช้เครื่องบินดับเพลิงทางอากาศแบบ DC-10-30 ในการปฏิบัติการดับไฟป่าให้ ‘CAL FIRE’

สำหรับบ้านเรา การป้องกันและดับไฟป่าเป็นภารกิจของหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ ซึ่งจะมี 2 หน่วยงานได้แก่ กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (เขตพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์) และกรมป่าไม้ (ป่าชุมชนและป่าไม้ในพื้นที่รับผิดชอบ) ทั้ง 2 กรมภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีหน่วยงานอื่น ๆ จากกระทรวงต่าง ๆ ให้การสนับสนุน อาทิ เหล่าทัพต่าง ๆ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้ป่าถือเป็น ‘หน้าที่’ ของชาวไทยทุกคน เพราะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่สำคัญของชาติ จึงถือว่าเป็นสมบัติส่วนรวมของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนด้วย

หากมีความสงสัยว่า เหตุใดไฟป่าจึงรุนแรงขึ้น คำตอบอาจทำให้เราต้องประหลาดใจ แม้ว่า วิทยาศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นตัวทวีคูณภัยคุกคามที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงของไฟป่า แต่มนุษย์ก็มีส่วนเป็นอย่างมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ไฟป่าเกือบ 85% ในสหรัฐอเมริกาเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ และหลายกรณีสามารถป้องกันได้ กิจกรรมในชีวิตประจำวันหลายอย่างก็อาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้เช่นกัน สภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น ประวัติการดับเพลิง และปัจจัยอื่น ๆ ทำให้ไฟไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่หากเราอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มักเกิดภัยแล้งหรือไฟป่า เราสามารถช่วยป้องกันภัยธรรมชาติได้โดยปฏิบัติตามแนวทางด้านความปลอดภัยจากอัคคีภัยได้อย่างง่าย ๆ

วิธีการง่าย ๆ ในการป้องกันไฟไหม้ป่า

1. ไม่จุดพลุไฟ ในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและแห้งแล้ง มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ามาก เชื่อว่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นในมลรัฐแคลิฟอร์เนียต้นเดือนที่ผ่านมาเกิดจากการจุดพลุไฟ

2. กำจัดวัสดุที่ใช้ในการสูบบุหรี่อย่างระมัดระวัง ทุกครั้งที่สูบบุหรี่ ให้ราดน้ำที่ก้นบุหรี่แล้วใส่ไว้ในภาชนะกันไฟเพื่อทิ้งอย่างปลอดภัยหลังจากแน่ใจว่าได้ดับไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น

3. ดูแลกองไฟที่จุดเองอย่างมีความรับผิดชอบ ก่อนจุดกองไฟหรือกองไฟ ให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมปลอดภัยและไม่มีข้อห้ามจุดไฟในพื้นที่ เมื่อจุดไฟเสร็จแล้ว ให้ดับไฟและรอจนกว่าไฟจะเย็นลงจนสัมผัสได้ก่อนออกจากพื้นที่ตั้งแคมป์ อย่าปล่อยให้กองไฟติดอยู่โดยไม่มีผู้ดูแล

4. ตัดหญ้าก่อนเวลา 10.00 น. หากจำเป็นต้องตัดหญ้า ‘CAL FIRE’ แนะนำให้ทำตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่อุณหภูมิจะถึงจุดสูงสุด แต่หากลมแรงและแห้งเกินไป ให้รอไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันถัดไป ในสภาวะเช่นนี้ ใบมีดโลหะใต้เครื่องตัดหญ้าอาจจุดไฟได้ง่ายหากไปโดนหิน

5. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่อไอเสียของรถของคุณอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตรวจสอบท่อไอเสียของรถ เลื่อยโซ่ยนต์ เครื่องเป่าใบไม้ ฯลฯ เพื่อให้แน่ใจว่ามีตัวป้องกันประกายไฟติดตั้งอยู่ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ปล่อยเศษวัสดุที่ติดไฟได้ออกมา และอย่าลืมว่าท่อไอเสียรถยนต์อาจมีอุณหภูมิสูงเกิน 1,000 องศาได้!

6. ขับรถอยู่บนถนนเสมอ แม้การขับรถบนเส้นทางออฟโรดเป็นเรื่องสนุก แต่หากทำในพื้นที่ทุ่งหญ้าหรือพื้นที่ที่มีพุ่มไม้หนาทึบ อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ควรขับบนถนนกรวดและยางมะตอย โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการขับรถออฟโรดในพื้นที่เสี่ยงไฟไหม้ คือเมื่อพื้นดินเฉอะแฉะ เปียกฝน

7. คอยสังเกตเทียนอย่างใกล้ชิด เทียนไขอาจดูไม่เป็นอันตราย แต่เป็นสาเหตุหลักของไฟไหม้บ้าน โดยเปลวไฟสามารถลุกไหม้ได้สูงถึง 1,400 องศา! วิธีที่ดีที่สุดคือใส่เทียนไขในภาชนะที่แข็งแรงและไม่สามารถล้มได้ เช่น ขวดโหล และอย่าทิ้งเทียนไขไว้โดยไม่มีผู้ดูแล

8. สร้างและรักษาพื้นที่ป้องกันได้ หากท่านเป็นเจ้าของบ้าน ควรกำจัดต้นไม้ พุ่มไม้ และพืชพรรณต่าง ๆ  ที่ตายแล้วออกไปให้หมดภายในระยะ 100 ฟุตจากโครงสร้างทั้งหมด การทำเช่นนี้จะช่วยชะลอหรือหยุดการลุกลามของไฟป่าในชุมชนของท่าน นอกจากนี้ ยังช่วยปกป้องนักดับเพลิงในกรณีที่ต้องดับไฟรอบ ๆ บ้านของท่านอีกด้วย

9. การจัดภูมิทัศน์เพื่อป้องกันไฟป่า ด้วยปลูกพืชทนไฟ เช่น ลาเวนเดอร์ฝรั่งเศส เซจ และฟูเชียแคลิฟอร์เนีย ว่านหางจระเข้ ร็อคโรส และไอซ์แพลนเน็ต ฯลฯ ไว้ในการจัดสวน และอาจพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการสร้างเขตกัน/ทนไฟ เช่น กำแพงหิน ลานบ้าน ดาดฟ้า ฯลฯ

10. การฟื้นฟูพื้นที่ที่เคยเกิดไฟป่า และสุดท้าย  การสนับสนุนในการฟื้นฟูพื้นที่ที่เคยเกิดไฟไหม้ในอดีตถือเป็นวิธีสำคัญในการลดโอกาสหรือความรุนแรงของไฟไหม้ในอนาคต อาทิ โครงการอนุรักษ์ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกพันธุ์ไม้ที่สามารถป้องกัน/ต้านทานไฟป่าได้

ยกเคส 'กวาง เดียร์ลอง' ยุติบทบาท Sex Creator ชี้ เป็นอุทาหรณ์ของคนที่ห้วงเวลาหนึ่งเคยหลงผิด

ลองย้ายประเทศแล้วไม่เวิร์ค ...ลองไปให้สุดก็รู้ว่า toxic...นี่แหละครับ บทเรียน ...

นี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่เป็น ‘สามนิ้ว’ แนวคิด ‘woke’ ที่เคยอยาก ‘ย้ายประเทศ’ อยากทำ ‘sexcreator’ จนเป็นกระแส...ออกนอกลู่นอกทางไปก็ไม่น้อย ... จะได้เห็นถึงข้อเสีย ของสิ่ง ๆ นึง แล้วก็ถือว่า อาจจะได้ เด็กดื้อ ที่กลับตัวกลับใจขึ้น

โดยส่วนตัวสำหรับข้าพเจ้าแล้วก็ถือว่าเป็นบทเรียนการเมืองเช่นกัน ใครที่อยากได้อยากทำ ณ ช่วงเวลานึง อาจจะทำร้ายเราในอนาคตได้ การหลงผิดคิดว่าสังคมเรามันไม่น่าอยู่ อยากหนีไปต่างประเทศ กลายเป็นว่าได้เห็นความไม่สิวิไลของเขาเช่นกัน

นั่นแหละครับทุกที่ทุกแห่งจะมีดีมีเสียกันทั้งนั้นแหละ 

บ้านเมืองจะดีขึ้นได้ไม่ใช่เพราะว่าเมืองนอกเมืองนาใครดีกว่าใครหรอกครับ

มันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมดีขึ้นแค่ไหน

ไม่มีใครทำร้ายอนาคตเราได้เท่ากับตัวเราเอง

เรื่องนี้ถือเสียว่าคน ๆ นึงที่เคยออกนอกลู่นอกทาง ได้กลับมาเดินในทางที่เหมาะควรและเป็นบทเรียนให้กับคนอื่นก็นับเป็นเรื่องที่ดี

เรื่องนี้น่าสนใจและหากมีความตั้งใจจริงที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เห็นถึงนัยยะที่ดีของบ้านเมืองในหลายประเด็น...

กุญแจสู่พลังอำนาจและความมั่งคั่งในอนาคต ประเทศไหนครองแร่แรร์เอิร์ธมากที่สุด คือผู้กุมชะตาโลก

(14 ม.ค. 68) ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและธุรกิจพลังงานสะอาดกำลังขับเคลื่อนโลก แร่ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Rare Earth “แรร์เอิร์ธ” ได้กลายเป็นทรัพยากรล้ำค่า ประเทศใดที่ได้ครอบครองแร่แรร์เอิร์ธมากที่สุด ย่อมหมายถึงการเข้าใกล้กุญแจสำคัญสู่อำนาจ และความมั่งคั่งของโลกอนาคต

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับแร่แรร์เอิร์ธ ก่อน แร่แรร์เอิร์ธ หรือชื่อเต็มคือ (Rare-Earth Element – REE) ภาษารัสเซียเรียกว่า Редкоземельные металлы (РЗМ) เป็นสินแร่ชนิดโลหะธาตุ เรียกว่า กลุ่มธาตุแลนทาไนด์ (Lanthanide) ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายโลหะแต่ไม่ได้เอามาผลิตเป็นโลหะโดยตรง ที่เรียกว่าเป็นแร่หายากไม่ได้เป็นเพราะว่าแร่เหล่านี้มีน้อยแต่เป็นเพราะสินแร่เหล่านี้ที่พบในบริเวณเปลือกโลกมักจะไม่รวมกลุ่มอยู่ในที่เดียวกัน การสกัดแร่ชนิดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายทำให้ยากต่อการสร้างเหมืองเพื่อขุดเจาะทำเหมืองแร่ชนิดนี้ แร่แรร์เอิร์ธเหล่านี้มีจำนวน 17 ชนิดได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม ปราซีโอดีเมียม ยูโรเพียม แกโดลิเนียม เทอร์เบียม ดิสโพรเซียม โฮลเมียม เออร์เบียม ทูเลียม อิตเทอร์เบียม  ลูเทเทียม สแกนเดียม อิตเทียม นีโอไดเมียม ซาแมเรียม โพรมีเทียม โดยวิธีการถลุงแร่แรร์เอิร์ธแบบคร่าวๆ คือต้องถลุงและสกัดเอาสารบริสุทธิ์จากแร่เพื่อให้ได้สิ่งที่เรียกว่า “ออกไซด์ของโลหะ” ก่อนที่จะเอาออกไซด์มาบดเป็นผงและแยกออกมาเป็นชนิดต่างๆ กัน แล้วนำไปจำหน่ายในอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ แร่หายากเหล่านี้ถูกนำไปใช้ผลิตสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันมากมายตั้งแต่อาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ทางทหาร อุปกรณ์สื่อสาร เช่นโทรศัพท์มือถือ ยานพาหนะไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดยแร่แรร์เอิร์ธที่สำคัญได้แก่

– โพรมีเทียม ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์
– แลนทานัม ใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และกล้องถ่ายภาพ เช่น กระจกเลนส์ ไฟถ่ายภาพยนตร์
– อิตเทียม ใช้ในการผลิตหลอดภาพของทีวีสี เตาไมโครเวฟ
– นีโอไดเมียม ใช้ในการผลิตแม่เหล็กที่ใช้ในการผลิตลำโพงและฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์
– ปราซีโอดีเมียม ใช้ในการผลิตใยแก้วนำแสงและเครื่องยนต์ของเครื่องบิน

ราคาของโลหะหายากมีความแตกต่างกันอย่างมากเนื่องจากโลหะเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน ตามข้อมูลของตลาดโลหะเซี่ยงไฮ้ REE ที่ถูกที่สุดในปัจจุบันคือแลนทานัมซึ่งใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาต่างๆ สำหรับการแตกตัวของน้ำมันในฟอสเฟอร์และเป็นส่วนประกอบของโลหะผสมที่ทนต่อการกัดกร่อนและทนความร้อน รวมทั้งซีเรียมซึ่งใช้ในการผลิตแหล่งกำเนิดแสง ตัวเร่งปฏิกิริยา วัสดุทนไฟ เทอร์โมอิเล็กทริก และวัสดุขัดถู ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 25,000 หยวน (ประมาณ 3,400 เหรียญสหรัฐ) ต่อตัน โดยโลหะหายากที่มีราคาแพงที่สุดคือสแกนเดียม โดยโลหะผสมอะลูมิเนียม-สแกนเดียมเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ สารประกอบสแกนเดียมยังใช้ในการผลิตเลเซอร์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแมกนีโตไฮโดรไดนามิกสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ และกระจกเอกซเรย์ ราคาขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์โดยตกอยู่ที่ 26,500 – 33,500 หยวน (3,600 – 4,600 เหรียญสหรัฐ) ต่อกิโลกรัม ที่ผ่านมาจีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่แรร์เอิร์ธรายใหญ่ที่สุดของโลกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการผลิตทั้งหมดทั่วโลกรวมถึงเป็นซัพพายเออร์รายใหญ่ของโลกด้วย อย่างไรก็ตามความตึงเครียดระหว่าง 2 ขั้วอำนาจโลก สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อ หลายมาตรการที่ทั้งสองประเทศนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกำแพงภาษีการนำเข้าจากทั้งสองประเทศ การที่สหรัฐอเมริกาสั่งห้ามการใช้งานอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีและการสื่อสารจากบริษัทที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าหมายถึงบริษัทเทคโนโลยีการสื่อสารจากประเทศจีน

รวมถึงการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปีนี้มีแนวโน้มจะทำให้สงครามการค้ารุนแรงขึ้น โดยจีนส่งสัญญาณออกมาให้เห็นเป็นระยะที่จะจำกัดการส่งออกแร่โลหะหายากไปยังสหรัฐฯ ซึ่งหากจีนจำกัดการส่งออกแร่โลหะหายากให้สหรัฐฯ จริงก็อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ล้วนต้องพึ่งพาแร่โลหะหายากทั้งสิ้น การผูกขาดของจีนก็เริ่มสร้างความกังวลให้กับประเทศอื่นๆ รวมถึงรัสเซียด้วย ทำให้รัสเซียต้องหาทางออกในการผลิตแร่แรร์เอิร์ธของตนเองเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว

จากสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์โลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามรัสเซียน – ยูเครนซึ่งอาจขยายตัวไปเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับนาโตในอนาคต รัสเซียมีความต้องการแร่ธาตุหายากสำหรับอุตสาหกรรมนิวเคลียร์และภาคการป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (ซึ่งบริโภคแลนทานัม อิตเทรียม และแร่ธาตุอื่นๆ ไป 830 ตันในปี 2023) พลังงานหมุนเวียน (200 ตัน) อุตสาหกรรมแก้วและอุปกรณ์ออปติก (100 ตัน) และอิเล็กทรอนิกส์ (100 ตัน)

ท่ามกลางการแข่งขันด้านแร่ธาตุเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น หากพิจารณาจากทรัพยากรแล้วรัสเซียมีธาตุต่าง ๆ ตามตารางธาตุครบสมบูรณ์ รัสเซียมีฐานวัตถุดิบแร่ธาตุหายากที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้ว่าจะไม่มีการประมาณการปริมาณที่แน่นอนก็ตาม ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2017 รัสเซียมีสำรอง REE อยู่ 26.9 ล้านตัน (โดยคำนึงถึงไตรออกไซด์ของโลหะหายากด้วย) ซึ่งทำให้ประเทศนี้ครองอันดับสองของโลก รองจากจีนเท่านั้น ในปี 2024 หน่วยงานจัดการทรัพยากรใต้ดินของรัฐบาลกลางรัสเซีย 

Федеральное агентство по недропользованию (Роснедра) หรือ Rosnedra ประมาณการว่ารัสเซียมีแร่ธาตุหายากมากถึง 28.7 ล้านตัน รวมถึงแหล่งแร่สำคัญ 18 แห่ง เป็นรองเพียงจีนที่มีมากถึง 44 ล้านตันและคิดเป็นมากกว่า 20% ของปริมาณสำรอง 130 ล้านตันของโลก และมีแนวโน้มว่าแหล่งสำรองแร่ธาตุหายากของรัสเซียจะถูกค้นพบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ไซบีเรียที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ และสำนักงานธรณีวิทยาแห่งรัฐก็ค้นพบแหล่งแร่ธาตุเชิงยุทธศาสตร์แห่งใหม่หลายสิบแห่งทุกปี ในสมัยสหภาพโซเวียตรัสเซียมีอุตสาหกรรมแร่ธาตุหายากที่ทรงพลังโดยมีเหมืองแร่และโรงงานต่างๆ ตั้งอยู่ในสาธารณรัฐต่างๆ เช่น ในเอสโตเนีย คีร์กีซสถาน และคาซัคสถาน หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตความสัมพันธ์ความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ ก็ล่มสลายอย่างรวดเร็ว โรงงานในคาซัคสถานหยุดทำงานแต่โรงงานในเอสโตเนียยังคงผลิตออกไซด์ของ REE ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีชื่อว่า NPM Silmet และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Canadian Neo Performance Materials และมีกำลังการผลิตแร่ธาตุหายาก 3,200 ตัน 

ในความเป็นจริงปัจจุบันในรัสเซียมีเพียงโรงงานขุดและแปรรูป Lovozero (Ловозерский ГОК) ในภูมิภาคมูร์มันสค์ (Murmansk) และโรงงานแมกนีเซียม Solikamski (SMZ) Соликамский магниевый завод (СМЗ) ในภูมิภาคเปอร์ม (Perm) เท่านั้นที่ยังคงความยิ่งใหญ่เช่นเดิม โดยโรงงานทำเหมืองและแปรรูป Lovozero สกัดแร่จากแหล่งแร่ Lovozero และเสริมสมรรถนะจนผลิตสิ่งที่เรียกว่าแร่เข้มข้นโลปาไรต์ ปริมาณออกไซด์ของธาตุหายากในแร่ที่แหล่งแร่มีการประเมินไว้ที่ 2.6 ล้านตัน กำลังการผลิตของโรงงานขุดและแปรรูปอยู่ที่ประมาณ 8,000 ตันต่อปี แต่คาดว่าจะเพิ่มเป็น 10,000 – 12,000 ตัน รายได้ของ Lovozersky GOK LLC » ในปี 2023 มีจำนวน 2.5 พันล้านรูเบิล จากนั้นสารเข้มข้นของโลพาไรต์จะถูกส่งไปยัง SMZ ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ คาร์บอเนตของแลนทานัม นีโอดิเมียม ซีเรียม โพรมีเทียม แกโดลิเนียม และยูโรเพียม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 SMZ ผลิตคาร์บอเนตของโลหะหายากได้ 962 ตัน รายได้ของ JSC SZM ในปี 2022 มีจำนวน 13 พันล้านรูเบิล ในปี 2023 มีจำนวน 12.4 พันล้านรูเบิล

นอกจากนี้รัสเซียยังมีแหล่งแร่สำคัญอื่นๆ ที่มีแร่ธาตุหายากและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ได้แก่ แหล่งแร่ Tomtorskoye ในสาธารณรัฐยาคูเทีย (Yakutia) ที่ค้นพบเมื่อปี 1977 ซึ่งมีออกไซด์ประมาณ 3.2 ล้านตัน แหล่งแร่ Kolmozerskoye ในภูมิภาคมูร์มันสค์ (Murmansk) ซึ่งค้นพบเมื่อทศวรรษ 1950 มีลิเธียมออกไซด์และแร่อื่นๆ มากถึง 844,000 ตัน แหล่งแร่อื่นๆ มีความเข้มข้นของแร่ธาตุหลัก ได้แก่ แหล่งแร่ Zashikhinskoye แหล่งก๊าซ Kovytka ที่รัสเซียยังไม่ได้แตะต้อง แหล่งน้ำมัน Yaraktinskoye ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเมืองเอียร์คุตซ์ (Irkutsk) แหล่งลิเธียม Polmostundrovskoye ในเมืองมูร์มันสค์ แหล่ง Zavitinskoye ในภูมิภาคทรานส์ไบคาล (Transbaikal) แหล่งแร่ Tyrnyauz ในสาธารณรัฐคาบาร์ดิโน - บัลคาเรีย (Kabardino-Balkaria) แหล่งแร่ Kongor-Chrome ในเขตปกครองตนเองยามาเลีย (Yamalia) และแหล่งแร่ Saranovskoye ในเมือง (Perm) เป็นต้น

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมารัสเซียพยายามเข้าสู่ตลาด REE แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความสำเร็จ ปัจจุบันสัดส่วนการผลิตแร่ธาตุหายากของรัสเซียในโลกมีน้อยมาก คือ น้อยกว่า 1% ดังนั้นเพื่อกระตุ้นการผลิต ในปี 2020 มีการอนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีการทำเหมืองแร่หายากจาก 8% เหลือ 4.8%

ย้อนบทเรียนสมัย ร.5 ชี้! การพนันสร้างแต่ปัญหา วอนทบทวน พรบ.การพนัน ช่วยตัดไฟแต่ต้นลม

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเรื่องนี้หลายคนสะกิดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความห่วงใยของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาที่จะเกิดจากการเปิดคาสิโนในประเทศจะไม่ได้รับการใส่ใจ หลายฝ่ายกังวลว่าการผลักดันให้คาสิโนถูกกฎหมาย อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้สิน การเพิ่มขึ้นของอาชญากรรม และความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะประชาชนรากหญ้าที่ต้องดิ้นรนขายเช้ากินค่ำ เพื่อประคองชีวิตกลับต้องเผชิญกับผลกระทบที่หนักหน่วง

ทั้งนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นต้องขออนุญาตส่งข้อห่วงใยถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงพิษภัยของ การพนัน...นะครับ

บทเรียนจากอดีต…ลืมไปแล้วหรือ?

ในอดีต สมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเคยเจอวิกฤตจากบ่อนการพนันที่เฟื่องฟูจนกลายเป็นต้นเหตุของอาชญากรรมและปัญหาสังคม 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นถึงโทษของการพนันที่ส่งผลกระทบต่อสังคมไทย จึงทรงมีพระราชดำริให้ลดและเลิกบ่อนการพนันทั่วประเทศ โดยเริ่มจากการลดจำนวนบ่อนในหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 และขยายมาสู่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2432 กระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติห้ามบ่อนการพนันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460

ทั้งนี้เป็นการตัดสินใจ 'ตัดไฟแต่ต้นลม' ด้วยการปิดบ่อนทั่วประเทศ เพราะรู้ดีว่าผลเสียของการพนันมันกัดกินประเทศยิ่งกว่ารายได้ที่ประเทศชาติจะได้รับ แต่ดูเหมือนบทเรียนนี้จะเลือนหายไปในยุคที่ใครๆสนใจแต่ตัวเลขผลกำไร มากกว่าผลกระทบที่แท้จริง

ประเทศอื่นเขาก็รู้…การพนันสร้างแต่ปัญหา

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือฟิลิปปินส์ ที่เปิดให้การพนันถูกกฎหมายอย่างเสรี ผลลัพธ์คือการเพิ่มหนี้สินของประชาชน ปัญหาครอบครัวแตกแยก และการขยายตัวของแก๊งฟอกเงิน ในขณะที่ประเทศที่ควบคุมการพนันอย่างเข้มงวด เช่น นอร์เวย์ กลับมีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลเขาเลือกส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน เช่น เทคโนโลยีและการศึกษา

ใครเจ็บ? ใครได้?

ประชาชนรากหญ้าที่ขายเช้ากินค่ำมักจะเป็นกลุ่มที่เจ็บหนักที่สุด เพราะความหวังลมๆ แล้งๆ จากการพนันที่หลอกล่อพวกเขาให้เอาเงินก้อนสุดท้ายไปเสี่ยง โอกาสที่จะ “หมดตัว” มีสูงกว่าการถูกรางวัลเสมอ แต่คนที่ได้กลับเป็นเจ้าของเว็บและรัฐบาลที่เก็บภาษีอยู่บนหนี้สินและน้ำตาของประชาชน

การพนัน…ไม่ใช่คำตอบของประเทศนี้

ถ้ารัฐบาลนี้มีวิสัยทัศน์รักในประชาชนจริงๆ ข้าพเจ้าเห็นควรเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมที่สร้างอนาคต เช่น การศึกษา การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยี มากกว่าการพึ่งรายได้จากความทุกข์ของคนจน การพนันไม่ใช่ทางลัด มันคือ “หลุมดำ” ที่ทำให้ประชาชนจมลึกลงไปในปัญหาที่แก้ไม่จบ

‘Freeze/Stop and don't move’ คำสั่งเรียบง่ายแต่เด็ดขาด ของตำรวจสหรัฐฯ

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้เดินทางไปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ได้พบเห็นนักท่องเที่ยวชายชาวญี่ปุ่นกำลังจะปล่อยโคมซึ่งอาจลอยไปตกใส่บ้านเรือนอาคารร้านค้าทำให้เกิดเพลิงไหม้สร้างความเดือดร้อนได้ จึงได้เข้าไปพูดคุยห้ามปราม แต่นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวไม่ยอมฟังและโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกระทั่งมีการดึงคอเสื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และกลายเป็นคลิปเผยแพร่ไปทั่ว (https://www.facebook.com/reel/1000054821913998) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าวไม่ได้ติดใจเอาความแต่อย่างใดจึงไม่ได้ดำเนินคดี เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาพจำที่ไม่ประทับใจของนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ในเทศกาลปีใหม่ 

สมมติว่า กรณีนี้เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวไทยไปกระทำการเช่นนี้ในประเทศญี่ปุ่นแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ตำรวจญี่ปุ่นจะยอมรับคำขอโทษ เลิกแล้วต่อกันและไม่ดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวไทยรายนั้นหรือไม่? เช่นเดียวกับหากกรณีที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่แล้วนักท่องเที่ยวรายนี้เป็นชาวไทยแล้วจะได้รับการเว้นโทษ ไม่ได้ติดใจเอาความและไม่ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา ในหมวด 1 ความผิดต่อเจ้าพนักงาน (มาตรา 136 - 146) มาตราใดมาตราหนึ่งหรือไม่? เหตุการณ์นี้ชวนให้นึกถึงคำว่า ‘Freeze/Stop and don't move’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘หยุด...อย่าขยับ’ ปรากฏทั้งในภาพยนตร์และชีวิตจริงโดยเป็นคำสั่งของตำรวจอเมริกันให้ผู้ต้องสงสัยต้องหยุดอยู่นิ่งระหว่างการตรวจค้นหรือจับกุม 

คำว่า ‘Freeze’ นอกจากจะเป็นคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผู้ต้องสงสัยหยุดนิ่งแล้ว อีกความหมายหนึ่งที่ใช้ในแวดวงของกฎหมายคือ การยึดอายัดทรัพย์สินต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย ทุกประเทศบนโลกใบนี้ถือว่า การขัดขืนการจับกุมหรือแม้แต่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นคำว่า ‘Freeze/Stop and don't move’ หรือ ‘หยุด...อย่าขยับ’ จึงเป็นคำสั่งที่ชัดเจน เรียบง่าย และเข้าใจได้ง่าย บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ มีการใช้อาวุธปืนกับผู้ต้องสงสัยเมื่อสั่งให้ผู้ต้องสงสัยหยุดแล้วไม่ปฏิบัติตาม แม้ว่าผู้ต้องสงสัยรายนั้นจะไม่มีอาวุธปืนก็ตาม  เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงผู้ต้องสงสัยรายนั้นจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ยิงจะไม่มีความผิดแต่อย่างใด โดยถือเป็นการป้องกันตัวที่สมควรแก่เหตุ 

ดังนั้นคำว่า "ตำรวจ! หยุด อย่าขยับ!" (Police! ‘Freeze/Stop and don't move’) จึงเป็นคำสั่งที่ประชาชนพลเมืองอเมริกันต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้บางคนจะปฏิบัติตาม หรือบางคนไม่ยอมปฏิบัติตาม แต่เป็นที่รู้โดยทั่วไปว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอเมริกันได้รับอนุญาตและได้รับการฝึกอบรมให้ใช้กำลังทุกรูปแบบที่จำเป็นเพื่อบังคับให้ผู้ต้องสงสัยทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นการป้องกันภัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเองหรือประชาชนพลเมืองคนอื่น ๆ รวมถึงการใช้กำลังถึงชีวิต (ซึ่งคนอเมริกันบางส่วนไม่ได้ตระหนักถึง) 

ดังนั้น วิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุดของสุจริตชนอเมริกันคือ การปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเคร่งครัดในทันที โดยปิดปากเงียบ ไม่โต้เถียง หรือขัดขืน และเชื่อฟังทันที หากให้ความร่วมมือ และถามคำถามหลังจากที่เจ้าหน้าที่พูดจบแล้ว ต้องยึดหลักที่ว่า "ปฏิบัติตามตอนนี้ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง"  ปิดปากและเชื่อฟังทันที หากคุณให้ความร่วมมือ อย่าขัดขืน และถามคำถามหลังจากที่เจ้าหน้าที่พูดจบแล้วแม้จะมีช่องว่างมากมายที่นำไปสู่การปฏิบัติที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพูดคุยเจรจาได้ “จงอย่าได้ชนะคดีในศาล แต่เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้ว”

อันที่จริงแล้วกระบวนการยุติธรรมของบ้านเรานั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่กรมราชทัณฑ์สามารถลดโทษระยะเวลาการจำคุกนักโทษเด็ดขาดที่ศาลตัดสินแล้วลงได้อย่างมากมาย หรือกรณีอาชญากรต่างชาติที่หลบหนีมาบ้านเราแล้วทางการประเทศนั้น ๆ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจับกุมตัว ซึ่งเมื่อจับกุมตัวได้แล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติมักจะใช้วิธีการยกเลิกวีซ่าแล้วผลักดัน/เนรเทศบุคคลผู้นั้นออกไปนอกราชอาณาจักรภายใต้การควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ของประเทศที่ร้องขอทันที ไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลไทยว่าเข้าเงื่อนไขการส่งผู้ร้ามข้ามแดนตามข้อตกลงกับประเทศนั้น ๆ หรือไม่ ในขณะที่อาชญากรที่กระทำความผิดในไทยแล้วหลบหนีไปยังต่างประเทศแล้ว มักไม่ได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติเช่นการปฏิบัติของฝ่ายไทยเลย

ดังเช่นกรณีของนายราเกซ สักเสนา ซึ่งถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ เป็นเงิน 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี พ.ศ. 2539 แล้วหลบหนีไปอาศัยอยู่ในประเทศแคนาดา แม้ว่าทางการไทยจะออกหมายจับตั้งแต่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และนายราเกรซถูกจับกุมโดยกองตำรวจม้าหลวงแห่งแคนาดา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 แต่กว่าที่นายราเกรซจะถูกศาลแคนาดาตัดสินให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนต้องใช้เวลาถึง 12 ปี จึงได้ตัวนายราเกรซมาดำเนินคดี กรณีเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องนำมาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสม ยุติธรรม และเท่าเทียม ในการบังคับใช้กฎหมายโดยเร็ว

สังคมแตกเป็นสองฝ่าย หนุนกฎหมายใหม่จัดหนักพวกหมิ่นพุทธ

ในประเทศไทยดูเหมือนการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของศาสนาพุทธจะเป็นประเด็นที่ทำให้สังคมแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มแนวคิดเดิมกับอีกกลุ่มคือกลุ่มแนวคิดใหม่ ซึ่งแนวทางของกลุ่มแนวคิดใหม่นั้นมองว่าการกระทำใดๆก็ตามของกลุ่มแนวคิดเดิมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ได้ระบุไว้ในพระธรรมวินัยและพยายามทำตัวเองให้กลายเป็นอินฟลูด้านศาสนาขึ้นมาด้วย วิธีการแบบนี้สามารถใช้ได้ในประเทศไทยเพราะถ้าหากเราดูถึงการนับถือศาสนาพุทธในปัจจุบันแล้วก็จะเห็นเป็น 2 กลุ่มกลุ่มแรกคือนับถือพุทธเพราะที่บ้านนับถือสืบต่อกันมา ส่วนอีกกลุ่มนับถือพุทธด้วยถูกจริตต่อจิตใจของตน  

หากมองดูทั้งสองกลุ่มจะเห็นถึงความแตกต่างของคน 2 ประเภทนี้กล่าวคือคนกลุ่มแรกจะสามารถถูกชักจูงง่ายโดยใช้หลักการทางการตลาดใด ๆ ก็ตาม แต่อีกประเภทหนึ่งจะต้องหาเหตุผล หลักฐานมาหักล้างความเชื่อนั้นเพื่อสร้างความเชื่อใหม่ให้เกิดขึ้น เอย่าได้ไปคุยกับผู้สันทัดด้านศาสนาของไทยและเมียนมาและเห็นว่าศาสนาพุทธใน 2 ประเทศนี้มีความคล้ายและต่างกันบางอย่าง ส่วนที่เหมือนกันคือ การผสมผสานของศาสนาพุทธให้เข้ากับลัทธิดั้งเดิมที่มีมาอยู่ก่อนทั้งในไทยและเมียนมานั้น ศาสนาพุทธได้ประสบความสำเร็จจากการเผยแผ่ศาสนาแบบนี้  แต่คน  2 ประเทศนี้มีหลายอย่างต่างกันกล่าวคือ คนเมียนมาส่วนหนึ่งแม้จะบูชาผีนัตก็ตามแต่การบูชาผีนัตก็เพื่อขอความคุ้มครองต่อตัวเขา ครอบครัวและธุรกิจ อันแตกต่างจากของไทยซึ่งส่วนใหญ่การสักการะใดๆก็ตามจะเน้นการขอลาภ ยศเสียมากกว่า

เอย่าถามว่าทำไมคนพม่าถึงนับถือศาสนาพุทธอย่างเหนียวแน่น กูรูศาสนาพุทธชาวเมียนมาให้คำตอบกับเราว่าส่วนใหญ่คนเมียนมานับถือพุทธมากกว่านับถือนัต และระลึกว่าการกราบไหว้บูชาพระพุทธเป็นการสักการะเพื่อต้องการสืบต่อพระศาสนาให้ต่อเนื่องเฉกเช่นเดียวกันกับศาสนาอื่นๆอาทิเช่นชาวมุสลิมในเมียนมาก็พยายามที่จะมาทำพิธีละหมาดวันละ 5 ครั้งในสุเหร่า นั่นก็เพราะชาวเมียนมาส่วนใหญ่มีความเชื่อและความศรัทธาฝังแน่นแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการอาจจะไม่ได้ประสบพบในชาตินี้ชีวิตนี้แต่คนพม่าส่วนใหญ่ก็มองว่าการนับถือศาสนาของเขาจะส่งผลกรรมดีต่อเขาในโลกหน้าด้วย  หันกลับมาไทยเมื่อมาถามกูรูด้านศาสนาฝั่งไทยเขาบอกว่าคนไทยยุคใหม่นับถือศาสนาเพื่อให้ศาสนาบันดาลในสิ่งที่ตนอยากได้ โดยเฉพาะได้ในชาตินี้และนั่นทำให้คนไทยเรากลายเป็นผู้นับถือทุกสิ่งที่สามารถบันดาลให้เราได้ ทั้ง ผี ยักษ์ นาค ครุฑ หมาสองหัววัวหกขา กูรูฝั่งไทยกล่าวว่าอีกฝั่งหนึ่งของคนไทยคือผู้ไม่นับถืออะไรเลย  เพราะไม่คิดว่าทำไปแล้วจะได้อะไรเป็นการตอบแทน ไม่คิดว่าการสืบต่อพระศาสนานั้นจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างไรคนกลุ่มนี้จะไปเสพติดไอดอล อินฟลูต่าง ๆ ที่ถูกกับจริตและจิตใจของเขา ดังนั้นทำให้สังคมไทยจึงแตกออกเป็น 2 ฝ่าย

เมื่อความแตกต่างนำมาซึ่งความแตกแยก กฎหมายจึงเข้ามาเพื่อเป็นข้อกำหนดไม่ให้มีการบั่นทอนความสำคัญของศาสนา ในหลายประเทศมีกฎหมายศาสนาอยู่ไม่ได้มีเพียงเมียนมาแต่ในหลายประเทศก็จะกฎหมายศาสนาเช่นกัน อาทิเช่น มาเลเซียที่มีกฎหมายของชุดคือ กฎหมายฆราวาสและกฎหมายอิสลาม ส่วนในเมียนมามีกฎหมายพุทธศาสนาอยู่เช่นกัน และหลายครั้งในเมียนมาก็มีผู้กระทำผิดต่อกฎหมายที่ว่าด้วยการกระทำผิดต่อศาสนา ในเมียนมามีคดีที่เป็นคดีที่หมิ่นศาสนาอยู่จำนวนมาก อาทิเช่น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ศาลเมืองมัณฑะเลย์ตัดสินจำคุก Kyaw Win Thant แพทย์ชาวเมียนมา วัย 31 ปี เป็นเวลา 21 เดือน ในความผิดฐานดูหมิ่นศาสนา สืบเนื่องจากการที่จำเลยโต้เถียงกับบรรดาพระสงฆ์เรื่องการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน แล้วมีการโพสต์ข้อความเชิงประชดเสียดสีพระสงฆ์ดังกล่าว หรือในกรณีของ นายฟิลิป แบล็ควูด ผู้จัดการบาร์ชาวนิวซีแลนด์ในเมียนมาและชาวเมียนมาอีก 2 คน ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน ในข้อหาดูหมิ่นพุทธศาสนา จากการโพสต์รูปโฆษณาทางออนไลน์ เป็นรูปพระพุทธรูปสวมเฮดโฟน เพื่อเชิญชวนให้คนมาเที่ยวสถานบันเทิง หรือล่าสุดคือ นายดิดีเยร์ นุสเบาเมอร์ อายุ 52 ปี ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา เขียน ถ่ายทำ และตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง 'Don’t Expect Anything' ที่มีความยาว 75 นาที และโพสต์ลงบนสื่อออนไลน์

ในประเทศไทยแม้ในไทยจะมีกฎหมายหมิ่นศาสนาก็ตามแต่ตัวกฎหมายกลับไม่ได้ครอบคลุมและถูกนำมาใช้อย่างที่มันควรจะเป็น โดยมีระบุหลัก ๆ ไว้แค่ 3 มาตราคือ มาตรา 206  ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 207 ผู้ใดก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกัน นมัสการ หรือกระทำพิธีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 208  ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ล่าสุดปีที่ผ่านมามีการดำเนินการให้แก้ไข โดยท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กมลศักดิ์  ลีวาเมาะ และคณะได้นำเสนอให้แก้ไขกฎหมายศาสนา โดยอ้างว่าประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับศาสนายังไม่ครอบคลุม การกระทำของบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาสนา เกิดการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือทำให้รู้สึกเกลียดชัง โดยกระทำการใด ๆ เช่น การบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของศาสนา รวมถึงการปลุกระดม การเผยแพร่เพื่อให้เกิดการเกลียดชัง การรบกวนการประกอบพิธีกรรม การวิพากษ์วิจารณ์โดยมิใช่ทางวิชาการ รวมถึงการทำลายหรือทำให้สกปรกซึ่งคัมภีร์หรือวัตถุที่เป็นที่สักการะของ ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง  ซึ่งทางท่าน สส. ได้ให้มีการระบุรายละเอียดเข้าไปเพิ่มในมาตรา 206 เพื่อให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เอย่าหวังว่าไหน ๆ ก็มีการระบุถึงความผิดให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นแล้วควรจะเพิ่มโทษให้สาสมด้วยว่าการดูหมิ่นให้ร้าย ต่อคนต่างความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม คงต้องดูว่าพรรครัฐบาลชุดนี้จะเห็นด้วยกับประเด็นเหล่านี้หรือไม่   คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ฟุตบอลเด็กไทย จะไปทางไหน? เมื่อพ่อแม่ -โค้ชหวังแค่ผลลัพธ์ แต่ไม่สนใจผลที่จะได้รับ

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานมหกรรมการแข่งขันกีฬาของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของสถาบันการศึกษารวมกว่า 10 สถาบัน โดยเจ้าภาพในปีนี้เป็นสถาบันที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก ผมไปในฐานะของผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตบอลระดับประถมศึกษาตอนต้น เนื่องด้วยตัวเองคลุกคลีกับฟุตบอลเด็กมาในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ยาวนานนัก แต่ด้วยความเป็นนักกีฬา และทำโครงการกีฬามามากทำให้สามารถดูแลได้ประมาณหนึ่ง 

ในมุมของฟุตบอลเด็ก ก่อนหน้ามหกรรมกีฬาในครั้งนี้ ด้วยความที่เป็นคนทำโครงการกีฬา และกำลังดำเนินการจัดตั้งอคาเดมี่ฟุตบอลสำหรับพัฒนาเด็กอายุ 6-12 ปี ผมจึงมีข้อมูลจำนวนมากที่เกี่ยวกับ รูปแบบการสอน กฎกติกา ความเหมาะสมของช่วงวัย พัฒนาการของช่วงวัยตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา พร้อมด้วยความร่วมมือจากผู้ฝึกสอนที่มีใบอนุญาตฝึกสอนในระดับต่าง ๆ หลายท่าน อีกทั้งรายชื่ออคาเดมี่ที่ลงทะเบียนไว้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวนกว่า 600 รายชื่อ ก่อนจะไปเรื่องอื่น ๆ เรื่องตรงนี้ผมเกิดคำถามขึ้นมาที่น่าสนใจขึ้นมาอย่างหนึ่งคือ รายชื่ออคาเดมี่ที่มีอยู่ มีกี่อคาเดมี่ที่มีสนามฝึกซ้อมเป็นของตนเองจริง ๆ (ไม่ว่าจะเช่าหรือเป็นเจ้าของเอง) เพราะในบางอคาเดมี่ตามรายชื่อไม่มีสนามฝึกซ้อม มีแค่ตัวโค้ชกับทีมงาน อันนี้ก็แปลกดี 

อีก 1 คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ อคาเดมี่ที่เปิดกันอยู่ในประเทศไทยมีอีกกี่อคาเดมี่ที่ไม่ลงทะเบียนกับสมาคม ฯ จากการประเมินผมตอบคำถามได้เลยว่าน่าจะมีหลักพัน เพราะอะไร ? ก็เพราะในสนามฟุตบอลเช่าจะมีโค้ชที่สอนประจำอยู่ โดยไม่ได้อ้างอิงระบบอคาเดมี่ แต่ใช้สถานที่เป็นตัวตั้งและจับโค้ชใส่เข้าไป ซึ่งก็มีการฝึกสอนเด็ก ๆ อยู่จำนวนมาก และแน่นอนเป็นการเสียเงินเพื่อเรียนฟุตบอล 

ด้วยระบบที่ดีของสมาคม ฯ ตามที่ผมได้เข้าไปศึกษา ผมยินดีมาก ๆ ที่เราได้เดินทางมาอย่างมีเป้าหมายชัดเจน และต้องการให้การสร้างรากฐานฟุตบอลเด็กได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยการจับมือกับ FIFA แล้วสร้างโปรแกรมให้เด็ก ๆ ได้เล่นฟุตบอลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งดีมาก ๆ แต่ทว่า วันนี้การพัฒนารูปแบบนี้กลับกำลังถูกเมินเฉย และค่อยๆ ถูกเซาะกร่อนด้วยการหวังผลลัพธ์แห่งชัยชนะที่เร็วเกินวัยจาก พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และอคาเดมี่ (หรือโค้ช) บางส่วน ประกอบกับอีกปัจจัยสำคัญก็คือการจัดการแข่งขันฟุตบอลเด็กที่เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบในปัจจุบัน ทำให้ความหวังผลเลิศอันเกิดขึ้นจากการเสพติดชัยชนะบ่มเพาะให้เกิดการสอนฟุตบอลเกินวัย เทคนิคเกินเด็ก และการเล่นอันตรายถูกนำมาสอนมากขึ้น  

กลับมาที่การแข่งขันกีฬาที่ผมไปเข้าร่วมดีกว่า เพราะน่าจะเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนขึ้น เนื่องจากการแข่งขันในครั้งนี้บนหน้าอกของเด็ก ๆ คือสถาบันการศึกษา ความเป็นมาตรฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญ และแน่นอนการแข่งขันเพื่อชัยชนะก็เข้มข้น ซึ่งก็จริงดังคาด การแข่งขันเป็นไปอย่างจริงจัง แต่ความจริงจังนั้นเป็นไปอย่างน่าชื่นใจ เพราะทีมฟุตบอลเด็กจำนวนมากเล่นกันเป็นระบบ มีความสามารถเฉพาะตัวที่เก่งกาจ แสดงให้เห็นเด่นชัดถึงความตั้งใจของตัวเด็ก และการฝึกสอนที่มีคุณภาพ ไม่แปลกใจที่ทีมชนะเลิศจะได้เพราะเขาสามารถรวมเอาระบบ และความสามารถของเด็กมาไว้ด้วยกันได้ แต่ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ทีมชนะเลิศครับ มันอยู่ที่ทีมเด็กทีมหนึ่งซึ่งใช้ทักษะเกินวัย และเป็นเทคนิคเสี่ยงบาดเจ็บ

ปกติเด็กในวัยประถมศึกษาคือช่วงประมาณอายุ 6 – 12 ปี นั้นทักษะหนึ่งที่มักจะห้ามใช้กันก็คือการ 'สไลด์บอล' ทำไม ? ถึงห้าม เราลองมานึกตามกันนะครับ การสไลด์บอลคือการป้องกันที่ถือว่าอันตรายในระดับหนึ่ง แม้จะเป็นในระดับผู้ใหญ่ สำหรับเด็กเมื่อเด็กสไลด์ขาไปบนสนามหญ้าร่างกายจะมีส่วนของการสัมผัสพื้นค่อนข้างมาก ทั้งยังต้องใช้แรงบังคับทิศทางไปยังเป้าหมายคือลูกฟุตบอลที่อยู่กับเท้าของฝั่งตรงข้าม ซึ่งแน่นอนการบังคับผลให้เกิดไม่สามารถทำให้ใกล้เคียงกับนักฟุตบอลผู้ใหญ่แน่นอน ถ้าการสไลด์สำหรับนักฟุตบอลผู้ใหญ่มีผลสำเร็จอยู่ที่ 70 – 80 % โดยไม่ฟาวล์หรือบาดเจ็บ แล้วนักฟุตบอลเด็กคุณคิดว่ามันจะมีผลสำเร็จอยู่ที่เท่าไหร่ ? สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นมีอยู่หลายทาง ทางแรกคือโดนบอล ไม่โดนเท้าคู่แข่ง คู่แข่งกระโดดหลบได้ ป้องกันได้สำเร็จ ทางที่สองคือโดนบอล โดนเท้าคู่แข่ง คู่แข่งบาดเจ็บ จังหวะล้มคู่แข่งลงมาทับพอดี เสียฟาวล์ ทางที่สามคือไม่โดนบอล โดนเท้าคู่แข่ง คู่แข่งบาดเจ็บ เสียฟาวล์ ทางที่สี่ไม่โดนบอล ไม่โดนเท้าคู่แข่งแต่ “คู่แข่งกระโดดหลบแล้วลงมาทับหรือเหยียบ” คนสไลด์บาดเจ็บ ทางที่ห้าสไลด์แล้วไม่โดนอะไรเลย ป้องกันไม่ได้ และยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอีกหลายทาง อีกทั้งการสไลด์ข้างหลัง ด้านข้าง ด้านหน้า และเปิดปุ่มสตั๊ด มันยังสามารถเกิดประเด็นได้อีกมากมาย คำถามคือกับเด็กอายุ 6 – 12 ปี ที่เราเรียกกันว่ายุวชน มีความคิดเผื่อไว้หลายชั้นสำหรับผลที่ต้องได้รับขนาดนั้นหรือไม่ ? คำตอบ 100% คือ “ไม่” 

ทำไม ? โค้ชในอคาเดมี่บางแห่งถึงได้สอนเด็ก ๆ สไลด์บอล ก็อาจจะตอบได้แบบสวย ๆ ว่า เพื่อให้เด็กได้รู้ถึงเทคนิคนี้ เพราะต่อให้ตนไม่สอนเด็ก ๆ เมื่อไปดูการแข่งขัน หรือดูใน YouTube ก็ต้องนำเอามาใช้แน่นอน คำตอบนี้ตอบได้ถูกต้อง แต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะถ้าสอนเข้าไปลึก ๆ การสไลด์มันมีขั้นตอนทางเทคนิคที่วัย 6 – 12 ปี ยังต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก แต่ที่เด็กกล้านำมาใช้ ผมเชื่อว่าเพราะโค้ชผู้สอนไม่ได้เตือนถึงผลเสียหากนำไปใช้ เพราะโค้ชคำนึงถึงแต่ผลลัพธ์ที่จะตอบโจทย์ผู้ปกครอง มากกว่าผลที่จะได้รับ เด็กไม่ผิดหรอกครับที่นำมาใช้ แต่ผู้ใหญ่ที่สอนให้ใช้อย่างไม่มีความรับผิดชอบนั่นแหละคือคนผิดตัวจริง 

แต่สไลด์บอลไม่ใช่เพียงเทคนิคเดียวที่ถูกสอนให้นำมาใช้ การใช้ศอก ดึงเสื้อ เตะขา เหยียบเท้า เปิดปุ่ม เข้าเข่า ดึงขา คือภาพที่ผมเห็นมาจากทีมฟุตบอลระดับอคาเดมี่หลายแห่งที่หวังผลเป็นเลิศ เคยเห็นในการแข่งระดับมัธยมก็พอได้พบ แต่ไม่น่าเชื่อว่าผมจะได้เห็นจากทีมฟุตบอลโรงเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้นในรายการมหกรรมกีฬาระดับประเทศ คำถามคือ “เกิดอะไรขึ้นกับการแข่งขันฟุตบอลเด็ก ?”  เราไม่ได้สอนให้เด็กแข็งแกร่งขึ้นจากการฝึกซ้อมแล้วหรือ เราไม่ได้สอนให้มีทักษะจากเรียนรู้แล้วหรือ เราไม่ได้สอนให้เขารู้จักเอาชนะคู่แข่งด้วยความสามารถแล้วหรือ 

คำตอบที่ผมตอบได้ประการเดียวก็คือ “ชัยชนะ” เพราะมันคือผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์พ่อ แม่ ผู้ปกครอง จำนวนหนึ่ง ที่คาดหวังจากการเรียนฟุตบอลในอคาเดมี่ของลูกตัวเอง ลูกฉันเรียนบอล ลูกฉันต้องชนะ ซึ่งโค้ชบางท่านก็ตอบสนองความต้องการนั้น ด้วยการสอนทุกอย่างที่เด็กในวัยเด็กเดียวกันเขาไม่สอน โดยเฉพาะตามระบบมาตรฐานของสมาคมฯ หรือ FIFA ถ้าลูกคุณสไลด์เอาบอลมาจากคู่แข่งได้อย่างสวยงาม คุณคงดีใจ แต่ถ้าลูกคุณสไลด์ไปเอาบอลโดยที่สร้างรอยแผลไว้ให้กับคู่แข่งล่ะ ลูกคุณไม่เจ็บแต่เด็กที่โดนสไลด์เจ็บ ผมได้ยินเด็กน้อยในทีมถามว่าทำไมเขาสไลด์ได้? ทำไมเขาสไลด์แล้วทำคนอื่นเจ็บได้?  ทำไมผมทำบ้างไม่ได้ ? เด็กที่โดนสไลด์บางคนไม่กล้าเล่นบอลหรือเอาบอลไว้กับเท้า ตามวัยที่เขาต้องเรียนรู้แล้ว เพียงเพราะเขากลัวการถูกสไลด์ กลับกันถ้าคนที่ถูกสไลด์ถูกตอบแทนด้วยการถูกเหยียบ การถูกทับจากคู่แข่งที่เอาศอกลงที่หน้า ที่อก ที่เบ้าตา จะเกิดอะไรขึ้น ? มันจะเป็นรอยแผลในใจของลูกคุณไหม ? อ่าน ๆ ไปแล้วดูมันจะโหดขึ้นเรื่อย ๆ แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลเด็กครับ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันรายการแบบไหน ก็ไม่สมควรจะเกิด คุณว่าจริงไหม ? 

มาถึงตรงนี้ หากคุณได้ชมฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียนครั้งล่าสุด คุณเห็นคู่แข่งของทีมชาติไทยไหมครับว่าเขาเข้าบอลกับเราแบบไหน ทัศนคติของเขาเป็นแบบไหน ย้อนกลับมาที่เรา พ่อ แม่ ผู้ปกครอง อยากให้โค้ชสอนลูกเราให้เป็นแบบนั้นหรือครับ สอนให้ทำร้าย ทำลาย คู่แข่งเพื่อชัยชนะ โดยไม่สนว่าในอนาคตของคู่แข่งจะเป็นอย่างไร ? ฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร? ทั้ง ๆ ที่ฟุตบอลมันให้อะไรมากกว่ากว่าชัยชนะอีกตั้งมากมาย สิ่งที่ผมนำมาเล่าในตอนนี้คือภาพที่ผมเห็นมากับตาตัวเอง ขอให้เรากลับมาสนใจผลที่จะได้รับมากกว่าผลลัพธ์กันเถอะครับ ฟุตบอลไทยจะได้ไปต่ออย่างสวยงาม

อย่าให้เจอคำพูดที่ผมเจอจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ณ สนามแข่งขันว่า “ก็แค่เด็กมันเล่นบอลกัน จะอะไรนักหนา” อีกเลยครับ 

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าของบริษัทตึ๊งหุ้นตัวเอง สัญญาณเตือน! บริษัทอาจกำลังขาดสภาพคล่อง

(9 ม.ค. 68) ในช่วงนี้ถ้าใครที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นก็จะเห็นบรรดาข่าวที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นบ้านเราเต็มไปด้วยปัจจัยลบทั้งจากตัวเศรษฐกิจเองที่เงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาด หรือมาตรการของภาครัฐที่กดดันหุ้นอุตสาหกรรมบางประเภท อย่าง กลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้นที่พากันลงไปแตะที่ระดับต่ำสุดของวันหรือที่เราเรียกว่า หุ้นลงแตะที่ฟลอร์ จากปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นตัวนั้นๆเอง 

ล่าสุดเราก็จะเห็นได้จากกรณีของหุ้นตัวหนึ่งที่ลงไปแตะฟลอร์หลายวันติดกันจากกรณีที่เจ้าของนำหุ้นตัวเองไปตึ๊ง เพื่อนำเงินไปหมุนเวียน และเมื่อมีการกู้ที่เยอะเกินกว่าปกติทำให้โบรกเกอร์เริ่มจำกัดวงเงิน และส่งผลทำให้หมุนเงินไม่ทัน จนนำมาซึ่งการถูกบังคับขาย แล้วการตึ๊งหุ้นตัวเองคืออะไร เดี๋ยววันนี้จะมาสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆกันค่ะ 

การตึ๊งหุ้นตัวเองก็คือการที่ผู้บริหาร หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ นำหุ้นของบริษัทตนเองออกไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อกู้เงิน และนำเงินที่กู้ได้นั้นไปเชื่อเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนในการทำธุรกิจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการเอาหุ้นที่เรามีไปวางเป็นหลักประกันเพื่อที่จะขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นด้วยวงเงินที่สูงขึ้น ที่เรารู้จักคุ้นหูว่า “บัญชีมาร์จิ้น” โดยเราจะเรียกพฤติการณ์การทำแบบนี้ในทางการว่า “ธุรกรรมหุ้นหลักประกัน” 

แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายและก็ถือเป็นสิทธิของผู้กู้และผู้ให้กู้อยู่แล้ว แต่การทำเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงมากมายที่อาจจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อนักลงทุนและราคาหุ้นตัวนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นตัวนั้นมีข่าวที่ไม่ดีอย่างงบการเงินที่ออกมาไม่ดี หรือข่าวที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาลของเจ้าของบริษัท ก็จะทำให้เกิดแรงขายในหุ้นตัวนั้นได้ และเมื่อมูลค่าหุ้นลดลง เจ้าของที่ทำการกู้เงินจากการตึ๊งหุ้นตัวเองก็จำเป็นต้องเติมเงินเข้ามาเพื่อรักษามูลค่า หรือที่เรียกว่า Margin Call และถ้าไม่สามารถหาเงินมาเติมได้ก็จะถูกให้บังคับขายหุ้น (Forced Sell) ที่มี และนั่นก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ราคาหุ้นตกลงไปอีก และยิ่งไปซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นตัวนั้นในแย่ลงไปอีก

ซึ่งเรื่องนี้บอกอะไรเราในฐานะนักลงทุนบ้าง? ในฐานะนักลงทุนพวกเราควรเห็นสัญญาณเตือนนี้ว่า การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่นำหุ้นของตัวเองไปจำนำ อาจสะท้อนถึงความต้องการเงินสดเร่งด่วน ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเพราะบริษัทมีปัญหาด้านสภาพคล่อง หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการเงินทุนสำหรับโครงการอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท เราเองจึงตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างละเอียดมากขึ้น รวมถึงต้องมองหาบริษัทที่มีธรรมาภิบาลที่ดี มีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบและโปร่งใส รวมถึงศึกษาหาข้อมูลจากกรณีศึกษาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตค่ะ 

‘ยุทธศาสตร์พลังงาน’ ของ ‘ลุงตู่’ ที่ไม่ได้หยุดอยู่ แค่การพึ่งพาน้ำมัน วิสัยทัศน์แบบ ‘นกอินทรี’ ที่ ‘อีกา’ ไม่มีวันเข้าถึง มองไกล เห็นอนาคต

ใครจะคิดว่าการบริหารงาน 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ด้านพลังงานของประเทศไทยไปชนิดที่โลกต้องจับตามอง!! วิสัยทัศน์แบบนกอินทรีที่โผบินเหนือเมฆพายุ มองเห็นทิศทางอนาคตได้ไกลจนอีกาอย่างฝ่ายค้านไม่มีวันตามทัน ยุทธศาสตร์พลังงานของลุงตู่นั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่การพึ่งพาน้ำมัน แต่ได้วางหมากสำหรับอนาคตด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและการเปิดศักราชใหม่ของพลังงานทดแทน

หนึ่งในตัวเปลี่ยนเกมสำคัญคือ ‘พระอาทิตย์เทียม’ หรือ Tokamak ที่ไทยได้รับเทคโนโลยีจากจีนในโครงการ Thailand Tokamak-1 ซึ่งทำให้เราเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ก้าวเข้าสู่ยุคพลังงานฟิวชันระดับโลก! ไม่ใช่เพียงแค่การได้ของเล่นไฮเทค แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของการพลิกโฉมระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน การผลักดันเรื่องนี้เกิดจากวิสัยทัศน์ของ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการทำให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นจริง

การพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมันไปสู่พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม และพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน เป็นอีกหนึ่งในความสำเร็จของลุงตู่ที่ไม่ได้แค่สวยในเอกสาร แต่มองเห็นได้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าทดแทนทั่วประเทศ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน (AEDP2018) ที่ถูกวางไว้ช่วยให้ไทยลดการพึ่งพาน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการสร้างบุคลากรที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้ ไทยได้จัดตั้งโรงเรียนฟิสิกส์แห่งอาเซียน เพื่อผลิต ‘นักคิด-นักสร้าง’ ที่จะนำประเทศเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาดได้อย่างสง่างาม เพราะเทคโนโลยีจะไร้ค่า หากปราศจากคนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้งาน

ยุทธศาสตร์พลังงานของลุงตู่ไม่ได้เป็นแค่การตอบโจทย์วันนี้ แต่คือการปูทางให้ไทยพร้อมในสมรภูมิพลังงานโลก แม้บางฝ่ายจะวิจารณ์ว่าไทยเคลื่อนไหวช้า แต่แท้จริงแล้ว ลุงตู่เลือกจะ ‘รอให้พร้อม’ เพื่อก้าวไปสู่ยุคฟิวชันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

คำถามสำคัญคือ อีกาพร้อมจะเข้าใจการมองการณ์ไกลแบบนกอินทรีแล้วหรือยัง? หรือจะบินต่ำต่อไปในเงาแห่งอดีต ขณะที่ลุงตู่นำประเทศไทยเข้าสู่เกมพลังงานแห่งอนาคตอย่างชาญฉลาด

รู้จัก ‘Legats’ สำนักงานภาคสนามของ FBI นอกสหรัฐฯ หน่วยงานด้านกฎหมายที่ทรงอำนาจกระจายอยู่ทั่วโลก

เราท่านต่างพอรู้และเข้าใจว่า FBI (Federal Bureau of Investigation) หรือ สำนักงานสอบสวนกลาง เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายภายใต้กระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมีภารกิจคือ การต่อต้านการก่อการร้าย การต่อต้านข่าวกรอง และอาชญากรรมร้ายแรงในประเทศ มีขอบเขตอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า 200 หมวดหมู่ รายงานต่อทั้งอัยการสูงสุดสหรัฐฯ (United States Attorney General) ซึ่งก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence : DNI) หากจะเปรียบเทียบกับบ้านเราให้เข้าใจอย่างง่ายคือ งานของ FBI จะคล้ายกับงานที่ของ 3 หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยรวมกันได้แก่ กองบัญชาการสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม 

แม้ว่าบทบาทหน้าที่หลายอย่างของ FBI จะมีลักษณะเฉพาะ แต่ภารกิจด้านความมั่นคงของชาตินั้นเทียบได้กับ MI5 และ NCA ของอังกฤษ GCSB ของนิวซีแลนด์ และ FSB ของรัสเซีย ซึ่งแตกต่างจากหน่วยข่าวกรองกลาง (CIA) ซึ่งไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายและมุ่งเน้นการรวบรวมข่าวกรองในต่างประเทศ ด้วย FBI เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติการในประเทศเป็นหลัก โดยมีสำนักงานภาคสนาม 56 แห่งในเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกา และหน่วยงานขนาดเล็กประจำอีกมากกว่า 400 แห่งในเมืองเล็ก ๆ และพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยสำนักงานภาคสนามของ FBI เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FBI ของสำนักงานภาคสนามจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (DNI) ในเวลาเดียวกัน

แม้ว่า ขอบเขตอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของ FBI จะจำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ เองก็เป็นหนึ่งประเทศในโลกที่มีอาชญากรรมร้ายแรงมากที่สุด มีเครือข่ายของบรรดากลุ่มผิดกฎหมายทั้งในและนอกประเทศ FBI จึงต้องมีสำนักงานภาคสนามในการดำเนินงานระดับนานาชาติที่สำคัญ โดยเป็นสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมาย (Legal Attaché Office : Legats) อยู่ 63 แห่งและสำนักงานย่อยอีก 27 แห่งประจำอยู่ในสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลก และมีเจ้าหน้าที่พิเศษและเจ้าหน้าที่สนับสนุนประมาณ 250 นายประจำการอยู่สำนักงานต่างประเทศเหล่านั้น Legats ตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์หลักในการประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยด้านความมั่นคงของประเทศที่ประจำ และโดยปกติจะไม่ดำเนินการฝ่ายเดียวในประเทศนั้น ๆ แต่บางครั้ง FBI ก็ปฏิบัติการในภารกิจลับในต่างประเทศ Legats (Legal Attaché ) คือเจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI ที่ได้รับมอบหมายให้ประจำสถานทูตหรือสถานกงสุลสหรัฐฯ ในต่างประเทศ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลัก ระหว่าง FBI กับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานความมั่นคงของต่างประเทศหน้าที่ของพวกเขาคืออำนวยความสะดวกในการร่วมมือระหว่างประเทศในการสืบสวนคดีอาญา การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ และภัยคุกคามข้ามชาติอื่น ๆ เช่นเดียวกับ CIA ที่ภารกิจในประเทศก็ถูกจำกัด ซึ่งภารกิจเหล่านี้โดยทั่วไปต้องอาศัยการประสานงานระหว่างหน่วยงานของรัฐของประเทศนั้น ๆ ด้วย

สำนักงาน Legats เกิดขึ้นในปี 1940 ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในชื่อว่า ‘หน่วยข่าวกรองพิเศษ’ ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1941 ในเวลานั้น ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุนช่วยเหลือในความพยายามเพื่อรวบรวมข่าวกรองตามภัยคุกคามที่เกิดจากฝ่ายอักษะ ดังนั้น FBI จึงตอบสนองต่อคำสั่งนั้น และเริ่มส่งเจ้าหน้าที่พิเศษไปประจำการทั่วละตินอเมริกาและอเมริกากลาง และพัฒนาหรือก่อตั้งหน่วยข่าวกรองพิเศษ หน้าที่แรกของหน่วยนี้คือ ในปี 1941 ที่กรุงโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมายของ FBI ในเวลานั้น FBI แบ่งปันข้อมูลกับประเทศต่าง ๆ ที่ให้ความร่วมมือเกี่ยวกับภัยคุกคามจากนาซี เยอรมัน ซึ่งสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่ ดังนั้นปฏิบัติการระหว่างประเทศของ FBI ในปัจจุบันจึงแตกต่างไปจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาก แต่ภารกิจนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนทุกวันนี้

ดังที่ Robert Swan Mueller III อดีตผู้อำนวยการ FBI ได้กล่าวไว้ว่า “การก่ออาชญากรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย การค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ สินค้าผิดกฎหมาย และผู้คน หรืออาชญากรรมทางไซเบอร์ ล้วนต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก และนั่นหมายถึงการที่เจ้าหน้าที่ของเราจะต้องทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศโดยตรงในคดีที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เพียงแต่เพื่อแก้ไขอาชญากรรมที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพื่อป้องกันอาชญากรรมและการก่อการร้ายด้วยการแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์” ในอดีต การบังคับใช้กฎหมายเน้นไปที่อาชญากรรมที่ได้รับผลกระทบหรือเกิดขึ้นภายในดินแดนของแต่ละประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ แนวคิดดังกล่าวไม่สามารถใช้ต่อไปได้อีกแล้ว เนื่องจากโลกาภิวัฒน์ที่ผนวกรวมกับความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อในด้านเทคโนโลยี การเดินทาง การค้า และที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารได้ทำลายกำแพงเหล่านั้นและพรมแดนลง ส่งผลให้ภัยคุกคามกลายเป็นเรื่องทั่วโลกมากขึ้น และความจำเป็นในการร่วมมือกัน การแบ่งปันข้อมูล และการมีส่วนร่วมที่ดีขึ้นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานและประเทศต่างๆ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามระดับโลกเหล่านี้ได้ดีขึ้น เหล่านี้จึงทำให้เกิดสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายกฎหมาย (Legal Attaché Office : Legats) 63 แห่ง และสำนักงานย่อย 27 แห่งในสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐทั่วโลก

ภารกิจของสำนักงาน Legats ประกอบด้วย :

- การประสานงานการสืบสวน: ช่วยเหลือในการปฏิบัติการร่วม แบ่งปันข่าวกรอง และประสานงานกับพันธมิตรต่างประเทศในคดีที่ FBI รับผิดชอบแต่มีขอบเขตเกินกว่าขอบเขตของสหรัฐฯ

- การส่งผู้ร้ายข้ามแดนและกระบวนการทางกฎหมาย: อำนวยความสะดวกในการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน การรวบรวมหลักฐานจากเขตอำนาจศาลต่างประเทศ และการทำให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ทางกฎหมายของสหรัฐฯ ได้รับการเป็นตัวแทนในต่างประเทศ

- การแบ่งปันข้อมูล: การแลกเปลี่ยนข่าวกรองและข้อมูลอาชญากรรมเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย อาชญากรรมที่เป็นองค์กร การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางไซเบอร์

- การตอบสนองต่อเหตุวิกฤต: การช่วยเหลือพลเมืองสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายหรืออาชญากรรมร้ายแรงในต่างประเทศ และมีส่วนสนับสนุนการจัดการวิกฤตระหว่างประเทศ

- การประสานงานคำร้องขอความช่วยเหลือระหว่าง FBI กับประเทศที่สำนักงาน Legats รับผิดชอบ

- ดำเนินการสอบสวนร่วมกับรัฐบาลประเทศที่สำนักงาน Legats รับผิดชอบ

- การแบ่งปันข้อมูลและแนวทางการสืบสวน

- ประสานงานหลักสูตรการฝึกอบรม FBI ให้กับตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่การต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมทางไซเบอร์ ไปจนถึงเทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์ การค้ามนุษย์ และสิทธิมนุษยชน

- บรรยายสรุปแก่หน่วยงานอื่น ๆ ของสถานทูต รวมถึงหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและเอกอัครรัฐทูต

- การจัดการการขออนุมัติปฏิบัติในประเทศที่รับผิดชอบ

- การรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับพิธีการทางวัฒนธรรม

- การประเมินสภาพแวดล้อมทางการเมืองและความมั่นคง

- การประสานงานช่วยเหลือเหยื่อและด้านมนุษยธรรม

สำนักงาน Legats ในต่างประเทศอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานปฏิบัติการระหว่างประเทศ สำนักงานใหญ่ FBI ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สำนักงานนี้มีการติดต่อประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐบาลกลางอื่น ๆ ตำรวจสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างประเทศที่มีสำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และชุมชนบังคับใช้กฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับบ้านเราแล้ว FBI มีสำนักงาน egats ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย มาตั้งแต่ ปี 1990 (พ.ศ. 2533) แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เข้ามาปฏิบัติการในบ้านเราก่อนหน้านั้นก็คือ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (the Drug Enforcement Administration : DEA) อันเนื่องมาจากยาเสพติดประเภทเฮโรอีนและกัญชาได้แพร่ระบาดเข้าในสหรัฐฯ อย่างมากมายตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม โดย DEA สนับสนุนการปราบปรามยาเสพติดให้กับหน่วยงานของไทยที่รับผิดชอบ อาทิ เงินทุนสนับสนุน การฝึกอบรม อุปกรณ์เทคโนโลยีที่สำคัญและจำเป็น แม้กระทั่งเงินที่ใช้สำหรับใช้ในการล่อซื้อยาเสพติด ฯลฯ โดย DEA มีสำนักงานย่อยในจังหวัดใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนและมีการค้ายาเสพติดในปริมาณมาก เช่น เชียงใหม่ ปัจจุบันสำนักงานของ DEA ในไทยยังเป็นสำนักงานภูมิภาคของ DEA ประจำทวีปเอเชียด้วย 

FBI โดยสำนักงาน Legats ประจำประเทศไทยและอีกหลายหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปราบปรามอาชญากรรมร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็น ผู้ก่อการร้าย ผู้ค้ามนุษย์ ผู้กระทำความผิดทางไซเบอร์ที่ประสงค์ร้าย และอาชญากรและศัตรูอื่น ๆ จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและชุมชนทั่วโลกเพื่อก่ออันตรายได้ง่ายดายขนาดนี้ ตัวอย่างเช่น กลุ่มอาชญากร MS-13 และ 18th Street ไม่ได้ปฏิบัติการเพียงแต่ในเมืองหรือภูมิภาคเดียวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นกลุ่มที่ปรากฏตัวอยู่ทั่วโลก ยาเสพติดผิดกฎหมาย เช่น เฟนทานิล (Fentanyl) ไม่จำเป็นต้องหาซื้อด้วยตนเองอีกต่อไป เนื่องจากสามารถหาซื้อได้ง่ายบนเว็บมืด ดังนั้น สิ่งต่าง ๆ เช่นนั้น อาทิ การค้ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับเด็ก จึงกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลก และต้องมีการตอบสนองหรือแนวทางในระดับโลก นอกจากการปราบปรามอาชญากรรมแล้ว FBI และรัฐบาลสหรัฐฯ ยังแสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล โดย FBI มีหน่วยปฏิบัติการที่จะสนับสนุนภารกิจในการต่อต้านการก่อการร้าย อาทิ หน่วยกู้ระเบิด (Bomb Technician) หน่วยตอบสนองต่อวัตถุพยานอันตราย (Hazardous Evidence Response Team) หน่วยตอบสนองต่อวิกฤต (Crisis Response Team) หน่วยเจรจาต่อรอง (Negotiation Team) หรือแม้แต่หน่วยสืบค้นใต้น้ำ (Underwater Search Team) จากทุกสิ่งตั้งแต่ การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์ อาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อขึ้นเป็นองค์กร ความพยายามของ FBI ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าในปัจจุบันและดำเนินต่อไปในอนาคตอย่างไม่ลดละและหยุดยั้ง

ส่องแนวคิด ‘จรัล ดิษฐาอภิชัย’ กับตรรกะที่ผิดเพี้ยนชู หลังชู ‘อานนท์ นำภา’ เป็นบุคคลแห่งปีทั้งที่ทำผิด กม. ซ้ำซาก

รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 จรัล ดิษฐาอภิชัย โพสต์เสนอชื่อ อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี 2567 พร้อมชูเขาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การยกย่องบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 18 ปีด้วยข้อหาภายใต้มาตรา 116 และ 112 นั้น กำลังสร้างภาพประชาธิปไตยในแบบใด? มันไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพหรือความเท่าเทียม แต่คือ “รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย” และรูปปั้นนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานที่มั่นคง แต่มันสั่นคลอนด้วยแนวคิดที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐ

มาตรา 116: กติกาที่ปกป้องเสถียรภาพของสังคม
มาตรา 116 เป็นเหมือนรั้วที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านประชาธิปไตย มันไม่ได้มีไว้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการพูด แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดหรือการกระทำใดๆ ยุยงให้เกิดความไม่สงบในสังคม การที่อานนท์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ไม่ได้เกิดจากการแสดงความคิดเห็น แต่เพราะเขาจงใจละเมิดกติกานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในการปลุกปั่นยุยงและการกระทำที่ล้ำเส้นเกินกว่าการใช้เสรีภาพส่วนตัว

18 ปีแห่งการละเมิด: ราคาของการไม่เคารพกฎหมาย
การที่อานนท์ถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีไม่ได้มาจากระบบที่อยุติธรรม แต่มาจากการกระทำผิดซ้ำซากที่ขัดต่อกฎหมายที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน การเชิดชูบุคคลที่ละเมิดกฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มันคือการลดคุณค่าของระบบที่ควรสร้างบนความยุติธรรมและการเคารพกติกา

ประชาธิปไตยหรือการบูชาคนผิด?
สิ่งที่จรัลทำในการยกย่องอานนท์ คือการสร้าง “รูปปั้น” ที่ไม่ได้สะท้อนถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่กลับเป็นการปั้นสัญลักษณ์ของการไม่เคารพกฎหมาย การนำคนที่ทำผิดอย่างต่อเนื่องมาชูเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสีย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดว่า ความวุ่นวายและการละเมิดกฎหมายคือสิ่งที่ยอมรับได้

บทสรุป: สัญลักษณ์ที่ไม่ควรมี
ประชาธิปไตยไม่ควรถูกหล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย การสร้างสัญลักษณ์ที่ขัดแย้งกับรากฐานของระบบย่อมไม่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง หากเรายังคงหล่อรูปปั้นจากความผิดพลาด ประชาธิปไตยในสายตาของคนไทยและนานาชาติจะไม่เหลือคุณค่า นี่ไม่ใช่การสร้างอนาคต แต่มันคือการย้อนกลับไปทำลายรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม

Globalism: อุดมคติแห่งโลกไร้พรมแดน หรือกับดักที่หลอมรวมความแตกต่าง?

(1 ม.ค. 68) ในยุคที่คำว่า "โลกาภิวัตน์" หรือ Globalism ถูกยกย่องว่าเป็นภาพแทนของอุดมคติร่วมสมัย—โลกที่ไร้พรมแดน การร่วมมือเพื่อเป้าหมายใหญ่ และการเคารพความหลากหลาย—ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดถือ แต่เบื้องลึกของแนวคิดนี้กลับซับซ้อนกว่าที่คิด มันเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสังคม และเปิดคำถามสำคัญถึงความหมายที่แท้จริงของ "ความหลากหลาย" และ "สันติภาพ" ที่ Globalism พยายามนำเสนอ

Globalism: อุดมคติแห่งระเบียบโลกใหม่
แนวคิด Globalism ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อโลกกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางอุดมการณ์และอำนาจที่รุนแรง แนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความพยายามของบางฝ่ายที่ต้องการสร้าง "ระเบียบโลกใหม่" ที่ทุกประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้บนกฎเกณฑ์เดียวกัน

แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นจากความหวังดี—ความต้องการแก้ไขปัญหาของโลกที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ในระดับประเทศ เช่น ความยากจน โรคระบาด หรือความขัดแย้งระหว่างชาติ แนวคิดเรื่อง "การร่วมมือระดับโลก" จึงถูกนำเสนออย่างจริงจัง เพื่อให้ทุกประเทศทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานั้น โลกจำเป็นต้องหาทางออกจากความรุนแรงในรูปแบบเดิม

แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป แนวคิด Globalism ได้เปลี่ยนแปลงและขยายตัว กลายเป็นกรอบอุดมคติที่ไม่เพียงเน้นการร่วมมือ แต่ยังรวมถึงการกำหนดมาตรฐานที่เหมือนกันในทุกประเทศ บ่อยครั้ง มาตรฐานเหล่านี้สะท้อนความต้องการของมหาอำนาจบางแห่งมากกว่าความจำเป็นของประเทศที่ถูกบังคับให้ปรับตัวตาม

Global Citizen: พลเมืองโลกในโลกไร้พรมแดน
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ Globalism คือแนวคิด "Global Citizen" หรือ "พลเมืองโลก" ที่ส่งเสริมให้ผู้คนมองข้ามพรมแดนและอัตลักษณ์ของชาติ โดยอ้างว่าเพื่อความร่วมมือและลดความขัดแย้ง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสร้างเยาวชนที่พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและละทิ้งความเป็นชาติ

กลไกที่ใช้คือกิจกรรมทางการศึกษา เช่น โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ค่ายเยาวชนนานาชาติ หรือทุนการศึกษาระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยปลูกฝังให้เยาวชนเหล่านี้มองว่า "โลกคือบ้านของเรา" และลดความสำคัญของ "ชาติ" แนวคิดนี้สร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่ระเบียบโลกใหม่ มากกว่าการพิทักษ์อัตลักษณ์ของชาติ

เด็ก : เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง
ในโครงสร้างที่เปรียบเหมือน สามเหลี่ยมแห่งการปกครอง ที่ชนชั้นล่างเป็นฐาน ชนชั้นกลางเป็นกลไกขับเคลื่อน และชนชั้นนำเป็นผู้กำหนดทิศทาง Globalism มองว่าเยาวชนคือชนชั้นนำในอนาคต โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวชนชั้นนำ เช่น ลูกหลานนายทุน เจ้าของธุรกิจ หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

ทำไมต้องเป็นพวกเขา? เพราะเยาวชนกลุ่มนี้มีโอกาสกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของพวกเขาจึง ง่ายกว่าและส่งผลกระทบได้เร็วกว่า การเปลี่ยนแปลงความคิดของชนชั้นกลางหรือล่าง

กิจกรรมที่ใช้ในการปลูกฝัง เช่น การจัดค่ายแลกเปลี่ยน การส่งเสริมแนวคิดโลกนิยม และการลดทอนความเป็นชาติ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นพร้อมความคิดว่า "การเป็นพลเมืองโลก" สำคัญกว่าการภักดีต่อชาติ

อุดมคติที่ขัดแย้งในตัวเอง
แม้ Globalism จะอ้างว่าสันติภาพเกิดจากการร่วมมือระดับโลก แต่มันกลับสร้างปัญหาใหม่ ความพยายามในการสร้างระเบียบเดียวกันทั่วโลกไม่เคารพความหลากหลายของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ท้ายที่สุด Globalism กลับทำให้ประเทศที่มีอัตลักษณ์อ่อนแอสูญเสียความสามารถในการกำหนดอนาคตของตนเอง

BRICS : แนวคิด Multipolarity และสมดุลของโลก
ในขณะที่ Globalism มุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจ กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้) เสนอแนวคิด "Multipolarity" หรือ "โลกหลายขั้วอำนาจ" ซึ่งสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ รักษาอิสระในการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบที่มหาอำนาจควบคุม

Multipolarity ส่งเสริมความสมดุล โดยเน้นการกระจายอำนาจและเคารพความหลากหลาย เช่น การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐในระบบการค้าโลก และสร้างพันธมิตรในด้านเศรษฐกิจและพลังงาน แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งสร้างระเบียบเดียว แต่สนับสนุนให้แต่ละประเทศพัฒนาในแบบของตัวเอง

บทส่งท้าย: รักษาความหลากหลายเพื่อความยั่งยืน
Globalism อาจดูเหมือนคำตอบสำหรับความท้าทายของโลกยุคใหม่ แต่ในความจริง มันสร้างโลกที่เปราะบางและขัดแย้ง แนวคิด Multipolarity ของ BRICS แสดงให้เห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องมีระเบียบเดียวกันเพื่อความสงบสุข แต่ควรสร้างสมดุลบนพื้นฐานของความหลากหลาย

คำถามสำคัญสำหรับอนาคตคือ เราจะรักษาความเป็นอิสระและความหลากหลายของเราได้อย่างไร ในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด? เพราะท้ายที่สุด สันติภาพไม่ได้มาจากระเบียบที่เหมือนกัน แต่มาจากการเคารพในความแตกต่างอย่างแท้จริง

‘กบฏบวรเดช’ ประวัติศาสตร์ที่ต้องมองให้รอบด้าน!! หลังมีนักวิชาการ สร้างความเชื่อที่ผิด ทำลายข้อเท็จจริง

‘กบฏบวรเดช’ ประวัติศาสตร์ที่ต้องมองรอบด้าน

ในวงสนทนาทางวิชาการบางท่าน...ก็ มีผู้พยายามแสดงความเห็นว่า "...การพ่ายแพ้ของกบฏบวรเดชในปี 2476 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทยตั้งมั่นอย่างมั่นคง.."

นี่คือแนวคิดที่ข้าพเจ้าขอทักท้วง ....
เพราะการมองว่าฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นเป็น "ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย" และฝ่ายบวรเดชเป็น 'ผู้ทำลาย' เป็นการลดทอนความซับซ้อนของบริบทและข้อเท็จจริงในช่วงเวลานั้น

เพื่อให้เข้าใจบริบทของเหตุการณ์นี้อย่างถ่องแท้ เรา จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาภาพรวมของการได้มาซึ่งประชาธิปไตยในสังคมไทย และความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้น

การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นำโดยกลุ่มคณะผู้ก่อการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งรวมถึงบุคคลสำคัญเช่น พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิอัคเนย์ และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ...อีกทั้งยังต้องนับรวมไปถึงพระองค์เจ้าบวรเดชอีกด้วย นะครับ!!!

บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มีแนวคิดอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ระบบรัฐธรรมนูญที่คล้ายคลึงกับประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้กลับถูกสั่นคลอนเมื่อแนวคิดของของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ )ซึ่งนำเสนอระบบที่ใกล้เคียงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงเดียวกัน ช่วงชิงการนำในวันปฏิวัติ เกิดเป็นประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 นั่นเอง

ความขัดแย้งเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงทักท้วงแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของอาจารย์ปรีดีและแสดงความกังวลในเอกสาร ‘สมุดปกเหลือง’ ทรงเห็นว่าระบบที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจไม่เหมาะสมกับประเทศไทยที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิหน้าที่ของพลเมือง ข้อทักท้วงเหล่านี้กลับสร้างความตึงเครียดระหว่างกลุ่มผู้นำของคณะราษฎร และแบ่งแยกมุมมองระหว่างทหารและประชาชน จะเห็นได้ว่าคณะราษฎรใน ณ ที่นี้ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีแนวความคิดแบบอังกฤษ กับอีกกลุ่มนึงมีแนวความคิดแบบที่นำลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาประยุกต์ใช้

ในตอนที่เหตุการณ์การก่อกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชเกิดขึ้นนั้น...
คณะบวรเดชเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้นำทหารที่ไม่พอใจกับแนวทางการบริหารของคณะราษฎร นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชและพระยาศรีสิทธิสงคราม ซึ่งมองว่ารัฐบาลในขณะนั้นเริ่มละเลยหลักการที่ควรจะสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ประสานงานแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคณะราษฎรและฝ่ายคณะบวรเดช ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในนามของพระเจ้าแผ่นดินเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของตน

การสู้รบที่เกิดขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมืองในท้ายที่สุดส่งผลให้ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ชนะ แต่ความสูญเสียในครั้งนี้มิได้จำกัดอยู่เพียงในแง่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ความขัดแย้งภายในและการต่อสู้ที่อ้างประชาธิปไตยกลับกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้สังคมไทยล้าหลังในเรื่องนี้

ฝ่ายที่ชนะใช้เงื่อนไขที่ชนะกดดันรัชกาลที่ 7 ให้พระองค์ทรงรับผิดชอบกับการกระทำของฝ่ายกบฏโดยอ้างว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุน จากสถาบันฯ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายบวรเดชก็ล้วนเป็นคนสนิทของรัชกาลที่ 7 ทั้งนั้น กลับไม่มีใครฟังพระองค์เลย...

‘บทเรียนจากอดีต’

เหตุการณ์กบฏบวรเดชไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมือง แต่ยังสะท้อนถึงรากเหง้าของปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เร่งรัดเกินไป โดยขาดการเตรียมพร้อมและความเข้าใจร่วมกันในสังคม ความพยายามของทั้งฝ่ายคณะราษฎรและฝ่ายบวรเดชล้วนมีเป้าหมายเพื่อปกป้องชาติในแนวทางที่แตกต่าง แต่การเดินทางสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับถูกบิดเบือนด้วยความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจ

บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้คือ ประชาธิปไตยไม่สามารถตั้งมั่นได้ด้วยชัยชนะทางการทหารหรือการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือและการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในหมู่ประชาชน การละเลยเสียงของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เช่น รัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงพยายามเตือนถึงความเสี่ยงของความแตกแยกในสังคม กลายเป็นสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวของการบริหารในเวลานั้น

การมองเหตุการณ์กบฏบวรเดชในมิติเดียวว่าเป็น ‘ชัยชนะของประชาธิปไตย’ อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน อดีตไม่ได้มีไว้เพื่อโต้แย้งหรือกล่าวโทษ แต่มีไว้เพื่อเรียนรู้และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอนาคต หากเราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราต้องฟังและเข้าใจเสียงของทุกฝ่ายในสังคม เพื่อสร้างอนาคตที่สมดุลและยั่งยืน

กรณีของ ‘อานนท์ นำภา’ บทเรียนจากมาตรา 116 สิทธิมนุษยชนที่ไม่คำนึงถึงความสงบเรียบร้อย

คดีของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกตัดสินจำคุกกว่า 18 ปีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล การเคลื่อนไหวที่สนับสนุนอานนท์และโจมตีกฎหมายดังกล่าวสร้างคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพกฎหมาย

มาตรา 116: เสรีภาพที่ต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ
มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญากำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ยุยงปลุกปั่นซึ่งกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยครอบคลุมถึงการปลุกระดมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือกฎหมายโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยุยงให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน กฎหมายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นเสรีภาพ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความสงบเรียบร้อยในสังคม

พฤติกรรมของอานนท์ที่เข้าข่ายมาตรา 116 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับแสดงถึงเจตนาที่จะปลุกระดมและกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย การกระทำดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ แต่ยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความแตกแยกในสังคมอย่างลึกซึ้ง

สิทธิมนุษยชน: การปกป้องเสรีภาพต้องคู่กับความยุติธรรม
สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่มีคุณค่าและควรได้รับการเคารพ แต่การปกป้องสิทธิของบุคคลหนึ่งไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม การที่องค์กรอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยกกรณีของอานนท์เป็นตัวอย่างในการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและปลุกปั่นความแตกแยกสามารถถูกยอมรับได้ในนามของสิทธิมนุษยชน

ในสังคมที่ต้องการความสงบเรียบร้อย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมายต้องเดินไปด้วยกัน กฎหมายอย่างมาตรา 116 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปิดกั้นเสียงของประชาชน แต่เพื่อปกป้องสังคมจากการยุยงให้เกิดความวุ่นวายและความแตกแยก

คืนสติ: เสรีภาพต้องมีขอบเขต
ในท้ายที่สุด คดีของอานนท์นำมาซึ่งบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของเสรีภาพ เสรีภาพไม่ใช่การกระทำตามใจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น การเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความสร้างสรรค์ และความเคารพกฎหมาย การอ้างสิทธิมนุษยชนโดยละเลยผลกระทบต่อส่วนรวมไม่เพียงแต่บั่นทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน แต่ยังสร้างความไม่สมดุลในสังคม

บทเรียนจากกรณีนี้คือ เราควรใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีสติ รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมที่เคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top