Thursday, 19 June 2025
POLITICS

แนะประชาธิปัตย์ถอนตัวจากรัฐบาล แต่ต้องวางยุทธศาสตร์พรรคให้ชัดเจน

‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ในยุคก่อน กล่าวบนเวทีเสวนา “อนาคตการเมืองภาคใต้ หลังพรรคกล้าธรรมปักธงเขต 8 นครศรีฯ เรียกร้องให้กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์พิจารณาถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล

เวทีนี้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังพูดและตั้งคำถาม จึงมีคำถามที่แหลมคมไปยังนิพนธ์ว่า จะฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ เรียกศรัทธาคืนมาอย่างไร แม้จะเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะนิพนธ์ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ ทำได้แค่แนะนำให้ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

หลังคลิปลับการสนทนาระหว่างนายกฯแพทองธาร กับอดีตนายกฯฮุนเซนของกัมพูชาหลุดออกมา พร้อมกับคำดูหมิ่นดูแคลนจาก ‘ฮุนมาเนต’ นายกฯกัมพูชา ไม่มียุคสมัยใดที่ไทยกลัวกัมพูชาเท่ายุคนี้ อันเป็นประโยคที่ผู้นำประเทศต้องหน้าชา ทหารก็มือเท้าสั่น

พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคแรกที่หน้าบาง จากแรงกดดันหลายด้านตัดสินใจทิ้งรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’เก็บข้าวเก็บของออกจากมหาดไทย ทำเนียบรัฐบาล และน่าจะมีแอคชั่นต่อด้วยการลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาของ ‘ภราดร ปริศนานันทกุล’

มีกระแสเรียกร้องอีกมากมายตามมา 'ยุบสภา-ลาออก' ยุบสภาในสถานการณ์ตกต่ำคงไม่มีแกนนำรัฐบาลไหนทำ ลาออกก็คิดหนัก จะเอาใครมาเป็นนายกฯคนต่อไป พรรคเพื่อไทยได้ใช้ไปแล้วสองตัว เหลือ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ อยู่เพียงคนเดียวในบัญชีนายกรัฐมนตรี หันซ้ายมองขวา ก็มีแต่คนพรรคอื่น

พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจนำร่อง เรียกคะแนนนิยมไปก่อนแล้ว ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล เหลือพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคกล้าธรรม จะกำหนดท่าทีอย่างไร

11.00 น. วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติประชุมกำหนดท่าที 17.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ประชุมปกติ แต่น่าจะมีประเด็นการกำหนดท่าทีแทรกเข้ามาในวันนี้

ถ้าพิจารณาตามคำเรียกร้องของนิพนธ์ให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลมีประเด็นพิจารณาทั้งข้อดี และข้อเสีย หาก 'ถอนตัว' ตอนนี้ เท่ากับเดิมพันครั้งใหญ่!

ข้อดี:
1.ฟื้นภาพลักษณ์พรรคอุดมการณ์ ประชาธิปัตย์จะถูกมองว่า “กล้าพอ” ที่จะไม่ทนอยู่ในรัฐบาลที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส ได้คะแนนนิยมจากกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
2.ไม่ต้องเป็นเงาของเพื่อไทย (ทักษิณ)ในฐานะพรรคร่วมเสียงข้างน้อย ประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจจริง และภาพลักษณ์ก็จมไปกับการบริหารของเพื่อไทยภายใต้การกำกับของทักษิณ
 3.มีโอกาส 'นิยามตัวเองใหม่' ถอนตัวตอนนี้ เท่ากับเปิดทางรื้อโครงสร้างพรรค ดึงคนรุ่นใหม่ ปั้นจุดยืนใหม่ทันก่อนเลือกตั้งหน้า

ข้อเสีย:
1.สูญเสียตำแหน่งรัฐมนตรี อำนาจบริหารที่ไม่มีใครอยากสูญเสีย คนในพรรคบางกลุ่มอาจไม่ยอม เพราะเกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์
2.ถ้าไม่ชัดว่าจะยืนตรงไหนต่อ อาจไร้พลัง
ถ้าถอนแต่ 'ไม่มีจุดยืน' ที่ชัด (จะค้าน? จะตั้งพรรคใหม่? จะจับมือกับใคร?) ประชาชนอาจมองว่าแค่โหนกระแส
3.เสี่ยง 'หลุดจากสารบ'” ทันที ถ้าถอนตัวแล้วประชาชนยังไม่เห็นความแตกต่างจากพรรคอื่น อาจไม่มีใครให้โอกาสอีก

ถ้าพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์:ประชาธิปัตย์ถอนตัวได้ — ถ้า “คิดวางยุทธศาสตร์ วางโครงสร้างพรรคใหม่ไป พร้อมกัน!

ประชาธิปัตย์ “ควรถอนตัวจากรัฐบาล” เฉพาะเมื่อมีการเตรียมพร้อมด้านยุทธศาสตร์ เช่น เปิดตัวผู้นำใหม่อย่างชัดเจนเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของพรรค มีแนวร่วมใหม่ เช่น นักวิชาการ คนรุ่นใหม่ ฯลฯ และอธิบายให้ประชาชนเห็นว่า “นี่ไม่ใช่แค่การถอนตัว แต่เป็นการปฏิรูปพรรค ฟื้นพรรคประชาธิปัตย์ เพื่ออนาคตประเทศ”

ถ้า “ถอนตัวอย่างกล้าหาญ และวางหมากล่วงหน้าได้” จะเป็นจุดเปลี่ยนของพรรคที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ถ้า “ถอนเพราะแค่ตามภูมิใจไทย” โดยไม่มีวิสัยทัศน์ต่อจากนั้น อาจกลายเป็นพรรคที่หายไปจากการเมืองไทยเลยก็ได้

กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ต้องตัดสินใจบนพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน แล้วจะเห็นทางออก ทางเดินของพรรค

อ.ไชยันต์ ย้ำ สภาไม่ได้มีปัญหา ชี้ นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกสถานเดียว เซ่นปมคลิปเสียงสนทนาฮุนเซน

เมื่อวันที่ (18 มิ.ย. 68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ต่อกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุนเซน โดยระบุว่า "งานนี้ ยุบสภาไม่ได้เลย ต้องลาออกสถานเดียว สภาไม่ได้มีปัญหา"

พร้อมย้ำว่า ปัญหาเรื่องคลิปเสียงหลุด ไม่เป็นเงื่อนไขให้ยุบสภา ถ้าเรื่องคลิปเป็นปัญหาเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยมีสิทธิ์ไม่สนับสนุนให้คุณแพทองธารเป็นนายกฯและหัวหน้าพรรคต่อไป เมื่อเพื่อไทยไม่สนับสนุน ก็ต้องหานายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งเพื่อไทยเหลือคุณชัยเกษมเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากหาพรรคอื่นร่วมได้เสียงเกินครึ่ง เพื่อไทยก็จะยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไปได้

“แต่ถ้าเรื่องคลิปเสียง ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องที่กรรมการพรรคร่วมรู้เห็นด้วย นั่นคือ คิดจะรับแบกคุณแพทองธารไว้  พรรคเพื่อไทยก็ต้องไปทั้งยวงครับ เลือกเอานะครับ ว่าจะเลือกประเทศชาติและตัวเอง หรือจะเลือกลูกนาย?”

‘ปิยบุตร’ จี้ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ยุบสภาแสดงภาวะผู้นำ เซ่นคลิปเสียงคุย ‘ฮุน เซน’ หลีกเลี่ยงรัฐประหาร

(18 มิ.ย.68) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า...

จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับสมเด็จฮุนเซน และกรณีความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล

ประกอบกับ เกือบ 2 ปี ภายใต้รัฐบาล 'ข้ามขั้ว' นี้ พรรคเพื่อไทยไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้

จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ได้ตัดสินใจกันใหม่ว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล

เพื่อแก้วิกฤตการเมืองในระยะสั้น ทั้งของประเทศ และทั้งของพรรคเพื่อไทยเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงทางตัน และเพื่อไม่ให้สถานการณ์เดินไปจนเข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร

นายกรัฐมนตรีโปรดแสดงภาวะผู้นำ ยุบสภาเถิดครับ

ไม่มีอะไรใหญ่กว่าประชาชน

'อนุทิน' ประกาศแยกทางร่วมรัฐบาลเพื่อไทย บอกไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่าค้ำยัน

'อนุทิน' ลั่นถ้ารักษาข้อตกลงไม่ได้พร้อมแยกทาง รับไม่เคยคิดเดินมาถึงนี้ ลั่นไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่าค้ำยัน ไม่ประเมินอายุรัฐบาลจะสั้นหรือไม่ แต่หากเป็นฝ่ายค้านพร้อมทำงานเต็มที่

(18 มิ.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยขีดเส้นใต้ 48 ชั่วโมงให้คืนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ไม่มี อย่าไปพูดขีดเส้น ใครจะมาขีดเส้นได้ เมื่อวานนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มาหารือกันและบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็นอยากจะบริหารกระทรวงมหาดไทยเอง ซึ่งได้ปฏิเสธไปแล้วเพราะมันผิดข้อตกลง แต่นายแพทย์พรหมมินทร์ บอกว่าเป็นความต้องการของพรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่าไพ่ใบสุดท้าย เมื่อเริ่มต้นมาเช่นนี้ไม่ต้องรอ 2-3 วันตอบได้เลย และได้ตอบไปแล้ว

เมื่อถามว่าเมื่อนายแพทย์พรหมมินทร์ ได้ยินคำตอบก็ยกหูหานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทันทีใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เหรอ อันนี้ไม่ทราบ แต่ก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะท่านมาหาถึงกระทรวงมหาดไทย คงได้รับการร้องขอให้มาหาตนที่กระทรวง

เมื่อถามต่อว่าจากสัญญาณที่ส่งมา หากพรรคภูมิใจไทยไม่ยอมจะเดินหน้าอย่างไรกันต่ออย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้มีเงื่อนไขอื่น มันไม่ใช่เรื่องการต่อรอง จะเอาอย่างนั้นได้ไหม อย่างนี้ได้ไหม แต่มันเป็นข้อตกลงในการสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเป็นเอกภาพมาโดยตลอด คงตอบได้แค่นี้

ส่วนกรณีที่ สส. พรรคเพื่อไทยอ้างว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ตอบสนองนโยบายรัฐบาลนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่จริง

“สุดท้ายผมก็ตอบได้หมด และเมื่อตอบได้หมดสุดท้ายเขาก็บอกว่าพูดกันตรงๆ เลยอยากได้กระทรวงมหาดไทยกลับคืนไป ผมก็บอกพูดกันตรงๆ ให้ไม่ได้”

พร้อมกันนี้นายอนุทิน กล่าวว่า เราพร้อม ถ้าเราไม่พร้อมจะตอบไปอย่างนั้นเหรอ ของต่อรองอย่างนี้มันไม่ใช่ของต่อรองอย่างที่บอกไป เรื่องของการบริหารบ้านเมือง

เมื่อถามว่าเหมือนพรรคภูมิใจไทยเตรียมจะแถลงพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่าไม่มี ตนได้รับอำนาจจากกรรมการบริหารตัดสินใจในเรื่องนี้ และได้แจ้งการตัดสินใจไปยังเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วเมื่อวาน

เมื่อถามย้ำว่าเคยคิดหรือไม่ว่าจะเดินมาถึงจุดนี้กับรัฐบาลเพื่อไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เคยคิดเพราะคิดว่าทุกคนจะรักษาข้อตกลง แต่ไม่เป็นไร ถ้าข้อตกลงรักษากันไม่ได้ เราก็ต่างคนต่างไป

เมื่อถามว่าการที่เมื่อวานเจอเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแต่ไม่ได้เจอตัวนายกรัฐมนตรีถือเป็นการเข้าหน้ากันไม่ติดหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกับตนแล้วจะสบายใจมากนัก และทุกคนก็ทราบดีว่ามันมีการเบรกข้อตกลง ซึ่งถ้าถามว่ามันดีหรือไม่ก็คงไม่ดี เพราะหลังจากนี้ก็คงต้องมานั่งเขียนเงื่อนไข เขียนสัญญา ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะข้อตกลงแบบนี้ต้องมีความหมาย มีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าข้อตกลงที่เป็นข้อเขียนด้วยซ้ำ เพราะเป็นความเชื่อมั่นเชื่อใจซึ่งกันและกัน และที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่พรรคภูมิใจไทยไม่ทำตามข้อตกลงแม้แต่อย่างเดียว

เมื่อถามว่าหากเป็นฝ่ายค้านมองว่าอายุรัฐบาลจะสั้นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หากเป็นฝ่ายค้านก็คงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเล่นเกมอะไร ต้องทำตามบทบาท เหมือนกับตอนที่เป็นฝ่ายบริหารก็บริหารอย่างเต็มที่ ซึ่งก็มั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้องและเหมาะสม และการบริหารกระทรวงมหาดไทยก็เป็นปึกแผ่น จึงมองว่าอาจจะทำให้พรรคการเมืองอื่นกังวล

เมื่อถามถึงเอกภาพของเสียงพรรคภูมิใจไทย 77 เสียง จะไปด้วยกัน ใช่หรือไม่ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะมีเสียงมาเติมฝั่งรัฐบาล นายอนุทิน กล่าวว่าเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี ทราบดีว่าอะไรเป็นอะไรในการจัดตั้งในการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีองค์ประกอบที่มาจากพรรคการเมือง มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เอา สส.ของพรรคอื่นมาประกอบ เชื่อมั่นว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่อยากมีโครงสร้างรัฐบาลที่อยู่ได้เพราะเอางูเห่ามาค้ำยัน ซึ่งตด้ข่าวมาว่ามีคนพูดว่าไปก่อนแล้วค่อยเอางูเห่ามา แต่เชื่อว่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม เพราะรัฐบาลควรมีองค์ประกอบที่เป็นนักการเมืองที่เริ่มต้นด้วยกันมาตั้งแต่แรก ซึ่งที่ผ่านมาเราสนับสนุนมาโดยตลอด

“การที่นายกรัฐมนตรีส่งนายแพทย์พรหมมินทร์ มาพูดคุยขอกระทรวงมหาดไทยคืนไปแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรีคงไม่มีความสบายใจนักที่จะมาพูดคุยความสัมพันธ์เพราะความสัมพันธ์ของเรามันดีมาก แต่ก็ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ในการเคารพนับถือกันก็ยังเหมือนเดิม แต่ก็ไปทำตามหน้าที่ของแต่ละคน ท่านก็บริหารไป ผมเป็นฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ รักษาประโยชน์ในบริบทที่ฝ่ายตรวจสอบพึงจะกระทำ”

เมื่อถามว่าในใจลึกๆ คิดไว้หรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกล้าตัดพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ย้อนว่า ถ้าไม่คิดจะออกมาพูดแบบนี้หรือ ถ้าไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ก็คงรับข้อเสนอไปแล้ว รับกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักนายกรัฐมนตรีไปแล้ว มันเป็นคำตอบที่ตนไม่ต้องคิดมาก และที่บอกว่าจะให้เวลา 48 ชั่วโมง ในความจริงแล้วไม่ได้บอก แต่ท่านบอกว่าให้ไปคิด 2-3 วัน ไม่มีการขีดเส้นตาย แต่ไม่รู้ว่าสื่อออกไปได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่าไม่ต้องรีบตอบนะ และยังบอกด้วยว่าอยากให้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าอยู่กันด้วยเงื่อนไขนี้ ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าตอนนี้แยกทางกันแล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าหากเป็นไปตามนี้ ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ

ส่วนช่วงบ่ายวันนี้ที่จะมีประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทินเก่าย้ำว่าตนเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่ ก็ยังต้องทำตามหน้าที่จนกว่าจะมีการ โปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

แกนนำรัฐบาลเทใจไปเขมร – แกนนำฝ่ายค้านหนุนพม่า สะท้อนภาพสองพรรคการเมืองของไทยทรยศคนร่วมชาติ

เชื่อว่าคนไทยหลายล้านคน ที่เกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย แม้เราจะทะเลาะกันในบางคราว ไม่เข้าใจกันในบางครั้ง และมีหลักการในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละคน แต่คนไทยที่แท้จริงก็จะกตัญญูต่อ 'ชาติ ศาสน์ กษัตริย์' จะไม่มีทางเห็นชนชาติอื่นที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนไทยดีกว่าประชาชนของชาติตัวเอง

ยกเว้น 'นักการเมืองไทยหัวใจคด' บางกลุ่ม บางคน

'นักทรยศคนร่วมชาติตัวเอง' เหล่านี้ ต่างเหยียบเดินบนผืนแผ่นดินไทย ได้รับเงินเดือนจากเงินภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชนคนไทย มีหน้าที่การงานที่ดีก็มาจาก 'ความเป็นไทย' แต่กลับตอบแทน 'น้ำใจของชาติ' ด้วยการอิงแอบ สนับสนุน เสริมส่ง สมรู้ร่วมคิด และคอยช่วยเหลือ 'คนชาติอื่น' ที่เข้ามาเบียดเบียน เอาเปรียบ สร้างความเจ็บช้ำและข่มขืนให้กับคนไทย กระทั่งการรุกล้ำอธิปไตยของไทยเราหวังจะฮุบไปเป็นของชาติตนเอง

ยุคก่อนเก่า เราจะเรียกคนเช่นนี้ว่าเป็น 'คนไทยขายชาติ' เพราะนอกจากจะไร้ความปรารถนาดีต่อพี่น้องคนไทยด้วยกัน ยังไร้สำนึกหวงแหนแผ่นดินของตัวเอง ถือว่ามีความผิดร้ายแรง คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินที่แท้จริง จะไม่มีทางยอม หรือปล่อยให้ 'คนไทยที่น่ารังเกียจ' เหล่านี้อยู่ร่วมชาติเดียวกัน ปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติในภายภาคหน้า

'คนเนรคุณชาติเหล่านี้' ชนชาติอื่นที่มองเข้ามาก็จะเห็นถึงความปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ไม่จริงใจ และไม่น่าคบค้าสมาคม เพราะแม้แต่ประเทศชาติของตนเองยังกล้าทรยศ หักหลัง ก็ยากที่ชนชาติอื่นจะกล้าเทใจให้อย่างสนิทใจ คงเป็นได้เพียงการยกยอปอปั้น 'คนไทยสายพันธุ์เนรคุณ' เพื่อหลอกใช้ให้สมความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการแค่นั้น หาใช่สัมพันธ์ที่ยั่งยืน

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนไทยที่เข้าข่าย 'เนรคุณเพื่อนร่วมชาติ' นาน ๆ จะโผล่มาให้เห็นสักคน แต่ยุคสมัยนี้เรามีเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ พร้อมใจกันมาในคราบ 'นักการเมือง' ที่มีความคิดชั่ว ๆ เหมือนกันทั้งพรรค ออกหน้าสนับสนุนคนชาติอื่นอย่างไม่ละอายใจ ปล่อยแม้กระทั่งแผ่นดินไทยจะถูกเฉือนหั่นให้ต้องเสียดินแดนก็ยอม สะท้อนให้เห็น 'หัวใจที่แสนจะสกปรก' เกินบรรยาย

นักการเมืองไทย 'สายพันธุ์เขมรพม่า' ที่คน 24 ล้านเลือกเข้ามาเพื่อมาทำร้ายน้ำใจคนไทยทั้งชาติ ถือเป็น 'รอยด่าง' ที่สะท้อน 'สติปัญญา' คนมีสิทธิ์กาเลือกนักการเมืองไทยได้ดีที่สุด

หวังว่าถึงวันนี้จะคิดกันได้บ้างแล้วนะครับ

‘ลุงตู่’ ผู้เคยถูกปรามาสเป็นเพียง ‘รปภ.ขับเครื่องบิน’ แต่การตัดสินใจในวันนั้นทำให้ ‘การบินไทย’ ได้ฟื้นอีกครั้ง

(17 มิ.ย. 68) ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยส่งให้เข้าสู่ กระบวนการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง เพื่อให้การบินไทยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาล เพื่อฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ การตัดสินใจให้การบินไทย เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการโดยไม่เข้าสู่สถานะล้มละลายที่จะทำให้พนักงาน 20,000 คน ถูกลอยแพ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะดำเนินการให้การบินไทยดำเนินการต่อได้ จึงให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองของศาลและเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ โดยศาลจะแต่งตั้งมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการการบินไทย

ในครั้งนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำว่า “ผมคาดหวังว่าเมื่อมีอาชีพเข้ามาบริหารจัดการแล้วการบินไทยจะกลับมาเป็นสายการบินแห่งชาติ เป็นวิธีการเดียวที่การบินไทยจะประกอบกิจการต่อได้ พนักงานการบินไทยจะได้มีงานทำ การปรับโครงสร้างการบินไทยที่ควรสำเร็จมานานก็จะเกิดขึ้นได้ในการการเข้าสู่ระบบ นั่นคือการตัดสินใจของผมและเป็นสิ่งที่รัฐบาลยึดมั่นปฏิบัติกับการบินไทย”

หลังระยะเวลาผ่านไป 5 ปี ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่บริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ภายหลังประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการครบทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ 
(1) การจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน 
(2) การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด 
(3) การมี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือนประมาณ 40,308 ล้านบาท (เดือน เมษายน ปี 2567 ถึง มีนาคม ปี 2568) ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ  และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวกจากการปรับโครงสร้างทุน 
(4) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568  โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขออนุญาตหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

แน่นอนว่า ความสำเร็จของการฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ในครั้งนี้ส่วนสำคัญย่อมมาจากความร่วมแรงร่วมใจด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท อดทน และเสียสละของผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า อดีตพนักงาน และพนักงานปัจจุบันของบริษัทฯ ทุกคน ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบัน ตลอดจนพัฒนาการต่างๆ ที่บริษัทฯ ดำเนินการผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปรามาสว่าเป็น ‘รปภ.ขับเครื่องบิน’ ไม่ยืนกรานที่จะนำการบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการในวันนั้น การบินไทยก็คงกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลายไปแล้ว และคงเป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสได้เชิดหัวเทคออฟอีกครั้ง...

‘ศาสตรา’ ลั่นยังไม่อยากย้ายพรรคไปไหน ยัน แค่ถามแทนชาวบ้านเรื่องราคาพลังงาน

(16 มิ.ย. 68) นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว นายศาสตรา ศรีปาน - Sarttra Sripan ระบุข้อความว่า “ผมรักพรรคไม่ต่างจากคนที่ออกมาโต้แทนหรอก”

ขออภัยนะถ้าทำให้พี่ (เสธ หิ) ไม่สบายใจ สิ่งที่ผมโพสต์ก่อนหน้าไปแค่อยากชี้แจงชาวบ้านไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตบานปลาย จนพี่ออกมาโต้ ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ชี้แจงครับ 

ผมลงพื้นที่ผมรู้คนคิดอะไร เอาแค่ว่า รีบรื้อรีบทำให้ชาวบ้านถูกใจและทำตามสัญญาไว้กับชาวบ้านเถอะครับ ไม่ต้องออกมาโต้ไปมากับ สส.หรอก อยากแค่ ให้รีบทำให้ชาวบ้าน และกำหนดเวลาให้ชัดเจน 

เป็นคนดี คนเก่ง ไม่มีใครเถียงครับ แต่ชาวบ้านยังบ่นว่าราคาพลังงานแพงมาก นี่คือเรื่องจริงครับ 

“ราคาพลังงานถูกลงตอนนี้แต่ยังไม่ถูกใจชาวบ้าน”

อยากมีผลงานต้องรีบทำให้เสร็จ รีบยื่นรีบโหวต เป็นผลงานพรรค

คนถามทำไมไม่คุยกันเองในพรรค? 

เวลาประชุมหรือมาพูดในพื้นที่ให้ สส. ก็ได้คำตอบว่า ต้นปี กลางปี ปลายปี ผลัดมาเรื่อย ๆ จนเริ่มไม่มั่นใจว่าเรายังเป็นความหวังได้หรือไม่ นี่คือเรื่องที่ผมไม่ ok แถมยังมีองครักษ์ คอยออกมาสวนกลับคนในพรรคตัวเอง แบบนี้ทำให้ผู้บริหารพรรคยิ่งดูเข้าถึงยากไปใหญ่ 

กฎหมายของพรรคเข้าเมื่อไหร่ ผมโหวตให้แน่นอน

และผมไม่อยากย้ายไปไหนครับ

‘สำราญ’ แทงสวนข่าวลือ!! มั่นใจ ‘พีระพันธุ์’ ยังได้นั่งพลังงาน ชำแหละ!! รวมไทยสร้างชาติ เหยื่อเกมปรับ ครม. ของทุนใหญ่

(15 มิ.ย. 68) นายสำราญ รอดเพชร สื่อมวลชนอาวุโส และผู้ดำเนินรายการ TOP HEADLINE ได้กล่าวในรายการ โดยมีใจความว่า ...

สุดซอยสุดทาง พรรครวมไทยสร้างชาติ เหยื่อเกม ปรับคณะรัฐมนตรี เหยื่อของทุนใหญ่

หลังจากที่มีภาพการนัดพบกันของ 21 สส. ล่าสุดก็ได้มีหนังสือยื่นถึงท่านนายกรัฐมนตรี พร้อมลายเซ็นของ 21 สส. ในหนังสือ ได้ระบุให้ท่านนายกรัฐมนตรี ปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ เนื่องจากรัฐมนตรี ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ก็ได้สวนกลับมาว่า ถ้ารัฐมนตรี ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ต้องรวมถึง นายสุชาติ ชมกลิ่น ด้วย

ซึ่งในระหว่างนี้ ก็มีการปะทะคารมณ์ กันระหว่าง นายสุชาติ ชมกลิ่น และนายเอกนัฏพร้อมพันธุ์ โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กล่าวว่า โทรไปหานายสุชาติแล้ว แต่นายสุชาติไม่รับสาย

ทางด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น ก็ได้กล่าวว่า ผมโทรถามเพื่อนผมว่า เลขาขิง โทรหาผมทำไม เพื่อน สส ที่อยู่ใกล้ตัว บอกว่าเขาโทรมาบอกให้รับสาย เลขาขิง ผมบอกว่าจะรับสายได้อย่างไร ความคิดที่เขาจะมาคุยกับผม เป็นความคิดที่ผมนั้นรับไม่ได้ 
เขาว่า ให้จับมือกัน แล้วขับ หัวหน้าพรรคออกไปดีกว่า เดี๋ยวเขาเป็นหัวหน้าพรรคเอง ซึ่งมันแรงไปนะ ผมจึงไม่รับสาย

ทางด้าน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ จึงโต้กลับมาว่า ผมพูดความจริงก็ได้ เพื่อนเขา เพื่อนคุณสุชาติ มาชวนเอง ถามว่า เลขาขิง คุยกัน รู้เรื่อง ทำไมไม่ขึ้นเป็นหัวหน้าเลย ให้พี่เฮ้ง มาเป็นเลขาธิการพรรค เคยมาชวนผมแบบนี้ แต่ถูกผมปฏิเสธไปแล้ว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีความพยายาม ทำให้ หัวหน้าพรรค กับเลขาธิการพรรคแตกแยกกัน 

ซึ่งล่าสุด ทางด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ ก็ได้ออกมาพูดแล้ว โดยกล่าวว่า ครั้งแรกที่พวกเรามา อยู่ร่วมกันในพรรคการเมืองนี้ ก็เพราะ ‘ลุงตู่’ แต่ที่สุดแล้ว เราก็เหมือนไม่ใช่ผู้ก่อตั้งพรรค เราเป็นเหมือนผู้ที่มาขออาศัยเขาอยู่

ซึ่งสุดท้ายแล้ว การปรับคณะรัฐมนตรี ก็จะเป็นคำตอบสุดท้าย ว่าทั้ง 2 กลุ่มนี้จะอยู่กันอย่างไร ซึ่ง นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็กล่าวไว้แล้วว่า ถ้าเขาหักดิบ ยึดกระทรวงพลังงาน ก็เท่ากับว่าไม่เห็นด้วยกับเรา ไม่รักษาข้อตกลง เขาไม่เอาเรา ผมคิดว่า ท่านหัวหน้าพรรคก็คงไม่เล่นด้วย ถ้าเกมมันไหลไปถึงขั้นต้องเป็นฝ่ายค้านก็ว่ากันไป เราต้องรักษาหลักการ อุดมการณ์ และศักดิ์ศรี

ซึ่งเป็นไปได้สูงว่า การปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ จะเป็นการแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างกลุ่มของนายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กับกลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น

ซึ่งในส่วนนี้ นายสำราญ รอดเพชร สื่อมวลชนอาวุโส ผู้ดำเนินรายการ ได้ฟันธง ว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังได้นั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อยู่เหมือนเดิม แต่สุดท้ายนี้ จะอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ต้องอยู่ในอำนาจของท่านนายกรัฐมนตรีที่จะพิจารณาในการปรับคณะรัฐมนตรี 

ผมนึกถึงตอนสมัยผมเรียนหนังสือ เพื่อนที่เกเรบางคน ไม่เข้าห้องเรียน แล้วพอสอบตก ก็โวยวายว่า เรื่องที่สอบ ครูยังไม่สอน

(15 มิ.ย. 68) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...

หนีเรียน แล้วมาด่าครู

ตามที่นาย ศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา ได้โพสต์ข้อความใน fb แสดงข้อข้องใจในความล่าช้า ถึงการร่างกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รวมทั้งตำหนินโยบายการทำงานของท่าน ว่าการลดราคาพลังงานที่เป็นอยู่ เป็นการอุดหนุนโดยใช้ภาษีประชาชน เวลาลงพื้นที่ไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้

ผมอยากจะนำเรียน ข้อมูลดังนี้นะครับ 
1. เรื่องการลดราคาพลังงาน ในการลดราคาน้ำมันนั้น ท่านพีระพันธุ์ฯได้ประกาศลดเงินกองทุนน้ำมันลง และใช้วิธีให้บริษัทน้ำมันแจ้งต้นทุนราคาน้ำมัน ซึ่งท่านพีระพันธุ์ฯ ยังใช้วิธีขอข้อมูล จากกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร มาประเมินร่วมกัน จากความขยันของท่าน ทำให้บริษัทน้ำมัน ให้ความร่วมมือ ในการควบคุมราคา ดังจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันนี้ ราคาน้ำมันไม่ได้ขึ้นลงตามอำเภอใจเหมือนในอดีต
2. ในเรื่องของ ค่าไฟฟ้า ตอนท่านพีระพันธุ์ฯ มารับตำแหน่ง ค่าไฟจะปรับไปที่ 4.70 ท่านตรึงราคาอยู่ที่ 4.18 และ 4.15 ตามลำดับ จนล่าสุดปรับลงมาที่ 3.98 โดยใช้เงินกองทุนดูแลผู้ใช้ไฟ ที่ต้องนำส่ง กกพ. ซึ่งเป็นกองทุนที่ไม่ควรมี เพราะเก็บจากค่าไฟของพวกเรา ซึ่งตั้งแต่ท่านรับตำแหน่งสามารถประหยัดเงินให้พวกเราถึงราว 275,000 ล้านบาท ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า จึงไม่ได้ใช้ภาษีของประชาชนมาอุดหนุนครับ

3.ในการร่างกฎหมายนั้น ในแต่ละฉบับมีเป็นร้อยมาตรา ท่านนั่งเขียนของท่านคนเดียวเพื่อให้งานออกมาเร็ว เสร็จแล้วให้ทีมงานช่วยกันตรวจทาน หลังจากนั้นต้องส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกฎหมายแต่ละฉบับตรวจสอบให้ข้อคิดเห็น ซึ่งหน่วยงานแต่ละหน่วยอยู่นอกบังคับบัญชาของท่านเขาก็ตรวจอย่างละเอียดท่านไม่สามารถเร่งรัดได้ หลังจากนั้นยังต้องรับฟังความคิดเห็น แล้วนำมาแก้ไข เพราะกฎหมายใช้บังคับกับคนทั้งประเทศ จึงต้องละเอียดและรอบคอบ ซึ่งเป็นขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ ในตอนนี้กฎหมายปลดล็อคโซลาร์รูฟจากที่ต้องขออนุญาตติดตั้งจาก 5 หน่วยงานเป็นติดตั้งเสรี ก็ผ่านขั้นตอนต่างๆ น่าจะนำเสนอ ครม.ได้ภายใน ก.ค.นี้ เพื่อนำเข้าสภาฯต่อไป ต่อไปก็จะเป็น กฎหมายเกี่ยวกับน้ำมัน,ไฟฟ้า และก๊าซ ที่ท่านก็พยายามดำเนินการอยู่

ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ ท่านพีระพันธุ์ฯก็ชี้แจงทุกครั้งที่มีการประชุม ซึ่งเมื่อมีผู้ซักถามท่านก็ตอบทุกครั้ง เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงตอนสมัยผมเรียนหนังสือ เพื่อนที่เกเรบางคน ไม่เข้าห้องเรียน แล้วพอสอบตก ก็โวยวายว่าเรื่องที่สอบครูยังไม่สอน เหนื่อยใจครับ

‘พีระพันธุ์’โพสต์ภาพสัมพันธ์แน่น ‘เลขาขิง’ ขอบคุณที่ยืนเคียงข้างต่อสู้กับทุนใหญ่ ที่กระหน่ำโจมตีทุกทาง พร้อมจับมือเดินหน้าทำงานเพื่อชาติและประชาชนต่อ

(13 มิ.ย. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ผูกพันและเชื่อใจ
การที่มีคนกล่าวหาขิงว่าจะไปขอให้มาโค่นทำลายผมจากหัวหน้าพรรค ผมได้แต่ขำ

ขิงกับผม เราผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมามาก คำพูดแบบนี้จึงเป็นเรื่องขำๆ ของคนที่คิดคำแก้ตัวไม่ออก

ผมกับท่านเลขาฯขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เรารู้จักกันมานาน ตั้งแต่ขิงยังไม่เข้ามาวงการเมือง จนมาทำงานการเมืองร่วมกัน 

ขิงเป็นคนหนุ่มที่มุ่งมั่นทำงานการเมืองเพื่อประชาชนไม่ใช่มาเล่นการเมือง เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา

เมื่อผมจะทำพรรคการเมือง คนแรกที่ผมคิดถึงจึงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'ขิง'

ผมหารือกับขิงว่าอยากชวนเขามาทำพรรคการเมืองตามแนวทางที่เราอยากทำอยากให้เป็น คือเป็นพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชน เข้ามาแก้ไขปัญหาทุกอย่างเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อจะมีสถานะหรือมีตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อหารือตกผลึกกันแล้วก็ลงมือทำ 'พรรครวมไทยสร้างชาติ' มาด้วยกันตั้งแต่ก้าวแรก ผมเป็นหัวหน้าพรรคและขิงเป็นเลขาธิการพรรค ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการมาจนถึงวันนี้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ไม่หวั่นไหว ไม่ย่อท้อ

ผมกับขิงไม่ได้คบหากันด้วยผลประโยชน์แต่เราร่วมกันด้วยอุดมการณ์และความปรารถนาที่จะเห็นบ้านเมืองมีพรรคการเมืองดี ๆ ที่ยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ 

ผมกับขิงตกลงกันว่าเราจะทำพรรคที่ประชาชนอยากได้ อยากมี แต่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นพรรคที่สู้เพื่อประชาชน

แน่นอนระหว่างการลงมือสร้างด้วยหยาดเหงื่อและแรงใจแรงกาย มันไม่ง่าย เจอปัญหาระหว่างทางมากมาย แต่ด้วยความมั่นคงและมั่นใจ ทำไม่หยุดหย่อน ทำแม้ระหว่างทางมีคนทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ เอาความจริงใจ ความสุจริตและประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลักชัย

วันนี้ผมต่อสู้กับทุนขนาดใหญ่ที่มีทั้งเงินและอิทธิพล จนถูกรุมกระหน่ำจากสมุนทุกแขนง เมื่อขิงยืนเคียงข้างผมอย่างไม่หวาดหวั่นจึงต้องโดนหางเลขไปด้วย ก็เท่านั้น 

ต้องขอบคุณขิงที่แข็งแกร่ง มั่นคง  อดทน ไม่หวั่นไหว และยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ตกลงกันมา  

เราจะสู้กับความไม่ถูกต้องนี้อย่างเข้มแข็งที่สุด

แต่ที่น่าอนาถใจคือการพยายามใส่ร้ายป้ายสีการทำงานของขิงกับทีม 'สุดซอย' ทีมที่ได้รับคำชื่นชมจากพี่น้องประชาชนว่าเก่งกล้าสามารถในการฟันกระบวนการสีเทาที่สร้างความเสียหายให้กับวงการอุตสาหกรรม ก่อมลพิษและทำร้ายเศรษฐกิจของประเทศ แถมการกล่าวหากลับมาจากอะไรที่เทา ๆ ดำ ๆ เสียเองอีก ตรงนี้ที่น่าอนาถ

การพูดใส่ร้ายคนมันง่าย เพราะลิ้นไม่มีกระดูก แต่การกระทำจะบอกด้วยตัวเองว่าใครกันแน่ที่ยึดประโยชน์ชาติ ใครกันแน่ที่น่าเคลือบแคลงว่ามีเอี่ยวในประโยชน์สีดำสีเทาพวกนี้

ผมอยากจะบอกว่าตอนที่ขิงก้าวมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ผมได้หารือแนวทางการทำงานกันหลายอย่าง ที่สำคัญคือต้องเอาประโยชน์ชาติประชาชนนำหน้าปรากฏว่าขิงทำงานได้ดีกว่าที่บอกกับผมไว้อีก ผลงานที่ปรากฏออกมาเป็นระยะได้รับเสียงชื่นชมจากทุกภาคส่วน ที่สำคัญคือ ไม่เคยมีข้อกล่าวหาการเรียกรับผลประโยชน์หรือการกระทำที่มิชอบใด ๆ เลย 

ผมมั่นใจในตัวขิงเป็นที่สุด
อยู่ ๆ ก็มาบอกว่ามีทีมอะไรที่ไปคอยเรียกเก็บเงิน ถ้ามีจริงทำไมไม่ดำเนินการทางกฎหมายเลย ไปแจ้งความ ไปกล่าวหาให้ตรวจสอบหรือสอบสวนก็ได้ แน่จริงทำไมไม่ทำ 

นี่ถ้าผมกับขิงตามใจผลประโยชน์ วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องแบบที่เกิดขึ้น

ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจ เป็นกำแพงให้พวกผมพิง 

รวมไทยสร้างชาติ ยังเป็นพรรคที่ทำงานให้ชาติให้ประชาชนอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไปครับ

‘อนุทิน’ แจ้ง ‘รมว.แรงงาน’ เร่งจัดการตามผลสอบมท. หลังชี้ชัดตึก SKYY9 แค่ 3 พันล้าน แต่ ‘ประกันสังคม‘ ซื้อ 7 พันล้าน

จากกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 มูลค่า 3 พันล้านบาทในราคา 7 พันล้านบาท โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน

ล่าสุด คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ได้จัดทำรายงานผลตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 เสร็จสิ้นแล้ว โดยมีข้อสรุปผลการศึกษาและวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 เห็นว่า มูลค่าตลาดของอาคาร SKYY9 ในขณะที่ทำการซื้อขายควรมีค่าในช่วงประมาณ 3,428,000,000-3,863,000,000 บาท

ต่อมาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือด่วนที่สุด เมื่อวันที่ 30 พค.68 เพื่อรายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเรียน รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ให้รับทราบ

จากนั้น นายอนุทิน เขียนคำสั่งด้วยลายมือ แจ้งให้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เพื่อทราบและให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัด

พร้อมขอให้รมว.แรงงาน รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการต่อรองนายกรัฐมนตรี(อนุทิน) ทุกขั้นตอน และให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด และคำนึงถึง และรักษาประโยชน์ของราชการเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ดี  ก่อนหน้านี้ นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 10 มิย. ระบุว่า สุดท้ายผลสอบก็จะออกมายืนยันสิ่งที่ไอซ์ พูดมาตลอด ว่าราคาซื้อขายของตึกควรอยู่ที่ 3,000 ล้าน แต่ประกันสังคม ทุ่มเงิน 7,000 ล้าน ซื้อของราคา 3,000ล้าน

พร้อมเรียกร้องถึงนายอนุทิน ดำเนินการเรื่องต่อไปให้เด็ดขาด และอย่าให้ใครครหาว่าทำเป็นเล่นขายของ

“ถ้าท่านเอาจริงไม่มีอะไรเกินอำนาจบารมีที่ท่านจะจัดการได้ แล้วดิฉัน รักชนก ศรีนอก จะจดจำคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะคนจริงที่น่านับถือ” นางสาวรักชนก โพสต์เรียกร้อง

พปชร.เชื่อมั่นแพทยสภาคงมติตามเดิม รักเกียรติภูมิ ความตรงไปตรงมา ถือหลักการ มาตรฐานวิชาชีพ และประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก มากกว่าประโยชน์ของคนบางคน วอน ปชช.ประณามการเมืองแทรกแซง องค์กรวิชาชีพ

(12 มิ.ย.68) พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ  กล่าวว่า “วันนี้ (12 มิ.ย. 68) แพทยสภาจะมีการลงมติผลการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เกี่ยวกับการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริงและนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้วีโต้ผลการพิจารณาและส่งมาให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง ตาม ม.25 พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 วรรคสี่  และแพทยสภาได้พิจารณาและอนุญาตให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะสภานายกพิเศษเข้าร่วมประชุมได้15นาทีในวันนี้นั้น

ในส่วนตัวเชื่อมั่นว่า มติที่ประชุมใหญ่ คงเป็นไปตามเดิม เพราะข้อโต้แย้งของ รมว.ในฐานะสภานายกพิเศษ ไม่มีเหตุผลหรือสาระสำคัญที่จะทำให้มติแพทยสภาเปลี่ยนไป  เหตุผลส่วนใหญ่แย้งเป็นเหตุผลทางธุรการซึ่งกรณีดังกล่าวทางแพทยสภาได้ส่งข้อมูลตอบกลับไปยังสภานายกพิเศษเรียบร้อยแล้ว แม้ว่า นายสมศักดิ์ฯจะขอใช้อำนาจตาม มาตรา 24 เพื่อขอเข้าร่วมประชุมในวันนี้ก็ตาม  ยังเชื่อมั่นว่า มติที่ประชุมใหญ่คงไปตามแนวทางเดิม  ทั้งนี้ เนื่องจาก มาตรา 14 พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ระบุ คณะกรรมการแพทยสภาประกอบด้วย  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมอนามัย เจ้ากรมแพทย์ทหารบก เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ นายแพทย์ใหญ่ กรมตำรวจ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกอีกจำนวนเท่ากับจำนวน

กรรมการโดยตำแหน่งใน ขณะเลือกตั้งแต่ละวาระ และให้เลขาธิการเป็นกรรมการ  ซึ่งในมาตรา 14 บอกไว้ชัดเจนว่าคณะกรรมการแพทยสภาประกอบด้วยใครบ้าง  และที่สำคัญคือไม่มี รมว. เป็นคณะกรรมการแต่อย่างใด  ดังนั้น  ท่านไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนหรือออกเสียงเพราะท่านไม่ได้เป็นคณะกรรมการ   

และในกรณีที่ท่าน รมว.เข้าร่วมประชุมและชี้แจงในครั้งนี้  ทางแพทย์และพี่น้องประชาชนเข้าใจดีว่าท่านมีวัตถุประสงค์อะไร  และไม่เคยมีรัฐมนตรีท่านใดมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อน ส่วนข้ออ้างว่าจะไปอธิบายสาเหตุที่วีโต้มติแพทยสภานั้น อันนี้ทางแพทยสภา เห็นหนังสือของท่านและเข้าใจดีอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นการผิดมารยาทอย่างมากเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีนักการเมืองเข้ามาแทรกแซงองค์กรวิชาชีพเช่นนี้ มาก่อน“

พล.ต.ท.ปิยะฯกล่าว “หากแพทยสภายืนยันตามผลการพิจารณาเดิม ก็จะส่งผลในการพิจารณาของ ปปช. และศาลฯ ในวันที่ 13 หรือ 23 มิถุนายนที่จะถึงนี้อย่างแน่นอนเพราะ หากมติแพทยสภามีผลครบถ้วนตามกฏหมาย แสดงให้เห็นว่า การออกมาจากเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อทำการตรวจรักษามีลักษณะ“ป่วยทิพย์” หรือเป็นไปโดยทุจริต และมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกมาตรวจรักษาจำนวน 180 วัน ไม่มีการป่วยจริงในภาวะวิกฤต ที่อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้  กรณีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงมีเหตุจำเป็นจะต้องสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร  กลับไปรับโทษตามกฎหมายตามกำหนดเสียก่อน     

ดังนั้น การอ้างว่าถูกควบคุมตัว หรือรับโทษมาแล้ว 180 วัน หรือ 1 ใน 3 ของโทษที่เหลือนั้น หากไม่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นไปโดยผิดขั้นตอนและระเบียบกฎหมาย  จะส่งผลให้นายทักษิณฯขาดคุณสมบัติหรือเป็นเหตุให้ไม่สามารถขอพระราชทานอภัยโทษในโทษที่เหลือ 1 ปีนั้นได้  เมื่อนายทักษิณฯขาดคุณสมบัติในการขอพระราชทานอภัยโทษ  การขอพระราชทานอภัยโทษจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนบัญญัติของกฎหมาย จึงจำเป็นต้องกลับไปรับโทษที่เหลือ 1 ปีตามเดิม

นอกจากนี้ ผู้ป่วยภาวะวิกฤติ ที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิต ต่อมาเมื่อภาวะวิกฤติที่จะอันตรายถึงแก่ชีวิตหมดไป  ก็ถือว่า ความจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำก็จะหมดไปด้วย เป็นหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องตรวจสอบและนำตัวผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นกลับไปยัง โรงพยาบาลในเรือนจำหรือเข้าควบคุมในเรือนจำตามแต่อาการที่ปรากฎ ไม่ใช่ปล่อยให้พักอยู่ รพ. ภายนอกเรือนจำจนหายปกติ แข็งแรง ตีกอล์ฟ เต้นระบำ นวดหน้า ขึ้นเวทีปราศรัย ด่าใครต่อใครได้

อีกประการหนึ่ง กระบวนการการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ กรณีนี้ เป็นการควบคุม ตัวตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การออกไปรับการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำ จะขออนุญาตศาลฯก่อน หากเป็นกรณีเร่งด่วนไม่สามารถขออนุญาตศาลเพื่อส่งตัว มาทำการตรวจรักษาภายนอกเรือนจำได้ในทันที ก็ต้องรายงานเพื่อขออนุญาตศาลฯส่งตัวไปตรวจรักษาเพื่อทุเลาโดยเร็วที่สุด ซึ่งในกรณีนี้  ก็ไม่มีการขออนุญาตต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามกฏหมายแต่อย่างใด  

จากกระบวนการการสอบสวนของแพทยสภา ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ทำให้เห็นว่า นายทักษิณฯ ไม่ได้ป่วยเป็นเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย หรือเจ็บป่วยในภาวะวิกฤติที่อันอาจจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต เอกสารการตรวจทางการแพทย์ มีเหตุและข้อควรสงสัยว่า ไม่ตรงความจริง  จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ลงโทษดังกล่าว“

พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าว “แม้จะมีการพยายามอ้างกฏหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของราชทัณฑ์ หรือกฎหมายของหน่วยงานอื่น ซึ่งเป็นอนุกฏหมาย ไม่อาจมาหักล้างหรือ เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่ออกโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้  อีกทั้งการปฏิบัติตามกฏหมายย่อย ก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วน แสดงถึงข้อพิรุธที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะ เป็นการส่งตัวคนไข้ออกจากเรือนจำโดยแพทย์ผู้รับผิดชอบยังไม่ได้ทำการตรวจคนไข้โดยตรง เพียงแค่สอบถามอาการจากพยาบาลเวรทางโทรศัพท์ เท่านั้น ตลอดจนหลักฐานทางเวชระเบียนพยาบาลที่ปรากฎในคอมพิวเตอร์ และรายการจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้มีรายละเอียดยืนยันการผ่าตัดใหญ่จากเจ็บป่วยร้ายแรง ที่ต้องรับการตรวจรักษาภาวะวิกฤตินานถึง 180 วัน หากกระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ มีอำนาจเหนือศาล คำพิพากษาของศาลจะศักดิ์สิทธิ์ลงโทษผู้กระทำผิดตามโทษานุโทษได้อย่างไร เพราะเมื่อถึงขั้นการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษากลับมาการเบี่ยงเบนไปเช่นนี้ ระบบนิติรัฐของประเทศก็จะสูญเสียไป“

'เอกนัฏ' เปิดภาพร่วมโต๊ะ ‘พีระพันธุ์-อัครเดช’ สร้างความเชื่อมั่น ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ต้องไปต่อ

'เอกนัฏ' เปิดภาพทานอาหารเที่ยง ร่วม ‘พีระพันธุ์-อัครเดช’ เพิ่มความเชื่อมั่นรวมไทยสร้างชาติ ย้ำ ‘พีระพันธุ์’ นั่งหัวหน้า ‘เอกนัฏ’ เลขา ‘อัครเดช’ โฆษก เหมือนเดิม

(11 มิ.ย.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภาพทานอาหารเที่ยงร่วมกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ  ผ่านเฟซบุ๊ก เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ขิง) ว่า

"ดีลใหม่ แต่ไม่ลับ ก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น ของหัวหน้าฯ
เบอร์เกอร์ ของเลขาฯ #รทสช ไปต่อ
หัวหน้าฯชื่อ พีระพันธุ์
เลขาฯชื่อ เอกนัฏ
โฆษกฯชื่อ อัครเดช
เหมือนเดิมครับ
#รวมไทยสร้างชาติ #เลขาขิง"

‘วินท์ - พลัฏฐ์’ เผยตัวตน ‘หัวหน้าพีระพันธุ์’ ที่ได้สัมผัส การันตี เป็นคนสุดสมถะ แต่ทำงานจริงจังเพื่อชาติ - ปชช.

(11 มิ.ย. 68) นายวินท์ สุธีรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) และกรรมการปรับปรุงและยกร่างกฎหมาย กระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า หัวหน้าพีระพันธุ์จากที่ผมสัมผัส

ท่านเป็นรองนายกและรัฐมนตรีพลังงานที่ทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างจริงจังเสมอ ไม่มีข้อสงสัยเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่เคยมีรถนำขบวน ทานอาหารแบบเรียบง่าย หากมีคนที่จะมาช่วยชาติด้วยกันท่านก็เปิดใจรับ ไม่จำเป็นว่าต้องมีเส้นสายมาจากไหน

การที่ท่านต่อสู้เพื่อลดค่าครองชีพให้คนไทยจากการลดค่าไฟฟ้า/ค่าแก๊ส/ค่าน้ำมัน กลับกลายเป็นต้องถูกโจมตีทางการเมือง

ถึงช่วยอะไรท่านไม่ได้มาก แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้ “พี่ตุ๋ย” สู้เพื่อชาติต่อไป ลดค่าครองชีพคนไทย ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้สำเร็จให้ได้นะครับ

ขณะเดียวกันทางด้านนายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …หัวหน้าเป็นคนดีมาก ไม่เคยมีประวัติโกง หรือ หาผลประโยชน์ มีแต่ช่วยคนอื่น 

มี หลายท่าน ให้กำลังใจ และห่วงใย พรรค หัวหน้า และเลขา ต้องกราบขอบพระคุณ ทุกท่านทุกช่องทาง
หลายคนถามว่าทำไม ท่านหัวหน้าไม่ออกมาพูดอะไรบ้าง.

1. เรื่องที่ถูกร้อง ท่านจะไปตอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อตอบแล้วจะได้ความกระจ่างเอง การร้องก็จะยุติไป
2.เรื่องในพรรค ที่มีข่าวทางสื่อมวลชน
2.1 หัวหน้ามีเวลาให้ เพื่อนเสมอ ท่าน สส จะได้พบเมื่อมีการประชุมพรรค ส่วนมากทุกสัปดาห์ น้อยครั้งที่ท่านจะติดภาระกิจ ท่านที่อยากพบส่วนตัว สามารถนัดหมาย หรือ ขอพบหลังประชุมได้ตลอด ข่าวที่ท่านพบยากไม่เป็นความจริง ยกเว้นท่านไม่มาประชุม 

2.2ข่าวอื่นๆที่มีการส่งผ่านทางสื่อ และ Social หากท่านออกมาตอบ ก็จะเป็นการตอบกันไปมา ความจริงจะปรากฏเมื่อถึงเวลา ท่านใช้เวลาทำงานมากกว่าตอบรายวัน การที่ท่านไม่ตอบโต้ ท่านให้เกียรติทุกคน ขอให้เชื่อมั่นเมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างก็ชัดเจน ให้เวลากับความจริงทำงานครับ

สวนคนละหมัด!! ‘เอกนัฏ’ โต้กลับ ‘สุชาติ’ ปมกล่าวหา ชวนล้มหัวหน้าพีระพันธุ์ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนยื่นข้อเสนอ แต่ ‘เอกนัฏ’ ไม่เล่นด้วย พร้อมยืนยันทีมสุดซอยทำงานโปร่งใสท้าพิสูจน์ได้

จากกรณีปรากฏเอกสาร 21 สส.พรรครวมไทยสร้างชาติถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ 'ปรับรัฐมนตรี' ในสัดส่วนของพรรค พร้อมแนบรายชื่อและลายมือชื่อของ 21 สส.มาด้วย ก่อนที่จะมีสส.ที่มีชื่อในนั้นออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้ลงลายมือชื่อด้วยตัวเอง ต่อมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าว ทั้งยังท้า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคว่า โทรไปไม่รับสายใช่ไหม ขอท้าเลยว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ให้เปิดอกคุยแบบลูกผู้ชาย ลั่นรู้หมด ใครอยู่เบื้องหลัง 21 สส. ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด (11 มิ.ย.68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีดังกล่าวโดยเผยถึงเรื่องไม่รับสาย นายเอกนัฏว่า เป็นสายที่เข้ามาเมื่อวันอังคาร ที่ 3 มิ.ย. (ไม่ได้โทรมาวันจันทร์) โทรมาจริง แต่ว่าตอนโทรมาคือเหตุการณ์ต่างๆ ไปไกลแล้ว ทำให้ตนงงว่า ตนยังสามารถคุยกับคนแบบนี้ได้หรือเปล่า ข้อแรกนะ เพราะผมไม่ไว้ใจใคร คือตนก็คิดว่าตนเจอสัมภาษณ์ตั้งแต่ที่สนามหลวงวันนั้น ก็บอกแล้วว่าจากกันด้วยดี เราไม่มีอะไรกัน เราอยู่ได้ก็อยู่ ๆ ไม่ได้ก็ปล่อยเราออกมา อย่าลืมว่าต้องย้อนหลังกลับไป “วันที่ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ” พรรคมาจากใครเราก็รู้ เราวางตัวใครมาเราก็รู้ ผมก็ไม่อยากพูดย้อนกลับไปในอดีต เพราะมันเป็นเรื่องภายในบ้านมันก็ควรจะจบในบ้าน ไม่ใช่มาพูดให้ประชาชนเขามีความรู้สึกว่า นักการเมืองทะเลาะกันออกอากาศ มันอายชาวบ้าน ผมบอกตรง ๆ

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่มาให้สัมภาษณ์ ก็เพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหาตนก็ลูกผู้ชาย ตนถามกลับว่าเลขาขิง โทรหาผมทำไม เขาก็บอกให้รับสาย แล้วจะรับได้ยังไง เพราะเป็นความคิดที่รับไม่ได้ เพื่อนบอกว่า นายเอกนัฏ ขอให้จับมือกัน ช่วยกันขับหัวหน้าพรรคออกไปแล้วเขาจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง อย่างนี้มันแรงไป จึงไม่รับสาย

แต่ตนไม่อยากบอกว่าเพื่อนตนเป็นใคร ไม่อยากให้เอาเพื่อนมาขาย ตนยืนยันพูดความจริงทุกเรื่อง แต่มาทำตัวเองหล่อคนเดียวอย่างนี้ไม่ถูก

นายสุชาติ ระบุว่า เพื่อนตนบอกว่าให้ตนรับสายเลขาขิง บอกว่าถ้าไม่ได้ ก็ช่วยกันจับมือเอาหัวหน้าพรรคออกเถอะ แล้วผมจะคุยทำไม เพราะผมมาไกลแล้ว เป็นเหตุการณ์เมื่อวันอังคารนี้เอง เขามาขอเสียงให้ช่วยกันโหวตขับหัวหน้าพรรคกันหน่อย

“พวกผมไม่เคยอัดเสียงใคร มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ถ้าผมวางแผน อัดเสียงไว้ ก็มีอะไรยืนยัน แต่ที่ไม่รับสาย เพราะผมเป็นลูกผู้ชายพอ ทำอย่างนั้นไม่ได้ แล้วผมจะรับสายเหรอ ถ้าเขาอัดเทปผมล่ะ อย่างนี้ผมจะคบได้เหรอ”

นายสุชาติ กล่าวว่า วันที่มีรูปกินข้าวกับกลุ่มชุมพร ก็ชัดเจนแล้วว่าเกือบทุกคนมาร่วมอุดมการณ์กับผม จะเหลือใครล่ะ

เมื่อถามว่า 21 รายชื่อของจริงไหม นายสุชาติ กล่าวว่า 21 สส. ก็ยืนยันว่าเซ็นจริง เป็นสส.มันโกหกไม่ได้ คนที่บอกไม่เซ็น ก็ต้องไปตอบคำถามกันเอง 18 คน บอกเซ็น รูปก็มี เราก็ต้องตอบคำถามในบ้านเรา ไม่ใช่ไปบอกข้างนอก

เมื่อถามว่าทำไม 3 ใน 21 ถึงปฏิเสธทันควัน นายสุชาติ กล่าวว่า แล้วรูปไปกินกาแฟ เขามาหาผมพร้อมกันไหม เขาก็รู้ว่ารูปออกสื่อ มากินข้าวอีกรอบวันที่ 6 มิ.ย. ที่เซ็นชื่อ ก็มีรูปว่าเขานั่งอยู่ด้วย ก็กินข้าวด้วยกัน ส่วนจะปฏิเสธทำไม ก็คงมีเหตุผลบางอย่าง แต่ผมไม่ก้าวล่วง ไม่บังคับใคร

“พวกผมเป็นสส. 36 คน มีสิทธิ์มีเสียงอะไรบ้าง ทุกอย่างต้องผ่าน 9 อรหันต์ บางคนสอบตกด้วย จะมาตัดสินใจแทนได้ยังไง แก้ข้อบังคับ ก็ไม่มีสส. รู้ แล้วโครงสร้างแบบนี้อนาคตจะไปยังไง วันนี้เรามาอาศัยบ้านเขาอยู่ วันนี้จะมาคล้องกุญแจ ไม่ให้เราออก แล้วจะทำยังไง ที่ผ่านมาเราสงบไปแล้วรอบนึง สุดท้ายก็เอาระเบียบพรรคมาขับเราออกก็ได้ จะได้ไปสร้างบ้านที่เราจะทำให้ประเทศ” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่มากล่าวหาว่ามาดีเบตไหมว่าไม่มีผลงาน ตนเป็นรมช. ก็ต้องทำตามรมว. ตอนโควิด ตนเป็นว่าการ ก็ทำงานเขียนหนังสือได้เป็นเล่ม ๆ แต่ตอนนี้เขามีทีมอะไร อ้างมีคนลงขัน มันของปลอมทั้งนั้น ชุดที่เขาตั้ง ชุดสุดซอย มันคือชุดอะไร อ้างไปเหยียบตาปลา กระทบใคร ภาพมันก็ดูดี แต่รู้ไหมมันมีชุดสุดซอย แล้วมีชุดตามเก็บอีกชุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่ามีชุดสุดซอยตีเมืองขึ้น แล้วมีคนตามเก็บอีกเหรอ นายสุชาติ กล่าวว่า ต่อไปมันก็จะออกมาหมด ว่าอะไรเป็นอะไร ตนไม่ได้โทษใคร แต่อีกไม่นาน ก็เห็นหมดทุกเรื่อง เรามาพูดเรื่องในบ้าน ก็ไม่ควรให้สังคมปวดหัวกับเราด้วย แต่นี่มาดิสเครดิตกัน

เมื่อถามว่า ชุดเก็บนี่เก็บอะไร นายสุชาติ กล่าวว่า เดี๋ยวรอคนถูกกระทำออกมาพูดดีกว่า ตนไม่ได้ใส่ร้ายใคร แต่นี่เป็นคนพื้นที่ รับไม่ได้ เขาก็มาด่าตน

เมื่อถามว่าเปิดเผยภาพวันที่ 6 มิ.ย. ที่เซ็นชื่อ 21 สส.ได้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เดี๋ยวคงมีออกมา วันนั้นเราถ่ายไว้ว่าทุกคนมีแนวคิดเดียวกัน สุดท้ายคืนนั้นทั้งคืน มีผู้ใหญ่ของพรรค โทรหา 21 สส. ก็ถ่ายวิดีโอไว้ บางคนเป็นสส.เขตก็ไม่อยากออกตัว เขาเซ็นจริง ไม่งั้นก็ออกมาฟ้องตนแล้ว แถมยังมาบอกให้โพสต์สนับสนุนหัวหน้า

เมื่อถามว่าสรุปเลขาขิงโทรมาเมื่อไหร่กันแน่ นายสุชาติ กล่าวว่า โทรมาเมื่อวันอังคารที่ 3 มิ.ย. หลังมีรูปที่ตนไปกินกาแฟกับกลุ่มชุมพร แต่เมื่ออังคารที่ 10 มิ.ย. หลัง 21 สส.ลงชื่อแล้ว ไม่มีใครโทรมา เอาโทรศัพท์ตนไปเช็กก็ได้

นายสุชาติ กล่าวว่า คืนวันที่ 9 มิ.ย. ที่กลุ่มชุมพรโพสต์ว่าไม่ได้เซ็น ตนก็โทรหาเลย เขาบอกว่าเขาลำบากเป็นสส.เขต ชาวบ้านจะไปหาว่ารับตังมา ให้กลับข้าง ก็ด่าไปว่าจะบ้าเหรอ ไปทำแบบนี้มันเสียเครดิตเพื่อนทั้งกลุ่ม แล้วต่อไปใครจะคบกับพวกคุณ ตนก็ไม่ว่าใคร ก็ไปแก้ตัวกันเอง แต่คนเขารู้ว่าใครเซ็น ไม่เซ็น

เมื่อถามว่าหนังสือดังกล่าวส่งให้นายกฯแล้วหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า น.ส.พิชชารัตน์ เลาหพงษ์ชนะ ไปกับสส.อีก 3 คน ทราบว่ายื่นแล้วจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ตอบกลับ ผ่าน pptv เรื่องการกล่าวหาทีมสุดซอย โดยขอพูดตรง ๆ ว่า "ทุเรศ"!!!!

"ไม่ต้องคลุมเครือ ถ้าตัวใหญ่ ใจใหญ่จริง ๆ พูดตรง ๆ เลย พูดให้ชัดเลย ใครเป็นผู้มีอิทธิพลใน eec แล้วไปตบทรัพย์นักธุรกิจ ใครไปตั้งตัวเป็นนายหน้าเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ เพื่ออำนวยความสะดวกธุรกิจเถื่อน ๆ พูดเลยสิครับเอาเลย เชิญเลยครับ!!!

ผมยืนยัน นั่งยัน เอาหัวเป็นประกัน เราไม่เคยทำแบบนั้น  คนกำลังหวังกับสิ่งที่เราทำ และผมก็มุ่งมั่นในการกวาดล้างธุรกิจศูนย์เหรียญ ธุรกิจเถื่อน ผมทำอย่างเปิดเผยทุกครั้ง ไม่เคยแอบจับไม่เคยต่อรอง" เลขาขิงโต้เดือด

พิธีกรได้ถามต่อว่า เป็นเพราะหลายคนชื่นชมผลงาน แบบนี้เลยเป็นการดิสเครดิตใช่หรือไม่?

"ต้องดูที่เจตนาครับ ถ้าเขาอยากได้เก้าอี้ผม ถ้าผมทำงานดีเข้าตาประชาชน ก็เป็นสิ่งที่ขวางทางเขาอยู่ ผมว่า ประชาชนจับได้ และรับรู้นะว่าเจตนาคืออะไร พูดน่ะอะไรก็ได้ แต่ต้องวัดกันที่การกระทำ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top