Friday, 4 July 2025
POLITICS

‘ถนอม’ โพสต์ฟางเส้นสุดท้าย ‘คลิปเสียงลุง-หลาน’ สะเทือนเก้าอี้นายกฯ ภท.ถอนตัว รทสช.ถึงจุดเลือกข้าง

นายถนอม อ่อนเกตพล ผู้จัดรายการ 'ฟังชัด ๆ ถนอมจัดให้' โพสต์เฟซบุ๊ก ถ้าไม่ถอน อย่าพึ่งโกน! ฟางเส้นสุดท้าย คือ คลิปเสียงคุย 'ลุง-หลาน' ทำให้เกิดกระแสไม่พอใจท่าทีนายกฯ อย่างกว้างขวาง จากที่จะถูกยึดเก้าอี้ มท.1 กลายเป็นการถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลอย่างเท่ห์ ๆ ของ ภท.

ชาวบ้าน ก็เรียกร้องกันเซ็งแซ่ผ่านออนไลน์ ส่วนหนึ่งก็พากันลงถนน ส่วนหนึ่งก็ไปร้อง กกต. แจ้งความ ร้องศาล ดำเนินคดีกับนายกฯ เป้าหมายกดดันให้นายกฯลาออก หรือ ยุบสภา

พรรคร่วม 3 พรรคที่ถูกจับตามองว่าเอาอย่างไร หลัง ภท.ถอนตัวแล้ว คือ

1.ปชป. ประชุมแล้วไม่ถอน แต่อาจจะขอเก้าอี้เพิ่มหรือไม่ก็ขอเปลี่ยน รมช.สธ.เป็น กระทรวงใหญ่ขึ้น อันนี้ตามคาด

2.ชายไทยพัฒนา หลังจากที่ช่วงเช้าพี่สาวหนูนา บอกว่า น้องชายคงตัดสินใจในที่สิ่งที่ถูกต้อง ตกตอนเย็นประชุมพรรค 'ท็อป วราวุธ' หน.พรรค บอกว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอขอคุยกับนายกฯ ก่อน เรียกว่า มีเชิง ชั้น สมลูกพ่อบรรหาร

3.รวมไทยสร้างชาติ พรรคอกแตก ถูกกดดันจากแฟนคลับและไม่ใช่แฟนคลับ แต่ไม่พอใจนายกฯอย่างหนักให้ 'พีระพันธุ์' ถอนตัวเพื่อกดดันให้นายกฯ ลาออก หรือ ยุบสภา แต่สุดท้ายเซียนเหนือเซียน 'พีระพันธุ์' ไม่ตื่นเต้น ไม่ตกใจ ฝ่าวงล้อมนักข่าวไปว่า มติพรรคให้ไปคุยกับนายกฯ ก่อน

ท่ามกลางความเงียบ ก็มีข่าวปล่อยจากที่ประชุม รทสช.ว่า พีระพันธุ์เสนอเปลี่ยนตัวนายกฯเป็น "ชัยเกษม" เพราะถ้ายุบสภา หวยจะไปออกที่ 'เท้ง' พรรคประชาชน ที่เป็นพรรคเดียวที่แถลงเรียกร้องให้นายกฯยุบสภาเซ่นคลิปฮุนเซน โดยประกาศก้องว่า พร้อมเลือกตั้ง

ในขณะที่เสี่ยงก่นปนด่าพีระพันธุ์เกาะเก้าอี้ดังทั้งคืนที่ไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ถึงขนาดว่า เพจเอฟซีคนสำคัญที่ปกป้องทั้งลุงตู่ลุงพีร์มาตลอด บอกว่า "ถ้าไม่ถอน จะโกนไม่ให้เหลือตอ"
ใจเย็น ๆ ครับ ......ทางออกตอนนี้ มี 3 ทางคือ

1.นายกฯ อยู่ต่อ โดยมีพรรคร่วมเหมือนเดิมขาดแต่ ภท.ทำให้เสียงปริ่มน้ำ อยู่ได้ แต่บริหารและผ่านกฎหมายได้อยาก อยู่แค่เพียงประคับประคองรักษาแผลนกปีกหัก บินได้ แต่ไม่ไกล ซึ่งแนวทางนี้ วี 1 วี 2. วี 3. ต้องการให้เป็นไปในแนวทางนี้ แต่

'ลุงพีร์' ต้องการเปลี่ยนนายกฯ เป็น ชัยเกษม ของ พท. เพื่อเป็นข้ออ้างให้กับสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรค เพื่อได้ทำงานผ่านกฎหมายลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน สู้กับทุนพลังงานที่ต้องการคว่ำลุงพีร์ รวมทั้ง ชุดสุดซอย ของคุณโอ๋ ฐิติภัสร์ และคุณเอกนัฎ ที่กำลังกวาดล้างจับกุมทุ่นเถื่อน อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างได้ผล ไปต่อ

แนวทางนี้ นายกฯ อิ้งลาออก โดยบอกว่ายังมีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯได้อนาคตอีกยาวไกล หากขืนเดินหน้าคำร้องมีผลต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะจริยธรรม จะซ้ำรอยคุณเศรษฐาที่ไม่อาจจะกลับมาทางการเมืองได้อีกเลยตลอดชีวิต

บนพื้นฐานข้อต่อรองเปลี่ยนตัวนายกฯ วี 1 ต้องตัดสินใจแล้วบอกว่า ไม่รับข้อเสนอ นายกฯ อิ้งต้องไปต่อ

ถึงตอนนี้ ถ้าวี 1 ไม่ยอมลุงพีร์ ก็คงมีคำตอบเดียว คือ ถอนตัวเป็นคำตอบสุดท้าย สมาชิกพรรค เอฟซี ต้มน้ำรอจะลวกน้ำร้อนถอนขน แถมจะโกนจนไม่เหลือตออีกด้วย

วี 1 ต้องตัดสินใจเลือก 3 ทาง คือ ยุบสภา ลาออก หรือ อยู่ต่อ โดยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยไม่มี รทสช.แล้วไปตายเอาดาบหน้า ยืดเวลารักษาปีกที่หักเพื่อบินต่อ แล้วค่อยยุบสภาก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ข้อเสนอเปลี่ยนตัวนายกฯ เอาชัยเกษม ถ้า วี 1 รับเงื่อนไขนี้ ก็ไปลุ้นกันต่อว่า เมื่อนายกฯ ลาออกแล้ว สภาผู้แทนฯจะโหวตให้ชัยเกษมหรือไม่ ซึ่งมีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ 

ถ้าไม่ได้ พรรคประชาชนก็อาจจะเป็นกองหนุนช่วยโหวตให้ชัยเกษม ปิดทางลุงพีร์ ลุงตู่ หรือคนนอก ที่อาจจะได้รับการโหวตไม้ต่อไปก็เป็นได้ ...ในขณะเดียวกันก็อาจจะไม่มีชื่อชัยเกษมเลยก็เป็นไปได้...เพราะนาทีนี้ พรรคเล็กเป็นต่อ พรรคใหญ่เป็นรอง และอย่าลืมภูมิใจไทยก็ยังเป็นตัวแปรที่สำคัญ ดังนั้น การเมืองเวลานี้

การถอนตัว ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การลาออก คือ เป้าหมายและทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะหากยุบสภา ว่ากันคือโอกาสของพรรคประชาชนที่รอคอยด้วยความมั่นใจว่าชนะเลือกตั้งครั้งใหม่แน่

คอยดูกันต่อไปครับ การเมืองไม่มีสูตรสำเร็จ การเคลื่อนไหว กดดัน อาจจะหลงทิศหลงทาง ตาอิน ตานา สุดท้าย ตาอยู่คว้าพุงไปกิน หมาน้อยได้แต่ยืนเลียปากแผลบ ๆ ต่อไป...และทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย

‘ลูกหมี’ นำมวลชนชุมพรนับหมื่น จี้นายกฯ ลาออก ปมคลิปเสียงหลุด ลั่น!!.. ‘นายกฯ ไม่ออก เราออก’

เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย. 68)นายชุมพล จุลใส หรือ 'ลูกหมี' อดีต สส.ชุมพร พร้อมด้วย สส.อีก 3 เขต และประชาชนราวหมื่นคน รวมตัวกันที่สนามหน้าพระบรมรูป ร.5 จังหวัดชุมพร เพื่อแสดงจุดยืนปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 หลังปรากฏคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีพูดด้อยค่าเจ้าหน้าที่ทหารต่อหน้าผู้นำกัมพูชา

นายชุมพล กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า มาในฐานะประชาชน ไม่ใช่การปลุกระดม พร้อมตั้งคำถามถึงจริยธรรมของผู้นำประเทศที่พูดลดเกียรติแม่ทัพไทย แต่กลับแสดงความอ่อนน้อมต่อผู้นำกัมพูชา พร้อมประกาศว่า “ถ้านายกฯไม่ออก พวกเราก็จะออก” เพื่อไม่ทรยศต่อเสียงของประชาชนชาวชุมพร

จากนั้น พ.อ.โชติ ยิกุสังข์ รอง ผบ.มทบ.44 ได้ขึ้นรับมอบดอกไม้แทนกำลังใจให้แม่ทัพภาคที่ 2 ขณะที่นายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร ได้ขึ้นเวทีอ่านแถลงการณ์ประชาชน เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และขอให้พรรครวมไทยสร้างชาติทบทวนบทบาทในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล

แถลงการณ์อ้างถึงกรณีคลิปเสียงสนทนาเมื่อ 18 มิ.ย. ที่นายกฯยอมรับว่าเป็นเสียงของตนจริง โดยมีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาค 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ว่าเป็น “คนของฝ่ายตรงข้าม” สร้างความผิดหวังแก่ประชาชน พร้อมระบุว่าเหตุการณ์นี้ทำให้ประเทศเสียหายและประชาชนหมดศรัทธาในผู้นำ

ท้ายที่สุด สส.ทั้ง 3 เขตของชุมพรให้สัมภาษณ์ย้ำว่า พรรคมีจุดยืนชัด ขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ซึ่งสอดคล้องกับเสียงเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ โดยทั้งหมดรอติดตามท่าทีของรัฐบาลต่อไป

ประธานวุฒิสภายื่นศาล รธน.–ป.ป.ช. ถอดถอนนายกฯ ‘แพทองธาร’ ปมคลิปเสียง

(20 มิ.ย. 68) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ยื่นหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช. เพื่อขอให้พิจารณาถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำร้องของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ซึ่งได้รวบรวมรายชื่อและยื่นต่อประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.

คำร้องถึงศาล รธน. ขอให้วินิจฉัยว่าสถานะความเป็นนายกฯ ของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะที่คำร้องถึง ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนว่ามีการทุจริตหรือฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

กรณีนี้เกิดขึ้นจากคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่ สว. เห็นว่าเป็นการอ่อนข้อให้กัมพูชา และพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในลักษณะกระทบเกียรติภูมิกองทัพ จนถูกตั้งข้อสังเกตถึงภาวะผู้นำและความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

‘ชัยวุฒิ’ เปรียบรัฐบาลเพื่อไทยเหมือน ‘เรือใกล้จม’ ย้ำชัด ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ไม่ร่วมรัฐบาล

(20 มิ.ย. 68) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ย้ำจุดยืนพรรคตาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พร้อมเผยว่า พรรคเพื่อไทยพยายามทาบทามเข้าร่วมรัฐบาล หลังภูมิใจไทยถอนตัว ทำให้เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ

นอกจากนี้ นายชัยวุฒิเปรียบรัฐบาลเพื่อไทยเหมือน ‘เรือใกล้จม’ และเตือนพรรคร่วมว่า หากยังดึงดันร่วมรัฐบาล อาจ ‘จมน้ำตายไปด้วยกัน’ พร้อมแนะให้ถอนตัวเพื่อเปิดทางจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพมากกว่า

ในส่วนของกระแสเปลี่ยนนายกฯ นายชัยวุฒิกล่าวว่า หากมีการเปลี่ยนตัวจาก น.ส.แพทองธาร ค่อยเปิดเจรจาใหม่ได้ แต่หากเพื่อไทยยังเป็นแกนนำ พปชร.จะยังไม่ร่วม พร้อมระบุว่า ความล้มเหลวของรัฐบาลไม่ใช่เพราะม็อบ แต่เพราะประชาชนขาดศรัทธาในผู้นำเอง

จิ๊กซอว์สำคัญ!! ’กวีเหลวไหลแท้‘ วิเคราะห์เกม ‘พีระพันธุ์ - รวมไทยสร้างชาติ’ ในวันที่ประเทศชาติต้องเดินหน้าฝ่าสารพัดวิกฤต ชี้สถานการณ์ขณะนี้พีระพันธุ์ ต้องรับมือกับศึกในศึกนอก และความคาดหวังของมวลชน

(20 มิ.ย.68) เพจเฟซบุ๊ก ‘กวีเหลวไหลแท้’ โพสต์ข้อความว่า เกมของพีระพันธุ์ รทสช.

การต้องรับมือกับศึกในศึกนอก และความคาดหวังของมวลชน เป็นอะไรที่หนักมากของลุงพี ขณะที่ความต้องการจะทำงานในกระทรวงพลังงานยังคงเป็นเรื่องยากที่จะลุกจากเก้าอี้ เพราะพันธสัญญาที่จะปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานยังไม่แล้วเสร็จ

เมื่อเกิดคลิปเสียงอัปยศขึ้น พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ประชุมกันอย่างเร่งด่วน แต่รทสช. เลือกที่จะประชุมหลังสุด

การประกาศลาออกของภูมิใจไทย ทำให้เสียงของรัฐบาลปริ่มน้ำ รทสช. จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะตัดสินว่า ภาพนี้จะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์

หากวางลงภาพจะสมบูรณ์ใส่กรอบได้ หากไม่วาง ภาพนี้ก็ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง

ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องการต่อรอง ลุงพีซึ่งเข้าใจความสำคัญของตนเองดี จึงถือเอาโอกาสแสนดีนี้กำหนดบทบาทของพรรคตนเอง

ถ้าอุ้งอิ้งลาออก หานายกรัฐมนตรีคนใหม่ รทสช.จะเข้าร่วมต่อ เผลอๆ อาจได้เป็นถึงตำแหน่งนายก ซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งอยู่อีกพอสมควร

ถ้าอุ้งอิ้งไม่ลาออก รทสช.จะไขก๊อกออกเองอย่างไม่รู้สึกผิดต่อพรรคร่วมในข้อครหาไม่ร่วมหัวจมท้ายในยามวิกฤติ

ลุงพีจะร่วมกับรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีมีใจฝักใฝ่อริราชศัตรูได้อย่างไร ความผิดนี้เป็นความผิดของปัจเจกบุคคล ตัวไหนเน่าก็ควรกำจัดออกไป ทำไมต้องหน้าด้านแบกนายกเน่า ๆ อยู่ด้วย หากพรรคร่วมโดยเฉพาะพรรคแกนนำเห็นแก่ผลประโยชน์ชาติจริง ควรจัดการเปลี่ยนตัวนายกเสีย ประเทศจะได้ไปต่อ

เรื่องแค่นี้ถ้าไม่ทำ ก็ป่วยการที่จะร่วมลงเรือลำเดียวกันต่อไป

ซึ่งคำขาดของลุงพี นับว่าทรงพลังมาก แม้จะคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า อุ้งอิ้งไม่ลาออกแน่ แต่ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

อย่างน้อยลุงพีก็ได้ปฏิบัติตามการยื่นข้อเสนอของลุงตู่ขณะประเทศเป็น failure state ตอนยิ่งลักษณ์ลาออก แล้วมีรักษาการนายกอีกคนอยู่ว่า

“ถ้าตกลงกันไม่ได้ ผมยึดอำนาจ!”

ซึ่งลุงพีสามารถกล่าวเสียงดังด้วยสีหน้าจริงจังได้ว่า

“ถ้านายกไม่ลาออก ผมขอถอนตัว!”

เนื่องจากคงไม่มีการถ่ายทอดสด ดังนั้นแอบอัดคลิปไว้หน่อยนะครับ เราได้ฟังคงฟินน่าดู 555555555

“รักลุงพีครับ”

'ชัยธวัช' ชี้การเมืองแรงช่วงนี้ไม่เกี่ยว 'ตระกูลชินวัตร'ผลพวง 'คณะรัฐประหาร-ชนชั้นนำ' โหยหาอำนาจเหนือปปช.

'ชัยธวัช' ชี้ตอนนี้การเมืองแรง ไม่เกี่ยว 'ตระกูลชินวัตร' แต่เป็นผลพวง 'คณะรัฐประหาร-ชนชั้นนำ' ต้องการมีอำนาจเหนือประชาชน

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) นายชัยธวัช ตุลาธน กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงสถานการณ์ความตึงเครียดของพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ ว่า ในสถานการณ์ที่กระแสความไม่พอใจต่อนายกฯ (แพทองธาร ชินวัตร) ลุกลามอย่างรุนแรงนั้น

นายชัยธวัช ระบุว่า ประเด็นหนึ่งที่อยากชวนคิดคือ ภาวะที่เราไม่พอใจอยู่นี้ ถึงที่สุดแล้วไม่ได้เกิดขึ้น เพราะตระกูลชินวัตร แต่มันเป็นผลพวงจากการเมืองของคณะรัฐประหาร และชนชั้นนำบางกลุ่ม ที่ต้องการมีอำนาจเหนือเสียงของประชาชน

"การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากนี้ เราจึงต้องไม่หวนกลับไปใช้วิถีทางนอกระบอบประชาธิปไตยอีก การเมืองของชนชั้นนำ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชีวิตของเรา และประเทศตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ทำให้เรามีนายกฯ และรัฐบาลแบบนี้ ดังนั้น มีแต่ต้องชวนกันออกจากการเมืองของชนชั้นนำ แล้วสร้างการเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่ของชาติ" นายชัยธวัช กล่าว
 

'โบว์ ณัฏฐา' ย้ำชัด ‘นายกฯอิ๊งค์’ ต้องลาออก ยกเหตุผลสำคัญ ‘รัฐบาลเพื่อไทย’ บริหารกองทัพไม่ได้

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.68) โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “เหตุผลที่นายกฯต้องลาออก” ระบุว่า สิ่งที่จะไล่เรียงต่อไปนี้ไม่ได้เป็นไปด้วยอารมณ์หรือมีความเกลียดชังใดๆเจือปน ไม่ว่าจะต่อตัวบุคคลหรือพรรคการเมือง แต่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ความผิดพลาดของนายกฯ ที่สะท้อนผ่านคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซนนั้น ไม่ได้อยู่ที่เจตนาในการคลี่คลายสถานการณ์ หรือแม้แต่ท่วงทำนองอันนอบน้อมของบทสนทนาที่พอเข้าใจได้

แต่ความผิดพลาดของนายกฯ อยู่ที่บริบทและเนื้อหาของการสนทนาที่แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความสามารถจะบริหารราชการแผ่นดิน ได้ ไม่ว่าจะในการบริหารสถานการณ์ บริหารความสัมพันธ์ หรือบริหารกองทัพ

คลิปเสียงดังกล่าวถูกอัดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุม JBC การที่นายกฯไม่หยิบยกประเด็นใหญ่ที่กัมพูชาจะยกข้อพิพาทสี่พื้นที่ขึ้นศาลโลกมาพูดถึงเลย แสดงให้เห็นว่านายกฯสนใจที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการปิดด่านเพื่อให้ได้ quick win หรือความสำเร็จเฉพาะหน้า มาผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมืองของตนก่อนเท่านั้น สังเกตได้จากการพูดย้ำไม่ต่ำกว่าสามรอบว่า อิ๊งค์โดนหนักมาก และแม้จะเป็นการเลือกเรื่องที่อาจจะคิดว่าเป็นไปได้มาเจรจา ก็ยังไม่สามารถตั้งประเด็นให้เกิดอำนาจการต่อรองได้

สุดท้ายกลับกลายเป็นการรับโจทย์ จากฮุนเซนกลับมา และรับปากว่าจะทำให้กลาโหมยอมเปิดด่านได้ ไม่มีการพูดถึงปัญหาการวางอาวุธประชิดชายแดนของกัมพูชา ไม่สามารถเตรียมข้อต่อรองที่มีน้ำหนักล่วงหน้า

วันรุ่งขึ้นคือ 16 มิถุนายน นายกฯที่เพิ่ง 'รับโจทย์' มาจากฮุนเซน กลับโดนเล่นงานแต่เช้า เมื่อฮุนเซนประกาศกลางวุฒิสภา ขู่ไทยว่าหากไม่เปิดด่านเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง กัมพูชาจะปิดด่านที่เหลือทั้งหมด ทุกอย่างที่คุยกันทางโทรศัพท์หมดความหมายเพียงชั่วข้ามคืน เป็นความตั้งใจวางยา ยั่วยุให้สถานการณ์เข้าใกล้การปะทะไปอีกหนึ่งก้าว

นายกรัฐมนตรีรีบเข้าประชุมที่บ้านพิษณุโลกทันที แล้วออกมาแถลงข่าวอย่างไร้จุดหมาย ไม่ว่าจะเป็นการบอกว่าการประชุม JBC ประสบความสำเร็จ แจ้งเรื่องการตั้งคณะทำงาน การให้เหตุผลโต้คำขู่ของกัมพูชาว่าไทยไม่เคยปิดด่าน รวมถึงการตำหนิฮุนเซนว่าไม่ Professional ที่คุยหลังไมค์กันอย่างแล้วกลับออกมาโพสต์โซเชียลอีกอย่าง ก่อนทิ้งท้ายว่าโลกจะไม่ยอมรับคนที่ไม่รักษากติกา

ในขณะที่นายกฯไม่ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาใด ๆ หลังการแถลงข่าวกลับมีการบอกยกเลิกการประชุมสมช. ที่กำหนดไว้ในบ่ายวันเดียวกัน แล้วใช้เวลาที่ว่างนั้นในการเรียกรองฯอนุทินเข้าพบ โดยมีการปล่อยข่าวว่าเป็นการเรียกเพื่อไปคุยเรื่องปรับ ครม. ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

อะไรคือเรื่องสำคัญเร่งด่วนในสายตานายกรัฐมนตรี?

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น ผู้นำรัฐบาลบรรลุภารกิจในการยึดตำแหน่งตามบัญชาของพ่อนายกฯ ในขณะที่พ่อนายกฯกัมพูชาก็ไม่พอใจเนื้อหาในการแถลงข่าวที่ตนถูกถอนหงอกเมื่อเช้า นำสู่การปล่อยคลิปเสียงเพื่อทำลายนายกฯ และทำลายความสัมพันธ์กับประเทศไทยไปอีกขั้นในสองวันต่อมา

ยุทธวิธีของฮุนเซนเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่วุฒิภาวะของนายกฯเป็นเรื่องน่ากลัว

โดยเฉพาะเมื่อนายกฯได้กล่าวถึงแม่ทัพภาคสองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลนี้กับผู้นำต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์อันแท้จริง ว่านายกฯก็คงไม่พอใจกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารอย่างจงใจของแม่ทัพบ่อยครั้งที่สวนทางกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ตอกย้ำว่ากองทัพกับรัฐบาลไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันอย่างที่พยายามพูดบ่อย ๆ และที่สำคัญคือ รัฐบาลเพื่อไทยบริหารกองทัพไม่ได้ แม้ไม่พอใจความประพฤติของผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ทำได้แค่ไปขอความเห็นใจกับคู่กรณี

ซึ่งนี่คือความจริงที่น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับประเทศประชาธิปไตย

หลังคลิปเสียงถูกปล่อยออกมา กองทัพมีปฏิกิริยาในช่องทางต่างๆทันที ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงต่อนายกฯ แสดงความพร้อมที่จะแข็งข้อ

คงไม่ต้องให้เหตุผลเพิ่มว่าทำไมนายกฯจึงควร “ลาออก” วันนี้

‘กิตติรัตน์’ ยก นายกฯอิ๊งค์ จิตใจดีหวังคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเจรจา ผิดกับอดีตนายกฯเขมร และรองนายกฯไทย ที่หวังเพียงร่วม “ตีกิน”

‘กิตติรัตน์’ ยก นายกฯอิ๊งค์ จิตใจดีหวังคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการเจรจา ผิดกับอดีตนายกฯเขมร และรองนายกฯไทย ที่หวังเพียงร่วม “ตีกิน”

‘สรรเพชญ’ ซัดแรง!! นายกฯ ผลักกองทัพเป็นฝ่ายตรงข้าม อ้างแค่ “เทคนิคเจรจา” – ถามกลับ “แล้วความจริงอยู่ตรงไหน?”

(19 มิ.ย. 68) - นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงต่อถ้อยคำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุระหว่างการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล” ก่อนจะชี้แจงภายหลังว่าเป็นเพียง “เทคนิคในการเจรจาทางการทูต”

“หากการกล่าวว่าทหารของชาติเป็นศัตรู คือเทคนิคในการเจรจา แล้วข้อเท็จจริงอยู่ตรงไหน? นี่ไม่ใช่แค่การบั่นทอนขวัญกำลังใจของกองทัพ แต่เป็นการบ่อนทำลายสถาบันหลักของประเทศอย่างร้ายแรง” นายสรรเพชญกล่าว

เขาย้ำว่า กองทัพภาคที่ 2 คือแนวหน้าสำคัญในการดูแลชายแดนและปกป้องอธิปไตยของชาติ การที่ผู้นำรัฐบาลเลือกใช้ถ้อยคำที่ลดทอนความชอบธรรมของกองทัพไทยต่อหน้าผู้นำต่างชาติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

“นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดกับเพื่อนฝูงในร้านกาแฟ แต่พูดในฐานะผู้นำประเทศ ถ้อยคำที่ใช้จึงมีน้ำหนักและส่งผลสะเทือนกว้างไกล การอ้างว่าเป็นเทคนิคจึงไม่น่าเชื่อถือ และสะท้อนถึงภาวะผู้นำที่อ่อนแออย่างยิ่ง”

นายสรรเพชญยังกล่าวว่า การใช้ถ้อยคำเช่นนี้ ไม่เพียงสะท้อนความไม่รอบคอบของผู้นำ แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติ และเสถียรภาพภายในประเทศเอง

“การเจรจาทางการทูตไม่ควรถูกแลกมาด้วยศักดิ์ศรีของทหารไทย หากสิ่งที่เรียกว่า ‘เทคนิค’ คือการกล่าวหากองทัพของชาติว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลชุดนี้ควรทบทวนตัวเองอย่างจริงจังว่า ยังยืนอยู่ข้างประเทศหรือไม่”

ในช่วงท้าย นายสรรเพชญยังได้กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหาร โดยย้ำว่า “แม้คำพูดของรัฐบาลจะทำให้เสียขวัญ แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงเชื่อมั่นและขอบคุณทุกท่านที่ยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดินอย่างมั่นคงเสมอมา”

แนะประชาธิปัตย์ถอนตัวจากรัฐบาล แต่ต้องวางยุทธศาสตร์พรรคให้ชัดเจน

‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ในยุคก่อน กล่าวบนเวทีเสวนา “อนาคตการเมืองภาคใต้ หลังพรรคกล้าธรรมปักธงเขต 8 นครศรีฯ เรียกร้องให้กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์พิจารณาถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล

เวทีนี้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังพูดและตั้งคำถาม จึงมีคำถามที่แหลมคมไปยังนิพนธ์ว่า จะฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ เรียกศรัทธาคืนมาอย่างไร แม้จะเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะนิพนธ์ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ ทำได้แค่แนะนำให้ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

หลังคลิปลับการสนทนาระหว่างนายกฯแพทองธาร กับอดีตนายกฯฮุนเซนของกัมพูชาหลุดออกมา พร้อมกับคำดูหมิ่นดูแคลนจาก ‘ฮุนมาเนต’ นายกฯกัมพูชา ไม่มียุคสมัยใดที่ไทยกลัวกัมพูชาเท่ายุคนี้ อันเป็นประโยคที่ผู้นำประเทศต้องหน้าชา ทหารก็มือเท้าสั่น

พรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคแรกที่หน้าบาง จากแรงกดดันหลายด้านตัดสินใจทิ้งรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’เก็บข้าวเก็บของออกจากมหาดไทย ทำเนียบรัฐบาล และน่าจะมีแอคชั่นต่อด้วยการลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาของ ‘ภราดร ปริศนานันทกุล’

มีกระแสเรียกร้องอีกมากมายตามมา 'ยุบสภา-ลาออก' ยุบสภาในสถานการณ์ตกต่ำคงไม่มีแกนนำรัฐบาลไหนทำ ลาออกก็คิดหนัก จะเอาใครมาเป็นนายกฯคนต่อไป พรรคเพื่อไทยได้ใช้ไปแล้วสองตัว เหลือ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ อยู่เพียงคนเดียวในบัญชีนายกรัฐมนตรี หันซ้ายมองขวา ก็มีแต่คนพรรคอื่น

พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจนำร่อง เรียกคะแนนนิยมไปก่อนแล้ว ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล เหลือพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคกล้าธรรม จะกำหนดท่าทีอย่างไร

11.00 น. วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติประชุมกำหนดท่าที 17.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ประชุมปกติ แต่น่าจะมีประเด็นการกำหนดท่าทีแทรกเข้ามาในวันนี้

ถ้าพิจารณาตามคำเรียกร้องของนิพนธ์ให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลมีประเด็นพิจารณาทั้งข้อดี และข้อเสีย หาก 'ถอนตัว' ตอนนี้ เท่ากับเดิมพันครั้งใหญ่!

ข้อดี:
1.ฟื้นภาพลักษณ์พรรคอุดมการณ์ ประชาธิปัตย์จะถูกมองว่า “กล้าพอ” ที่จะไม่ทนอยู่ในรัฐบาลที่มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส ได้คะแนนนิยมจากกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
2.ไม่ต้องเป็นเงาของเพื่อไทย (ทักษิณ)ในฐานะพรรคร่วมเสียงข้างน้อย ประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจจริง และภาพลักษณ์ก็จมไปกับการบริหารของเพื่อไทยภายใต้การกำกับของทักษิณ
 3.มีโอกาส 'นิยามตัวเองใหม่' ถอนตัวตอนนี้ เท่ากับเปิดทางรื้อโครงสร้างพรรค ดึงคนรุ่นใหม่ ปั้นจุดยืนใหม่ทันก่อนเลือกตั้งหน้า

ข้อเสีย:
1.สูญเสียตำแหน่งรัฐมนตรี อำนาจบริหารที่ไม่มีใครอยากสูญเสีย คนในพรรคบางกลุ่มอาจไม่ยอม เพราะเกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์
2.ถ้าไม่ชัดว่าจะยืนตรงไหนต่อ อาจไร้พลัง
ถ้าถอนแต่ 'ไม่มีจุดยืน' ที่ชัด (จะค้าน? จะตั้งพรรคใหม่? จะจับมือกับใคร?) ประชาชนอาจมองว่าแค่โหนกระแส
3.เสี่ยง 'หลุดจากสารบ'” ทันที ถ้าถอนตัวแล้วประชาชนยังไม่เห็นความแตกต่างจากพรรคอื่น อาจไม่มีใครให้โอกาสอีก

ถ้าพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์:ประชาธิปัตย์ถอนตัวได้ — ถ้า “คิดวางยุทธศาสตร์ วางโครงสร้างพรรคใหม่ไป พร้อมกัน!

ประชาธิปัตย์ “ควรถอนตัวจากรัฐบาล” เฉพาะเมื่อมีการเตรียมพร้อมด้านยุทธศาสตร์ เช่น เปิดตัวผู้นำใหม่อย่างชัดเจนเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ของพรรค มีแนวร่วมใหม่ เช่น นักวิชาการ คนรุ่นใหม่ ฯลฯ และอธิบายให้ประชาชนเห็นว่า “นี่ไม่ใช่แค่การถอนตัว แต่เป็นการปฏิรูปพรรค ฟื้นพรรคประชาธิปัตย์ เพื่ออนาคตประเทศ”

ถ้า “ถอนตัวอย่างกล้าหาญ และวางหมากล่วงหน้าได้” จะเป็นจุดเปลี่ยนของพรรคที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ถ้า “ถอนเพราะแค่ตามภูมิใจไทย” โดยไม่มีวิสัยทัศน์ต่อจากนั้น อาจกลายเป็นพรรคที่หายไปจากการเมืองไทยเลยก็ได้

กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ต้องตัดสินใจบนพื้นฐานผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน แล้วจะเห็นทางออก ทางเดินของพรรค

อ.ไชยันต์ ย้ำ สภาไม่ได้มีปัญหา ชี้ นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกสถานเดียว เซ่นปมคลิปเสียงสนทนาฮุนเซน

เมื่อวันที่ (18 มิ.ย. 68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ต่อกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุนเซน โดยระบุว่า "งานนี้ ยุบสภาไม่ได้เลย ต้องลาออกสถานเดียว สภาไม่ได้มีปัญหา"

พร้อมย้ำว่า ปัญหาเรื่องคลิปเสียงหลุด ไม่เป็นเงื่อนไขให้ยุบสภา ถ้าเรื่องคลิปเป็นปัญหาเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยมีสิทธิ์ไม่สนับสนุนให้คุณแพทองธารเป็นนายกฯและหัวหน้าพรรคต่อไป เมื่อเพื่อไทยไม่สนับสนุน ก็ต้องหานายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งเพื่อไทยเหลือคุณชัยเกษมเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากหาพรรคอื่นร่วมได้เสียงเกินครึ่ง เพื่อไทยก็จะยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไปได้

“แต่ถ้าเรื่องคลิปเสียง ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องที่กรรมการพรรคร่วมรู้เห็นด้วย นั่นคือ คิดจะรับแบกคุณแพทองธารไว้  พรรคเพื่อไทยก็ต้องไปทั้งยวงครับ เลือกเอานะครับ ว่าจะเลือกประเทศชาติและตัวเอง หรือจะเลือกลูกนาย?”

‘ปิยบุตร’ จี้ ‘นายกฯอิ๊งค์’ ยุบสภาแสดงภาวะผู้นำ เซ่นคลิปเสียงคุย ‘ฮุน เซน’ หลีกเลี่ยงรัฐประหาร

(18 มิ.ย.68) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ระบุว่า...

จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับสมเด็จฮุนเซน และกรณีความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องการแย่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนกระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล

ประกอบกับ เกือบ 2 ปี ภายใต้รัฐบาล 'ข้ามขั้ว' นี้ พรรคเพื่อไทยไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้

จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ ได้ตัดสินใจกันใหม่ว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล

เพื่อแก้วิกฤตการเมืองในระยะสั้น ทั้งของประเทศ และทั้งของพรรคเพื่อไทยเอง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงทางตัน และเพื่อไม่ให้สถานการณ์เดินไปจนเข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร

นายกรัฐมนตรีโปรดแสดงภาวะผู้นำ ยุบสภาเถิดครับ

ไม่มีอะไรใหญ่กว่าประชาชน

'อนุทิน' ประกาศแยกทางร่วมรัฐบาลเพื่อไทย บอกไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่าค้ำยัน

'อนุทิน' ลั่นถ้ารักษาข้อตกลงไม่ได้พร้อมแยกทาง รับไม่เคยคิดเดินมาถึงนี้ ลั่นไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่าค้ำยัน ไม่ประเมินอายุรัฐบาลจะสั้นหรือไม่ แต่หากเป็นฝ่ายค้านพร้อมทำงานเต็มที่

(18 มิ.ย.68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยขีดเส้นใต้ 48 ชั่วโมงให้คืนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ไม่มี อย่าไปพูดขีดเส้น ใครจะมาขีดเส้นได้ เมื่อวานนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มาหารือกันและบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็นอยากจะบริหารกระทรวงมหาดไทยเอง ซึ่งได้ปฏิเสธไปแล้วเพราะมันผิดข้อตกลง แต่นายแพทย์พรหมมินทร์ บอกว่าเป็นความต้องการของพรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่าไพ่ใบสุดท้าย เมื่อเริ่มต้นมาเช่นนี้ไม่ต้องรอ 2-3 วันตอบได้เลย และได้ตอบไปแล้ว

เมื่อถามว่าเมื่อนายแพทย์พรหมมินทร์ ได้ยินคำตอบก็ยกหูหานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีทันทีใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เหรอ อันนี้ไม่ทราบ แต่ก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะท่านมาหาถึงกระทรวงมหาดไทย คงได้รับการร้องขอให้มาหาตนที่กระทรวง

เมื่อถามต่อว่าจากสัญญาณที่ส่งมา หากพรรคภูมิใจไทยไม่ยอมจะเดินหน้าอย่างไรกันต่ออย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้มีเงื่อนไขอื่น มันไม่ใช่เรื่องการต่อรอง จะเอาอย่างนั้นได้ไหม อย่างนี้ได้ไหม แต่มันเป็นข้อตกลงในการสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งเป็นเอกภาพมาโดยตลอด คงตอบได้แค่นี้

ส่วนกรณีที่ สส. พรรคเพื่อไทยอ้างว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ตอบสนองนโยบายรัฐบาลนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่จริง

“สุดท้ายผมก็ตอบได้หมด และเมื่อตอบได้หมดสุดท้ายเขาก็บอกว่าพูดกันตรงๆ เลยอยากได้กระทรวงมหาดไทยกลับคืนไป ผมก็บอกพูดกันตรงๆ ให้ไม่ได้”

พร้อมกันนี้นายอนุทิน กล่าวว่า เราพร้อม ถ้าเราไม่พร้อมจะตอบไปอย่างนั้นเหรอ ของต่อรองอย่างนี้มันไม่ใช่ของต่อรองอย่างที่บอกไป เรื่องของการบริหารบ้านเมือง

เมื่อถามว่าเหมือนพรรคภูมิใจไทยเตรียมจะแถลงพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่าไม่มี ตนได้รับอำนาจจากกรรมการบริหารตัดสินใจในเรื่องนี้ และได้แจ้งการตัดสินใจไปยังเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วเมื่อวาน

เมื่อถามย้ำว่าเคยคิดหรือไม่ว่าจะเดินมาถึงจุดนี้กับรัฐบาลเพื่อไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เคยคิดเพราะคิดว่าทุกคนจะรักษาข้อตกลง แต่ไม่เป็นไร ถ้าข้อตกลงรักษากันไม่ได้ เราก็ต่างคนต่างไป

เมื่อถามว่าการที่เมื่อวานเจอเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแต่ไม่ได้เจอตัวนายกรัฐมนตรีถือเป็นการเข้าหน้ากันไม่ติดหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกับตนแล้วจะสบายใจมากนัก และทุกคนก็ทราบดีว่ามันมีการเบรกข้อตกลง ซึ่งถ้าถามว่ามันดีหรือไม่ก็คงไม่ดี เพราะหลังจากนี้ก็คงต้องมานั่งเขียนเงื่อนไข เขียนสัญญา ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะข้อตกลงแบบนี้ต้องมีความหมาย มีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าข้อตกลงที่เป็นข้อเขียนด้วยซ้ำ เพราะเป็นความเชื่อมั่นเชื่อใจซึ่งกันและกัน และที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่พรรคภูมิใจไทยไม่ทำตามข้อตกลงแม้แต่อย่างเดียว

เมื่อถามว่าหากเป็นฝ่ายค้านมองว่าอายุรัฐบาลจะสั้นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หากเป็นฝ่ายค้านก็คงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเล่นเกมอะไร ต้องทำตามบทบาท เหมือนกับตอนที่เป็นฝ่ายบริหารก็บริหารอย่างเต็มที่ ซึ่งก็มั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้องและเหมาะสม และการบริหารกระทรวงมหาดไทยก็เป็นปึกแผ่น จึงมองว่าอาจจะทำให้พรรคการเมืองอื่นกังวล

เมื่อถามถึงเอกภาพของเสียงพรรคภูมิใจไทย 77 เสียง จะไปด้วยกัน ใช่หรือไม่ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าจะมีเสียงมาเติมฝั่งรัฐบาล นายอนุทิน กล่าวว่าเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี ทราบดีว่าอะไรเป็นอะไรในการจัดตั้งในการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีองค์ประกอบที่มาจากพรรคการเมือง มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เอา สส.ของพรรคอื่นมาประกอบ เชื่อมั่นว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่อยากมีโครงสร้างรัฐบาลที่อยู่ได้เพราะเอางูเห่ามาค้ำยัน ซึ่งตด้ข่าวมาว่ามีคนพูดว่าไปก่อนแล้วค่อยเอางูเห่ามา แต่เชื่อว่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม เพราะรัฐบาลควรมีองค์ประกอบที่เป็นนักการเมืองที่เริ่มต้นด้วยกันมาตั้งแต่แรก ซึ่งที่ผ่านมาเราสนับสนุนมาโดยตลอด

“การที่นายกรัฐมนตรีส่งนายแพทย์พรหมมินทร์ มาพูดคุยขอกระทรวงมหาดไทยคืนไปแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรีคงไม่มีความสบายใจนักที่จะมาพูดคุยความสัมพันธ์เพราะความสัมพันธ์ของเรามันดีมาก แต่ก็ไม่เป็นไร ความสัมพันธ์ในการเคารพนับถือกันก็ยังเหมือนเดิม แต่ก็ไปทำตามหน้าที่ของแต่ละคน ท่านก็บริหารไป ผมเป็นฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ รักษาประโยชน์ในบริบทที่ฝ่ายตรวจสอบพึงจะกระทำ”

เมื่อถามว่าในใจลึกๆ คิดไว้หรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกล้าตัดพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ย้อนว่า ถ้าไม่คิดจะออกมาพูดแบบนี้หรือ ถ้าไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ก็คงรับข้อเสนอไปแล้ว รับกระทรวงสาธารณสุขกับสำนักนายกรัฐมนตรีไปแล้ว มันเป็นคำตอบที่ตนไม่ต้องคิดมาก และที่บอกว่าจะให้เวลา 48 ชั่วโมง ในความจริงแล้วไม่ได้บอก แต่ท่านบอกว่าให้ไปคิด 2-3 วัน ไม่มีการขีดเส้นตาย แต่ไม่รู้ว่าสื่อออกไปได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่าไม่ต้องรีบตอบนะ และยังบอกด้วยว่าอยากให้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าอยู่กันด้วยเงื่อนไขนี้ ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าตอนนี้แยกทางกันแล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถ้าหากเป็นไปตามนี้ ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ

ส่วนช่วงบ่ายวันนี้ที่จะมีประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทินเก่าย้ำว่าตนเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่ ก็ยังต้องทำตามหน้าที่จนกว่าจะมีการ โปรดเกล้าฯให้พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

แกนนำรัฐบาลเทใจไปเขมร – แกนนำฝ่ายค้านหนุนพม่า สะท้อนภาพสองพรรคการเมืองของไทยทรยศคนร่วมชาติ

เชื่อว่าคนไทยหลายล้านคน ที่เกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย แม้เราจะทะเลาะกันในบางคราว ไม่เข้าใจกันในบางครั้ง และมีหลักการในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละคน แต่คนไทยที่แท้จริงก็จะกตัญญูต่อ 'ชาติ ศาสน์ กษัตริย์' จะไม่มีทางเห็นชนชาติอื่นที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนไทยดีกว่าประชาชนของชาติตัวเอง

ยกเว้น 'นักการเมืองไทยหัวใจคด' บางกลุ่ม บางคน

'นักทรยศคนร่วมชาติตัวเอง' เหล่านี้ ต่างเหยียบเดินบนผืนแผ่นดินไทย ได้รับเงินเดือนจากเงินภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชนคนไทย มีหน้าที่การงานที่ดีก็มาจาก 'ความเป็นไทย' แต่กลับตอบแทน 'น้ำใจของชาติ' ด้วยการอิงแอบ สนับสนุน เสริมส่ง สมรู้ร่วมคิด และคอยช่วยเหลือ 'คนชาติอื่น' ที่เข้ามาเบียดเบียน เอาเปรียบ สร้างความเจ็บช้ำและข่มขืนให้กับคนไทย กระทั่งการรุกล้ำอธิปไตยของไทยเราหวังจะฮุบไปเป็นของชาติตนเอง

ยุคก่อนเก่า เราจะเรียกคนเช่นนี้ว่าเป็น 'คนไทยขายชาติ' เพราะนอกจากจะไร้ความปรารถนาดีต่อพี่น้องคนไทยด้วยกัน ยังไร้สำนึกหวงแหนแผ่นดินของตัวเอง ถือว่ามีความผิดร้ายแรง คนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินที่แท้จริง จะไม่มีทางยอม หรือปล่อยให้ 'คนไทยที่น่ารังเกียจ' เหล่านี้อยู่ร่วมชาติเดียวกัน ปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติในภายภาคหน้า

'คนเนรคุณชาติเหล่านี้' ชนชาติอื่นที่มองเข้ามาก็จะเห็นถึงความปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง ไม่จริงใจ และไม่น่าคบค้าสมาคม เพราะแม้แต่ประเทศชาติของตนเองยังกล้าทรยศ หักหลัง ก็ยากที่ชนชาติอื่นจะกล้าเทใจให้อย่างสนิทใจ คงเป็นได้เพียงการยกยอปอปั้น 'คนไทยสายพันธุ์เนรคุณ' เพื่อหลอกใช้ให้สมความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการแค่นั้น หาใช่สัมพันธ์ที่ยั่งยืน

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คนไทยที่เข้าข่าย 'เนรคุณเพื่อนร่วมชาติ' นาน ๆ จะโผล่มาให้เห็นสักคน แต่ยุคสมัยนี้เรามีเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ พร้อมใจกันมาในคราบ 'นักการเมือง' ที่มีความคิดชั่ว ๆ เหมือนกันทั้งพรรค ออกหน้าสนับสนุนคนชาติอื่นอย่างไม่ละอายใจ ปล่อยแม้กระทั่งแผ่นดินไทยจะถูกเฉือนหั่นให้ต้องเสียดินแดนก็ยอม สะท้อนให้เห็น 'หัวใจที่แสนจะสกปรก' เกินบรรยาย

นักการเมืองไทย 'สายพันธุ์เขมรพม่า' ที่คน 24 ล้านเลือกเข้ามาเพื่อมาทำร้ายน้ำใจคนไทยทั้งชาติ ถือเป็น 'รอยด่าง' ที่สะท้อน 'สติปัญญา' คนมีสิทธิ์กาเลือกนักการเมืองไทยได้ดีที่สุด

หวังว่าถึงวันนี้จะคิดกันได้บ้างแล้วนะครับ

‘ลุงตู่’ ผู้เคยถูกปรามาสเป็นเพียง ‘รปภ.ขับเครื่องบิน’ แต่การตัดสินใจในวันนั้นทำให้ ‘การบินไทย’ ได้ฟื้นอีกครั้ง

(17 มิ.ย. 68) ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยส่งให้เข้าสู่ กระบวนการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง เพื่อให้การบินไทยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาล เพื่อฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ การตัดสินใจให้การบินไทย เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการโดยไม่เข้าสู่สถานะล้มละลายที่จะทำให้พนักงาน 20,000 คน ถูกลอยแพ ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะดำเนินการให้การบินไทยดำเนินการต่อได้ จึงให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองของศาลและเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ โดยศาลจะแต่งตั้งมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการการบินไทย

ในครั้งนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้ำว่า “ผมคาดหวังว่าเมื่อมีอาชีพเข้ามาบริหารจัดการแล้วการบินไทยจะกลับมาเป็นสายการบินแห่งชาติ เป็นวิธีการเดียวที่การบินไทยจะประกอบกิจการต่อได้ พนักงานการบินไทยจะได้มีงานทำ การปรับโครงสร้างการบินไทยที่ควรสำเร็จมานานก็จะเกิดขึ้นได้ในการการเข้าสู่ระบบ นั่นคือการตัดสินใจของผมและเป็นสิ่งที่รัฐบาลยึดมั่นปฏิบัติกับการบินไทย”

หลังระยะเวลาผ่านไป 5 ปี ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่บริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ภายหลังประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการครบทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ 
(1) การจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน 
(2) การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด 
(3) การมี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือนประมาณ 40,308 ล้านบาท (เดือน เมษายน ปี 2567 ถึง มีนาคม ปี 2568) ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ  และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวกจากการปรับโครงสร้างทุน 
(4) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568  โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขออนุญาตหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้

แน่นอนว่า ความสำเร็จของการฟื้นฟูกิจการของการบินไทย ในครั้งนี้ส่วนสำคัญย่อมมาจากความร่วมแรงร่วมใจด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท อดทน และเสียสละของผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า อดีตพนักงาน และพนักงานปัจจุบันของบริษัทฯ ทุกคน ความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบัน ตลอดจนพัฒนาการต่างๆ ที่บริษัทฯ ดำเนินการผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปรามาสว่าเป็น ‘รปภ.ขับเครื่องบิน’ ไม่ยืนกรานที่จะนำการบินไทยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการในวันนั้น การบินไทยก็คงกลายเป็นบริษัทที่ล้มละลายไปแล้ว และคงเป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสได้เชิดหัวเทคออฟอีกครั้ง...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top