Friday, 4 July 2025
POLITICS

‘ลอรี่ - พงศ์พล’ โต้ ‘ปิยบุตร’ ปม “ชาตินิยมก้าวหน้า” ชี้ การรักชาติไม่ใช่เรื่องล้าหลัง -รักสถาบันไม่ใช่เรื่องตกยุค

(9 มิ.ย. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า...
"รักชาติ" ไม่เคยเป็นเรื่องล้าหลัง 
"ปกป้องสถาบัน" ไม่ใช่เรื่องตกยุค

อ.ปิยบุตร เทพบุตรของฝ่ายส้ม โหนกระแสคนเชียร์กองทัพ บอกว่าคือโอกาสการสร้าง "ชาตินิยมก้าวหน้า" ไม่ยึดโยงกับราชา ระบอบกษัตริย์
ผมอ่านจบจนถี่ถ้วน นี่แค่ตรรกะปาหี่ของ
"ล้มล้างนิยมโหนชาติ" เท่านั้น

-1-
"ชาตินิยมไทย" ไม่เคยผูกยึดกับเชื้อชาติ ตามที่กล่าวหา
หากแต่ผูกกับเจตจำนงร่วมในการเป็น “คนไทย”

อาจารย์ท่านดังกล่าว พยายามแยก “ชาตินิยมแบบเสรีนิยม” ออกมาจากสิ่งที่ท่านมองว่าเป็น “ราชาชาตินิยม” หรือ “ชาตินิยมล้าหลัง” ด้วยการนำแนวคิดจากเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน หรือเรอนอง มาอธิบายว่า "ชาติเป็นเพียงจินตกรรม"

แต่ในความเป็นจริง “ชาตินิยมไทย” โดยธรรมชาติแล้ว ไม่ได้เหยียดเชื้อชาติ ศาสนา หรือสีผิว แต่ยึดหลัก “สัญชาติไทย” และ “คุณงามความดี” เป็นที่ตั้ง

เรามีบุคคลต้นแบบจำนวนมากในประวัติศาสตร์ไทยที่มีเชื้อสายต่างชาติ ทั้งจีน แขก ฝรั่ง ที่อุทิศตนให้ชาติไทยจนได้รับพระราชทานนามสกุล เช่น บุนนาค, สิมะเสถียร, สุนทรเวช, ณรงค์เดช เป็นต้น

การพยายามสร้างวาทกรรมใหม่ว่า "ชาตินิยมเดิม" เป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาตินั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์และสร้างความแตกแยกโดยไม่จำเป็น

พูดถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่การเหยียด หรือ exclusionary แต่คือ “รากแก้วของรัฐไทย”

-2-
ที่คนไทยให้ความสำคัญกับ 3 สถาบันหลัก ไม่ใช่เพราะต้องการกดทับเสรีภาพหรือขวางโลกใหม่ แต่เพราะประวัติศาสตร์ชาติไทยพิสูจน์แล้วว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” เป็นเสาหลักที่ประคับประคองประเทศให้รอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคม ความแตกแยกภายใน และการรุกรานจากต่างชาติในหลายช่วงเวลา

อาจารย์พยายามจะโยงแนวคิดเรื่องรัฐชาติ ไปสู่การ "ล้มล้าง" ระบบด้วยวาทกรรมแบบ interregnum (ระหว่างระบอบ) ซึ่งไม่ต่างจากมิชชานารี หรือ “นักเผยแผ่ลัทธิตะวันตก” ในสมัยจักรวรรดินิยม ที่เข้ามาล้มล้างความเชื่อ รากเหง้า วัฒนธรรม และการปกครองแบบไทย ด้วยการอ้างว่าเป็น “ความคิดก้าวหน้า”

-สรุป-
“ผมไม่ได้ขัดขวางการตีความคำว่า ‘ชาติ’ แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครแอบเปลี่ยนความหมายของชาติ เพื่อปูทางไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างของรัฐแบบไร้การยินยอมของประชาชน”

การรักชาติไม่ใช่เรื่องล้าหลัง และการปกป้องสถาบันหลักไม่ใช่เรื่องตกยุค แต่คือการรักษารากเหง้าของไทยให้มั่นคงในโลกที่เปลี่ยนไปเร็ว
ช่วยกันรดน้ำพรวนดิน ขจัดปลวก ขจัดแมลงที่กัดกินระบบเราดีกว่า
อย่าคิดล้มกระถาง แล้วอ้างว่าแค่อยากจัดแจกันใหม่เลยครับ

‘อนุทิน’ ลั่น!! ไม่แลก ‘มหาดไทย’ กับอะไรทั้งนั้น ชี้!! นี่คือข้อตกลง ตามคำเชิญมาร่วมรัฐบาลของเพื่อไทย

(8 มิ.ย. 68) กระแสข่าวเพื่อไทยทวงคืนเก้าอี้ รมว.มหาดไทย จากภูมิใจไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยว่ากันว่า ทางเพื่อไทยวางตัว “เสี่ยไก่” ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ( ดีอี ) นั่ง มท.1 แทน “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ในเรื่องนี้ เสี่ยหนูให้สัมภาษณ์สยบความเคลื่อนไหว ว่า พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่าเราไม่ปรับเปลี่ยนอะไร มาเขย่าเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ไม่ได้ นี่เป็นรัฐบาลผสม และเป็นข้อตกลงที่เราหารือกันตั้งแต่เราตั้งรัฐบาล “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน 2 ปีแล้ว และมายังรัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแลก กระทรวงไหนควรแลกกับกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีกระทรวงอะไร อะไรที่ตกลงไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น มันไม่เกี่ยวกับยอมหรือไม่ยอม เพราะเป็นข้อตกลง พรรคภูมิใจไทยไม่ได้เดินไปขอร่วมรัฐบาล อย่าลืมว่าเรามาตามคำเชิญของพรรคเพื่อไทย จำได้หรือไม่

เมื่อถามต่อว่า นายกฯ ให้ความมั่นใจอย่างไรบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า “เนี่ยทำงานกันไม่ได้แล้ว รัฐมนตรีทั้งหลายที่เป็นข่าวก็ไม่มีความมั่นใจ ไอ้ตรงนั้นไม่เท่าไร แต่ที่แย่คือ กลัวข้าราชการจะไม่มีความมั่นใจ และงานจะเดินไม่ได้ หากทำไปจะถูกกล่าวหาว่าถูกต้องหรือเปล่า เป็นเด็กคนนั้นคนนี้อะไรหรือไม่ มันมีสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ต่อประชาชน ซึ่งในส่วนนี้ นายกฯ ก็ให้ความมั่นใจกับ ครม. พูดในที่ประชุม ครม. ลงมาแถลงกับสื่อมวลชน จริงๆ ก็ไม่ควรถามเรื่องนี้กันแล้ว เราได้ฟังจากนายกฯ ชัดเจนว่ายังไม่มีแนวคิดที่จะปรับ ครม. ก็ไม่ทราบว่าใครที่ยังไม่หยุดเรื่องพวกนี้”

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการนัดกินข้าวระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในวันที่ 8 มิ.ย. ที่สโมสรราชพฤกษ์ เพื่อรวมพลังต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี นายอนุทิน ปฏิเสธว่า ไม่มีการนัดกินข้าวกัน มีแต่นัดทำงาน ตนนั่งประชุม ครม. ติดกับ “รองตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรค รทสช. เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ก็คุยกันในเรื่องของภาคการผลิตไฟฟ้า นายกฯ มีนโยบายลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน เห็นว่า ถึงเวลาควรจัดเวิร์กช็อป เพื่อหาวิธีทางในการลดค่าไฟฟ้าให้ตอบรับกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งกำลังรอกำหนดวัน

“พรรคภูมิใจไทยมีมติแล้ว ว่าคนที่จะให้ข่าวเรื่องปรับ ครม. ได้ คือหัวหน้าพรรคเท่านั้น แต่ถ้าในเรื่องของพรรคเป็นหน้าที่ของเลขาธิการพรรค ผมไม่ได้เตรียมความคิดว่า หากหลุดจากเก้าอี้ รมว.มหาดไทย จะทำอย่างไร เพราะมันเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน”

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธาน สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่นายอนุทินยืนยันว่า การนั่งตำแหน่ง รมว.มหาดไทย คุยกันตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลช็อกมินต์ แต่การปรับ ครม. เป็นเรื่องของนายกฯ ที่ดูความเหมาะสมในการทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่นึกถึงสัญญา ไม่มีสัญญาอะไรหรอกวันนี้ ทำงานไประยะหนึ่ง ตอนนี้ 2 ปีแล้ว ตรงไหนที่ยังติดขัด เขาก็ต้องปรับ เพราะฉะนั้นนโยบายรัฐบาลไปไม่ถึงชาวบ้านสักที ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกพรรคพูดแบบนี้ แล้วก็ปรับไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นายอนุทินบอกว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มาขอร่วมรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยเป็นคนชวน เป็นการทวงบุญคุณหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทวงบุญคุณ ตอนนั้นมาร่วมกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าถ้าปรับแล้วเขาจะเป็นอย่างไร ใครๆ ก็ไม่อยากออกจากมหาดไทย แต่เวลาปรับ นายกฯ ต้องเรียกหัวหน้าพรรคร่วมมาคุย นายกฯ ที่ต้องต่อรองเพื่อให้งานถึงมือประชาชน การบังคับใช้หน่วยงานที่มีอำนาจการปกครอง นโยบายจะถึงมือประชาชนโดยตรง เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายกฯ ต้องทำ ก็ให้เขาคุยกันก่อน

เมื่อถามว่า เรื่องเร่งด่วนขณะนี้มีเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และปัญหาเศรษฐกิจ แต่ประชาชนมองว่าพรรคเพื่อไทยมุ่งกับการปรับ ครม. และเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ยังไม่ถึงเวลา เพราะสภายังไม่เปิด เรื่องกัมพูชา วันนี้ก็ยังไม่ได้รบกัน เป็นการใช้อำนาจของทหารในการปิดด่าน เปิดด่าน เป็นหน้าที่ของทหารในการดำเนินการ จะปรับ ครม. ก็ปรับไป ไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่ากังวลมาก ยังไม่ถึงเวลา

‘ดร.เก่งกิจ’ โพสต์ข้อความ ชี้ความคลั่งชาติ เป็นช่องเพิ่มพลังให้กองทัพที่เป็นปรปักษ์กับประชาชน -ประชาธิปไตย

‘ดร.เก่งกิจ’ โพสต์ข้อความ ชี้ความคลั่งชาติ เป็นช่องเพิ่มพลังให้กองทัพที่เป็นปรปักษ์กับประชาชน -ประชาธิปไตย

‘บิ๊กป้อม’ ลั่น อย่าอ่อนข้อบนเวทีอธิปไตย เกมการเมืองต้องเดินอย่างรู้ทัน พร้อมย้ำ แผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้น

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การรุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชา พร้อมสะท้อนประสบการณ์ตลอดหลายทศวรรษที่เคยปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน โดยย้ำว่าความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง

พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเด็ดขาด ไม่ยอมให้การรุกล้ำอธิปไตยถูกมองข้าม และให้ความสำคัญกับมาตรการตอบโต้ที่สมเหตุสมผล ทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ กฎหมาย และศักยภาพทางทหาร เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย

พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไทยยึดหลักสันติวิธี ไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่หากอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจ ไม่ยอมใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ กลับปลุกปั่น ป้ายสี และยกระดับปัญหาไปสู่เวทีโลก ไทยก็จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือในทุกมิติ เพราะการประนีประนอมแบบไม่ลึกซึ้งจะยิ่งทำให้คู่เจรจาไม่เกรงใจและไม่เกรงกลัว

ทั้งนี้ กติกาสากลมีไว้ใช้กับ 'สุภาพบุรุษ' และเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วยความจริงใจ ก็ต้องเตรียมมาตรการเชิงรุกที่สร้างแต้มต่อให้ฝ่ายไทยได้เปรียบ ไม่หลงกล ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พร้อมเรียกร้องให้มีการสื่อสารกับประชาชนและมิตรประเทศอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดในเวทีระหว่างประเทศ

พล.อ.ประวิตรฯ ขอส่งสารไปถึงกำลังพลในพื้นที่ชายแดน โดยขอชื่นชมกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 และกำลังพลทุกนายที่เสียสละเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อผืนแผ่นดิน ด้วยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว พร้อมให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ท้ายที่สุด พล.อ.ประวิตรเน้นย้ำว่า ประเทศไทยยึดมั่นในสันติภาพ แต่หากมีการรุกล้ำอธิปไตยแม้แต่น้อย ต้องพร้อมปกป้องด้วยชีวิต เพราะแผ่นดินไทยต้องเป็นของคนไทยเท่านั้นพร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรวมใจเป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่นโยบายระดับสูงจนถึงทหารด่านหน้า เพื่อปกป้องแผ่นดินด้วยหัวใจแห่งความรักชาติ

'รังสิมันต์' เสนอไทยใช้สันติ-เศรษฐกิจ แทนอาวุธ แก้ปมชายแดนกัมพูชาอย่างยั่งยืน

(6 มิ.ย. 68) จากประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังร้อนระอุในขณะนี้ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ถึงแนวทางที่รัฐบาลไทยควรใช้เพื่อตอบโต้กดดันทางการกัมพูชา ให้ยอมหันหน้าเข้าโต๊ะเจรจาอย่างสันติ โดยที่ไม่ให้ไทยต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

โดยนายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า ประเทศไทยไม่ควรเลือกใช้เส้นทางสงครามทางทหาร ในการแก้ไขปัญหาชายแดน เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างทราบดีว่าการบุกรุกยึดครองกันนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง และหากเกิดการปะทะด้วยอาวุธ ก็จะนำมาซึ่งความสูญเสียและสร้างบาดแผลที่ยากจะเยียวยาในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่บริเวณชายแดน

ในฐานะที่ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่ากัมพูชาอย่างมาก และมีประวัติศาสตร์ที่มีชั้นเชิงในการเจรจา จึงไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นการรบ แต่ควรเอาชนะความขัดแย้งนี้ด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการบีบคั้นทางเศรษฐกิจ มุ่งเป้าไปที่ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย และมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฐานอำนาจของกัมพูชา โดยเฉพาะ 'ออกญา' ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะไปตั้งฐานในพื้นที่เหล่านี้ และเชื่อว่าออกญามีรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายนี้

นายรังสิมันต์ ชี้ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย และ ไฟฟ้าในพื้นที่ปอยเปตก็มาจากฝั่งไทย หากประเทศไทยสามารถตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าในพื้นที่ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ได้ จะเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เพราะเป็นการหยุดรายได้มหาศาลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา และเป็นการแก้ปัญหาภายในประเทศของเราเองด้วย

นอกจากนี้นายรังสิมันต์ยังได้ระบุด้วยว่าไม่ทราบว่ามี 'ออกญา' คนใดที่เกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้าง แต่ทราบว่าบางคนมีสัญชาติไทย ดังนั้นทางการไทยสามารถใช้กลไกกฎหมายในประเทศเข้าจัดการได้เลย

ทั้งนี้นายรังสิมันต์มองว่าจะยังไม่ควรไปถึงข้อเสนอเรื่องปิดด่าน เพราะพื้นที่ซื้อขายในด่านชายแดนเป็นฝั่งไทยที่ได้ดุลการค้า แต่ก็ควรมีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยข้ามไปเล่นคาสิโนในกัมพูชา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเล่นคาสิโนมาจากฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของกัมพูชา

นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า กัมพูชากำลังพยายามสร้างแต้มต่อให้มากที่สุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และการทหาร เพื่อให้ตนเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบในการเจรจา ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องแก้โจทย์นี้ โดยต้องสร้างความชอบธรรมในเวทีนานาประเทศ ทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายรังแกกัมพูชาก่อน เพื่อให้ทุกประเทศเห็นว่าการเจรจาทวิภาคีเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งนี้นายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศรอบบ้านไม่ได้ 'เห็นหัว' ประเทศไทยเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทบทวนตัวเองในระยะยาว 

ทบ. ออกแถลงการณ์โต้ ซัดทหารกัมพูชาเปิดก่อน ยัน เหตุปะทะช่องบกเป็นการป้องกันตัวของทหารไทย

ทบ.โต้ กัมพูชา เหตุปะทะช่องบก ทหารกัมพูชายิงก่อน เพราะหน่วยระดับบริหาร-ปฏิบัติ ไร้ความชัดเจน ทั้งนี้ทางกัมพูชา ยังคงเตรียมความพร้อมทางทหารเข้มข้น

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.68) เวลา 19.30 ที่กองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวถึงกรณีที่ทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์วันนี้ พบมีบางประเด็นที่พาดพิงถึงทหารฝ่ายไทย โดยอ้างถึงเหตุการณ์ปะทะที่ช่องบกว่า ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมา กองทัพบกโดย ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เน้นย้ำหน่วยและกำลังพลให้เคร่งครัดในเรื่องของ กฎการปะทะ ยืนยันว่าการปะทะในครั้งนั้นเป็นไปในลักษณะของการป้องกันตัวระดับบุคคล

เนื่องจากขณะนั้น หน่วยได้รับข่าวสารว่ามีทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธได้รุกล้ำเข้ามาวางกำลังในพื้นที่ของประเทศไทย ฝ่ายไทยจัดกำลังขนาดเล็ก เข้าไปเพื่อลาดตระเวนพิสูจน์ทราบ แต่ฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธตอบโต้ จึงเกิดการปะทะกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการชี้แจงไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ขอยืนยันว่า กรณีเกิดเหตุข้อพิพาทในพื้นที่ ฝ่ายไทยได้พยายามดำเนินการผ่านกลไกการเจรจาระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ ตามที่ทั้งสองประเทศเคยตกลงกันไว้ แต่กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่ไม่มีท่าทีให้ความร่วมมืออย่างจริงจังในระยะหลัง” พล.ต.วินธัย กล่าว

โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กองทัพบกมีความพร้อมต่อปฏิบัติการทางทหารในระดับสูง เพื่อรองรับกรณีที่จำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารตอบโต้ปัญหาการรุกล้ำอธิปไตย

ที่ผ่านมา กองทัพบก และกองกำลังป้องกันชายแดน ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ได้ติดตามและรวบรวมข่าวสารของทางฝั่งกัมพูชา ตั้งแต่หน่วยระดับปฏิบัติ จนถึงหน่วยงานในระดับบริหาร พบว่ามีลักษณะท่าทีในการร่วมกันแก้ปัญหาที่ขาดความชัดเจน อีกทั้งปรากฏสิ่งบอกเหตุว่าฝ่ายกัมพูชา ยังคงดำเนินการเตรียมความพร้อมทางทหารอย่างเข้มข้น ควบคู่กับมาตรการด้านการต่างประเทศมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นความน่ากังวลในแง่มุมทางทหาร

ทำให้ตลอดห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บัญชาการทหารบก จึงมีคำสั่งให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมให้อยู่ในระดับที่สูงเพียงพอ ในการตอบสนองต่อภารกิจในขั้นของการใช้กำลังทางทหาร ตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อตอบโต้กรณีการรุกล้ำอธิปไตยในขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อใช้ความพยายามแก้ไขปัญหาตามแนวทางแห่งสันติที่ทุกฝ่ายปรารถนาแล้ว แต่ไม่บรรลุผล

“กองทัพบกขอยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังในพื้นที่ชายแดน ดำเนินการด้วยความรอบคอบ สุขุม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในสถานการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียกับทุกฝ่าย ขณะเดียวกันก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มขีดความสามารถ หากสถานการณ์จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

คปท. จี้ ‘ภูมิธรรม’ ใช้กลไกสมช. แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่น!! อย่าเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ‘ทักษิณ - ฮุนเซน’

กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย จี้ ‘ภูมิธรรม’ ใช้กลไก สมช. แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา แนะให้อำนาจทหารตัดสินใจในพื้นที่ หวั่นฝ่ายการเมืองเกรงใจ ‘ทักษิณ-ฮุนเซ็น’ กดดันกองทัพ ชี้พร้อมจับตา JBC 14 มิ.ย. ห่วงชายแดนระอุซ้ำอีกครั้ง

(5 มิ.ย.68) - กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. ได้เดินทางไปที่กระทรวงกลาโหม เพื่อแสดงจุดยืนและยื่นข้อเรียกร้องต่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เร่งแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังตึงเครียดให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

คปท. เสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลด้านความมั่นคงโดยตรง ให้เข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากกว่านี้

นายพิชิต ตั้งข้อสังเกตว่า นายภูมิธรรม อาจจะเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ระหว่างสองครอบครัว และระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซ็นอยู่หรือไม่ โดยย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนวันนี้ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นความขัดแย้งที่อาจจะบานปลาย จึงมองว่าไทยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนมากกว่านี้

แกนนำ คปท. ยืนยันว่า กลุ่มไม่ได้ออกมากดดันกองทัพ แต่ต้องการสื่อสารไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลเรือน ซึ่งขณะนี้มีท่าทีตกเป็นรองทางการเมืองฝ่ายกัมพูชา รวมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยแสดงท่าทีตอบโต้อย่างชัดเจนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาปลุกระดมและอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้ คปท. มองว่าแม้ทิศทางทางการเมืองตอนนี้จะตกเป็นรองกัมพูชา แต่ทิศทางด้านความมั่นคงต้องไม่ตกเป็นรอง

คปท. ย้ำว่าจะจับตาการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชาที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และเห็นว่าไทยต้องมีจุดยืนชัดเจนก่อนที่จะไปเจรจากับกัมพูชา

นอกจากนี้ คปท. ยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้อำนาจกองทัพตัดสินใจในพื้นที่ชายแดนมากกว่านี้ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาชายแดนจากเบาไปหาหนัก เช่น ข้อเสนอการปิดชายแดน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร

นายพิชิต เชื่อว่ากองทัพมีท่าทีที่ดีแล้ว แม้จะดูนิ่ง แต่ก็พร้อมรบ และไทยเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางกองทัพมากกว่ากัมพูชา แต่ที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองเป็นผู้ชักนำ และกองทัพก็ให้เกียรติฝ่ายการเมือง ดังนั้นวันนี้ถึงเวลาที่ฝ่ายการเมืองต้องให้เกียรติกองทัพตัดสินใจ โดยเชื่อว่าแผนที่กองทัพเสนอรัฐบาลมีหลายข้อแต่ถูกปฏิเสธไป และมองว่าหลังการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ อาจจะเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นได้ จึงต้องเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้กลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากที่สุด

หลังจากนั้น คปท.ได้เคลื่อนไปแสดงจุดยืนที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ราชดำเนิน เพื่อให้กำลังใจพลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

‘พีระพันธุ์’ ยัน ป.ป.ช. ยังไม่ได้ออกหมายเรียก หลังส่งคนตรวจสอบข่าวพบ 'ไม่เป็นความจริง'

จากกรณีที่มีรายงานข่าวออนไลน์ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหนังสือเรียกให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 นั้น

นายพีระพันธุ์ ได้ส่งคนไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในช่วงเช้าวันที่ 4 เนื่องจากไม่ได้รับหนังสือใด ๆ จาก ป.ป.ช. โดยเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช. ได้ยืนยันว่า ป.ป.ช. ยังไม่ได้ออกหนังสือใด ๆ มายังนายพีระพันธุ์ ข่าวดังกล่าวจึง “ไม่เป็นความจริง”

การนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม สื่อมวลชนจึงควรตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้รอบคอบและแน่ชัดก่อนเสนอข่าว

‘พงศ์พรหม’ หนุน ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ ได้ทำงานต่อ สุดอึ้ง!! คนทำดีมีผลงานแต่กลับถูกบี้ให้พ้นตำแหน่ง

(4 มิ.ย. 68) นายพงศ์พรหม ยามะรัต อดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า...เห็น 2 ข่าวนี้ นึกว่าฝัน
กลุ่มคนที่กำลังไล่ปราบทุนเทา กำลังโดนบี้ออกจากตำแหน่งอย่างเปิดเผย ไม่อายฟ้าดิน
ไม่อายประชาชน
ไม่อายในหลวง

ขอพูดเรื่องนี้อย่างสบายใจหน่อยนะครับ
1. ปี 66 ผมไม่ได้เลือกพรรค รทสช.
2. ผมไม่เคยรู้จัก เจอ คุย กับคุณพีระพันธุ์และคุณเอกนัฏ เป็นการส่วนตัว
ในขณะที่รัฐบาลนี้ไร้ผลงานมาตลอด 2 ปี
ประชาชนเราเห็นแต่ผลงานคนแค่ 2 กลุ่ม

กลุ่มแรกคือกระทรวงพลังงาน ผลงานมากน้อยกว่ากัน แต่มีให้จับต้องมากกว่ากระทรวงต่างๆอีก 80% ที่เหลือ
แต่กำลังจะโดนบีบยึดกระทรวง เหมือนยุค 4 กุมารโดนเด้ะ

กลุ่มสองคือกระทรวงอุตสาหกรรม
คือทีมสุดซอยนั่นแหละครับ
ทีมนี้ผลงานน่าจะเด่นสุดในรัฐบาลนี้แล้ว
ตอนนี้ทีมสุดซอยกำลังโดนเล่น
คนที่เล่นทีมสุดซอย เริ่มเปิดหน้าตัวเองมาเรื่อย ๆ
ผมเดานะ
เดาล้วน ๆ 

ทีมสุดซอยกำลังไล่ปราบคอร์รัปชัน คงไปเหยียบเท้าทุนเทาเข้า
จึงกำลังโดนเล่น

ฝากประชาชนครับ
คุณจะเหลือง หรือแดง หรือส้ม
เราต้องยืนฝั่งคนทำงานดีเพื่อสังคม

ผมประกาศสนับสนุนคุณเอกนัฏและทีมสุดซอยครับ
แม้ผมไม่ได้เลือกเขา
ถึงเวลาประชาชนต้องแสดงจุดยืน ไม่ยอมนักการเมืองเลวๆอีกต่อไป
ไม่ใช่คนที่ไล่จับมาเฟียเทา ทั้งเหล็กปลอม โรงงานปลอม โรงงานขยะพิษ ทำดีแสนดี
แต่กำลังโดนไล่บี้ให้หลุดตำแหน่ง
ผมไม่ได้พูดถึงใครเฉพาะเจาะจงนะครับ

ยุคนี้
มาเฟีย กล้าไล่กระทืบคนดีออกสื่อ
พรรคประชาชนที่ตรวจสอบ สตง.
ตรวจสอบตึก SK__
ก็กำลังโดนฟ้อง

ผมถึงบอกว่า
กลียุคครองเมือง
เมืองจึงเป็น Fail state
ประชาชนจึงยากลำบากแบบนี้ไงครับ

กรณีสถานการณ์ชายแดน ‘ไทย-กัมพูชา’ ย้ำจุดยืน แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

(4 มิ.ย. 68) เมื่อเวลา 07.00น. รัฐบาลออกแถลงการณ์ “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” มีใจความว่า

รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการ ปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม

โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทยซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งสถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และ ปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิตในทุกระดับรวมถึงนายกรัฐมนตรี ของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันด้วยความห่วงใยในสถานการณ์ ผลจากการพูดคุยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและ ไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้นคือกลไก JBC ตามที่ ผู้บัญชาการทหารบก ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นที่ได้รับการสอบถามเกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่อาจประสงค์จะใช้กลไกทางศาลหรือฝ้ายที่สามมาพิจารณาเรื่องนี้นั้น ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ้ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกันเช่น

- JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม)ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ้ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอ ของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น (ในวาระที่ฝ้ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา

- GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา)ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค)ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพทัพภาคซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อยนอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นฟ้องกันที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

รัฐบาลขอยืนยันว่า ปัจจุบันสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั่วไปมีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ตามขั้นตอนในการปกป้องอธิปไตยของไทยและรักษาสิทธิทางกฎหมายของไทยอย่างครบถ้วนและเชื่อมั่นว่า ไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดนรวมถึงความเป็นครอบครัวของสมาชิก"อาเซียน"ด้วยกัน

ศูนย์รวม ‘นักการเมือง’ ที่ชื่อว่า ‘ประเทศไทย’ ด้อยคุณภาพ!! แถมยังต่ำเตี้ย ในเรื่องมารยาท

(3 มิ.ย. 68) ผมไม่ค่อยมั่นใจนักว่ามีประเทศใดในโลกบ้าง ที่มี “นักการเมือง” ด้อยคุณภาพ แถมยังต่ำเตี้ยในเรื่องมารยาท ความรู้ ความสามารถ จริยธรรม มโนธรรม สามัญสำนึก และมี “ระดับของความหน้าด้านสูง” ชนิดที่ไม่แคร์ความรู้สึกของประชาชน ผมรู้แต่เพียงว่าประเทศที่ผมเกิดนั้นมี

ใช่ครับ “ประเทศไทย” ดินแดนมหัศจรรย์ที่อุดมไปด้วยเหล่านักการเมือง “มาตรฐานต่ำ” เดินยั้วเยี้ยเต็มไปหมด 

ตั้งแต่ผมจำความได้ กระทั่งอายุแตะเลขห้าในวันนี้ ประเทศที่แสนจะร่ำรวยทรัพยากรธรรมชาติแบบไทยเรา มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่แข็งแรงราวหินผา ซ้ำยังเป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทุกชนชั้นมาช้านาน แต่เรากลับไม่เคยมี “นักการเมือง” หรือ “พรรคการเมือง” ที่คนไทยสามารถพึ่งพิงจริง ๆ ได้เลย เรามีแต่ “เลวน้อย” กับ “เลวมาก” สลับกันเข้ามา “ปล้นประเทศไทย” หรือถ้าจะพูดแบบเข้าข้างตัวเองให้สบายใจขึ้นมาก็คือ แค่เรามีแบบ “เลวน้อยหน่อย” ให้เลือก ก็สามารถปิดถนนจัดโต๊ะจีนฉลองกันได้แล้วสำหรับคนไทยแบบเรา ๆ 

โอ้ว! ทำไมคนไทยถึงได้มีกรรมเช่นนี้หนอ ทั้ง ๆ ที่เรามีแผ่นดินที่สมบูรณ์ มีชาติที่มีเอกราช แต่เรากลับไร้ “คนบริหารประเทศ” ที่หวังดีต่อประชาชนคนไทยจริง ๆ นี่คือส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเจริญก้าวหน้าเทียมเท่าประเทศอื่น หลายประเทศที่เคยล้าหลังกว่าเราก็แซงหน้าเราไปแบบไม่เห็นหลัง เราตกต่ำลงเรื่อย ๆ แม้กระทั่งเรื่องสำคัญอย่างการศึกษา 

ผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองไทยทุกคนนั้น "บ่มิไก๊" แต่มั่นใจมาก ๆ ว่าคือส่วนใหญ่ ๆ ที่มันไม่ได้เรื่อง แม้กระทั่งรุ่นใหญ่ที่อยู่มานาน เป็นนักการเมืองมาหลายสมัย รัฐบาลไหนขึ้นมาบริหารก็จะมีชื่อของตนเองร่วมอยู่ด้วยเสมอ ก็ใช่ว่าจะเป็น “นักการเมืองน้ำดี” ยกตัวอย่างเรื่อง “โจรป่วยทิพย์ชั้น 14” ขนาด "แพทยสภา” ลงความเห็นแล้วว่า มี “หมอไม่รักดี” อยู่สามคนที่มีความผิด เรื่องก็ควรจบลงแค่นั้น แต่นักการเมืองรุ่นใหญ่ที่ไร้สำนึกคนนี้กลับไม่จบ เดินเกมช่วยโจรข้าง ๆ คู ๆ ชนิดไม่อายฟ้าอายดิน แม้ท้ายที่สุดตนเองอาจจะไม่มีที่ยืนในแผ่นดินเฉกเช่นนักโทษที่ตนเองช่วย ก็ยอม แล้วตรงไหนล่ะที่ทำงานเพื่อพี่น้องคนไทย หรือความดีงามถูกต้องทั้งปวง ไม่มีเลย

นี่แค่หนึ่งตัวอย่างของ “นักการเมือง” มาตรฐานต่ำ ขนาดอยู่มานานยังคิดได้แค่นี้ แล้วเราจะหวังอะไรกับ “นักการเมืองรุ่นใหม่” ที่วัน ๆ ก็เอาแต่จ้องจะ “ล้มสถาบัน” สถานเดียว

'ภูมิธรรม' เผย!! นายกฯ ยังไม่ส่งสัญญาณปรับครม. มหาดไทยอยู่กับเพื่อไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 'อิ๊งค์'

(3 มิ.ย. 68)  ที่ท้องสนามหลวง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีการส่งสัญญาณการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้รัฐมนตรีและสมาชิกพรรคเพื่อไทยทราบแล้วหรือยัง ว่า ยังไม่มีเลย ตนเห็นแต่ในสื่อ ซึ่งทุกคนก็ไม่มีใครมีปัญหา ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ อยู่ที่ท่านนายกรัฐมนตรีตัดสินใจอย่างไรก็อย่างนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่กระทรวงมหาดไทยต้องมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม กล่าวว่า รอให้นายกฯพิจารณา

เมื่อถามว่า กระแสข่าวการปรับครม. ที่เกิดขึ้นบั่นทอนจิตใจรัฐมนตรี และทำให้ข้าราชการเกียร์ว่างหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่เห็นว่ารัฐมนตรีแต่ละท่านเกิดความหวั่นไหวแต่อย่างใด เมื่อซักครู่เจอรัฐมนตรีก็ในงานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิ.ย. ซึ่งรัฐมนตรีก็ยังไม่มีใครรับรู้เรื่องการปรับครม.อะไรทั้งสิ้น ส่วนเรื่องเกียร์ว่าง ตนเชื่อในเกียรติของข้าราชการประจำที่มีหน้าที่ทำงานแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ดูแลประเทศชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ไม่มีอะไร

'เอกนัฏ' ยัน รวมไทยสร้างชาติ ยังไม่แตก คุย!! สส. แล้ว แค่ไปกินข้าวกับ 'สุชาติ'

(3 มิ.ย. 68) ที่ท้องสนามหลวง นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความแตกแยกภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เดี๋ยวต้องไปคุยกัน ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ตนกับ สส.ส่วนใหญ่ก็คุยกันตลอดเวลา คิดว่าปัญหาทุกอย่างคุยกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังอยู่กันแน่นหรือแตกแล้ว นายเอกนัฏ ตอบว่า ยังอยู่กัน ส่วนกรณีที่ปรากฏภาพ สส.ร่วมทานข้าวกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ทาง สส.ได้มาบอกกับตนว่าแค่ไปทานข้าวกันเฉยๆ หรืออย่างก่อนหน้านี้ได้มีการปล่อยข่าวว่าจะมีคนย้ายออกจากพรรค หลายคนก็ออกมาปฏิเสธแล้ว คิดว่าเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้ทุกพรรคการเมืองถือว่าเป็นเรื่องปกติ อาจมีสิ่งที่คาใจ หรือมีปัญหากันบ้าง แต่เราก็เปิดรับฟังอยู่แล้ว ซึ่งก่อนช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ตนก็พูดคุยกับ สส. ตามปกติ

เมื่อถามถึง กระแสที่กดดันนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ออกจากตำแหน่ง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนคิดว่าตำแหน่งของนายพีระพันธ์ุอยู่สูง จึงต้องมีแรงกดดันเป็นธรรมดา เพราะการทำงานต้องประสบกับความท้าทาย ซึ่งเชื่อว่า นายพีระพันธ์ุเจอกับปัญหา แต่ท่านไม่ค่อยพูด เป็นคนที่สู้งานอย่างเดียว

เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในส่วนคดีถุงยังชีพของนายพีระพันธุ์ที่อยู่ในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เชื่อว่า ท่านชี้แจงได้หมด และพร้อมไปชี้แจงกับ ป.ป.ช. และหน่วยงานอื่นๆ

ถามถึง กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ตนยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ ตราบใดที่อยู่ตรงนี้ก็ทำงานเต็มที่ ส่วนการปรับครม. ก็เข้าใจกันดีว่าเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ส่วนอนาคตเป็นอีกเรื่อง

ซักว่า มีการส่งสัญญาณมาจากนายกรัฐมนตรีบ้างหรือยัง เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ยิ้ม พร้อมกล่าวว่า ไม่มี ทั้งตนและนายพีระพันธุ์ ก็ยังไม่ได้รับสัญญาณ และที่ผ่านมาตนก็ทำงานกับนายกรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอดไม่มีปัญหาอะไร

ถามว่า กรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ มีการแก้ข้อบังคับเรื่องการพ้นสมาชิกภาพ จากการสร้างความขัดแย้งหมายถึงนายสุชาติ ใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า การแก้ข้อบังคับทำมาตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.แล้ว ตั้งแต่การประชุมใหญ่พรรค เป็นการปรับแก้ให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ คงไม่ได้ไปแก้เพราะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถามว่า เป็นการแก้เพื่อขู่อีกฝ่ายหรือไม่ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธว่า ไม่ ยืนยันว่า ไม่ได้มีนัย อะไรทั้งสิ้น เพราะการประชุมใหญ่ทุกปีก็มีการแก้ข้อบังคับพรรค เพราะข้อบังคับบางตัวยังไม่มีความชัดเจน

ซักว่า ได้มีการเคลียร์ใจกับนายสุชาติแล้วหรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ยังเลยครับ แต่วันนี้ไม่แน่ เพราะอาจจะได้เจอ

ถ้าวันไหน หัวหน้าพรรค รทสช.ทำประโยชน์ให้ตนเอง ให้พรรคพวกมากกว่า ประโยชน์ส่วนรวม ผมจะเป็นคนแรกที่จะบอกเขาว่า กลับบ้านเถอะ

เมื่อวานนี้ (2 มิ.ย. 68)  นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวถึงปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ขอเตือนสติ เพื่อนๆอาชีพเดียวกัน ศึกนอก หนักหนากว่าศึกใน วันนี้ประเทศไทยต้องการความรัก ความสามัคคี สู้ศึกนอก ห้ามกะพริบตา อย่าเสียสมาธิ เรามีปัญหา ชายแดนกระทบอธิปไตยของประเทศ เรามีปัญหาต่อสู้กับสงครามล่าอาณานิคมเศรษฐกิจ สงครามเศรษฐกิจ ค่าเงิน การค้าระหว่างประเทศ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ บังคับให้ไทยเลือกขั้ว ปัญหาความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งหมดนี้บั่นทอนพลัง อำนาจต่อรองของประเทศไทยที่มีศึกล้อมรอบ ขอให้ตั้งสติให้ดี ยึดประโยชน์ประเทศ ประชาชน ก่อนประโยชน์ส่วนตน ทุกคนจะรอด

นายจุติ กล่าวต่อว่า ส่วนการแก้ปัญหาในพรรค รทสช.นั้น ต้องแยกแยะว่าเป็นปัญหาส่วนรวม หรือ ไม่พอใจส่วนตัว หัวหน้าพรรคฯทำงานให้ประเทศมากกว่าพรรคตนเอง ต้องมีข้อบกพร่อง ไม่ถูกใจ แต่ราคาไฟฟ้าไม่ขึ้นและยังลดลง ราคาน้ำมันไม่ขึ้นไม่มีเรื่องทุจริตส่วนตัว หัวหน้าพรรคฯทำงานให้ประเทศมากกว่าพรรค น่าจะดีใจแทนคนไทย และพิสูจน์กันด้วยผลงาน นักการเมืองมาแล้วก็ต้องไป จะอยู่ในตำแหน่งทำไมถ้าทำประโยชน์ให้ประเทศไม่ได้

“ขอให้โฟกัสที่ศึกนอก ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเมือง และสนับสนุน คนสุจริตให้ทำงานเพื่อส่วนรวม ถ้าวันไหน หัวหน้าพรรค รทสช.ทำประโยชน์ให้ตนเอง ให้พรรคพวกมากกว่า ประโยชน์ส่วนรวม ผมจะเป็นคนแรกที่บอกเขาว่า กลับบ้านเถอะ”นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวต่อว่า ทุกคนมีข้อบกพร่อง ไม่มีใครทำถูกใจทุกเรื่อง ถ้าไม่หนักแน่นพอ เราจะพลาด ดังนั้นขอให้โฟกัส หาคนดี คนสุจริต มาทำงานให้บ้านเมือง ทำทีละเรื่อง เรื่องที่สำคัญคือ ค่าครองชีพประชาชน ,อธิปไตยทางเศรษฐกิจ การเมือง ,ปราบคอร์รัปชั่น ,รักษาระบบธรรมาภิบาลให้ต่างชาติมั่นใจ เรื่องใหญ่ลงตัว เรื่องเล็กจะแก้ปัญหาได้เอง ดังนั้นขอให้มีสติ ประเทศไทยต้องมาก่อน ถ้าหลักการเหนือหลักกู ประเทศไทย คนไทยจะยิ้มได้

ดวงเมืองคอน กับ ปรากฏการณ์ข่าวน่าละอาย  สส.ทำร้ายประชาชน!! กระทืบนักธุรกิจ

(3 มิ.ย. 68) ปรากฏการณ์ข่าวใหญ่ในเมืองนครศรีฯ “สส.คนดังเมืองนครศรีฯกร่าง กระทืบนักธุรกิจ” นั้นคือหัวข่าวเบื้องต้น

ต่อมานักข่าวในพื้นที่ และสื่อสังคมออนไลน์สืบค้นพบว่า คนก่อเหตุน่าจะเป็น “แทน-ชัยชนะ เดชเดโช” และคณะ ส.อบจ. อันเป็นการก่อเหตุในงานอุปสมบทลูกชายนายกฯอบต.ควนพัง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีฯ

ปฐมเหตุเกิดจากการนั่งร่วมโต๊ะอาหารระหว่างทีมของ สส.แทน กับเสี่ยเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง และมีการพูดคุยกันถึงศึกเลือกตั้งนายกฯอบต.ควนพัง ในการเลือกตั้งปลายปี 2568 

แน่นอนว่า การเมืองต้องมีการแข่งขัน และกำลังมีการฟอร์มทีมใหม่ เพื่อลงแข่งกับนายกฯปัจจุบัน ที่สนิทชิดเชื้อกับ สส.แทน จึงมีการเอื้อนเอ่ยเชิงขอร้องไม่ให้มีการส่งทีมลงแข่ง แต่คู่สนทนาที่กำลังฟอร์มทีมสู้ปฏิเสธข้อเรียกร้อง

สุราเม…ออกอาการ เมื่อการพูดคุยไม่รู้เรื่อง ฝ่ามือ 1 ฉาด จึงพุ่งตรงเข้าหน้าของคู่สนทนา และลุกลามถึงขั้นลากไปกระทืบหลังเวทีตามข่าว

กรณีที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดกล้าวิจารณ์ พยานในงานบวชก็พากันเงียบกริบ แต่เกิดมวยคู่เอกปรากฏขึ้น “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่า เป็นคู่กรณี และคนรู้จัก รวมทั้งอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในอนาคตก็ออกโรงขย่ม สส.แทนทันที ทั้งเรื่องจริยธรรม คุณธรรม คดีอาญายอมความไม่ได้ รับอาสาเป็นทนายความให้เหยื่อ เรียกร้องให้โอนคดีให้กองปราบปรามทำแทนตำรวจในพื้นที่ 

แม้คู่กรณีของ สส.แทนจะถอนแจ้งความในวันเดียวกันกับวันแจ้งความ โดยให้เหตุผลว่าเข้าใจผิด แน่นอนว่า ต้องเกิดจากเหตุไม่ปกติแน่นอน เพราะก่อนหน้านั้น มีข่าวสับสนว่า แจ้งความแล้วยังถูกข่มขู่ให้ถอนแจ้งความ ระดับผู้การฯบอกว่า ไม่มีการแจ้งความ แต่หลักฐานหลุดมาจนได้ “ใบแจ้งความ ใบถอนแจ้งความ” ส่วน สส.แทน ปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่

ผมสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองคอน เกิดเหตุร้าย เหตุให้ละอาย เหตุภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง จึงไปสืบค้นข้อมูลที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอต่อจากข่าวนี้
ใครทำอะไรผิด หรือฝ่าฝืนจารีต ถึงทำให้เมืองนครศรีฯตกต่ำ ไม่เจริญก้าวหน้า

คำถามที่ว่าทำไมเมืองนครศรีธรรมราช “ถึงตกต่ำ” หรือ “ไม่เจริญก้าวหน้า” นั้นเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน และอาจมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างสังคม รวมถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ เช่นเรื่อง “ดวงเมือง” ที่คุณพูดถึง ซึ่งคนในพื้นที่บางกลุ่มก็มีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ต่อไปนี้คือ สาเหตุที่คนทั่วไปหรือกลุ่มนักวิชาการ–นักไสยศาสตร์บางส่วน มองว่าอาจเกี่ยวข้องกับความถดถอยของเมืองนครศรีธรรมราช

 1. ความเชื่อเรื่อง “ลบหลู่ดวงเมือง”
มีความเชื่อในหมู่ชาวนครบางส่วนว่า:
• มีการเปลี่ยนแปลง/เคลื่อนย้าย/ปรับปรุงบริเวณศาลหลักเมือง หรือพระบรมธาตุเจดีย์ โดยไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกฤกษ์
• มีบุคคลบางกลุ่มในอดีต “ไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือทำพิธีกรรมผิดขั้นตอน
เช่น ความเชื่อว่าถ้ามีผู้ปกครองที่ “ไม่ถูกโฉลกกับดวงเมือง” เมืองจะเจอภัยพิบัติ เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการเมืองวุ่นวาย

 2. การเมืองภายในจังหวัดที่แตกแยก
• เมืองนครศรีธรรมราชมีประวัติความขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่นยาวนาน
• การแข่งขันระหว่างกลุ่มการเมือง/นักธุรกิจ/ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น อาจทำให้การพัฒนาเมืองล่าช้า หรือไม่ยั่งยืน

 3. โครงสร้างพื้นฐานไม่ทันยุค
แม้เมืองนครฯ จะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ในบางมุมเมืองยังมี:
• ระบบคมนาคมที่ไม่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่
• ระบบบริการสาธารณะที่ไม่ทันสมัยเท่าเมืองอื่น ๆ ในภาคใต้ เช่น ภูเก็ตหรือสุราษฎร์ฯ

 4. การเปลี่ยนผ่านด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
• หลังยุคบูมของ “จตุคามรามเทพ” (ราวปี 2549–2550) เมืองมีความหวังใหม่ด้านเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ
• แต่เมื่อความเชื่อเหล่านั้นถูกมองว่า “กลายเป็นเชิงพาณิชย์” ความศักดิ์สิทธิ์ก็เสื่อมลงในสายตาของบางคน
• บางกลุ่มจึงมองว่าดวงเมือง “อ่อนแรง” เพราะความศรัทธาเสื่อม

 5. ปัญหาเชิงระบบ
• การกระจายอำนาจไม่เพียงพอ: งบประมาณพัฒนาท้องถิ่นมีจำกัด
• การศึกษาหรือนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น

สรุป:
ไม่มีใคร “ทำผิดคนเดียว” ที่จะทำให้เมืองนครศรีธรรมราชตกต่ำหรือไม่ก้าวหน้า
แต่ปัจจัยร่วมกันทั้ง คนในเมือง, การบริหารท้องถิ่น, โครงสร้างอำนาจ และ ความเชื่อ/ศรัทธา ล้วนมีบทบาท
เมื่อศึกษาค้นคว้าลึกลงไปจะพบว่า….

ดวงเมืองนครศรีธรรมราชมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์และผู้สถาปนาเมืองนครศรีธรรมราช พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมของเมือง

การสถาปนาเมืองและดวงเมือง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสถาปนาเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1830 หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลาย โดยมีการกำหนดดวงเมืองในวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมืองนี้เป็นการวางรากฐานทางจิตวิญญาณและการปกครองของเมือง

การส่งเสริมพระพุทธศาสนา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงเป็นผู้ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และทรงจัดระเบียบการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและหลักธรรมทางศาสนา 

ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับดวงเมือง
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชยังถูกผูกโยงกับความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพที่ชาวนครศรีธรรมราชเคารพนับถือ การสร้างเสาหลักเมืองและการกำหนดดวงเมืองจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและความเชื่อทางศาสนา

สรุป
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชถูกผูกโยงอย่างแน่นแฟ้นกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผ่านการสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมือง และการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเมืองที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน 
จริงๆมีข้อมูลมากเกี่ยวกับดวงเมืองนครศรีธรรมราช กับปรากฏการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการวางรากฐานทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ ศาสนา กับการเมืองการปกครอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top