Sunday, 3 December 2023
POLITICS

‘ถาวร’ พร้อมหนุน ‘พระนาย’ นักเรียน รร.นานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ หลังคว้าแชมป์กอล์ฟเยาวชน รายการ ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’

‘พระนาย’ นักเรียนทุน Bloomsbury international school Hatyai คว้าแชมป์ กอล์ฟเยาวชน ‘ถาวร’ ยินดีพร้อมหนุน พัฒนานักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย สู่ระดับมืออาชีพในอนาคต

ช่วงระหว่าง วันที่ 10-12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่สนามกรังปรีซ์ กอล์ฟคลับ จังหวัดกาญจนบุรี มีการจัดการแข่งขัน กอล์ฟเยาวชน ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’ ส่วนกลาง สนาม 5 คลาส S-A-B โดยมีตัวแทนเยาวชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน

โดยผลการแข่งขันในรุ่นคลาส AB ผู้คว้าแชมป์ ได้แก่ นายวิศว์ จิตตธร, รุ่นคลาส AG แชมป์ ได้แก่ นางสาวธัญจิรา อิสสระผล, รุ่นคลาส BB แชมป์ ได้แก่ นายพระนาย เหรียญไกร และเป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย, รุ่นคลาส BG แชมป์ ได้แก่ นางสาวมาริษา โตใจ, รุ่นคลาส SB แชมป์ ได้แก่ นายภูธเนษฐ์ กังวล, รุ่นคลาส SG แชมป์ ได้แก่ นางสาวพิมพ์ชมพู ฉายศิลป์รุ่งเรือง

สำหรับพระนาย เหรียญไกร เป็นนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่มี ‘ถาวร เสนเนียม’ นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาอยู่

‘ถาวร เสนเนียม’ ประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai ได้ออกมาแสดงความยินดีกับน้องพระนาย เหรียญไกร ซึ่งเป็นนักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทยที่มีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนต่อความฝันของอาชีพคือ

1. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
2. Bloomsbury International School Hatyai และ
3. ร้าน Crochet ซึ่งจะเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องพระนายในการแข่งขันกีฬากอล์ฟ 

“ผมในฐานะประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai เราพร้อมสนับสนุนน้องพระนาย ให้เดินตามความฝันทั้งด้านการเรียนและด้านกีฬาอย่างสุดกำลัง” ถาวร เสนเนียม กล่าว

โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ บริหารโดยคุณพิมพ์จันทร์ เสนเนียม ทายาทของถาวร เสนเนียม 

นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ถาวร เสนเนียม ว่า…

“คณะผู้บริหาร Bloomsbury International School Hatyai โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ คณะนี้เข้าบริหารตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งผม นายถาวร เสนเนียม รับหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษา จนถึงขณะนี้ Bloomsbury International School Hatyai ได้รับรองการประเมินความเป็นมาตรฐานจาก 2 องค์กร คือ

1.มาตรฐานของสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565

2.มาตรฐานของ CIS (Council of International Schools) ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมกราคม 2565 (January 2022)

ซึ่งถือว่ามีคุณภาพในด้านการเรียนการสอนและการบริหารเป็นที่น่าพอใจยิ่ง

วิธีการตรวจสอบว่าโรงเรียนใด สามารถดำเนินการจัดการศึกษาได้มาตรฐานหรือไม่ กฎหมายได้กำหนดให้มีการรับรองมาตรฐานเรียกว่าการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการติดตาม และตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ระบุไว้ในมาตรา 49 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คือ สมศ. เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

เป้าหมายของการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อให้สถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม และโปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ สร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษาของชาติ โดยให้มีเอกภาพเชิงนโยบาย ซึ่งสถานศึกษาสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนา คุณภาพการศึกษาให้เต็มศักยภาพของสถานศึกษาและผู้เรียน ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับสถานศึกษา ในการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษา สร้างความเป็นอิสระ เสรีภาพทางวิชาการ เอกลักษณ์ ปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม และพลเมืองของโลก ตามเป้าหมายการศึกษาชาติ

สำหรับการประกันคุณภาพโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาตินั้น นอกจากจำเป็นต้องได้รับการประเมินและประกันคุณภาพจาก สมศ. แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับรองการประกันคุณภาพภายนอกจากองค์กรซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกระทรวงศึกษาธิการหรือองค์กรที่เป็นสากล เช่น CIS , WAS เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กร CIS ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นการยืนยันว่าโรงเรียนแห่งนี้ สามารถจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนมีมาตรฐานทัดเทียมกับโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ ทั่วโลก สร้างความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active citizen) มุ่งเน้นให้เป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะเรียนรู้ (Learner) อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก (well being) และสร้างความยั่งยืน (sustainable)”

‘รัฐบาล’ ส่งเสริมการมีลูก ลุยอัปเกรด ‘ระบบการแพทย์-กม.’ จูงใจคนให้มีลูก เชิดชูเกียรติ-เสียสละเพื่อประเทศชาติ

(15 พ.ย. 66) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมการดำเนินภารกิจของกรมอนามัย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญ ในการดำเนินงานส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดี พร้อมมอบนโยบายให้กับผู้บริหารและบุคลากรเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำการดำเนินการ ‘ยกระดับ 30 บาทอัปเกรด’ ให้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด พร้อมรับมือกับความท้าทายจากสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ภายใต้นโยบายของกระทรวงสาธารณสุข ทั้ง 13 ประเด็น โดยเฉพาะนโยบายการส่งเสริมการมีบุตร ต้องเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินการให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม และผลักดันให้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ ร่วมบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการมีบุตร ทั้งเรื่องคลินิกส่งเสริมการมีบุตร หน่วยคัดกรองโรคหายาก และการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ให้มีโอกาสมีลูกได้ รวมถึงบูรณาการขับเคลื่อนภายใต้ประเด็นเศรษฐกิจสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ให้เกิดการพัฒนาเมืองต้นแบบชุมชนสุขภาพดี (Healthy City Models) และขับเคลื่อนนโยบายประเด็นอื่น ๆ ด้วย

“นายสันติ มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาอัตราการเกิดน้อยของประชากรน้อยลง ซึ่งกรมอนามัยเป็นผู้ที่สนับสนุน วางแผนในด้านต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมการมีบุตรและอยากให้บรรจุเป็นวาระแห่งชาติ และมีสิ่งจูงใจให้สุภาพสตรีมีบุตร เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่าการมีบุตรนั้นมีเกียรติ เสียสละ เพราะต้องยอมรับว่า สุภาพสตรีที่มีบุตรนั้นร่างกายจะทรุดโทรมค่อนข้างมาก กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่ดูแลเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่นำร่องการให้เกียรติ ยกย่อง เพื่อให้เขารู้ว่าการมีบุตรเป็นสิ่งที่ช่วยประเทศชาติ” น.ส.เกณิกา กล่าว

ฤๅ 'ปชป.' 77 ปี จะเรียบร้อยโรงเรียน 'ต่อ' เอาใคร!! 'นราพัฒน์-มาดามเดียร์-เฉลิมชัย'

รอบนี้น่าจะ ‘เจ็บแต่จบ’...ซะที สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ภายในวันที่ 9 ธ.ค.ปีนี้ จะได้หัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่...

ต้องทวนความสักนิดว่าวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้ลาออกจาก 'รักษาการหัวหน้าพรรค' โดยให้เหตุผลลาออกว่า “เพื่อให้การประชุมใหญ่เลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ดำเนินการไปโดยสิ้นข้อสงสัยในเรื่องข้อกฎหมายกรณีรักษาการหัวหน้าพรรค...”

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ 'เล็ก เลียบด่วน' ต้องขอแส่รู้สักนิดว่า ทาง กกต. นั้นเขาระบุว่า เมื่อนายจุรินทร์ลาออกจากหัวหน้าพรรคเมื่อ 14 พ.ค. ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปเลย กรรมการที่เหลือก็รักษาการกันไปโดยมีรองหัวหน้าพรรคลำดับแรกคือ นราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการหัวหน้าพรรค...

นั่นคือมองต่างมุมของ กกต. กับ ประชาธิปัตย์...

อ้าว ก็ว่ากันไป...ตอนนี้ท่าน 'อู๊ดด้า จุรินทร์' ก็ตัดปัญหาลาออกไปแล้ว ที่ประชุมพร้อมใจกันเลือก 'เสี่ยต่อ' เฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค มารักษาการหัวหน้าพรรค...พร้อมมีมติแก้ข้อบังคับให้เพิ่มองค์ประชุมอีก 150 คน จาก 5 ภาค ๆ ละ 50 คน เป็นองค์ประชุมสำรองป้องกันองค์ประชุมล่มหรือไม่ครบเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา...

นับเป็นวิวัฒนาการที่น่าอนาถใจยิ่งของพรรคการเมืองเก่าแก่อายุ 77 ปี...

สาเหตุที่การประชุมสองครั้งล่มไม่เป็นท่า ก็ไม่มีอะไรอื่น...นอกจากสองฝ่ายที่ห้ำหั่นเชือดเฉือนไม่ยอมซึ่งกันและกัน...

- ฝ่ายหนึ่งนำโดยเฉลิมชัย ศรีอ่อน เสนอสูตร นราพัฒน์ แก้วทอง เป็นหัวหน้าพรรค เดชอิศม์ ขาวทอง เป็นเลขาธิการพรรค

-อีกฝ่ายนำโดยผู้อาวุโสชวน หลีกภัย / บัญญัติ บรรทัดฐาน เสนอ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คัมแบ็กกู้พรรค...

เมื่อตกลงกันไม่ได้ เกมก็ถูกลากยาวมาเรื่อย ๆ กระทั่ง สส. ฝ่ายเฉลิมชัยเข้าชื่อยื่นโนติ๊สให้ 'จุรินทร์' เรียกประชุมใหญ่วิสามัญภายใน 60 วัน..

ปัญหาว่า...เวลาเปลี่ยน โผเปลี่ยนมั้ย...

ฝ่ายผู้อาวุโส คงไม่เปลี่ยน ถ้ายังคิดสู้ก็ส่งอภิสิทธิ์ลงสู้ ยกเว้นอภิสิทธิ์เกิดอาการเซ็งโลก...ไม่เล่นด้วย

ส่วนฝ่ายเสี่ยต่อ เฉลิมชัย ตอนนี้สายข่าวแบบลึกแต่ไม่ลับ กระซิบกระซาบมาว่าตำแหน่งหัวหน้ามีถึง 3 ทางเลือก คือ 

1) นราพัฒน์ แก้วทอง ตามโผเดิม 
2) มาดามเดียร์ วทัญญา บุนนาค ที่เจ้าตัวพร้อมมาก 
และ 3) เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยอมผิดคำพูดขอกู้พรรค 2 ปี

ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรค ของสูตรเสี่ยต่อ...ตอนนี้ไม่มีเพียง เดชอิศม์ ขาวทอง หรือ 'นายกฯ ชาย' ชื่อเดียวแล้ว หากแต่มี 'เดอะแทน' ชัยชนะ เดชเดโช ดาวรุ่งจากเมืองคอน โผล่มาลุ้นด้วยคน...

ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ตอนนี้ มีการพูดถึงสูตร 'มาดามเดียร์-เสี่ยแทน' กันหนาหู

แต่สำหรับ 'เล็ก เลียบด่วน' สังหรณ์ใจว่า...นาทีสุดท้าย 'เสี่ยต่อ' จะล่อซะเอง...ขออภัยหากไม่สุภาพ 

สวัสดี!!

‘ชลน่าน’ เล็งดึงแนวคิด ‘ภาษีบาป’ ตั้ง ‘กองทุนเยียวยาเหยื่อ’ หวังช่วยเหลือปชช.ที่ได้รับผลกระทบจากคนเมาแล้วขับ

(14 พ.ย.66) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลที่จะขยายเวลาเปิดสถานบริการจากปิดตี 2 เป็นตี 4 ว่า นโยบายขยายเวลาเปิดสถานบริการให้เมืองท่องเที่ยว ในพื้นที่จำเพาะ หรือโซนนิ่ง เรื่องนี้ในมุมของ สธ.ให้ความสำคัญมาก เพราะนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจต้องไม่กระทบกับสุขภาพด้วย อย่างน้อยต้องคงเดิม หรือไม่มากกว่าเดิม หรือเรามีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิม ดังนั้น จึงให้ความสำคัญในการกำหนดมาตรการรองรับ เราคงไม่คัดค้านหรือต่อต้านนโยบายของรัฐบาล แต่หน้าที่เราจะทำอย่างไรเมื่อขยายเวลาจากตี 2 เป็นตี 4 ช่วงเวลาที่เขาขยายจะไม่ส่งผลกระทบต่อมิติสุขภาพ ซึ่งมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีกฎกระทรวงออกมารองรับ ซึ่งคณะกรรมการกำลังพิจารณารายละเอียดที่จะเสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงเพื่อบังคับใช้ เพราะกฎหมายว่าด้วยการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีหลายมาตราที่ให้อำนาจ เช่น การกำหนดพื้นที่จำหน่าย ระยะเวลาจำหน่าย สภาพบุคคลที่จำหน่าย

“ยกตัวอย่างมาตรการที่คุยในคณะกรรมการที่จะเสนอ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปคือ ทำอย่างไรมาตรการควบคุมอย่างเข้ม ให้มีเครื่องวัดระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้ ซึ่งขณะนี้มีการพูดคุยเรื่องนี้เยอะ คนที่จะออกจากร้านไปขับรถ เป็นไปได้หรือไม่ที่ทุกคนจะต้องตรวจระดับแอลกอฮอล์ หากมีปริมาณเกินก็ต้องมีมาตรการ เช่น ทางร้านหรือคนที่ควบคุมต้องไม่ให้ขับรถ ต้องมีรถสาธารณะมารองรับ หรือแม้กระทั่งระหว่างที่ดื่มกินก็มีกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ว่าห้ามจำหน่ายให้คนที่มีอาการมึนเมา เราก็แปลงมาว่าจะบังคับอย่างไร จะตรวจวัดอย่างไร ให้รู้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายจะซื้อ จะขายตามกฎหมายไม่ได้ ซึ่งเขาเขียนไว้ 2 ลักษณะ คือ ร้านจำหน่ายให้จำหน่ายถึงเวลาที่ปิดสถานบริการ เพราะฉะนั้น เมื่อปิดตี 4 ก็ขายถึงตี 4 เมื่อขยายตรงนี้ มาตรการควบคุมก็ต้องเข้ม” นพ.ชลน่าน กล่าว

รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีการคุยกันถึงเครื่องวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ขณะนี้ถูกนิยามเป็นเครื่องมือแพทย์ ต้องมีมาตรฐานและมีราคาสูง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ระหว่างพิจารณาแบ่งแยกประเภท เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในส่วนที่ใช้ทางการแพทย์ก็ให้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ส่วนที่ใช้ในการตรวจวัดเป็นการทั่วไป เป็นลักษณะการค้นหา ก็ให้เป็นเครื่องมือทั่วไปหรือไม่ เพื่อให้ทุกคนสามารถพกติดตัว สามารถตรวจสอบตัวเองได้ หากทุกคนมีวินัยก็จะไม่มีผลต่อการขยายเวลาเปิดผับ บาร์

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี นายธนกฤต พานิชวิทย์ หรือว่าน นักร้องชื่อดังไลฟ์สดดื่ม กิน ก่อนจะขับรถไปเกิดอุบัติเหตุชนพนักงานเก็บขยะ จะเป็นเหตุให้ต้องเสนอให้ผ่านให้ได้เรื่องการบังคับตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ก่อนออกจากร้าน และห้ามขับรถโดยเด็ดขาดหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นเหตุผลชัดเจนเลย นับว่าเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่เราต้องตระหนัก และเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่พึงมีกฎมาควบคุมชัดเจน

“นักร้องคนนี้ผิดกฎหมายหลายมาตรา ซึ่งในส่วนที่เขาไปกำกับดูแลก็ว่ากันไป เช่น การดื่มเมาแล้วขับก็ผิดอยู่แล้ว เป็นพฤติกรรมที่ไม่ชอบ ทำในสิ่งที่กฎหมายต้องห้ามไว้ สธ.ในฐานะเป็นผู้ดูแลบังคับใช้กฎหมาย ก็จะดูมาตรการป้องกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ” นพ.ชลน่านกล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ สธ.จะรณรงค์โดยใช้คำว่า ‘ดื่มไม่ขับ’ ไม่ได้ใช้คำว่า ‘เมาไม่ขับ’ ดังนั้นต่อไปต้องปรับมาตรการรณรงค์ด้วยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เข้มเลย หมายความว่า คำว่าดื่มไม่ขับ อาจจะน้อยไปแล้ว จากนี้ต้องตรวจวัดทุกครั้งถ้าดื่มในสถานบันเทิง ดังนั้น ต้องทำให้เครื่องวัดหาง่าย สามารถพกพาได้ด้วยตนเอง รู้ตนเอง รู้เพื่อน รู้กลุ่ม ถ้าคุณอยากสนุกต้องสนุกบนพื้นฐานความปลอดภัยต่อตนเอง และของคนอื่นด้วย

เมื่อถามต่อไปว่า มีข้อเสนอจากภาคประชาชนว่า เพื่อเพิ่มความรับผิดชอบให้คนที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงควรมีการตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวทาง เป็นวิธีคิดที่คล้ายกับการเก็บภาษีบาป ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารมึนเมา เพื่อนำเงินนี้มาใช้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ดังนั้นก็อาจจะมีแนวคิดอย่างนั้นได้ ต้องดูในรายละเอียดว่า สามารถจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วนำมาจัดตั้งกองทุนเยียวยาเหยื่อได้หรือไม่

เมื่อถามย้ำว่า จะเสนอเรื่องการตั้งกองทุนนี้เข้าไปพร้อมกันเลยหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ดี ก็กำลังพิจารณา

ด้าน นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก นพ.ชลน่าน ให้ดำเนินการเรื่องเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เบื้องต้นได้ประสานไปยังสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เรียบร้อยแล้ว หาก สมอ.มีการออกประกาศกำหนดมาตรฐานให้ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ อย.ก็พร้อมที่จะออกประกาศให้เครื่องตรวจวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เป็นเครื่องมือแพทย์ต่อไป

กระแสสอย ‘71 สส.ฉาว’ จากหลากพรรคเงียบกริบ ปล่อยนั่งชูคอกินเงินเดือนในสภาฯ ไร้การตรวจสอบ

ครบ 6 เดือนเต็มแล้วที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา จำนวน สส.เขต 400 สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน รวมเป็น 500 คน

กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง สส.ทุกคนที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในระบบเขตเลือกตั้ง ท่ามกลางการร้องเรียนเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย จน กกต.ทำงานไม่ทัน มีเรื่องร้องเรียนทั้งซื้อเสียงเลือกตั้ง จัดเลี้ยง กล่าวหาว่าร้าย (ใส่ร้าย) คู่แข่ง แต่ กกต.ไม่มีปัญญาจับคนทำผิดกฎหมายได้เลยแม้แต่รายเดียว ทั้ง ๆ ที่ กกต.มีกลไกมากมาย ทั้งส่วนกลาง และระดับจังหวัด ทั้งยังมีผู้ตรวจการเลือกตั้งเป็นตัวช่วยอยู่อีกด้วย

ชาวบ้านทุกหย่อมหญ้ารับรู้รับทราบถึงการซื้อเสียงกันครึกโครม ตั้งแต่หัวละ 500-2,000 บาท แต่ละเขตเลือกตั้งผู้สมัครที่คาดหวังว่าจะได้ทุ่มกันเขตละ 20-30-50 ล้านบาท แต่ กกต.กลับไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปสืบเสาะมาได้เลย ทั้ง ๆ ที่มีฝ่ายสืบสวน ฝ่ายสอบสวนอยู่พร้อมสรรพ

เสร็จการเลือกตั้งจึงมีเรื่องร้องเรียนการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย ผู้ร้องต้องหาหลักฐานไปส่งให้ กกต.เอง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ ก่อนการเลือกตั้ง กกต.ไม่มีปัญญาสอยผู้สมัครรายใดได้เลย แม้แต่รายเดียว แถมเสร็จการเลือกตั้ง กกต.กลับรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่มีคะแนนอันดับ 1 และมีเรื่องมีราวร้องเรียนอยู่ เข้าไปเดินเฉิดฉายอยู่ในสภา นั่งชูคอสะล่อนเกือบครึ่งสภา ไม่มีใบแดง ใบเหลือง หรือใบส้ม ใบดำ เลยแม้แต่ใบเดียว

แถมยังออกมานั่งชูคอแถลงข่าวคอเป็นเอ็น ‘ผลการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม’ เป็นการแถลงรับรองผลการเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อร้องเรียน และความสงสัยของชาวบ้าน

ก่อนหน้านี้เมื่อสักสองเดือนก่อน มีข้อมูลหลุดออกมาจาก กกต.ว่า เตรียมสอย สส. 71 เขต จากทั้งหมด 400 เขต จากพรรคการเมืองหลักเกือบทุกพรรค ทั้งเพื่อไทย ก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ มีระบุชัดว่ามีจังหวัดไหน เขตไหน แต่แล้วข่าวนี้ก็หายไปตามกระแสลมหวน ไม่มีข่าวไม่มีคราวความคืบหน้าอะไรออกมาอีกเลยจนถึงวันนี้

6 เดือนเต็มที่ กกต.ปล่อยให้ผู้ถูกร้องเรียน และส่อว่าจะมีมูล เข้าไปนั่งอยู่ในสภาอันทรงเกียรติ กินเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทางจากภาษีประชาชน เดือนละ 2-3 แสนบาท แถมบางคนไม่ได้เป็น สส.ที่มีส่วนร่วมอยู่ในการทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง กลับได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางการเมือง เข้าไปเบ่งกล้ามอยู่ในทำเนียบบ้าง ในกระทรวงต่าง ๆ บ้าง ลูกน้องเดินตามหน้าตามหลังเบ่งอำนาจบารมีกันยิ่งกว่า ‘แมงปอ’

หรือว่า กกต. ขี้ขลาดจากประสบการณ์ที่เลินเล่อ เสนอให้ใบส้ม ‘สุรพล เกียรติ์ไชยากร’ ผู้สมัคร สส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และศาลพิพากษาให้ กกต.ต้องชดใช้เงิน 62 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย

หรือการปล่อยข่าวออกมาว่าจะสอย 71 เขตเลือกตั้ง และทอดเวลาออกไปสองเดือน เป็นการเคาะกะลา แม้จะยังมีเวลาอยู่ตามกรอบของกฎหมายสอยได้ใน 1 ปี แต่ไม่ควรลืมว่า ‘ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม’ และประชาชนเป็นผู้เสียโอกาส กกต.ควรจะเร่งมืออย่างรอบคอบ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่ทอดเวลาออกไปจนชาวบ้านชาวช่องรู้สึกได้ถึงความอ่อนด้อย และไร้ประสิทธิภาพ

จับตา!! ‘ประชาธิปัตย์’ นัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 บ่ายวันนี้ เคาะวันเลือกหัวหน้าพรรค-คกก.บริหารชุดใหม่ หวังสยบความขัดแย้ง

(14 พ.ย. 66) เวลา 14.00 น.วันนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดรักษาการ เพื่อกำหนดวัน-สถานที่จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แทนชุดของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้ สส.มาเพียง 25 คนเท่านั้นเอง จากในทีแรกที่ตั้งเป้าไว้ 60 คน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2566 เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประสบปัญหา ‘องค์ประชุมล่ม’ ถึง 2 ครั้ง จากปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคของ 2 ขั้วกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค นายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ และนายชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรค เป็นแกนนำกลุ่ม มี สส.ในมือ 22 คน ชูนายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค

กลุ่มผู้อาวุโสของพรรคที่มี สส. 3 เสียง ซึ่งให้การสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคให้กลับมานำพรรคอีกครั้ง ซึ่งไม่มีการเจรจารอมชอมกันภายในพรรค จึงทำให้ไม่สามารถเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้และหัวหน้าพรรคคนใหม่ได้

จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า ในการนัดวันประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 3 นี้ ปัญหาดังกล่าวจะยุติลงและได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ที่สมาชิกพรรคทั่วประเทศให้การยอมรับหรือไม่ หรือจะมีการตบเท้าลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค เพิ่มความขัดแย้งในพรรคเพิ่มขึ้นอีก 

การทอดเวลาในการประชุมใหญ่วิสามัญมานานถึง 2 เดือน ทราบว่า มีความพยายามในการเจรจากัน เพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง และเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ พรรคจะได้เดินหน้าต่อไปได้

การเจรจาต่อรองน่าจะนำผลการสอบสวนเรื่องการโหวตสวนมติพรรคของกลุ่ม สส.ในสายของนายเฉลิมชัยมาพิจารณาด้วย โดยมติของคณะกรรมการสอบสวน น่าจะพบว่า สส.ที่โหวตสวนมติพรรคมีความผิด และจะเสนอบทลงโทษออกเป็น 3 แนวทาง ตามฐานความผิด คือ 1.) ลงโทษขับพ้นพรรค (บางคน) 2.) ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมกำหนดเงื่อนไข (บางคน) และ 3.) ตักเตือนด้วยวาจา พร้อมกำหนดเงื่อนไข (บางคน) โดยข้อสรุปนี้ จะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารด้วยเพื่อลงมติ

เปิดตัวแปร ‘สนธิญาณ’ ไขก๊อก!! งัดข้อใคร หรือ บ้านใหม่ไม่เวิร์ก 

การตัดสินใจทิ้ง ท็อปนิวส์ฯ ของ ต้อย-สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีข่าวท็อปนิวส์ น่าสนใจยิ่งกับเหตุผล ‘เนื่องด้วยทิศทางธุรกิจผมกับคณะบริหารไม่ตรงกัน’

ฟังดูเหตุผลแล้วดูเรียบง่าย แต่ภายในน่าจะเดือดปุด ๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว จนมาถึงจุดระเบิดในที่สุด

ทิศทางธุรกิจไม่ตรงกันกับคณะผู้บริหาร จนนำมาสู่การทิ้งบ้าน เป็นเรื่องน่าสนใจ แค่ไม่มีใครให้รายละเอียดเพิ่มเติม

พลิกดูข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีกรรมการบริษัท ประกอบด้วย นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย, นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล (ภรรยานายกนก รัตน์วงศ์สกุล), นายตระกูล วินิจนัยภาค, นายเอกชัย ชัยเชิดชูกิจ (คนสนิทของสนธิญาณ), นายชยธร ธนวรเจต, นายเอกพันธุ์ แป้นไทย, นางสาวกิ่งการะเกด ชื่นฤทัยในธรรม (บุตรสาวนายสนธิญาณ), นายพงษ์ศักดิ์ ชมสุวรรณ และนางสาวสุธิดา สาริกุล

โดยกรรมการลงชื่อผูกพัน นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หรือ นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย หรือ นายเอกชัย ชัยเชิดชูกิจ หรือ นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล 

ส่วนข้อมูลงบการเงินพบว่า ปี 2564 ซึ่งเป็นปีเริ่มก่อตั้งท็อปนิวส์ฯ มีรายได้รวม 192,067,527.00 บาท กำไรสุทธิ 10,329,294.00 บาท และปี 2565 มีรายได้รวม 224,422,932.00 บาท เพิ่มขึ้น 16.84% กำไรสุทธิ 9,065,781.00 บาท ลดลง 12.23% โดยสรุปสองปีมีกำไร ไม่มีขาดทุน แต่ต้องหารายได้มีใช้จ่ายแบบเดือนต่อเดือน เหนื่อยกันอยู่ไม่น้อย

ท็อปนิวส์ฯ จะเล่นข่าวแนวหวือหวา ดุดัน ซึ่งมีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งติดตามชมอยู่แม้นจะอยู่บนทีวีดาวเทียมก็ตาม มีพิธีกรที่เป็นแม่เหล็ก อย่างกนก รัตน์วงศ์สกุล, ธีระ ธัญญะไพบูลย์, ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก, สันติสุข มะโรงศรี, สนธิญาณ เองก็ร่วมจัดรายการแนววิเคราะห์อยู่ด้วย

แต่ปัญหาความไม่ลงรอยน่าจะครุกรุ่นมานาน และขยายวงไปเรื่อย

ก่อนหน้านี้สถานีข่าวท็อปนิวส์ เข้าร่วมเป็นผู้ผลิตรายการให้กับสถานีโทรทัศน์เจเคเอ็น 18 และยุบช่องทีวีดาวเทียมของตัวเอง แต่ยังใช้สถานที่สถานีท็อปนิวส์ฯ ย่านกิ่งแก้วเป็นที่ทำงาน ส่งสัญญาณมายัง JKN-18 ย่านแบริ่ง หลังจากเข้ามาร่วมผลิตกับ JKN ไม่นาน อัญชะลี ไพรีรัก ผู้ประกาศข่าวตัวแม้ก็โบกมือลาท็อปนิวส์ไปก่อนเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ก่อนจะไปรับหน้าที่ผู้อำนวยการข่าว เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่ให้เหตุผลที่แท้จริง แต่ก็มีกระแสข่าวว่า เกิดจากทัศนคติไม่ตรงกันระหว่างนายสนธิญาณ กับ อัญชะลี เรื่องแนวทางการทำงาน

แม้สนธิญาณจะให้เหตุผลชัดว่า ทิศทางการทำธุรกิจไม่ตรงกับคณะผู้บริหาร แต่เมื่อพลิกดูรายชื่อกรรมการบริหารแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนของสนธิญาณเอง ไม่ว่าจะเป็นฉัตรชัย เอกชัย ที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่ทำทีนิวส์แล้ว หรือปุ้ม ลักขณา รัตน์วงศ์สกุล ภรรยาของกนก ก็หอบหิ้วกันมาจากเนชั่น หรือกิ่ง การะเกด ก็เป็นลูกสาวของสนธิญาณเอง มีบางคนที่ #นายหัวไทร ไม่รู้จัก แต่ถ้าดูรายชื่อคณะผู้บริหารส่วนใหญ่แล้วเป็นคนของสนธิญาณ จึงยังนึกไม่ออกว่า ขัดแย้งกันใครในคณะผู้บริหาร

มาดูรายชื่อผู้หุ้นในท็อปนิวส์ฯ ว่ามีใครบ้าง แน่นอนว่า เมื่อเริ่มก่อตั้งสนธิญาณถือหุ้นอยู่ถึง 95% คนอื่น ๆ อีกคนละเล็กน้อย เช่น ฉัตรชัย, กนก, ลักขณา, ธีระ, อัญชะลี, ชยธร, เอกชัย และอื่นๆ

แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น (น่าจะเพิ่มทุน) ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มชื่นฤทัยในธรรม เหลือแค่ 26% ฉัตรชัยเพิ่มเป็น 26% กนก 5% ลักขณา 5% อัญชะลี 4% ชยธร 4% ธีระ 4% เอกชัย 4% และอื่นๆอีก 21%

แม้กลุ่มสนธิญาณจะยังมีสัดส่วนการถือหุ้นมากเกิน 25% แต่ฉัตรชัยคนเดียวถือหุ้นมากถึง 26% รายอื่น ๆ ก็ 4-5%

ก็ไม่รู้ว่านี้จะเป็นสาเหตุทำให้สนธิญาณต้องไขก็อกหรือเปล่า กับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ข้อมูลในเชิงลึกให้ข้อมูลน่าสนใจว่า การตัดสินใจเข้าไปร่วมผลิตรายการกับ JKN ก็น่าจะมีส่วนในการตัดสินใจถอยออกมาของสนธิญาณ เพราะโฆษณาไม่ได้เข้ามาตามเป้าที่วางไว้เมื่อเทียบกับงบลงทุน การที่โฆษณาไม่เข้าเป้าส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทีวีเลือกข้างจึงน่าจะประสบปัญหาในการสนับสนุนการผลิต นายทุนอาจจะถูกบีบโดยผู้มากบารมี ไม่ให้ซื้อโฆษณา หรือสนับสนุนท็อปนิวส์ฯ ก็เป็นได้

มองไปข้างหน้ากับตัวเลขรายได้กับเวลาอายุสัญญาทีวีดิจิทัลที่เหลืออยู่ 6 ปี ไม่น่าจะคุ้มกับงบประมาณที่ลงทุนไป

การถอยออกมาเวลานี้จึงน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสม เพื่อไปดูแลธุรกิจโรงแรมที่สิชล ซึ่งลงทุนไปเยอะแล้ว หรือจะพลิกตัวไปสู่การเมืองก็ยังไม่สาย

เลือดใหม่ ‘เพื่อไทย’ ยุคดรีมทีม ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ 

หลายวันมานี้ ได้ฟังแต่ข่าวฉาวโฉ่ของพรรคการเมืองและนักการเมืองไทยที่กองเชียร์ยกให้เป็นคนรุ่นใหม่ช่วงนี้จนเริ่มเอียน และบางทีก็แอบอดหมดศรัทธาในตัวนักการเมืองที่อ้างตนเป็นคนรุ่นใหม่ไปพอสมควร

แต่กระนั้น หากเชิญชวนในประชาชนเหมารวมยกเข่ง ก็คงจะไม่แฟร์ต่อคนที่ตั้งใจอยากเข้ามาทำงานการเมืองยุคใหม่จริงๆ เพราะในปัจจุบันในหลายพรรคการเมือง เราคงเริ่มเห็น ‘เลือดใหม่’ ที่มีความสามารถ มีการวางตัวดี และมีจิตมุ่งมั่นที่อยากทำการเมืองไทยต่อจากนี้ให้ประชาชนคนไทยไว้วางใจได้มากที่สุดไม่น้อย

เฉกเช่นเดียวกันกับ ‘ท่านรองฯ ป้ายแดง’ แห่งพรรคเพื่อไทย อย่าง ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ หรือ ‘คุณโฟม’ ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม ซึ่งเป็นอีกเลือดใหม่ทางการเมืองที่น่าจับตา หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์มา 4 ปีตั้งแต่การเป็น สส.ในยุคลุงตู่ สะสมชั่วโมงบินจนเริ่มแกร่งกล้า แม้จะวืดเข้าสภาหนนี้ แต่ก็ยังไม่หลุดเฟรมการเมือง 

โดยไม่นานมานี้ คุณโฟม ได้เข้าร่วมทีม ‘เลือดใหม่’ แห่งทัพเพื่อไทย ด้วยการผงาดขึ้นเป็น ‘รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ ในยุคที่หัวหน้าพรรค ‘อุ๊งอิ๊ง’ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เรียกว่า ‘ดรีมทีม’

แน่นอนว่า หลายคนคงโฟกัสไปที่นามสกุลดังอย่าง ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ และก็คงห้ามความคิดใครไม่ได้ด้วย แต่เหตุผลที่ โฟม ได้เข้ามาอยู่ในจุดใดทางการเมือง มิใช่เรื่องของตระกูลอย่างที่คิด แต่เพราะเขาต้องการใช้จุดแข็งของการนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่งในเมืองไทย มาท้าทายงานที่ต้องทำเพื่อประชาชน ด้วยความมุ่งหวังที่จะใช้ประสบการณ์ที่มี มาปรับใช้กับงานบ้านเมือง โดยเริ่มนับ 1 บนถนนการเมืองเมื่อปี 62

ภาพของ ‘คุณโฟม’ ในรั้วการเมืองไทย ตามวงคอมเมนต์ของนักการเมืองรุ่นเก๋าและรุ่นใกล้กัน ต่างยอมรับในความเป็น สส.ที่มุ่งมั่นในบทบาทที่ตนเองดูแล มีความตั้งใจ ขยันทำงาน โดยเฉพาะงานฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นทั้งวิปรัฐบาล, รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกีฬา สภาผู้แทนราษฎร ที่สำคัญ ‘พี่โฟม’ เรียกได้ว่าติดอันดับ ‘ตัวท็อป’ ที่มาประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไปทุกแมตช์ ยกมือแทบจะทุกรอบ ไม่เคยพลาด จนคำว่า ‘ดาวรุ่ง’ ในเชิงของ สส.ภาพลักษณ์ดี ติดอยู่ในสายตาบรรดาคนการเมือง 

แน่นอนว่า ประสบการณ์ที่อาจจะไม่ได้มากเมื่อเทียบพรรษากับ สส.และนักการเมืองทรงเก๋าจำนวนมากในเวลานี้ แต่ภายใต้ ‘ดรีมทีม’ ของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ที่หมายมั่นปั้นการเมืองยุคใหม่ จากคนรุ่นใหม่ ชื่อของ ‘โฟม’ ในเวลานี้ จึงไม่มีอะไรให้ต้องพิสูจน์มากนัก

ตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยป้ายแดง อาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของโฟม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ โอกาสที่จะแสดงฝีมือเต็มๆ แบบ 100% ด้วยการทำงานให้ประชาชนเห็น และเรียกศรัทธา ทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้ ‘พรรคเพื่อไทย’ เป็นพรรคอันดับ 1 ในหัวใจประชาชนเหมือนในอดีต 

คนรุ่นใหม่ ต้องท้าทาย เรื่องแบบนี้!!

'สุริยะ' จี้!! ทุกหน่วยเกี่ยวข้อง ปราบ 'รถบรรทุกน้ำหนักเกิน-ส่วยสติกเกอร์'  สั่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 'ติดตาม-ตรวจสอบ' ปิดช่องโหว่ทุจริตคอร์รัปชัน

(13 พ.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ตนได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจดำเนินงานภายใต้กรอบนโยบาย “คมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ในทุกมิติ พร้อมกำชับการทำงานทุกขั้นตอน ต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ปฏิบัติงานด้วยความสุจริต และปราศจากการทุจริต โดยเฉพาะประเด็นเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกิน หรือส่วยสติกเกอร์ทางหลวงของกรมทางหลวง (ทล.) ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้นั้น ได้เน้นย้ำว่าในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะต้องไม่มีการทุจริต หรือมีส่วยสติกเกอร์ทางหลวงเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด

นายสุริยะ กล่าวว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาได้ติดตามเรื่องส่วยสติกเกอร์มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้ ทล. รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ทำงานเชิงรุก หมั่นตรวจตรากวดขัน และบังคับใช้กฎหมายในเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกินอย่างจริงจังต่อเนื่องเพื่อป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาการทุจริต อีกทั้งเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวงแผ่นดิน หรือมีสภาพทรุดโทรมก่อนช่วงเวลาที่ได้ออกแบบไว้ และอาจจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย และสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน อีกทั้งทำให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก มาดำเนินการซ่อมแซมและบำรุงรักษาถนนด้วย

นอกจากนี้ได้สั่งให้บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งให้ความร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในการตรวจสอบและจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินที่แอบหลีกเลี่ยงเข้าไปใช้เส้นทางในพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายกับพื้นผิวจราจร หรือโครงสร้างของทางพิเศษ นอกจากนี้ ให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการติดตามตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ซึ่งจะมีความแม่นยำและช่วยลดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งจะเป็นการปิดช่องโหว่การทุจริตคอร์รัปชันได้อีกด้วย

นายสุริยะ กล่าวถึงสถิติการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินว่า จากการรายงานของ ทล. ในการดำเนินการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งในส่วนของสถานีตรวจสอบน้ำหนักและการจัดหน่วยตรวจสอบน้ำหนักเคลื่อนที่ (Spot Check) จากทุกสถานีฯ และหน่วยเฉพาะกิจส่วนกลาง ทำการออกสุ่มตรวจสอบน้ำหนักยานพาหนะทั่วประเทศ พบว่า ในปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) สามารถจับกุมได้ 3,416 คัน และในปีงบประมาณ 2567 (วันที่ 1 ตุลาคม – 9 พฤศจิกายน 2566) จับกุมได้ 394 คัน ขณะที่ ทช. ได้ดำเนินการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดที่สถานีฯ และจัดหน่วย Spot Check ตามสายทาง พบว่า ในปีงบประมาณ2566 รวม 8 คัน

ทั้งนี้ในส่วนกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้รวบรวมข้อมูลผลการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินจาก ทล. และ ทช. ในกรณีที่ได้รับแจ้งว่ามีการดัดแปลง/ต่อเติมตัวรถ โดยได้นำข้อมูลรถบรรทุกดังกล่าว แจ้งต่อ นายทะเบียนตามเขตพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อแจ้งผู้ประกอบการขนส่งให้นำรถเข้าตรวจสภาพ โดยจะตรวจสอบว่า มีการดัดแปลง/ต่อเติมแก้ไขตัวรถ หรือเพิ่มเติมอุปกรณ์ส่วนควบให้ผิดไปจากที่จดทะเบียนไว้ หรือผิดแผกแตกต่างในสาระสำคัญที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินการลงโทษตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางมาตรการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกินอย่างยั่งยืนนั้น ทล. ได้มีมาตรการที่เข้มงวดในการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินอย่างต่อเนื่องผ่านศูนย์ควบคุมเครือข่ายส่วนกลาง สามารถส่งข้อมูลออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีฯ และมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ได้บูรณาการความร่วมมือกับ ขบ. ในเรื่องของระบบ GPS เพื่อติดตามรถบรรทุกที่คาดว่าจะมีน้ำหนักเกิน จากนั้นส่งข้อมูลการต่อเติมรถบรรทุกให้ ขบ. ดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะเดียวกัน ทล. ยังขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการรถบรรทุกร่วมกันในการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกินอย่างยั่งยืน รวมถึงมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนเจ้าหน้าที่ประจำสถานีฯ ทั่วประเทศ ครั้งละไม่เกิน 1 ปี เพื่อลดความคุ้นเคยของเจ้าหน้าที่กับผู้ประกอบการขนส่งเพื่อป้องกันโอกาสการทุจริต อีกทั้งนำเทคโนโลยีระบบชั่งน้ำหนักยานพาหนะขณะเคลื่อนที่ (WIM) มาใช้ให้เพียงพอกับการปฏิบัติงาน และการนำกล้องตรวจการณ์มาใช้ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 นอกจากนี้ ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะแก่เจ้าหน้าที่ อาทิ เบี้ยเลี้ยง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจและลดปัญหาการทุจริต

ขณะที่ ทช. ได้จัดทำหลักสูตรอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกำกับน้ำหนักบรรทุกตาม พ.ร.บ. ทางหลวงพ.ศ. 2535 ให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับคัดเลือกจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ขับขี่รถบรรทุกกับเจ้าหน้าที่และลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เช่น ระบบ WIM ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เป็นต้น

ส่วน ขบ. โดยกองตรวจการขนส่งทางบกได้ออกตรวจสอบรถที่ผิดกฎหมาย โดยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะออกตรวจสอบทุกวัน สำหรับสำนักงานขนส่งจังหวัดจะออกตรวจสอบอย่างน้อย 3 ครั้งต่อเดือน รวมทั้งได้ติดตั้งเครื่องชั่งแบบ WIM และเครื่องชั่ง Static สำหรับให้รถบรรทุกเข้าชั่งน้ำหนักและบันทึกข้อมูลน้ำหนักรถเข้าสู่ระบบควบคุมประตูอัตโนมัติ (GCS) ขาออก ก่อนออกจากสถานีขนส่งสินค้า เพื่อให้พนักงานขับรถทราบถึงน้ำหนักสินค้าที่บรรทุกก่อนออกจากสถานีขนส่งสินค้า นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการตรวจสอบการกระทำความผิดและดำเนินการเปรียบเทียบปรับตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 อย่างเคร่งครัดด้วย

‘นายกฯ’ มั่นใจ!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ได้ใช้แน่ ส่วนโครงการดีเลย์เพราะต้องรับฟังทุกเสียง

(13 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงิน 10,000 บาท ที่สังคมมีทั้งคนเห็นด้วย เห็นต่างและสนับสนุน ว่า ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจน และไม่อยากให้สังคมไทย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายตรงข้าม หรือพวกเดียวกัน ไม่อยากให้มีธง อยากให้รับฟังความคิดเห็นว่าข้อดีข้อเสียคืออะไร แล้วหยิบยกมาพูดคุยกัน 

ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุโครงการดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นจริง และอาจไม่ผ่านสภา ประชาชนจะไม่มีโอกาสได้รับเงินจริง นายเศรษฐา กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าเสียงของผม อย่างพรรคร่วมรัฐบาลมี 320 เสียง ผมว่าเสียงของผมมั่นคง และเราทำงานเป็นทีม เชื่อว่าผ่าน” 

เมื่อถามย้ำว่า คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้เงิน 10,000 บาท หรือไม่ นายกฯ กล่าวย้ำว่า มั่นใจ เป็นหน้าที่ผู้นำรัฐบาลต้องรับฟังเสียงประชาชน โครงการดีเลย์จากที่ประกาศไว้เพราะทีมงานของเราต้องรับฟังความเห็นทั้งหมด ทั้งเรื่องการออก พ.ร.บ. กำหนดเกณฑ์คนรวย การจำกัดรายได้ที่พูดคุยและถกเถียงกัน

เมื่อถามว่าโครงการนี้จะมีอุบัติเหตุที่จะทำให้สะดุดหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า มั่นใจว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับเรื่องเทคนิคหรือกฎหมาย รัฐบาลยืนยันว่าทำถูกต้องทั้งหมด และทางคณะกรรมการกฤษฎีกาคงจะให้ข้อคิดเห็นในเชิงที่เป็นบวกและเราสามารถทำโครงการนี้ได้ แต่มีจุดเดียวคือ มีคำถามว่าตอนนี้เราอยู่ในวิกฤต หรือไม่ได้อยู่ในวิกฤต มีวิกฤตและความจำเป็นที่ต้องทำหรือไม่ ถ้าบอกว่ามีวิกฤตและความจำเป็นคือเรามีจีดีพีติดลบ แบบนั้นคงไม่ต้องทำ เพราะจีดีพียังไม่ติดลบ แต่ 9-10 ปี ที่ผ่านมา จีดีพีแค่ 1.9% ต่อปี เราไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศอื่นโตกว่าเรา 2 เท่า คู่แข่งของไทยทั้งประเทศเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการเติบโต สมัยก่อนอาจจะอยู่ในโลกของเราคนเดียวได้แต่ปัจจุบันอยู่ในโลกการแข่งขัน ถ้าไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ วันหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมาลงทุนที่ไทย รัฐบาลเชื่อว่าเราอยู่ในวิกฤตที่ต้องการการกระตุ้น แม้คนอื่นจะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องใช้เงินขนาดนี้ กระตุ้นแค่คนจนที่มีรายต่ำจริงๆก็พอ หากเถียงกันไปอย่างนี้ก็ไม่จบ

ผู้สื่อข่าวถามว่าโหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยบางส่วน รู้สึกผิดหวัง ที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับเงิน เนื่องจากมีเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท ทั้งที่เกิดจากวินัยการออม และมีรายรับไม่เกิน 7 หมื่นบาท นายเศรษฐา กล่าวว่า เข้าใจและเห็นใจแต่ต้องรับฟังทุกภาคส่วน ทั้งสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย มีความชัดเจนไม่ให้แจกคนรวย และมีการสอบถามถึงกำหนดเกณฑ์คนรวย โดยจะต้องกำหนดตัวเลขให้ชัดเมื่อถึงจุดหนึ่ง โดยคนที่มีรายได้เกิน 7 หมื่นบาท และเงินเก็บเกิน 5 แสนบาท รัฐบาลได้ออกโครงการอีรีฟัน หากมีการใช้จ่ายจะได้เงินคืนประมาณ 1 หมื่นบาท เทียบเท่ากับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทีมงานคิดมาแล้ว รวมถึงโครงการระยะยาวในกองทุนส่งเสริมการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมใหม่ เป้าหมาย เช่น รถอีวี ไมโครชิพ จำนวน 1 แสนล้านบาท ที่จะเริ่มใช้ในเดือนมิ.ย. 2567 ที่ต้องทำเร่งด่วน

เมื่อถามว่ากรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยว่าเงินฝาก 5 แสนบาท รวมไปถึงสลากออมสิน หุ้นกู้ กองทุนรวม และเงินเกษียณ ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า นับเฉพาะเงินฝากอย่างเดียว ไม่นับกองทุนรวมเพราะตรวจสอบไม่ได้ ส่วนเงินเกษียณ ถ้าไปในบัญชีก็นับรวมด้วย ส่วนเงินสดที่เก็บอยู่ที่บ้านไม่นับ โดยจะเริ่มตรวจสอบว่ามีเงินในบัญชีตั้งแต่เดือน ก.ย.66 ทั้งนี้ เมื่อครั้งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เติมเงินในแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พบว่า 15 % ไม่มีการใช้จ่ายเพราะคนไม่ได้ใช้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะมีเงินพอที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ประชาชนเชื่อว่าพรรคเพื่อไทย หาเงินได้ ใช้เงินเป็น นายกฯ กล่าวว่า “ผมเป็นนายกฯ ที่มาจากพรรคอะไร พรรคเพื่อไทย สื่อก็บอกว่าหาเงินได้ใช้เงินเป็น ผมก็มั่นใจว่าผมหาเงินได้ใช้เงินเป็น ส่วนเรื่องที่มาของการออกจะเป็น พ.ร.บ. เงินกู้ ทางผู้ว่าธปท.ได้บอกเองว่านายกฯ กู้ดีกว่า ตอนนี้จาก 61% เป็น 64% เพราะเพดานเงินกู้อยู่ที่ 70% ให้กู้เลย ถ้านำมาใส่โครงการฯบวกกับโครงการอื่น และหากยกระดับจีดีพีขึ้นไป สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะลดตามไป แม้หนี้จะเพิ่มแต่ถ้าจีดีพีมากกว่าหนี้จะลดลง”

'ภูมิธรรม' ปูด 'ศิริกัญญา' สมัยช่วงจับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ขอ 'เพื่อไทย' ให้ทำ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' พร้อมปรับลดเพดานเงินลง

(12 พ.ย.66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า การวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ หากเป็นประโยชน์กับประเทศและประชาชน รัฐบาลยินดีรับฟังอยู่แล้ว เราไม่ได้ดื้อดึงอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน ซึ่งโครงการนี้มีการปรับเปลี่ยนก็เพราะหลายส่วนวิพากษ์วิจารณ์เข้ามา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลรับฟังทุกฝ่าย หากฝ่ายค้านจะเสนอแนะวิธีการในโครงการนี้ก็สามารถทำได้ แต่หากจะวิจารณ์แค่ว่าเราผิดหรือแค่หาทางลงนั้น ตนไม่อยากให้คิดแค่เพียงนำความได้เปรียบทางการเมืองมาดิสเครดิตรัฐบาล

ทั้งนี้ รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย (พท.) ตั้งใจทำตามสัญญา ซึ่งหัวใจของโครงการนี้ไม่ใช่เพื่อการแจกเงิน แต่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีปัญหามาอย่างยาวนาน โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ด้วย

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เราพยายามเดินหน้าโครงการด้วยความรอบคอบ เราได้มอบหมายคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานงานกับแบงก์ชาติ ว่าจะใช้วิธีการใด จะต้องกู้หรือไม่ ทุกอย่างจะดำเนินการให้ถูกกฎหมายและทุกฝ่ายเห็นชอบ ส่วนที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุว่ารัฐบาลกำลังกลืนน้ำลายเพราะจะกู้เงินมาทำโครงการ แล้วจะกลายเป็นจุดล้มละลายทางความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเองนั้น เรายืนยันว่าเป้าหมายของโครงการนี้คือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนเป็นกำลังซื้อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ หากรัฐบาลทำถูกต้อง ท่านก็ไม่ควรต้องติดใจ

“ส่วนที่คุณศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลกำลังหาทางลงให้กับโครงการนี้ สมัยตอนที่พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล จับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล คุณศิริกัญญาเองก็ขอให้เราทำโครงการนี้ เพียงแต่ขอให้ปรับลดเพดานเงินลง แสดงให้เห็นว่าคุณศิริกัญญา ก็เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว ผมจึงไม่อยากให้นำความได้เปรียบทางการเมืองมาดิสเครดิตกัน ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไร ประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์ ผมถามว่าพวกคุณเห็น ด้วยหรือไม่ว่าประเทศไทยขณะนี้ต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ“ นายภูมิธรรม กล่าว

‘นายกฯ’ ยัน!! เดินหน้าต่อยอด ‘30 บาทรักษาทุกโรค’  เพื่อยกระดับชีวิตคนไทย คาด!! ปีหน้าเสร็จสมบูรณ์

(12 พ.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์เดิม) ระบุว่า “เดินหน้าต่อ 30 บาทรักษาทุกโรคยกระดับเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนครับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐาได้แนบลิงก์ บทสัมภาษณ์ของนายแพทย์สุรพงศ์ สืบวงศ์ลี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ถึงความคืบหน้าการ ใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาสุขภาพทุกเครือข่าย ซึ่งต่อยอดนโยบาย 30 บาทของพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยนำร่องรักษา 4 จังหวัด และภายในปี 2567 จะสมบูรณ์ทั้งระบบ และคาดว่าในอนาคตเตรียมพร้อมรับ 2 สิทธิ คือ ข้าราชการและประกันสังคม

‘เศรษฐา-สุริยะ’ เยือนสหรัฐฯ ลุยโรดโชว์ ‘แลนด์บริดจ์’  ดึงนักธุรกิจต่างชาติร่วมทุน ดันเส้นทางขนส่งแห่งใหม่ระดับภูมิภาค

เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.66) นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งก็คือวันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ จะเดินทางเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 (2023 APEC Economic Leaders’ Meeting) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12-19 พฤศจิกายน 2566 ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

การเข้าร่วมการประชุมฯ ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เป็นโอกาสเพื่อนำเสนอนโยบาย สร้างความเชื่อมั่น รวมถึงสานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี 2565 โดยยังจะเป็นโอกาสให้ได้พบหารือเพื่อสร้างความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจเอเปค และภาคเอกชนเอเปค โดยประเด็นที่ไทยผลักดัน อาทิ 

1.การค้าการลงทุน ย้ำความมุ่งมั่นต่อระบบการค้าพหุภาคีที่มีองค์การการค้าโลกเป็นแกนกลาง 
2.ความเชื่อมโยง ผ่านการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางขนส่งในภูมิภาค เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดียผ่านโครงการ Landbridge 
3. ความยั่งยืน ผลักดันการสานต่อเป้าหมายกรุงเทพฯ 
4.เศรษฐกิจดิจิทัล 
5.ความครอบคลุมและความเท่าเทียม

ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายเศรษฐาและผม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะเดินทางไปจัดงาน Thailand Landbridge Roadshow ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ณ โรงแรม Ritz Carlton เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐ

นายสุริยะกล่าวอีกว่า ในฐานะเจ้าภาพจัดงานจะร่วมกันให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของโครงการ อาทิ โอกาสทางธุรกิจ รูปแบบการลงทุน ศักยภาพทำเลที่ตั้งของพื้นที่โครงการ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ โดยมีนักลงทุนภาคธุรกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน ทั้งสายการเดินเรือ ผู้บริหารท่าเรือ กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มผู้ลงทุนด้านอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งกลุ่มนักลงทุนต่างให้ความสนใจประเด็นโอกาสในการลงทุนของโครงการ

นายสุริยะกล่าวว่า ในอนาคตโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือแลนด์บริดจ์ จะเป็นช่องทางการค้าแห่งใหม่เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนถ่ายสินค้าหลักระดับภูมิภาคและจะเป็นประตูสู่ภูมิภาคเอเชีย และช่วยลดระยะเวลาการขนส่งทางทะเลและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมือง อีกทั้งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางการค้า ประกอบด้วย เขตการค้า เมืองท่าและเขตอุตสาหกรรม และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

วิเคราะห์!! วิบากกรรม ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้ชะตา ‘เศรษฐา’ บอกอนาคต ‘อุ๊งอิ๊ง’

ในที่สุดก็แจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปแล้วว่า… โฉมหน้าค่าตานโยบายเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาลเศรษฐา เป็นอย่างไร

ต้องยอมรับว่าทุกค่ายทุกสำนักพูดออกมาเป็นเสียงเดียวแทบจะพร้อมๆ กันว่า… ไม่ตรงปก!!

ครับ!! ‘เล็ก เลียบด่วน’ พูดด้วยใจนิ่งๆ เป็นกลางอย่างที่สุดว่า… ไม่ตรงปกจริงๆ… คำว่า ‘ไม่ตรงปก’ ในความหมายก็คือ ไม่ตรงกับที่ตัวเอง (พรรคเพื่อไทย) พูดตอนหาเสียงและยื่นเอกสารให้กับ กกต.

ไม่ตรงทั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ไม่ตรงทั้งรูปแบบและเนื้อหาว่างั้นเถอะ… หนำซ้ำที่บอกกับ กกต. ว่าจะใช้เงินจากระบบงบประมาณและรายได้ภาษีปกติ… 

แต่ที่สุดของเศรษฐา คือ ‘กู้’ ออก พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท พร้อมคำยืนยันว่าจะผ่อนใช้ทัน 4 ปีช่วงรัฐบาลนี้

เหนื่อยครับ… อยากเอาใจช่วย แต่อ่านและฟังที่ท่านนายกฯ แถลงเมื่อวันที่ 10 พ.ย.แล้วเหนื่อยแทน… เหนื่อยแทนพรรคเพื่อไทย เหนื่อยแทนประเทศไทย… 

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่ขอลงรายละเอียดหน้าตาของโครงการ แต่จะแลไปข้างหน้าว่า นโยบายที่ไม่ตรงปกนี้จะต้องฝ่าหลุมขวาก เป็นวิบากกรรมอย่างไรบ้าง… 

ประการแรก - ต้องลุ้นกันระทึกว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จะฝ่าข้าม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 ไปได้หรือไม่… ไม่จำเพาะมาตรา 53 ที่พูดถึงกันเท่านั้น แต่มาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 3-4 มาตรา ก็เป็นกับดัก… ซึ่งก็ต้องให้กรรมการกฤษฎีกายืนยันออกมาดังๆ อีกทีว่า ‘โน พรอมแพลม’ ถึงจะยอมๆ กันไปได้บ้าง…

ประการที่สอง - โดยส่วนลึก เชื่อ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เถอะว่า พรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้แฮปปี้กับนโยบาย 5 แสนล้านบาทนี้ ยิ่งต้องมาร่วมยกมือผ่านกฎหมายด้วยแล้ว… งานนี้อย่าคิดว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ แม้ทั้งสองพรรคยังอยากจะเป็นรัฐบาลต่อไปก็เหอะ… 

ประการที่สาม - ต่อให้กฎหมายกู้เงินผ่านสองสภาฯ ไปแล้ว แต่เชื่อว่า ในที่สุดจะมีคนไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ… ดีไม่ดีอาจล้มคว่ำซ้ำรอย พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้าน สมัยรัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์’ ก็ได้ ทำเป็นเล่นไป… 

เอาแค่สามประการดังว่ามาก็พอ… พื้นที่ที่เหลือ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่ขมวดปมสถานการณ์เหตุบ้านการเมืองที่เกี่ยวเนื่องมาเล่าสู่กันฟังว่า… 

ทว่า ณ นาทีนี้ สถานการณ์ของตัวนายกฯ เศรษฐาที่มั่นคงแบบป้อแป้ แต่ก็ยังโชคดีที่ใครต่อใคร รวมทั้งนายห้างชั้น 14… ยังเห็นใจในความมุ่งมั่น ขยันทำงาน

สายข่าวในพรรคเพื่อไทยกระซิบให้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ฟังว่า… หลายวันก่อนโน้น นายห้างชั้น 14 ได้ส่งสัญญาณตรงๆ ถึง นายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับ สส.ให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะ สส.เหนือกับอีสาน ซึ่งขณะนี้ นายเศรษฐาได้ไหว้วานให้ ‘มาดามนครพนม’ อย่าง ‘มนพร เจริญศรี’ รมช.คมนาคม เป็นตัวช่วยประสานเรียบร้อยแล้ว… 

และช่วงปลายเดือน พ.ย. ต่อต้นเดือน ธ.ค. ‘วาระงาน’ ของนายกฯ ถุงเท้าแดงก็จะขึ้นเหนือ ไปอีสานแบบรัวๆ กันเลยทีเดียว!!

สำหรับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ที่พักหลังออกงานบ่อย และปรากฏตัวที่ทำเนียบรัฐบาลถี่ขึ้น… ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกจับจ้องมองว่า เห็นท่าจะหนีไม่พ้นปีหน้า 2567 จะย่างสามขุมขึ้นเป็นนายกฯ แน่นอนนั้น… 

ยังต้องยืนยันฟันธง ว่า นายห้างชั้น 14 ต้องการให้ลูกสาวเป็นนายกฯ แน่นอน แต่ไม่ได้ขีดเส้นว่าต้องเป็นภายในปีหน้า… 

ครึ่งเทอมหลัง หรือสมัยหน้าก็รอได้… ให้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ บำเพ็ญบารมีไปก่อน เว้นแต่ว่า… เศรษฐาเดินสะดุดบันไดทำเนียบ เดินต่อไปไม่ได้จริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง… 

เป็นนายกฯ ไม่ยากเท่ากับอยู่ให้ได้ ไปให้เป็น… ให้ประชาชนยอมรับ… 

ถ้าไม่ดื้อด้านหน้ามืดตามัว… แค่ ดิจิทัลวอลเล็ต เรื่องเดียวก็คงทำให้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่ คงได้คิดและนำไปถอดรหัสเป็นกรณีศึกษาได้ไม่น้อยทีเดียว

‘เพื่อไทย’ ชี้!! ผลงาน ‘ครม.นิด1’ 60 วัน แก้ปัญหาสำเร็จหลายมิติ ปลื้มผลโพล ปชช.พอใจ พร้อมเดินเครื่องฟูลแพ็กเกจดิจิทัลวอลเล็ต

(11 พ.ย. 66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการแถลงผลงานในรอบ 60 วัน ตามด้วยการแถลงฟูลแพ็กเกจนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ว่า เป็นการแถลงสรุปผลงานสำคัญในสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการในช่วง 60 วันแรกที่ครบถ้วน ลุยแก้ปัญหาในหลายมิติ แก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน สอดคล้องกับผลการสำรวจความเห็นของประชาชนจากนิด้าโพล ที่ระบุชัดว่า ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจในผลงานของรัฐบาลเศรษฐา

ส่วนฝ่ายค้านจะเห็นต่าง จะให้ผ่านหรือปรับตกอย่างไรก็ถือเป็นสิทธิ ในช่วง 60 วันแรกรัฐบาลได้ออกหลายมาตรการในลักษณะ ‘Quick wins’ ที่หวังผลระยะสั้น ทำทันที และจะเป็นฐานสนับสนุนในภารกิจที่เป็นเป้าหมายหลักในอนาคตของรัฐบาลด้วยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ครม.เศรษฐา เข้ามา 2 เดือน หลายเรื่องที่เคยประกาศไว้ได้ทำจนประสบผลสำเร็จ ทั้งลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมัน นโยบายฟรีวีซ่ากระตุ้นการท่องเที่ยว ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ดันมาตรการเร่งด่วนด้านต่างประเทศ แก้ปัญหายาเสพติด แก้หนี้นอกระบบ

รวมถึงนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ต ของพรรค พท.ก็มีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
สิ่งที่รัฐบาลเศรษฐาได้ดำเนินการ ไม่เพียงพูดแล้วทำตามนโยบายที่ได้หาเสียง หรือแถลงนโยบายไว้ แต่หลายเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ รัฐบาลก็พร้อมดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top