Friday, 9 June 2023
POLITICS

เปิดรายชื่อ 41 ว่าที่ ส.ส. พปชร. ส.ส. เขต 39 คน ‘ลุงป้อม’ – ‘สันติ’ บัญชีรายชื่อ

รายชื่อว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ส.ส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ รวม 41 คน

พรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส.เขต คะแนนนำ 39 ที่นั่ง คะแนนบัญชีรายชื่อ รวม 530,017 เสียง คิดเป็น 2 ที่นั่ง รวมมี ส.ส. 41 ที่นั่ง

โดยมีรายชื่อ ดังต่อไปนี้

 

ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2 คน

1. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

2. นายสันติ พร้อมพัฒน์

 

ส.ส.เขต 39 ที่นั่ง

จ.หนองคาย -นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ หนองคาย เขต 1

จ.ชัยภูมิ - นางสาวกาญจนา จังหวะ ชัยภูมิ เขต 4 ,นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ ชัยภูมิ เขต 7

จ.สระแก้ว - นางขวัญเรือน เทียนทอง สระแก้ว เขต 1 ,นางสาวตรีนุช เทียนทอง สระแก้ว เขต 2

จ.ปัตตานี - นายคอซีย์ มามุ ปัตตานี เขต 2

จ.ราชบุรี - นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ราชบุรี เขต 2 , นายจตุพร กมลพันธ์ทิพย์ ราชบุรี เขต 3,นายชัยทิพย์ กมลพันธ์ทิพย์ ราชบุรี เขต 5

จ.กาฬสินธุ์ - นายจำลอง ภูนวนทา กาฬสินธุ์ เขต 3

จ.พะเยา - ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พะเยา เขต 1 ,นายอนุรัตน์ ตันบรรจง พะเยา เขต 2, นายจีรเดช ศรีวิราช พะเยา เขต 3

จ.พังงา - นายฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ พังงา เขต 2

จ.สงขลา - นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สงขลา เขต 4

จ.สกลนคร - นายชัยมงคล ไชยรบ สกลนคร เขต 5

จ.สิงห์บุรี - นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สิงห์บุรี เขต 1

จ.ตรัง - นายทวี สุระบาล ตรัง เขต 2

จ.เชียงใหม่ - นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ เชียงใหม่ เขต 9

จ.เพชรบูรณ์ - นางสาวพิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ เพชรบูรณ์ เขต 1,นายจักรัตน์ พั้วช่วย เพชรบูรณ์ เขต 2, นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ เพชรบูรณ์ เขต 3,นายวรโชติ สุคนธ์ขจร เพชรบูรณ์ เขต 4,นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ เพชรบูรณ์ เขต 5,นายอัคร ทองใจสด เพชรบูรณ์ เขต 6

จ.แม่ฮ่องสอน- นายปกรณ์ จีนาคำ แม่ฮ่องสอน เขต 1

จ.กำแพงเพชร- นายไผ่ ลิกค์ กำแพงเพชร เขต 1,นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ กำแพงเพชร เขต 2,นายอนันต์ ผลอำนวย กำแพงเพชร เขต 3,นายปริญญา ฤกษ์หร่าย กำแพงเพชร เขต 4

จ.ตาก - นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข ตาก เขต 3

จ.ร้อยเอ็ด - นางรัชนี พลซื่อ ร้อยเอ็ด เขต 3

จ.มุกดาหาร - นายวิริยะ ทองผา มุกดาหาร เขต 1

จ.ชลบุรี - นายสะถิระ เผือกประพันธุ์ ชลบุรี เขต 1

จ.นราธิวาส - นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ นราธิวาส เขต 2,นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ นราธิวาส เขต 3

จ.นครศรีธรรมราช - นายสุธรรม จริตงาม นครศรีธรรมราช เขต 6

จ.สระบุรี - นายองอาจ วงษ์ประยูร สระบุรี เขต 4

จ.ฉะเชิงเทรา - นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ฉะเชิงเทรา เขต 2

เกมการเมืองอาจมีพลิก ‘เพื่อไทย’ อาจกลายเป็นพระเอก

เปลว สีเงิน สื่อมวลชนอาวุโส นักเขียนคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้เขียนบทความลงใน Thaipost เกี่ยวกับการจะเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ว่ายังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะแนวคิดที่จะแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 อาจจะทำให้พรรคอื่นๆที่จะเข้าร่วมรัฐบาลนั้น มีความลำบากใจ และ MOU ที่จะเป็นข้อตกลงร่วมกันนั้น ก็ยังมีความกำกวม โดยเปลว สีเงิน ได้เขียนไว้มีใจความว่า

กลับลำยากซะแล้วละ...พิธา!

เมื่อ เงื่อนไขสำคัญเรื่อง "มาตรา ๑๑๒" กำกวมอยู่ใน MOU คือไม่ชัดเจนว่า "จะเลิก" หรือ "จะแก้ไข"?

ทำให้ "อย่างน้อย" ๒ พรรคใน ๘ เริ่มคิดหนัก!

ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมตั้งรัฐบาลกับก้าวไกล?

เห็น "พรรคเพื่อไทย" ๑๔๑ เสียง ออกอาการขมวดคิ้ว บ่งบอกความอึดอัด

คุณหญิงสุดารัตน์ "ไทยสร้างไทย" ๖ เสียงเปรยเบาๆ

ดิฉันได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)

และ "เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๔ จตุตถจุลจอมเกล้า (จ.จ.)

อันเป็นเครื่องหมายของขุนน้ำ-ขุนนาง-ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี

ดังนั้น เมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับสถาบันและความมั่นคง ดิฉันต้องขอพิจารณาดูก่อนค่ะ"

เห็นมั้ยพิธา..........

ผมอาบน้ำเย็นมาก่อน บอกแล้วไม่เชื่อ ว่าอย่าเพิ่งโก่งคอขัน "แต่หัววันว่าผมคือนายกฯ คนที่ ๓๐ ของคนไทยทั้งประเทศ"

เกิด "ผิดล็อก-ผิดร่อง" ขึ้นมา มันจะอายเค้า!

เพราะก้าวไกล จะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่นั้น มันไม่ได้อยู่ที่ ๑๕๒ เสียงก้าวไกลหรอก

แต่มันอยู่ที่ ๑๔๑ เสียงของ "เพื่อไทย" ตะหาก!

แค่เพื่อไทยส่ายหน้า บอก.........

พรรคผม "ไม่แตะ" เรื่องสถาบัน ๑๕๒ เสียงจบเลย

และคำว่า "พรรคผม" ไม่แตะเรื่องสถาบัน" นั้น

มันจะสร้าง "ความชอบธรรม" ให้ "เพื่อไทย" เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับเป็นการ "สลายทุกเงื่อนไข" ในการที่ใครจะไม่สนับสนุน

รวมทั้ง ส.ว. "ชัวร์ ๑๐๐%!"

เพราะการแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันและกองทัพสุดขั้วของก้าวไกล ถึงขั้นจะเข้าไปล้างบางกองทัพ

แถมหยามราชนาวีไทย ถึงขั้น จะเอาเรือประมงมาแทนเรือรบ นั้น

มันร้ายที่สุดของเลวร้าย

จนทำให้ "เพื่อไทย" กลายเป็นพระเอกที่ประชาชนยอมรับได้จากซีกผู้ร้ายขึ้นมาทันที!

ผมถึงบอก พิธาน่ะ คุณมัน yesterday boy

ยิ่งเมื่อเทียบกับทักษิณ เขา "แพลมตาหนู" ก่อนพิธาจะเกิดด้วยซ้ำ

ฉะนั้น มีแค่ ๑๕๒ เสียง ใน ๕๐๐ เสียง แถมยังต้องพึ่งเสียง ส.ว.อีกเกือบ ๑๐๐ เสียง แล้วโก่งคอขัน นั่นน่ะ

ทักษิณขำกลิ้ง......

เห็นสั่งเด็กต้มน้ำร้อนไว้รอ เด็กมันถาม นาย..นาย จะอาบน้ำร้อนหรือไง ทักษิณเบิ๊ดกระบาล แล้วบอก

"ไอ้โง่....ต้มไว้ กูจะลวก "ถลกหนัง" ไก่อ่อนโว้ย!"

และไม่ได้ยินหรือพิธา....

ที่หลวงพี่โทนี่ วิสัชนาหน้าคลับเฮาส์ถี่ๆ ๒ วันติด....

"จุดยืนของพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร คือเราเคารพรักสถาบัน ใครจะว่าอย่างไงผมช่วยไม่ได้

ผมเป็นของผมอย่างงี้ และยินดีต้อนรับว่า คนจะวิจารณ์ว่า เพราะผมไม่ได้สู้เพื่อไปทำอะไรไม่ดีกับสถาบัน ไม่มี ผมสู้เพื่อเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นเอง

สถาบันนี่ ผมถือว่าผมจงรักภักดี ครอบครัวผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

รู้มั้ยว่า ผมกับคุณหญิงนี่ สมรสพระราชทานนะครับ ผมอาจจะไม่ได้มีพิธีเหมือนสมัยนี้ แต่พิธีของผมคือสมรสพระราชทาน ฉะนั้นเรื่องความสำนึกอะไรพวกนี้ มันมีอยู่นะครับ มันมีอยู่ จะให้ผมไม่มีมันเป็นไปไม่ได้เลย นะครับ"

จบมั้้ย...

เมื่อ พรรคอันดับ ๑ "ก้าวไกล" ท้าทายสังคม ด้วยการทุบสถาบันลงไปเหยียบ

ขณะเดียวกัน พรรคอันดับ ๒ "เพื่อไทย" ด้วยเสียงไล่เลี่ย เจ็บปวดร่วมสังคม แล้วยกสถาบันที่คุณเหยียบขึ้นไปเทิด

ตื่นจากฝัน "นายกฯ คนที่ ๓๐" เถอะ

หรือจะรอให้เพื่อไทยหลอกเอาตำแหน่ง "ประธานสภา" ไปซะก่อน ถึงจะตื่น?

รู้มั้ย...พิธา ตำแหน่งนายกฯ น่ะ มัน "น้ำบ่อหน้า"

ถ้าพรรคคุณไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา เท่ากับว่า "น้ำบ่อหน้า....บ่มี" สำหรับคุณ

พิมพ์ MOU ของก้าวไกล ที่จะให้ ๘ พรรคเขาเซ็นน่ะ

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่อง "แก้..เลิก, เลิก-แก้ ๑๑๒" ที่คนพรรคคุณ ตวัดลิ้นพันกันไปมา

เอาแค่ระบุ จะเข้าไป "ล้างกองทัพ" กับ "เลือกตั้งผู้ว่าฯ"

แค่นั้น มันก็ฉิบ....แล้ว!

๗ พรรค เขาอาจยอม แต่อภิมหาประชาชนเขาไม่ยอมหรอก ผมจะบอกให้

เพราะอะไรน่ะหรือ?

เพราะ แค่อ้าปากก็เห็นทะลุถึงดากไงล่ะ

เรื่องกองทัพ กับเรื่องเลือกผู้ว่าฯ มันคือ "เสาเข็ม" ของโครงสร้างสังคมชาติ เป็นเรื่อง "ความมั่นคง" โดยตรง

"รื้อกองทัพ" จุดมุ่งหมายคืออะไร ก็ แถไถ อ้างไปร้อยแปด

แต่ไส้ในของเจตนา ก็อยู่ที่ "สถาบันพระมหากษัตริย์"

กองทัพคือ "ด่านหน้า"

ก้าวไกลทลายด่านหน้าสำเร็จ

เท่ากับ "ล้มสถาบัน" สำเร็จ!

แล้วยกอำนาจประเทศไปบรรณาการ "ขบวนการอำนาจเดียวครองโลก = CFR" ให้เข้ามาใช้ประเทศเป็นสมรภูมิได้เลย

ในเวลาเดียว เมื่อยึดกองทัพ-ล้มสถาบันได้แล้ว

แผน "ครองประเทศ-ครองโลก" ก็จะไปบรรจบกับ "ด่านสุดท้าย" คือเปลี่ยนประเทศไทย จากราชอาณาจักรไทย ไปเป็น "สาธารณรัฐไทย" แทน

แทนยังไง?

ก็ที่ก้าวไกลจะไปนั่งมหาดไทย เพื่อปฏิรูประบบปกครองนั่นแหละ

การ "เลือกตั้งผู้ว่าฯ" คือกลวิธี "ยึดประเทศ" ทั้ง ๗๗ จังหวัด แล้วจัดหมวดหมู่ "แยกเป็นรัฐๆ" แบ่งกันไปปกครอง ในรูปแบบสาธารณรัฐ

แค่นี้ ก็เท่ากับแอบอิงคำว่าปฏิรูปใต้นิยาม "ขุดรากถอนโคน" ยึดประเทศไทยได้ทั้งประเทศแบบเนียนๆ

จาก "ราชอาณาจักรไทยอันแบ่งแยกมิได้"

กลายเป็น "สาธารณรัฐไทย" ซอยแผ่นดินประเทศแบ่งกันไปครอง แล้วให้คุณพ่อ "ยุโรป-สหรัฐ" เข้ามาชี้นิ้วสั่ง

ตั้งฐานทัพเสร็จสรรพ!

นี่คือการใช้คำ "ปฏิรูปกองทัพ" เป็นผ้าขาวห่อศพ

และคำว่า "ปฏิรูปการปกครอง"

เป็นมีดตัดเค้กคือแผ่นดินไทยแบ่งใส่จานแจกกัน!

ผมพูดนี่ หัวเราะ ว่านิยายตลกใช่มั้ย?

คุณอย่าจำคำผม แต่อยากให้จำคำทักษิณ ตอนตั้งพรรคไทยรักไทย เลือกตั้ง ปี ๒๕๔๔ ทักษิณบอกเสนาะ

คนไทยน่ะพวก "ตาบอดไม่กลัวเสือ"!

นั่นคืออะไร....

หมายถึง คนโง่ คนโลภ คนเห็นแก่ผลได้เฉพาะหน้ามันมีเยอะ ด้วยนิยามนี้

ให้ผู้ว่าฯ มาจากเลือกตั้งเหมือนเลือก ส.ส.น่ะเรอะ

ใช้จังหวัดละ ๒,๐๐๐ ล้าน-๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ยึด = ซื้อประเทศได้เบ็ดเสร็จ!

พวกตู้ห่าว พวกหลงจู๊ พวกบ่อน พวกซ่อง พวกพนันออนไลน์ พวกค้ายา-ค้าของเถื่อน พวกโกงกิน

"พรึ่บ.....ดำกินแดง, กินส้ม, กินหมดทุกสี เจ้าพ่อ-เจ้าแม่ ขึ้นเป็นเสนาบดีครองทุกจังหวัด ครบทั้งประเทศ!

นี่แหละ มันเป็นอย่างนี้แหละ พี่น้องเอ๋ย

ปลา ไม่รู้จักบุญคุณน้ำ, นก ไม่รู้จักบุญคุณอากาศ

นั่นเพราะเป็นสัตว์

แต่พวกเรา "เป็นคน-เป็นมนุษย์" มนุษย์แปลว่าผู้มีใจฝึกแล้วประเสริฐ แล้วเราจะไม่สำนึกคุณในชาติ ในแผ่นดิน

คือ "ชาติ, ศาสน์, สถาบันพระมหากษัตริย์" เลยเชียวหรือ?

ส่วนมาตรา ๑๑๒ นั้น...........

จะแก้-จะเลิก หรือไม่แตะต้องเลย เห็นกลิ้งเป็นลิงปอกกล้วย แผล็บไป-แผล็บมา

แต่ที่ได้ยินคาหู จาก "ช่อ-พรรณิการ์" เขาหาเสียง ว่า

"ใครอยากเลิก ม.๑๑๒ มากองกันตรงนี้ค่ะ"

"หากคนอยู่ต่างจังหวัดไปม็อบไม่ได้ ไม่ต้องกังวลค่ะ

เพราะคณะก้าวหน้าและคณะราษฎร์เพจจัดให้

คุณสามารถลงชื่อยกเลิก ม.๑๑๒ ผ่านทางออนไลน์ได้ ทุกคนทำได้ ใครเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ก็มาร่วมลงชื่อได้หมด"

นี่คือ ช่อ.........

มาดูพิธาบ้าง บนเวทีปราศรัยหาเสียง แบม-ตะวัน เขียนป้ายทำโพล "คุณคิดว่ายกเลิกม.๑๑๒ หรือ สมควรแก้ไข ให้ติดสติกเกอร์ในช่องนั้นๆ

แล้วพิธา-ว่าที่นายกฯ คนที่ ๓๐ ก็หยิบสติกเกอร์สีแดง ติดหมับลงไปที่ช่อง "ยกเลิก ม.๑๑๒"

"นัตถิ อการิยัง ปาปัง มุสาวาทิสสะ ชันตุโน"

คนมักโกหก ที่จะไม่ทำชั่ว นั้นไม่มี

‘ทวี สุระบาล’ ว่าที่ส.ส. ตรัง ขอบคุณประชาชน ที่เทคะแนนเสียง  ทำให้ครองแชมป์อันดับ1 ของประเทศ ย้ำ พร้อมลุยทำงานแก้ปัญหาปากท้อง

นายทวี สุระบาล ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จ.ตรัง  กล่าวว่า ตนขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดตรังเขต 2 ที่มอบคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น จนสามารถมีคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. 2566 สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยคะแนนเสียง 63,185 คะแนน เป็นครั้งที่ 2  ที่พี่น้องชาวจ.ตรังให้ความไว้วางใจ จากเมื่อปี 2544 ที่เคยได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นครั้งแรก 65,458 คะแนน นับเป็นคนแรกของรัฐสภาไทยที่ได้คะแนนสูงสุด สองครั้ง ซึ่งเป็นการทำงานลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ยังได้ทำหน้าที่พบปะประชาชน อย่างใกล้ชิดไม่เคยทิ้งพื้นที่ 

นายทวี กล่าวต่อว่า พี่น้องประชาชนยังพอใจในนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะการเพิ่มเบี้ยสวัสดิการ 700 บาท และ และ เบี้ยยังชีพผู้สูงวัย โดยการเพิ่มเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได ตั้งแต่อายุ 60 ปี เพิ่มเป็นจำนวน 3,000 บาทต่อเดือน อายุ 70 ปี ขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 4,000 บาทต่อเดือน และอายุ 80 ปีขึ้นไป เพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทต่อเดือน หรือเรียกว่า‘เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 3 4 5 และ 6 7 8’ 

“หลังจากนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เตรียมพร้อม และลงพื้นที่ต่อเนื่อง ไม่เคยปฏิเสธการเข้าถึงประชาชนเพื่อช่วยเหลือในทุกเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง ที่ต้องเร่งเสนอต่อ พรรค เพื่อนำไปผลักดันในสภาฯ ต่อไป “

‘ชาติพัฒนากล้า’ ตัดสินใจร่วม ‘รัฐบาลก้าวไกล’ เป็นพรรคที่ 10 รวมเสียงได้ 316 เสียง พร้อมหนุน ‘พิธา’ นั่งนายกฯ คนที่ 30

(19 พ.ค. 66) ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ล่าสุดมีรายงานว่า พรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และมีนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า มีว่าที่ ส.ส.จำนวน 2 เสียง ได้ตัดสินใจเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลแล้ว โดยเป็นพรรคลำดับที่ 10 หลังจากก่อนหน้านี้ ‘พรรคใหม่’ เพิ่งประกาศตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ มีพรรคร่วม 10 พรรค รวบรวมเสียงได้ 316 เสียง ในการสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการแถลงข่าวเข้าร่วมรัฐบาลในเร็ววันนี้

‘สมศักดิ์’ เผย เจรจาคืบหน้า ส.ว.พร้อมรับฟังเหตุผล เชื่อ!! หลังเอ็มโอยูออก มีลุ้นเสียงหนุน ‘พิธา’ เพิ่ม

(19 พ.ค. 66) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการเดินหน้า พูดคุย กับ ส.ว.บางท่าน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าในทางบวก แต่จะเดินได้เต็ม 100 คงต้องรอให้การบันทึกข้อตกลง หรือ ‘เอ็มโอยู’ ของพรรคร่วมรัฐบาล ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ออกมาก่อน แต่จากการพูดคุยกับ ส.ว.ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ดี ทาง ส.ว.เอง ก็รับฟังในเหตุและผล ระหว่างนี้ก็รอเพียงแนวทางการทำงาน และนโยบายต่าง ๆ หากเอ็มโอยูทำออกมาได้ดี ก็เชื่อว่าเสียงของ ส.ว.จะไหลเข้ามาเพิ่มอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ การตั้งรัฐบาลนี้ คนสนับสนุนไม่ได้มีเพียงแค่ ส.ว.บางส่วน เพราะยังมี ส.ส.บางส่วนที่พร้อมยกมือสนับสนุนรอดูอยู่ ซึ่งจากการพูดคุย ทุกฝ่ายอยากเห็นประเทศเดินหน้า อยากเห็นประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น

‘ลุงตู่’ เดินหน้าไปต่อกับ รวมไทยสร้างชาติ ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์ ให้คนไทย รักชาติรักแผ่นดิน

หลังจากการเลือกตั้งซึ่งผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. 66 ซึ่งผลการเลือกตั้งพรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน ส.ส. 152 ที่นั่ง มีสิทธิ์ในการเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน ขณะที่ "พรรครวมไทยสร้างชาติ" ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้คะแนนเสียง 36 ที่นั่ง

วันนี้ (19 พ.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า "ลุงตู่" ไปต่อ "ลุงตู่" จะยังคงเดินหน้าทำงานกับพรรคต่อไปในฐานะ “ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค” เพื่อเสริมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติให้แข็งแกร่งและเป็นพรรคหลักในการปกป้องและค้ำจุนสถาบันหลักทั้งสามของประเทศตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของพรรค เป็นความหวังในคนไทยทุกรุ่น ที่รักชาติรักแผ่นดินในแนวทางเดียวกันต่อไป

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รวมไทยสร้างชาติ ระบุว่า มีผู้สอบถามเข้ามามากถึงแนวทางและจุดยืนของพรรคในทางการเมืองในขณะนี้ ผมขอเรียนว่าพรรครวมไทยสร้างชาติยังคงยึดมั่นในแนวทาง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประโยชน์ของประชาชน ตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของพรรคเป็นสำคัญ พรรคพร้อมที่จะทำงานการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าบนแนวทาง เจตนารมณ์ และอุดมการณ์ดังกล่าวอย่างแน่วแน่ มั่นคง และไม่เปลี่ยนแปลง

‘อลงกรณ์’ ยืนยัน ข่าวดีล ร่วมรัฐบาลก้าวไกล ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวลือ เพื่อดิสเครดิต พรรคประชาธิปัตย์

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าววันนี้ ( 19 พ.ค. ) ว่า ตามที่มีสื่อมวลชนบางส่วนอ้างรายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า”มีความเคลื่อนไหวของว่าที่ ส.ส. พรรค ปชป. ในกลุ่มของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรค พยายามติดต่อไปยังพรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย เพื่อขอเข้าร่วมรัฐบาล

โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง ว่าที่ ส.ส. สงขลา และนายชัยชนะ เดชเดโช ว่าที่ ส.ส. นครศรีธรรมราช เป็นคีย์แมนหลักในการเดินเกม นั้น ขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง ขอให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอโดยเฉพาะการอ้างแหล่งข่าวที่ไม่ระบุตัวตนเพราะอาจตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์โดยไม่รู้ตัว

นายอลงกรณ์ยังบอกด้วยว่า ทันทีที่เห็นข่าวดังกล่าวได้สอบถามไปยังนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และได้รับการยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง

และตนยังยืนยันข้อเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์โหวตหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อสนับสนุนหลักการเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต้องได้เป็นรัฐบาล ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลพรรคก้าวไกล และยืนยันจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2 และประมวลกฎหมายอาญา ม.112

‘จตุพร’ ฟันธง!! ‘ก้าวไกล’ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ชี้ การเมืองถึงทางตัน แต่ขออย่าลงถนน หวั่นเจอรัฐประหาร

‘จตุพร’ วิเคราะห์การเมือง เชื่อ!! ไม่ว่าอย่างไร ‘ก้าวไกล’ ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและฝ่าด่าน ส.ว.ได้ ถือเป็นทางตันทางการเมือง ที่สำคัญยังอยู่ในช่วง 2 เดือนอันตรายที่ กกต. – ศาลชี้เป็นตาย เตือนอย่าลงถนนปลุกรัฐประหาร

(18 พ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนเปิดเผยว่า วันนี้ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด แม้จะมีความไม่เห็นไม่ตรงกับนายทักษิน ชินวัตร ในการหาเสียงที่ผ่านมา โดยได้วิจารณ์ทุกฝ่ายทำหน้าที่ฐานะประชาชนหาทางออกให้บ้านเมือง เคยบอกให้ทุกฝ่ายต้องหลอมรวมกันต้องคุยกันไม่งั้นเราจะมาเจอกับด่าน ส.ว.ด่านรัฐธรรมนูญ กับดักมากมาย ให้ทำสัญญาประชาคมร่วมกันทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจะมีทางออกร่วมกัน จนกระทั่งมีโอกาสที่จะลงเดินท้องถนนกันใหม่ ก็ไม่อยากจะเห็น ไม่ต้องการวีรชนเพิ่ม

นายจตุพรยังวิเคราะห์ถึงการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกลว่า ต้องยอมรับความเป็นจริงการจัดตั้งรัฐบาล จะ 6 พรรคหรือ 8 พรรค 313 เสียงก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติในช่วงระยะเวลา 5 ปี ต้องใช้ เสียงเกินครึ่งของรัฐสภา คือ 375 + 1 หรือ 376 แม้ว่าจะมี ส.ว. บางคนรวมด้วยแล้วจะมีตัวเลขถึงจำนวนดังกล่าว ความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลแทบจะเป็นศูนย์ ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่ากลไกลักษณะนี้ ถ้าต้องการจัดตั้งรัฐบาล ต้องรอจน ส.ว.หมดอายุ ในเดือน พ.ค. 2567 ณ วันนี้เราเดินมาถึงทางตันของการเมือง ส.ว.โดยส่วนใหญ่ได้แสดงเจตนาที่จะไม่โหวตให้ใคร ทำให้ไม่สามารถมีเสียงถึงจำนวนที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้นี่คือทางตันทางการเมือง แม้จะมีความคิดวิธีอื่น แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ทำยากมากที่สุด คือพรรคร่วมในจำนวน 8 พรรค ไปจับมือกับอีกฟากหนึ่ง แล้วจะถูกประณามทั้งแผ่นดิน

“วันนี้ภาวะประเทศถึงทางตันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้หวังไว้แต่มองหาความสำเร็จไม่เจอ หนำซ้ำในช่วง 2 เดือนนี้ยังไม่รู้ว่า กกต.จะลงมือตามคำร้องอย่างไร ไม่ว่าเรื่องคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เรื่องการยุบพรรค 5 พรรคการเมืองซึ่งเป็นพรรคที่ได้คะแนนเป็นหลักกันทั้งสิ้นยังไม่นับใบแดง เหลือง ส้ม ที่จะมีการแจกกันอีก ดังนั้นจุดชี้ขาดการเมืองตอนนี้อยู่ที่ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ”

เมื่อถามว่าหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลแทนได้หรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะซื่อสัตย์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ ถ้าพรรคเพื่อไทยซื่อสัตย์จับมือก็จะได้ 313 เสียง วันนี้ที่ ส.ว.พยายามจะส่งเสียงก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ บอกว่าถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยก็พอรับกันได้ แต่ถึงเวลาก็รวมไม่ได้อยู่ดี แต่พรรคร่วมจะ 6 หรือ 8 พรรคต้องมีความซื่อสัตย์ให้กัน จึงได้บอกนายพิธาว่า วันนี้ให้ลงสัตยาบันกันเสีย ว่าจะไม่ทิ้งไม่แยกจากกัน เพราะยังไม่ได้ลงนามอย่างเป็นทางการ เพียงแค่จับมือ ก็รอสะบัดมือกันได้ตลอดเวลา พวกเก๋าเกมการเมืองบอกว่านี่คือละครฉากแรกเท่านั้น ถึงไม่ทรยศต่อกันก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ใช่ว่าข้ามฝากและทรยศหมู่มิตร โดยอ้างว่าเป็นการทำเพื่อหาทางออกให้ประเทศแต่ความจริงก็เป็นการหาทางออกให้กับตนเอง ไม่ต้องการคำว่าเสียสัตย์เพื่อชาติเกิดขึ้นอีก
.
ไม่เชื่อว่าพรรคที่ได้เสียงข้างน้อยในปัจจุบันจะกล้าจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะจะเป็นการท้าทายประชาชน ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างยืนอยู่ 3 จุดแบบนี้และจัดการไม่ได้บีบกันไปเรื่อยๆ แต่ยังมีจุดชี้ของสถานการณ์ ก็คือ กกต.ในห้วงระยะเวลา 2 เดือนนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนมากมาย

“มีโอกาสสูงที่จะเกิดการลงถนนหลังจากนี้ ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการเคลื่อนไหวให้มากและอย่าปล่อยให้เกิดช่องว่างหรือสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การรัฐประหารได้ อะไรควรทำไม่ควรทำก็ขอให้ระลึกเอาไว้ทุกฝ่าย” นายจตุพร กล่าว

‘สุวัจน์’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ ได้ 313 เสียง ถือว่ามีเสถียรภาพมาก ด้าน ‘ชพก.’ ได้ 2 เสียง พร้อมเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน

(18 พ.ค. 66) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมงานฉลองครบรอบ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยมี นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมพิธีด้วย โดยก่อนเริ่มพิธี นายสุวัจน์ได้เข้ากราบสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ ‘เจ้าคุณธงชัย’ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ที่เดินทางมาเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษกเหรียญ 100 ปี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

นายสุวัจน์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ว่า บรรยากาศตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่หลายพรรคการเมืองแสดงสปิริตทางการเมือง ในการเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่ 1 เป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการในการจัดตั้งรัฐบาล แต่หลังจากนี้ไปก็คงต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.อย่างเป็นทางการจาก กกต.ก่อน ซึ่งจะต้องรับรองผล 95% ภายใน 60 วัน ก่อนที่จะมีการเลือกประธานรัฐสภา และนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคชาติพัฒนากล้า ถือว่าครั้งนี้ได้ ส.ส.เพียง 2 คนไม่สามารถทำอะไรได้มาก พร้อมที่จะเป็นได้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อทาบทามมาที่พรรคชาติพัฒนากล้าแต่อย่างใด

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ที่พรรคก้าวไกลสามารถรวมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้ถึง 313 เสียง ถ้าพูดถึงเฉพาะระบบรัฐสภา ก็ถือว่ามีเสถียรภาพมาก เพราะตนเองก็พูดมาโดยตลอดในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า รัฐบาลที่มีเสถียรภาพต้องมีอย่างน้อย 300 เสียงขึ้นไป แต่ด้วยกติกาครั้งนี้ที่มีบทเฉพาะกาล ซึ่งจะต้องอาศัยเสียงของ ส.ว.250 เสียง เข้ามาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีกับ ส.ส.500 เสียงด้วย เพื่อให้ได้เสียงเกิน 375 เสียง จึงทำให้ต้องมารอลุ้นเสียงของ ส.ว.ด้วยว่าการตัดสินใจของ ส.ว.จะออกมาเช่นไร

“การเมืองวันนี้ต้องหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกัน อะไรที่ไม่เข้าใจกัน เพราะหลังเลือกตั้งแล้วเป็นเรื่องของบ้านเมือง ก่อนเลือกตั้งเป็นเรื่องการเมือง วันนี้ถ้าพูดคุยกันได้บางที ความเข้าใจผิดหรืออะไรต่างๆ มันก็จะคลี่คลายไป อันนี้ก็เป็นวิธีการที่ฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลต้องไปดําเนินการ ว่าทําอย่างไรที่จะได้เสียงจากวุฒิสมาชิก มาสนับสนุนให้เพียงพอ” นายสุวัจน์ กล่าว

‘หมอพรทิพย์’ ประกาศไม่ขัดขวาง ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอยืนหยัดปกป้องสถาบันฯ ไม่ปล่อยภัยคุกคามให้ทำร้ายสังคม

(18 พ.ค. 66) แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ทวีตข้อความพร้อมรูปบูรพกษัตริย์ระบุว่า…

ความปั่นป่วนทางการเมือง มาจากความกลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากตำแหน่งนั้นจะเป็นของเรามันก็จะได้เป็น เชื่อสิ

ประเด็นอยู่ที่ว่า ผู้นำตั้งใจจะมาสร้างอะไรให้กับคนไทย สังคมไทย ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง สิ่งที่สื่อสารออกมามีแต่เรื่องตั้งใจจะทำลาย กำจัดทิ้ง โดยเฉพาะสถาบันหลักของไทย นโยบายที่ตั้งใจสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมอาจจะไปต่อไม่ได้ เพราะวางลำดับความสำคัญผิด สะดุดขาตัวเอง ล้มเอง ถ้าล้มแรงก็กลับมาเหมือนเดิมได้ยาก

คนที่เกิดมาก่อน คนที่เห็นต่างก็เป็นคนไทย เมื่ออ้างประชาธิปไตยต้องรับฟัง ระบบประชาธิปไตยไม่ใช่การใช้อารมณ์ การไล่ล่า การกดดัน การทำร้าย ทำลายฝ่ายตรงข้าม

หมอต้องการความชัดเจน ว่าเมื่อเป็นรัฐบาล คุณจะทำอะไรอย่างไรกับนโยบายของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะนโยบายตอนหาเสียง สมาชิกพรรคพูดและแสดงออก คือ ‘การทำลาย’ ต้องไม่ลืมหลักธรรมะแห่งพุทธ การกระทำของเราเกิดจากตัวเรา เสียดายที่การเรียนวิชาประวัติศาสตร์หายไป แถมเรียนในสภาพแวดล้อมที่ที่เน้นวัตถุพัฒนากิเลส บางคนไปเรียนแต่เมืองนอก จึงไม่เคยทราบความจริงที่ไม่มีในสังคมโซเชียล

ปฐมกษัตริย์ของประเทศไทย พ่อขุนผาเมืองทรงรบเพื่อสร้างสุโขทัย ยกบัลลังก์ให้เพื่อนขึ้นปกครองก็เพื่อให้เป็นไทย และปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรม กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงใช้ธรรมะปกครองแผ่นดิน จนทำให้ไทยเป็นไทยมาจนทุกวันนี้ ที่สำคัญเป็นแผ่นดินพุทธศาสนาหลังจากถูกทำลายที่อินเดียเมื่อครั้งพุทธกาล ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยคือ ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความไม่ยุติธรรม ทำไมไม่มุ่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่พรรคการเมืองที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจทำให้สำเร็จ หรือเพราะมีนายทุนทางความคิดกดดันชี้นำอยู่

ใครที่อ่านแล้วขัดใจก็ข้ามไปเสีย หมอตั้งใจกระตุ้นเตือนคนไทยที่รักแผ่นดิน รักสถาบัน ถึงเวลาที่ต้องไม่ปล่อยให้ภัยคุกคามแบบนี้ทำร้ายสังคม ไม่ต้องรอใครทำก่อน พลังความดีจะปกป้องเรา เราไม่ได้ขัดขวางที่คุณจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ แต่เราจะขัดขวางและร่วมปกป้องสถาบันแน่นอน สิ่งนี้ไม่ใช้เรื่องที่ต้องมีมติหรือเสียงส่วนใหญ่

นักรบแห่งแผ่นดิน จักต้องปกป้องรักษาไว้ด้วยชีวิต

(หมายเหตุ คนที่ขัดใจข้ามไป เลิก Follow ไม่ต้องแชร์ความเห็นใดๆ มาให้ทุกช่องทาง หมอชัดเจนเรื่องนี้ เดี๋ยวกลับไทยวันเสาร์นี้จะติดต่อได้)

‘พิธา’ สร้างตำนานใหม่!! ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาแถลงข่าว ด้านแกนนำ 8 พรรค ตบเท้าเข้าร่วมงานแถลงจัดตั้งรัฐบาล

(18 พ.ค. 66) แถลงข่าวพรรคร่วมรัฐบาลก้าวไกลทั้ง 8 พรรค ที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ โดยประกอบไปด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเพื่อไทย, พรรคไทยสร้างไทย, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคสังคมใหม่, พรรคเพื่อไทยรวมพลัง, พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม

โดยช่วงเวลาประมาณ 09.30 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ได้นั่งวินจักรยานยนต์รับจ้างมาที่โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เพื่อทำการแถลงข่าวการหารือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 8 พรรค ถือเป็นการสร้างตำนานบทใหม่กับชาวด้อมส้ม

‘พิธา’ ประกาศตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ของประชาชน ตั้งทีมเจรจารายละเอียด พร้อมเปิดเอ็มโอยู ร่วมรัฐบาล 22 พ.ค.นี้

วันนี้ (18 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย, พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง, ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม, และ เชาวฤทธิ์ ขจรพงศกีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ แถลงข่าวประกาศตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ซึ่งจากผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการ มีจำนวนผู้แทนราษฏรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน

นายพิธากล่าวว่า พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณทุกเสียงที่ประชาชนมอบให้ เสียงของประชาชนทุกเสียงคือเสียงแห่งความหวัง คือเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชน และเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน

ทุกพรรคขอประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกัน ด้วยความเคารพในฉันทามติของประชาชน ดังนี้

1. ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้งของประชาชน

2. ทุกพรรคจะร่วมกันจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้แบบไร้รอยต่อ

หลังจากนั้นเปิดให้สื่อมวลชนถามคำถาม โดยนายพิธาให้ความเชื่อมั่นว่าการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและโดยราบรื่น จำนวน 313 เสียง มีความเพียงพอและเป็นความปกติของระบอบประชาธิปไตย

ขณะนี้ คณะทำงานทั้ง 2 ทีม ได้แก่ คณะเจรจาและคณะเปลี่ยนผ่านอำนาจ ได้เตรียมการวางแผนในหลายรูปแบบว่าจะมีฉากทัศน์ใดเกิดขึ้นบ้าง แต่ละฉากทัศน์จะบริหารจัดการอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงพิจารณาว่าจุดยืนและนโยบายของทุกพรรคการเมือง จะทำงานร่วมกันอย่างไรโดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง กระบวนการทั้งหมดจะคำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลและการมีส่วนร่วมของทุกพรรคการเมือง เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จลุล่วง ทุกพรรคการเมืองสามารถสานต่อนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน

สำหรับความเห็นของ ส.ว. หลายคนที่ออกมาแสดงจุดยืนว่าจะโหวตนายกฯ ตามเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายพิธากล่าวว่าขอขอบคุณ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร แต่เป็นเรื่องของระบบ ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด

 

‘ศูนย์ทนายฯ’ เผย ศาลเยาวชนฯ ยกคำร้อง คดี ม.112 เตรียมปล่อยตัว ‘หยก’ วันนี้ หลังถูกคุมขังมา 51 วัน

(18 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เปิดเผยว่า มีรายงานว่า วันนี้หลังจากตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ยื่นขอผัดฟ้องและควบคุมตัว ‘หยก ธนลภย์’ เยาวชนวัย 15 ปี ในคดี ม.112 ต่ออีกครั้ง แต่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้ยกคำร้องดังกล่าว ทำให้หยกจะได้รับการปล่อยตัวจากบ้านปรานีในช่วงเย็นวันนี้ รวมหยกถูกคุมขังมาแล้ว 51 วัน

ทั้งนี้ กลุ่มทะลุวังระบุว่า ได้รับแจ้งว่ามีการปล่อยหยกในวันนี้ (18 พ.ค.) โดยกลุ่มเพื่อนของหยกจะเดินทางไปรับตัวหยกที่บ้านปรานี เวลา 15.30 น.

‘วิษณุ’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เสียงทะลุ 300 มั่นคงแล้ว แนะ ใช้ไมตรีแลกเสียงโหวต เชื่อ จัดตั้ง รบ.ได้

(18 พ.ค. 66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ห่วงจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ว่า ไม่ทราบ ตนตามเรื่องเท่าที่สื่อมวลชนเสนอ ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น ตอนนี้รอดูว่าจะรวบรวมเสียงเป็นปึกเป็นแผ่นได้หรือไม่ เท่าที่ทราบปัจจุบันรวบรวม 313 เสียง มันก็มั่นคงถาวรแล้ว ซึ่งเสียงเกิน 250 ถือว่ามั่นคงแล้ว รัฐบาลที่แล้วตนยังบอกว่าเรือเหล็กเลย แต่ครั้งนี้ยิ่งกว่าเหล็กอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงอย่างไรต้องอาศัยเสียง ส.ว.อีก 60 กว่าเสียง นายวิษณุ กล่าวว่า อาศัยในช่วงของการโหวตนายกฯ และอาจจะต้องอาศัยอีกในตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ตนถึงได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่า เชื่อเถอะว่าปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง ตนยังยืนยันแบบนี้อยู่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันไป ยังมีเวลาอีกตั้ง 60 วัน กว่าจะประกาศรายชื่อ ส.ส. และกว่าจะถึงเวลาเลือกนายกฯ บวกเข้าไปอีกร่วม 30 วัน รวมแล้ว 3 เดือน ต้องใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปด่าทอกัน หรือประชดประชันกัน มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ เพราะต่างก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรัฐสภา มันไม่ใช่แค่ทำงานฉาบฉวย สำหรับการเลือกนายกฯ อาจจะไม่ใช่ภารกิจยุ่งยากเท่าไหร่ แต่การผ่านกฎหมาย การอะไรต่ออะไรยังมีมากกว่านี้ และหลายคนใน 6-7 พรรคนี้ก็พยายามประสาน เพราะเขามีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ ฉะนั้น ใช้เวลาตอนนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าลงมือด่าทอตบตีกันตั้งแต่วันแรก

เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมกับพรรคอื่นได้ 8 พรรคแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า กี่พรรคก็ช่าง แต่ตนเห็นว่ามันมั่นคงแล้ว เมื่อถามว่า ไม่เยอะเกินไปใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่แกนนำรัฐบาลจะไปคิดกัน เราจะไปวิจารณ์เขาได้อย่างไรว่าเยอะไป ถ้าเขาได้ 500 ยิ่งดีใหญ่

เมื่อถามว่า มีคนประเมินว่าในรัฐสภาจะไม่สามารถเลือกนายกฯได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ประเมิน เมื่อถามว่า ในทางกฎหมาย หากโหวตชื่อแคนดิเดตนายกฯ คนใดคนหนึ่งไปแล้ว แต่ไม่ผ่าน จะสามารถนำชื่อเดิมกลับมาโหวตอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ได้ โหวตมันทุกวันน่ะแหละ ชื่อเดิมก็ได้”

เมื่อถามว่า พรรคอันดับ 2 จะสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นไปก็ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ทุกอย่าง มันต้องอาศัยเสียงกึ่งหนึ่งในรอบแรก เพราะว่ามาตรา 272 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ต้องมีความเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาฯ ที่มีอยู่ ซึ่งคือ 376 เสียง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็โหวตอีก โหวตไปโหวตมาจนกระทั่งในที่สุดจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 272 วรรคสองก็แล้วแต่ หรือจะโหวตซ้ำมาตรา 272 วรรคหนึ่งก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะมันอาจจะมีเหตุผลใหม่ๆ ดีๆ และมีคนเปลี่ยนใจเพิ่มขึ้นก็ได้ สำคัญคือ วันแรก ด่านแรก ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

ต่อข้อถามว่า มาตรา 272 วรรคสอง ที่จะใช้ได้คืออะไร นายวิษณุ กล่าวว่า แปลว่าเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว หาบุคคลอื่น แม้กระนั้นพอจะใช้วรรคสองที่ระบุว่า ทั้งนี้ อาจจะเสนอรายชื่อบุคคลที่อยู่ในรายชื่อนายกฯที่แต่ละพรรคเสนอได้ ซึ่งมันก็กลับมาใช้ได้อีก เห็นไหมล่ะ ขนาดใช้วรรคสองยังกลับมาใช้ชื่อเดิมได้อีก แล้วนับประสาอะไรกับแค่วรรคหนึ่ง รอบแรกไม่ผ่าน แล้ววันหลัง อาทิตย์หน้ามาใหม่ๆ ก็เสนอรายชื่อเดิมได้

เมื่อถามอีกว่า แบบนี้แสดงว่ามีสิทธิที่จะใช้นายกฯ นอกบัญชีได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ก็ได้ทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นกรณีของวรรคสอง ซึ่งยาก เพราะกว่าจะได้วรรคสองมันต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 ซึ่งมันยาก มันไม่เกิดได้ง่ายๆ หรอก แล้วเดี๋ยวพวกคุณก็ไปลงข่าวว่าผมชี้ช่องอีก เอาแค่วรรคหนึ่งให้มันจบและผมก็เชื่อว่าจบด้วย”

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามั่นใจว่าจะตั้งรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ผมไม่มั่นใจ แต่ผมเชื่อ”

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการใช้กระแสโซเชียลมีเดียมากดดันให้โหวตนายกฯ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ไม่ทราบเลย เมื่อถามว่า จะทำให้มีปัญหาตามมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวย้ำว่า ไม่ทราบ

‘ทักษิณ’ ลั่น เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย ถ้า ‘ก้าวไกล’ ทำสิ่งที่กระทบกระเทือน ต่อเบื้องสูง

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือโทนี่ วู้ดซัม ตอบคำถามแฟนคลับรายหนึ่งในเฟซบุ๊ก "care คิด เคลื่อน ไทย" ถึงกรณีมีเสียงวิจารณ์พรรคเพื่อไทยสู้ไปกราบไปว่า กราบไปคืออะไร การเคารพสถาบันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ยังไงเนี่ยจุดยืนของพรรคเพื่อไทย และครอบครัวชินวัตร คือเราเคารพรักสถาบัน

ใครจะว่าอย่างไงผมช่วยไม่ได้ ผมเป็นของผมอย่างงี้ และยินดีต้อนรับว่า คนจะวิจารณ์ว่า เพราะผมไม่ได้สู้เพื่อไปทำอะไรไม่ดีกับสถาบัน ไม่มี ผมสู้เพื่อเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นเอง

สถาบันนี่ ผมถือว่าผมจงรักภักดี ครอบครัวผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รู้มั้ยว่าผมกับคุณหญิงนี่ สมรสพระราชทานนะครับ ผมอาจจะไม่ได้มีพิธีเหมือนสมัยนี้ แต่พิธีของผมคือสมรสพระราชทาน ฉะนั้นเรื่องความสำนึกอะไรพวกนี้ มันมีอยู่ นะครับมันมีอยู่ จะให้ผมไม่มีมันเป็นไปไม่ได้เลย นะครับ

แน่นอน สมมติว่าพรรคเพื่อไทย ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล สิ่งไหนที่พรรคก้าวไกลจะทำ ซึ่งคิดว่าไม่ทำนะ ทำในสิ่งที่กระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็คงไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ใช่ขวาจัด ตกขอบ ไม่ใช่ แต่เราเป็นคนไทย เราเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ เท่านั้นเอง ชัดเจน ไม่มีบิดพลิ้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top