Monday, 20 January 2025
POLITICS

‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ ประกาศ!! ยกระดับ 4 อำเภอชายแดนสงขลา สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า สร้างรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิต

(19 ม.ค. 68) นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ผู้สมัครนายก อบจ.สงขลา เบอร์ 5 ทีมสงขลาพลังใหม่ ได้จัดปราศรัยเพื่อประชาสัมพันธ์นโยบายขึ้นที่สนามกีฬากลาง อ.นาทวี โดยมีพี่น้องประชาชนจาก 4 อำเภอชายแดน ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย มาร่วมงานอย่างล้นหลาม บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวังและพลังจากประชาชนที่รอคอยการเปลี่ยนแปลง

นายสุพิศ ประกาศวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับ 4 อำเภอชายแดนให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการค้า ด้วยการพัฒนาด่านชายแดนไทย-มาเลเซียให้มีความพร้อมครบวงจร ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ และพื้นที่สำหรับการค้าขายระหว่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังมีแผนสนับสนุนการพัฒนาอาชีพให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรรม เช่น ส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่นาร้าง ผลักดันทุเรียน ให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของจังหวัดสงขลา พร้อมนำเทคโนโลยีมาดูแลความปลอดภัยของประชาชน

ทั้งนี้ สุพิศ เน้นย้ำว่า การสนับสนุนด้านการเกษตรจะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของพื้นที่ชายแดน

ศักยภาพของ 4 อำเภอชายแดน

อ.จะนะ

เป็นศูนย์กลางการค้าขายและเส้นทางคมนาคมสำคัญระหว่างสงขลา-ปัตตานี อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมสถานศึกษาด้านศาสนา และสถานที่จัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงระดับอาเซียน

อ.เทพา

มีความโดดเด่นจากเส้นทางรถไฟที่เชื่อมโยงพื้นที่ชายแดน และชื่อเสียงของ ‘ไก่ทอดเทพา’ ที่กลายเป็นสินค้าอาหารระดับประเทศ

อ.นาทวี

ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย (ด่านบ้านประกอบ)แห่งใหม่ที่มีศักยภาพสูงในอนาคต อุดมด้วยผลไม้พื้นเมือง และยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญ เช่น อุโมงค์เขาน้ำค้าง

อ.สะบ้าย้อย

พื้นที่ต้นกำเนิดกาแฟโรบัสต้าชั้นเยี่ยม และบ้านเกิดของ ‘ทุเรียนฟอสซิล’ พันธุ์ใหม่ที่สร้างชื่อเสียงในระดับประเทศ

นายสุพิศ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในมิติของการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างคนในพื้นที่อย่างแข็งแกร่ง โดยย้ำว่า 4 อำเภอชายแดนของสงขลามีศักยภาพที่พร้อมจะเติบโต หากได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายและโครงสร้างที่เหมาะสม ทีมสงขลาพลังใหม่มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้พื้นที่ชายแดนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า และเกษตรกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับประชาชนทุกคนในจังหวัดสงขลา

‘ทักษิณ’ ลุยหาเสียง!! นครพนม ห่มพระธาตุ!! เอาฤกษ์เอาชัย

(18 ม.ค. 68) เมื่อเวลา 08.10 น. ที่สนามบินสกลนคร จ.สกลนคร นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว เดินทางมาถึงก่อนเดินทางต่อมายังจ.นครพนม เพื่อช่วยนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครพนม พรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียง โดยมีนายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ สส.นครพนม พรรค พท. นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร พรรคพท. และน.ส.จิรัชยา สัพโส สส.สกลนคร มารอให้การต้อนรับ

โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า นาฬิกาที่นายทักษิณใส่วันนี้ ได้ใช้สายซิลิโคนสีส้ม ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของพรรคประชาชน (ปชน.) หลังจากนายทักษิณได้ไปพบนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่งานฉลองมงคลสมรสของสส.พรรค พท. กับพรรค ปชน.

จากนั้นเวลา 09.15 น. นายทักษิณเดินทางมายังวัดพระธาตุพนม เพื่อสักการะองค์พระธาตุพนม เอาฤกษ์เอาชัยก่อนเดินสายปราศรัยช่วยนายอนุชิต หาเสียง โดยมีนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และประชาชนชาวนครพนม รอให้การต้อนรับอย่างเนืองแน่น ทันทีที่มาถึงประชาชนที่มารอให้การต้อนรับ ได้คาดผ้าขาวม้าที่เอว รวมถึงคล้องพวงมาลัยดอกดาวเรืองให้การต้อนรับนายทักษิณ และนายทักษิณได้เขียนชื่อทักษิณ ชินวัตร ลงบนผ้าห่มพระธาตุ ก่อนที่จะเข้าไปเดินแห่ผ้าห่มพระธาตุพนม 1 รอบ และห่มผ้าพระธาตุพนม ทั้งนี้ มีนางรำชุดพื้นเมืองจากอ.ก้านเหลือง มารำโชว์ โดยใช้ชุดการรำที่เป็นชุดประจำจ.นครพนม จากนั้นนายทักษิณได้เดินทางไปขึ้นเวทีปราศรัยที่โดมวิทยาลัยธาตุพนม

‘เทพไท’ เผยจุดยืน!! ‘อภิสิทธิ์’ หลังกินข้าว สวัสดีปีใหม่ ค้าน!! ‘กาสิโน’ เสียดาย ไร้พรรคหลัก สู้กับระบอบทักษิณ

(18 ม.ค. 68) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช หลายสมัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กเผยจุดยืนทางการเมืองของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาดังนี้  

ได้มีโอกาสนัดเพื่อนๆ รับประทานอาหารเที่ยงกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในโอกาสช่วงปีใหม่และเทศกาลตรุษจีน ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ ได้นำกาแฟเทพไท ไปมอบให้ท่านเป็นของขวัญปีใหม่ด้วย

ในระหว่างรับประทานอาหาร ได้มีโอกาสพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งพอจะสรุปจุดยืนของท่านอภิสิทธิ์ได้ดังนี้

1.ไม่สนับสนุนนโยบายสร้างสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment complex)ของรัฐบาล

2.ไม่มีแนวความคิดจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด แม้ว่ามีเสียงสนับสนุน และเรียกร้องให้จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาต่อสู้ทางการเมืองจำนวนมาก

3.ไม่ขอให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะการแถลงข่าว หรือยืนให้สัมภาษณ์ในทุกกรณี

4.ยังรับเชิญเป็นวิทยากรให้กับรายการต่างๆ เพื่อแสดงความเห็นทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง

5.ยังรับเชิญเป็นผู้บรรยายพิเศษ ให้กับ สถาบันการศึกษา หน่วยงาน องค์กร และโครงการหลักสูตรพิเศษ ฯลฯ

6.ยังรับเชิญเป็นองค์ปาฐกถา วิทยากร ในการสัมมนา เสวนาทางวิชาการ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา

7.เสียดายโอกาสของฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ ที่ยังไม่มีพรรคการเมืองหลัก ในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มแข็ง และเป็นรูปธรรม

8.ยังให้ความสนใจ และติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด

จึงขออนุญาตนำมาเล่าให้กับแฟนคลับของคุณอภิสิทธิ์ และคอการเมืองได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวของคุณอภิสิทธิ์บ้างไม่มากก็น้อย

อบจ.นครศรีฯ ตัดงบ!! อุดหนุน โรงพยาบาล ไม่ผ่านสภา!! ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

(18 ม.ค. 67) ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (อบจ.) มีการตัดงบอุดหนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชจริง มีการตัดงบอุดหนุนโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ และโรงพยาบาลยุพราช อ.ฉวาง จริง

ไม่ใช่แค่นี้ยังตัดงบอุดหนุนโรงเรียนต่าง ๆ อีกสี่สิบกว่าโรง รวมทั้งหมด 154 โครงการ เป็นวงเงิน 47 ล้านบาท เพื่อนำเงินงบประมาณไปใช้ในการจัดการเลือกตั้ง ส.อบจ.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

ต้นสายปลายเหตุมาจากการที่ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ อดีตนายกฯอบจ.นครศรีฯ ลาออกก่อนหมดวาระ ทำให้ต้องจัดการเลือกตั้งสองครั้ง คือเลือกนายกฯอบจ.ก่อน แล้วมาเลือกตั้ง ส.อบจ.อีกครั้ง ในขณะที่ อบจ.นครศรีฯ ตั้งงบประมาณเพื่อจัดการเลือกตั้งไว้ 86 ล้านบาท ใช้เพื่อเลือกตั้งนายกฯอบจ.ไปแล้ว 74 ล้านบาท เหลืองบเพื่อใช้จัดการเลือกตั้ง ส.อบจ.เพียง 10 กว่าล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่า ไม่เพียงพอ อบจ.นครศรีฯจึงต้องจัดหางบเพิ่มเติม เพื่อจัดการเลือกตั้ง ส.อบจ.ให้แล้วเสร็จตามช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด ช่วงเวลาสั้นๆ ง่ายๆ คือการ ‘ตัดงบอุดหนุน’ อันเป็นภารกิจรองของท้องถิ่น

ผู้บริหารท้องถิ่นอย่าง อบจ.นครศรีฯในเวลานั้น เมื่อนายกฯอบจ.ลาออก ปลัด อบจ.ต้องทำหน้าที่แทน จนกว่าจะได้นายกฯคนใหม่ อันเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับการเตรียมการเลือกตั้ง ส.อบจ. เมื่อได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการแล้ว จึงตัดสินใจหางบประมาณจัดการเลือกตั้งด้วยการตัดงบประมาณอุดหนุนส่วนราชการต่างๆ และเลือกที่จะตัดงบอุดหนุนโรงพยาบาล โรงเรียน จึงทำให้เกิดกระแสดราม่าขึ้น เมื่อ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงค์’ นายกฯอบจ.นครศรีฯ เป็นคนลงนามในหนังสือแจ้งการตัดงบประมาณอุดหนุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ทราบด้วยตัวเอง ทำให้ตกเป็นเหยื่อ เป็นขี้ปากของฝ่ายตรงข้ามทันที

เราจะลองย้อนหลังไปดูเส้นทางการตัดงบอุดหนุนของ อบจ.นครศรีฯ กันว่า เกิดในช่วงไหนอย่างไร เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

การดำเนินการพิจารณาตัดงบอุดหนุนนี้ได้ดำเนินเสร็จสิ้นตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่แทนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในขณะนั้น ในระหว่างรอนายกฯคนใหม่

ความจำเป็นในการตัดงบอุดหนุน เนื่องจากข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2568 ได้ตั้งงบประมาณเป็นค่าจัดการเลือกตั้งนายก อบจ. และส.อบจ. ไว้ 86 ล้านบาท 

ภายหลังจัดการเลือกตั้งนายก อบจ. มีงบประมาณคงเหลือประมาณ 10 กว่าล้านบาท ได้จัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งส.อบจ แล้ว ต้องตั้งงบประมาณเพิ่มเติม 47 ล้านบาทเศษ

ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนของ อปท. พ.ศ.2559 ข้อ 4(3) อปท.ต้องให้ความสำคัญกับโครงการอันเป็นภารกิจหลักตามแผนพัฒนาท้องถิ่นที่จะต้องดำเนินการเอง และสถานะทางการคลังก่อนที่จะพิจารณาให้เงินอุดหนุน

แต่ประเด็นคือ อบจ.นครศรีฯ ภายใต้การบริหารชั่วคราวของ ‘ดุษฎี จันทร์พุ่ม’ เลือกที่จะตัดงบอุดหนุนโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ และโรงพยาบาลยุพราช ฉวาง (คุณภาพชีวิต)รวมถึงงบอุดหนุนโรงเรียน (การศึกษา) เมื่อเลือกตัดงบโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ จึงหลีกหนีไม่พ้นการตกเป็นขี้ปากของฝ่ายตรงข้าม เพราะอย่าลืมว่า ฝ่ายตรงข้ามเขาอยู่ร่อนพิบูลย์ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ สส.ในเขตนั้นจึงฟูมฟายผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ทันที

จริง ๆ อบจ.ยังมีทางเลือกในการตัดงบก้อนอื่น เช่น งบกลาง งบสร้างถนน งบสร้างสะพาน ที่ตอนหาเสียงก็กล่าวหาเขาว่า สร้าง ๆๆๆ สร้างถนนเยอะ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ประเด็นพิจารณา คือ การตัดงบอุดหนุนโดยฝ่ายบริหารนั้น ชอบหรือไม่ อย่าลืมว่า ข้อบัญญัติงบประมาณ ได้รับอนุมัติจากสภา อบจ.การจะเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในข้อบัญญัติ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา.อบจ.ก่อนหรือไม่ ฝ่ายบริหารเปลี่ยนแปลงเอง โดยสภาไม่รับรู้ด้วย ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

การเปลี่ยนแปลงข้อบัญญัติงบประมาณโดยสภาไม่รับรู้ น่าจะเป็นปัญหาต่อไปของ อบจ.นครศรีฯ

‘น้าหงา’ ลุยต้าน!! คัดค้าน ‘กาสิโน’ ชี้!! ตอนหาเสียง ไม่มีนโยบายนี้

(18 ม.ค. 68) สุรชัย จันทิมาธร หรือ ‘หงา คาราวาน’ ศิลปินแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า …

มีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะไปหมด ยังไม่คิดจะทำ

ประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้เรียกร้องให้เปิดบ่อนสักกะหน่อย

ตอนหาเสียงก็ไม่เคยมีนโยบายนี้นะ เห็นแต่ว่ามีเกลียดมีกลิ่นมีสักมีสีมีกะเทียม

ก่อนหน้านี้ ‘สุรชัย จันทิมาธร’ ออกมาคัดค้านการเปิดกาสิโน ตามนโยบาย รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ต้องการออกกฎหมายให้มี 'เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์' หรือสถานบันเทิงครบวงจรถูกกฎหมาย

โดย สุรชัย จันทิมาธร ระบุในเฟซบุ๊กว่า …

กาสิโน คือบ่อนการพนัน รัฐบาลเปิดบ่อนกาสิโน ก็เท่ากับว่า รัฐบาลเป็นนักเลงคุมบ่อน

สส. ทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

กราบเรียนท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่เคารพกระผมนายทรงศักดิ์. ส่งเสริมอุดมชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครสวรรค์ เขต 2 พรรคเพื่อไทยผมขอหารือในหลายๆเรื่องอาทิเช่น เช่นเรื่องที่ 1 กระผมได้ลงพื้นที่กับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนิคมเขาบ่อแก้วและคณะ ปรากฏว่าถนนสายบ้านโป่งสวรรค์ถึงบ้านสระทางสงฆ์และถนนสนามชัยถึงเขากะลา 

เนื่องจากถนนทั้งสองเส้นนี้ไม่มีงบประมาณในการมาซ่อมบำรุงรักษา พี่น้องประชาชนเดือดร้อนในการใช้มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว เวลาฝนตกรถบรรทุกไม่สามารถบรรทุกพืชผลทางการเกษตรได้ เช่น อ้อย ข้าวโพด 

ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมาเป็นเวลานาน จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยมาปรับปรุงดูแลแก้ไข เรื่องที่ 2 ผมได้รับการร้องเรียนจากนายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำทรงเรื่องของการปรับปรุงของบางเดื่อและอาคารบังคับน้ำเพื่อให้พี่น้องประชาชนในบริเวณนั้น ได้ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่องครับ

‘รสนา’ โต้ 3 บก. สื่อเครือเนชั่น เต้าข่าวกล่าวหา เป็นขุนพลข้างกาย ‘พีระพันธุ์’ โดยไม่มีการวิเคราะห์ใด ๆ ย้ำชัด เป็นพลทหารของประชาชน ไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองพรรคใด

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต สว.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่ผู้ดำเนินรายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก. ซึ่งประกอบด้วยนายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร, นายสมชาย มีเสน และนายบากบั่น บุญเลิศ จัดรายการพาดพิงตนเองว่าเป็นขุนพลข้างการนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน โดยระบุว่า

รสนาเป็นพลทหารของประชาชนไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองพรรคใด ตามที่สื่อเต้าข่าว !?!

วันนี้มีเพื่อนส่งคลิปนักข่าว 3 คนเครือเนชั่น ออกมาวิเคราะห์เรื่องนโยบายพลังงานของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน มีการเอาภาพใครต่อใครมาแปะข้างกายนายพีระพันธุ์ และพาดหัวใต้ภาพว่า ‘ขุนพลข้างกาย 'พีระพันธุ์' พานโยบายย้อนยุค?’

ในภาพดังกล่าว มีรูปดิฉันอยู่ด้วย และมีการพูดชื่อดิฉันชัดเจนในรายการ ทุนสื่อเนชั่นแกล้งเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า!? สิ่งที่นักข่าวทั้ง 3 คนพูด ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรในเชิงวิเคราะห์ข่าวที่เต้าขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่กล่าวหาดื้อ ๆ ว่าดิฉันเป็นขุนพล รมว.พีระพันธุ์

นักข่าว นักสื่อมวลชนจะสื่อสารอะไรกับสังคมและประชาชนที่เวลานี้มีช่องทางอิสระในการหาความจริงได้มากกว่าทุนสื่อบางกลุ่มที่ทั้งตกยุค ตกเทรนด์พลังงานโลกยุคใหม่เสียอีก สื่อจึงควรมีเนื้อหาสาระ มีข้อมูลที่เป็นความจริงน่าเชื่อถือ มิเช่นนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นทุนสื่อของค่ายธุรกิจการเมืองบางกลุ่มที่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์พลังงานโลกจนต้องเต้าข่าว ปั่นข่าวโคมลอย เพื่อดิสเครดิตใครก็ตามที่มุ่งสู่การปลดแอกทุนพลังงานจากบ่าประชาชน สื่อเต้าข่าวจำพวกนี้ ควรระวังที่จะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในอนาคตอันใกล้!!

ดิฉันก็จบคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ สิ่งที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนคือสื่อต้องมีจริยธรรม ในการนำเสนอความจริงต่อสังคม การเต้าข่าวเลื่อนลอยถือว่าเป็นอนันตริยกรรมในวิชาชีพสื่อ ใช่หรือไม่??!!

ดิฉันไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองของพรรคใด ๆ ถ้าจะเป็น ก็จะเป็นเพียงพลทหารของประชาชน ที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างสุดฤทธิ์เท่านั้น

ดิฉันทำงานต่อสู้เรื่องพลังงานมานานมากก่อนที่นักการเมืองคนใดจะสนใจประเด็นนี้เสียอีก

‘รสนา’ ฟาดกลับ 3 บก.เครือเนชั่น กล่าวหาเป็นขุนพลข้างกาย ‘นักการเมือง’ ย้ำชัด ไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายใคร ชี้ ‘พีระพันธุ์‘ ทำงานแนวของเขา

‘รสนา’ โต้ 3 บก. สื่อเครือเนชั่น เต้าข่าวกล่าวหา เป็นขุนพลข้างกาย ‘พีระพันธุ์’ โดยไม่มีการวิเคราะห์ใด ๆ ย้ำชัด เป็นพลทหารของประชาชน ไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองพรรคใด 

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่ผู้ดำเนินรายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก. ซึ่งประกอบด้วยนายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร, นายสมชาย มีเสน และนายบากบั่น บุญเลิศ จัดรายการพาดพิงตนเองว่าเป็นขุนพลข้างการนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน โดยระบุว่า รสนาเป็นพลทหารของประชาชนไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองพรรคใด ตามที่สื่อเต้าข่าว !?!

วันนี้มีเพื่อนส่งคลิปนักข่าว 3 คนเครือเนชั่น ออกมาวิเคราะห์เรื่องนโยบายพลังงานของนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน มีการเอาภาพใครต่อใครมาแปะข้างกายนายพีระพันธุ์ และพาดหัวใต้ภาพว่า ‘ขุนพลข้างกาย “พีระพันธุ์” พานโยบายย้อนยุค?’

ในภาพดังกล่าว มีรูปดิฉันอยู่ด้วย และมีการพูดชื่อดิฉันชัดเจนในรายการ ทุนสื่อเนชั่นแกล้งเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า!? สิ่งที่นักข่าวทั้ง 3 คนพูด ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรในเชิงวิเคราะห์ข่าวที่เต้าขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่กล่าวหาดื้อ ๆ ว่าดิฉันเป็นขุนพล รมว.พีระพันธุ์

นักข่าว นักสื่อมวลชนจะสื่อสารอะไรกับสังคมและประชาชนที่เวลานี้มีช่องทางอิสระในการหาความจริงได้มากกว่าทุนสื่อบางกลุ่มที่ทั้งตกยุค ตกเทรนด์พลังงานโลกยุคใหม่เสียอีก สื่อจึงควรมีเนื้อหาสาระ มีข้อมูลที่เป็นความจริงน่าเชื่อถือ มิเช่นนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นทุนสื่อของค่ายธุรกิจการเมืองบางกลุ่มที่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์พลังงานโลกจนต้องเต้าข่าว ปั่นข่าวโคมลอย เพื่อดิสเครดิตใครก็ตามที่มุ่งสู่การปลดแอกทุนพลังงานจากบ่าประชาชน สื่อเต้าข่าวจำพวกนี้ ควรระวังที่จะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในอนาคตอันใกล้ !!

ดิฉันก็จบคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ สิ่งที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนคือสื่อต้องมีจริยธรรม ในการนำเสนอความจริงต่อสังคม การเต้าข่าวเลื่อนลอยถือว่าเป็นอนันตริยกรรมในวิชาชีพสื่อ ใช่หรือไม่??!!

ดิฉันไม่มีวันเป็นขุนพลข้างกายนักการเมืองของพรรคใดๆ ถ้าจะเป็น ก็จะเป็นเพียงพลทหารของประชาชน ที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างสุดฤทธิ์เท่านั้น

ดิฉันทำงานต่อสู้เรื่องพลังงานมานานมากก่อนที่นักการเมืองคนใดจะสนใจประเด็นนี้เสียอีก

กกต.ตรวจสอบ 'มาดามหน่อย' ผู้สมัครนายก อบจ. เบอร์ 2 ส่อฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง หลังโอนงบ 23 ล้านก่อนลาออก

เมื่อวันที่ (15 ม.ค. 68) ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมโรงแรมเซ็นทาราโคราช อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายสมเกียรติ วิริยะกุลนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "สร้างผู้ปฏิบัติงานการเลือกตั้งมืออาชีพ" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีตัวแทนประชาชนระดับอำเภอจากทั่วทั้งจังหวัดรวมกว่า 1,200 คน เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ นายไพฑูรย์ ถนัดหมอ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ได้กล่าวถึงความสำคัญของการทำงานอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมในการเลือกตั้ง  

นายไพฑูรย์ ยังเปิดเผยถึงการตรวจสอบกรณี นางยลดา หวังศุภกิจโกศล หรือ “มาดามหน่อย” ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา หมายเลข 2 ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการกระทำที่อาจขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หลังจากมีรายงานว่า ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายก อบจ. ได้เสนอญัตติการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อซื้อครุภัณฑ์ใหม่แทนของเก่าที่ชำรุด โดยรายการโอนงบประมาณดังกล่าวรวมเป็นเงินกว่า 23 ล้านบาท ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสมาชิก อบจ. 36 คน จากทั้งหมด 39 คน  

อย่างไรก็ตาม การอนุมัติในช่วงเวลา 90 วันก่อนที่นางยลดาจะยื่นลาออกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 65 ของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2566 โดยกฎหมายดังกล่าวระบุห้ามกระทำการใดๆ ที่อาจเป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้โทษตามกฎหมายดังกล่าวระบุไว้ในมาตรา 126  

ปัจจุบัน การตรวจสอบยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของนางยลดา และสมาชิก อบจ. ที่ร่วมเห็นชอบการอนุมัติครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมหรือสนับสนุนการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ โดยจะพิจารณาในแต่ละกรณีอย่างละเอียดถี่ถ้วนต่อไป 

‘แกนนำ คปท.’ ชี้ 'อิ๊งค์' อาจมีสิทธิ์หลุดจากเก้าอี้นายกฯ เซ่นตั้ง 'หมอเลี้ยบ' นั่งรองประธานที่ปรึกษาของนายกฯ

เมื่อวันที่ (14 ม.ค.68) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า “รัดแน่นกว่าเดิม”

กรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อาจขาดคุณสมบัตินั้น ก็น่าสนใจ

เลขาฯกฤษฎีกา ท่านก็บอกให้กลับมาศึกษาการตีความ ซึ่ง กฤษฎีกาเคยตีความไว้แล้วนั้น

มีอีกกรณี และน่าจะหลายกรณี เมื่อเทียบเคียงกับการตีความของกฤษฎีกา เทียบเคียงกับกรณีของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีลักษณะตีความคล้ายกันเป๊ะ ๆ

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นเดียวกัน ก็เข้าข่ายชัดเจนเมื่อเทียบกับ กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง

เหตุเพราะ

1.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ก็มีตำแหน่ง รองประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี

2.ประธานคณะกรรมการพัฒนาการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ

3.กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯเป็นประธาน

เมื่อเทียบเคียงกับกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แล้วยังรับตำแหน่งประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ด้วย

ซึ่ง ประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย นั้นเป็นตำแหน่งที่ กฤษฎีกา ตีความว่า เป็นตำแหน่งที่มีลักษณะ "ควบคุมบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญ"

เมื่อมาเทียบเคียงกับกรณี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แล้ว ตำแหน่ง ที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร มอบให้ในข้อ 2-3 ที่เขียนมาตอนต้น เหมือนกับ กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้รับมอบหมายชัดเจน

เช่นนี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ดังนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีสิทธิ์หลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแน่นอน

‘ปธ.กมธ.อุตสาหกรรม’ ต้อนรับรัฐมนตรีไอซีที สปป.ลาว พร้อมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ ในโอกาสมาร่วมประชุม ADGMIN

(15 ม.ค.68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วานนี้ (14 ม.ค. 68) ตนและคณะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายบ่อเวียงคำ วงศ์ดารา รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร สปป.ลาว และภริยา พร้อมด้วยนายคำพัน อั่นลาวัน เอกอัครราชทูตลาวประจำประเทศไทย ที่เดินทางมาประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ADGMIN ครั้งที่ 5 ณ กรุงเทพมหานคร มีนายพวงประเสริฐ แก้วสะหวัน ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร ของ สปป.ลาว และคณะ ร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย

'โรม' แฉ 'จีนเทา' เคยบุกถึงสภาฯ ขายงาน ห่วง ‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ ในไทยถูกใช้ฟอกเงิน

เมื่อวันที่ (14 ม.ค.68) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของฝ่ายค้านหลังจากที่ ครม.มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ว่า ในเรื่องนี้ที่ผ่านมามีกลุ่มจีนเทามาถึงรัฐสภา เพื่อมาพรีเซนต์ราวกลับเข้ามาขายงาน ซึ่งกลุ่มจีนเทาไม่ใช่ใครคือบริษัท หย่าไถ้ คือเจ้าของชเวโก๊กโก ที่เป็นประเด็นมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นหากรัฐบาลจะเดินหน้าในเรื่องนี้ต้องเผชิญกับความต้องการ ความมุ่งหมายของกลุ่มจีนเทาที่จะเข้ามา ซึ่งตนเป็นห่วงว่าอาจจะเข้ามาในฐานะผู้ประกอบการ และอาจจะนำเงินที่ผิดกฎหมาย มาฟอกเงินผ่านคาสิโนที่จะเปิดขึ้นในประเทศไทย จึงคือสิ่งที่รัฐบาลจะต้องเตรียมการ ตนในฐานะ สส. แทบไม่เห็น รัฐบาลสื่อสารหรือออกมาพูดเรื่องนี้เลย และไม่เห็นความพยายามของรัฐบาล ที่จะทำความเข้าใจต่อประชาชน ดังนั้นส่วนตัวของตนเป็นห่วงว่าหากมีการเปิดคาสิโน สิ่งที่จะตามมาคือจะรับมือกับทุนจีนสีเทาอย่างไร

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ปัญหาที่สองคือเรื่องโครงสร้างกฎหมายระบบราชการ มีความพร้อมเพียงใดในการรับมือกับเรื่องนี้ นอกจากเจอปัญหาเรื่องบัญชีม้า ซิมม้า ปัญหาของทุนจีนสีเทาที่ใช้การฟอกเงิน และเจอปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ดังนั้นคำถามคือรัฐบาล มีแนวทางการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร และประเด็นที่สาม เรื่องของความโปร่งใส ถ้าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นร่างที่เคยมีการรับฟังความเห็น จากประชาชนมาแล้ว ตนมีความเป็นห่วงในเรื่องของการคอร์รัปชันที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสถานที่ว่าใครจะได้ประโยชน์ในการเลือกให้ใบอนุญาต ตนจึงเป็นห่วงว่า อาจเกิดปัญหาเรื่องการล็อกสเป็ก ดังนั้นเมื่อนำเหตุผลมาประกอบทั้งหมดตนจะมีความกังวลจริงๆ ว่าการที่รัฐบาลจะเร่งรัดเรื่องของ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจจะอันตรายต่อประเทศไทยได้

เมื่อถามเหตุผลของรัฐบาลที่จะดึงเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาท เข้าสู่ประเทศจึงเกิดการเร่งรัดในเรื่องนี้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าประเทศไทย กำลังเจอปัญหา 2 อย่าง คือการถูกดึงเม็ดเงินออกด้วยธุรกิจสีเทาด้วยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 1 แสนล้านบาท เรื่องพนันออนไลน์ และ ปัญหายาเสพติด ซึ่งก็เข้าใจว่าทุกรัฐบาลอยากให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามา แต่ประเด็นประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อ จะได้เม็ดเงินเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ซึ่งอย่าลืมว่าเรื่องนี้ต้องมีคู่แข่ง เช่น มาเก๊า สิงคโปร์ หรือที่โอซาก้าประเทศญี่ปุ่น หากมีการสร้างสำเร็จ อาจทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น ขณะเดียวกันในพื้นที่ กทม. ก็มีโรงแรมและห้องประชุม ครบอยู่แล้ว เพียงเติมคาสิโนเข้าไป ก็กลายเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือเช่นที่พัทยา และ ภูเก็ต ก็มีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว เติมคาสิโนไปก็เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ดังนั้นแทบจะไม่มีความจำเป็น จะต้องคิดถึงการลงทุนจำนวนมากมายมหาศาล

อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปดูนโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชนเดิม) จะพบว่า ทางพรรคฯ มีนโยบายเกี่ยวกับคาสิโนเอาไว้เช่นกัน โดยอยู่ข้อที่ 286 และ 287 จากนโยบาย 300 ข้อ 

โดยข้อ 286 ระบุว่า คาสิโนถูกกฎหมาย รัฐกำกับดูแล 
- อนุญาตให้ เสนอให้มีคาสิโนอย่างถูกกฎหมายโดย
- จำกัดอายุผู้เล่น ไม่ต่ำกว่า 20 ปี
- จำกัดฐานะของผู้เล่น โดยกำหนดรายได้ขั้นต่ำของผู้ที่จะมีสิทธิเล่นได้ ยึดตามรายได้ที่แจ้งต่อสรรพากรในปีภาษีก่อนหน้า
- จำกัดจำนวนคาสิโน โดยถ้าจังหวัดไหนจะมีคาสิโนได้ ต้องออกเป็น พ.ร.ฎ. กำหนดพื้นที่และจำนวนคาสิโนที่จะออกใบอนุญาตได้
- มีคณะกรรมการการพนันและขันต่อเป็นผู้ออกใบอนุญาต รวมทั้งกำหนดประเภทของการพนันและขันต่อที่จะมีในคาสิโนได้

ขณะที่ ข้อ 287 ระบุว่า คาสิโนออนไลน์ถูกกฎหมาย รัฐกำกับดูแล

- ออก พ.ร.ฎ. กำหนดจำนวน และให้คณะกรรมการฯ ออกใบอนุญาต-ควบคุม เหมือนเป็นคาสิโนปกติ
- ข้อกำหนดอายุและข้อกำหนดอื่นเป็นเหมือนคาสิโนปกติ บัญชีธนาคารที่ผูกกับบัญชีคาสิโนต้องเป็นชื่อของตัวเองเท่านั้น
- การพนันขันต่อบางอย่างอาจแตกต่างกันกับคาสิโนปกติ เช่น การพนันผลการแข่งขันกีฬา
- ต้องทำเรื่อง National Digital ID ให้ดี เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการสวมรอยเข้ามาเล่นพนันโดยคนที่ขาดคุณสมบัติ

จากคอลเซ็นเตอร์ ฟอเร็กซ์ 3d ดิไอคอน จนถึง “คนตื่นธรรม” ที่ทำคนไทยไม่น้อยหลับต่อความจริงสนิท จนยากที่จะฟื้นตื่น

(14 ม.ค. 68) ว่ากันว่า “คนที่มีนิสัยย้อนแย้ง” นำมาซึ่งหายนะต่อคน ๆ นั้นนับครั้งไม่ถ้วน คนเราถ้าขาดซึ่ง “ความชัดเจน” บนฐานรากของความถูกต้อง ก็จะเผยให้เห็นความคิด และการกระทำที่ผิดเพี้ยนตามมาในไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเหล่านี้จะเปลือยภาพความไม่มั่นคง, ไม่น่าเชื่อถือ และเป็นอันตราย จึงไม่ต่างจากความชั่วร้ายที่เป็นพิษภัยต่อสังคม จุดจบของคนเหล่านี้ถ้าไม่ติดคุก ก็ตายทั้งเป็นด้วยชื่อเสียงที่เน่าเหม็นยากจะมีใครกล้าเข้ามาคบค้าสมาคม 

เหล่ามิจฉาชีพ นักต้มตุ๋น นักลวงหลอกผู้คน มักมีคุณสมบัติคือ “ความย้อนแย้ง” เป็นส่วนประกอบหลัก ย้อนแย้งในคำพูด ย้อนแย้งในการกระทำ พูดจากลับไปกลับมา กลิ้งกลอกหลอกล่อผู้คนไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อหวังทรัพย์สิน เงินทอง ความนับถือ โดยปราศจาก “แก่นแท้ทางธรรม” ให้ผู้คนรู้สึกเลื่อมใสใด ๆ  

แต่ที่ยังคงลวงหลอกผู้คนให้ไป “ติดกับดัก” ได้มากมาย สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และความรู้สึกชนิดที่ยากจะประเมินได้นั่นก็เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยเรียนรู้อดีต ไม่ลงลึกเพื่อจดจำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือ “ไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต” แต่ละวันโหยหาแต่ “สิ่งที่ถูกใจ” มากกว่า “สิ่งที่ถูกต้อง” ก็เลยกลายเป็น “เหยื่อคนคดโกง” ที่แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “ลีลาโจร” มา “ต้มตุ๋น” ซ้ำใหม่ได้ง่าย ๆ 

เพียงแต่ “คนมีบุญขนานแท้” เกาะติดกายใจไปทุกชั่วขณะก็จะ “อ่านโจร” ออก จึงรอดปลอดภัยทุกสถานการณ์ ซึ่งยังโชคดีที่ว่ายังเป็น “คยไทยส่วนใหญ่” ของประเทศ แต่ใครที่คล้ายเป็น “คนไร้บุญไร้กุศล” ก็จะมืดบอดด้วยปัญญา ต่อให้ “โจรโง่แสนโง่” สักเท่าไหร่ ก็จะพ่ายแพ้ทางโจรวันยังค่ำ 

การที่สังคมไทยเกิด “อาชีพนักต้มตุ๋น” มากเป็นดอกเห็ด คงจะโทษใครไม่ได้ ต้องกลับไปที่เรื่องของ “ความละเอียดในการใช้ชีวิต” เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เพศ การศึกษา หรือนามสกุลจะใหญ่โตหรือต่ำเตี้ยสักเพียงไหน เพราะถ้าโง่ ก็รอดยาก 

คนไม่โง่ หรือโง่เพียงระยะสั้นเท่านั้น ที่จะปลอดภัยในระยะยาว 

คนที่ไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยว หรือหลงแสดงความชื่นชม “นักต้มตุ๋น” คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็น “ผู้ตื่นธรรม” โดยแท้จริง 

ทิ้งไว้ให้คิด ปริศนาธรรมจากคนที่ตื่นต่อความจริง 

ครม. ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ชี้ ยิ่งทำเร็วยิ่งดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว

นายกฯ เผย ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ยันกฤษฎีกาไม่ขวาง แต่ต้องปรับคำให้เข้ากับนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ชี้ยิ่งทำเร็วยิ่งดี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจดึงท่องเที่ยว งัดธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย

(13 ม.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระเป็นการกำหนดให้มีกฎหมาย ว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น กำหนดให้มีคณะกรรมการสถานบันเทิงครบวงจร คณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานสถานบันเทิงครบวงจร และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และแก้ปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมายในปัจจุบัน และทำให้เกิดผลดีในอนาคต ในภาพรวม เป็นหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน ตามที่เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป

เมื่อถามว่า เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้วจะสามารถส่งให้สภาพิจารณาได้เลยหรือไม่ หรือต้องนำความเห็นจากกฤษฎีกากลับมาเข้า ครม.อีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นเฉย ๆ และก็บอกว่าไม่ได้ขวาง แต่จะปรับเนื้อหาข้างใน เพราะที่อ่านข่าวมามีบอกว่า ขวาง ยืนยันว่าไม่ได้ขวาง แค่จะปรับคำให้เข้ากับที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และหลังจากนี้ก็สามารถเข้าสภาได้เลย

เมื่อถามว่าเป้าหมายจะเป็นปีนี้เลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็พยายามเร่ง แต่กระบวนการต่าง ๆ จะผ่านอย่างไร ถ้าเกิดเร็วก็ดี เช่น ประเทศสิงค์โปร์ มีกาสิโน 10% และที่ท่องเที่ยวอีก 80 - 90% แม้ในอดีตจะบอกว่ามีน้อย แต่เมื่อมีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้ามา ก็ทำให้ GDP โตขึ้นอย่างมาก และจะเกิดผลดีต่อประเทศในอนาคต ถ้าผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ส่วนรายละเอียดจกระทรวงการคลังจะแถลงอีกที

เมื่อถามต่อว่าข้อกังวลเรื่องมาเฟีย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องอยู่กับความเป็นจริง ทุกวันนี้มีการพนันไม่ถูกฎหมายเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น การส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเป็นการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล ทำอะไรที่อยู่นอกกฎหมาย ทำให้กฎหมายครอบคลุมชัดเจน ชีวิตประชาชนปลอดภัยด้วย และเงินที่ได้ก็เป็นภาษีเข้าประเทศอีก ต้องมองว่าโลกปัจจุบัน ถ้าเอาทุกอย่างมาทำให้โปร่งใสได้ ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับประเทศ เป็นเรื่องใหม่ในประเทศเรา เป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เป็นไร เราต้องสื่อสารบ่อยหน่อย ฝากสื่อมวลชนถามคำถาม และจะให้กระทรวงต่าง ๆ ชี้แจงรายละเอียดเพื่อให้เข้าใจภาพรวมพร้อมกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีได้มีการสอบถามไปยังกฤษฎีกาว่าถึงความชัดเจนว่า เมื่อ ครม.ส่งให้กฤษฎีการปรับแก้คำให้ถูกต้องแล้ว แล้วสามารถส่งเข้าสภาพิจารณาเลยหรือไม่ ซึ่งทางกฤษฎีกาแจ้งกลับมาว่าจะต้องให้ ครม.ให้ความเห็นชอบอีกครั้งก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภา

‘ธนกร’ วอน!! รัฐบาล เร่งคลอด มาตรการเข้มข้น เพื่อควบคุมฝุ่น PM 2.5 จี้!! ‘ผู้ว่าฯ กทม. - บก.จร.’ ใช้ยาแรง บังคับใช้กฎหมาย ให้เข้มงวดมากขึ้น

(12 ม.ค. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ  สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีระดับสีส้มและสีแดงบางจุด ว่า ตนขอฝาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เร่งประเมินสถานการณ์ และยกระดับมาตรการ รับมือป้องกันผลกระทบให้มีความเข้มข้นขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นดูแลสุขภาพประชาชน ที่แม้ว่าวันนี้ค่าฝุ่น จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ในช่วงวันที่ 12 - 19 ม.ค. 2568 ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสลับลดลง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ในช่วงนี้อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ในช่วงเช้ามีอากาศเย็นและลมแรง จากสภาวะอากาศที่แห้ง เสี่ยงต่อการเกิดการลุกไหม้ได้ ขอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเข้ม เอาผิดผู้ที่จุดไฟเผาป่าหรือบริเวณรกร้าง เพราะถือว่าทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง

ทั้งนี้อีกสาเหตุหลักของฝุ่นPM 2.5 มาจากรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซลที่ควันดำ รถบรรทุกขนาดใหญ่และกลุ่มของรถสาธารณะขนส่งมวลชน  จึงขอฝากทางกทม. ร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)กำกับการตรวจรถเมล์ รถในสังกัด ของขสมก. รวมทั้งขอทางกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ตรวจวัดมลพิษรถยนต์ควันดำ พวกรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ยังพบเห็นการปล่อยควันดำตามท้องถนนอยู่เป็นประจำ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบทางมลพิษแก่ประชาชน

"เป็นห่วงว่า หากสถานการณ์ฝุ่นPM 2.5 ทั้งในกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศทวีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงวัย ขอทางรัฐบาล ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ออกมาตรการใช้ยาแรง คุมเข้มเรื่องควันดำจากรถยนต์  จัดให้มี การเวิร์คฟอร์มโฮมทำงานจากที่บ้านของส่วนราชการในสังกัดที่สามารถควบคุมบริหารจัดการได้  

พร้อมกันนี้ในโรงเรียนขอให้งดกิจกรรมกลางแจ้งปรับเปลี่ยนห้องเรียนให้ปลอดฝุ่นพิษหรือเพิ่มเครื่องฟอกอากาศ เพื่อช่วยดูแลสุขภาพเด็กเล็กและประถมวัยที่มีความเปราะบาง เชื่อว่าหากรัฐบาล ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด รวมถึง กทม. ออกมาตรการเข้มข้นจะสามารถลดผลกระทบที่มีต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนลงได้มาก" นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top