Thursday, 23 January 2025
POLITICS

‘อนุทิน’ ไม่ใส่ใจคำพูด ‘ทักษิณ’ เผย!! มีอะไรก็หารือ กับนายกฯ

(14 ธ.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการข่าวเที่ยง ทางไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาพรรคเพื่อไทยความตอนหนึ่งตำหนิพรรคร่วมบางพรรค หนีประชุมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ว่าไม่น่าจะหมายถึงตน หรือ พรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว ตนได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ และไม่ทราบว่ามีการเลื่อนการประชุมเป็นวันพุธที่ 11 ธันวาคม เนื่องจากปกติ การประชุมคณะรัฐมนตรี จะประชุมทุกวันอังคาร

โดยระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจนั้น นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ ซึ่งหลักจากตรวจเสร็จ ก็รีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคก็เข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย

เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ พูดในลักษณะนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล

“ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมก็ไปร่วมประชุม” นายอนุทิน กล่าว

ส่วนจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเป็นประจำอยู่แล้ว นายกฯ แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีอะไรก็ต้องหารือนายกฯ แพทองธารอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหลังจากนี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาต่อกันอยู่แล้ว และจากนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งการร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันเป็นไฟต์บังคับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน

เบอร์ 2 'รองเอ็ด' บุกปลุก ตากต้องเปลี่ยน คนฟังปราศรัยแน่น ศึกเลือกตั้ง อบจ.ตาก

(14 ธ.ค. 67) แรงงงแซงโค้งสนามเลือกตั้งที่น่าจับตาวันนี้คือศึกการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เป็นสนามที่บ้านใหญ่ปะทะผู้ท้าชิงที่วันนี้รวมตัวกันฝั่งฝ่ายค้านคือพลังประชารัฐและพรรคประชาชนผนึกกำลังสู้ บ้านใหญ่ฝั่งภูมิใจไทย ฝั่งผู้ท้าชิง ‘รองเอ็ด’ พตท. อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ปักธงตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ ณ สนามกีฬาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข้างสำนักงานเทศบาลนครแม่สอด เป็นเวทีที่ 64 และเป็นเวทีสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ในวันพรุ่งนี้ มีคนร่วมฟังปราศรัยเกือบ 2,000 คน  

‘รองเอ็ด’ ชูนโยบาย ตากต้องเปลี่ยน และบอกกับชาว อำเภอ แม่สอดแผ่นดินเกิด มารดาเป็นคนแม่สอด บิดาเป็นคนอำเภอเมืองตาก ช่วงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีลงพื้นที่อำเภออุ้มผาง และอำเภอพบพระ เหมือนเรือนนอน กุมหัวใจคน 4 อำเภอไว้อย่างเหนียวแน่น และลงพื้นที่อย่างสมบุกสมบันจนคว้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่า ทุกอำเภอด้วย ปฏิญญา ‘พลิกตากทั้งจังหวัด’

ไฮไลต์ก่อนปิดปราศรัยที่เป็นม็อตโต้สำคัญ คือ ‘เลิกทนอยู่แบบเดิม ตากต้องเปลี่ยน’ ถือเป็นจุดพีคสุดที่จะทำให้รองเอ็ดถือแต้มต่อในโค้งสุดท้าย และเป็นยุทธวิธีเดียว เพื่อปลุกกระแส...เดินฝ่า...ห่ากระสุน ในศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.ตาก ครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงสนับสนุน กึกก้อง เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่นหน้าใหม่ เพราะไม่เคยเห็นเลือกตั้งท้องถิ่นปราศรัยเยอะขนาดนี้ รวม64 เวที มีรายงานว่า คนที่มาฟังปราศรัย ที่ผ่านมาน่าจะอยู่ประมาณ 50000 คน

‘ถาวร เสนเนียม’ ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน เผย!! สาเหตุตัดสินใจ ไม่ลงสมัครชิงนายกฯอบจ.สงขลา

(14 ธ.ค. 67) นายถาวร เสนเนียม ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน ระบุว่า …

เรียนพี่น้องประชาชนที่สนใจติดตามการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาและสื่อมวลชนทุกท่านครับ

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากหลายสื่อหลายกระแสด้วยกันว่า ผมกำลังจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคภูมิใจไทยและได้รับแรงเชียร์จากน้อง ๆ ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลารอบหน้า ที่กำลังจะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนั้น ผมเองก็ได้รับโทรศัพท์และได้รับการติดต่อเพื่อขอเป็นรับแรงสนับสนุนจากน้อง ๆ ที่ยังดำรงตำแหน่ง ส.อบจ.สงขลา และที่จะเป็นผู้สมัคร ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสังกัดทีมรวมพลังร่วมสร้างสุขที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้แล้ว

รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งของผมและจากหลาย ๆ เขต ตลอดถึงญาติมิตร

พี่น้องเพื่อนฝูง เมื่อได้ทราบถึงกระแสข่าวต่างติดต่อเข้ามาเพื่อให้กำลังใจผม ประหนึ่งเสมือนผมได้ตอบตกลง

ที่จะเป็นผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา รอบหน้าจริงแล้ว การตอบคำถามถึงกระแสข่าวข้างต้น ผมจึงต้องระมัดระวังถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้ เพราะพี่น้องประชาชนในจังหวัดสงขลาต่างทราบดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ ประชาชนต่างคาดหวังที่จะมี ผู้นำท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริตมาบริหารพัฒนาแก้ปัญหา คิดและทำเพื่อประโยชน์ให้ประชาชน ไม่ผูกขาดการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยอิทธิพลหรือทุนสีเทา

ดังนั้น ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ประชาชนชาวสงขลาจึงต้องการที่จะเห็นการเมืองในรูปแบบที่ใสสะอาด ปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และปราศจากการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาเอารัดเอาเปรียบผู้สมัครที่สุจริต ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการทุจริต และต่อต้านการเลือกตั้งที่มีการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาตลอด และเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ในการตอบคำถามของผมจากกระแสข่าวข้างต้นไปบ้างแล้ว

บางคนมองว่า ทำไมผมไม่เสียสละมาเป็นผู้สมัครนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ชี้แจงที่มา

ของการตัดสินใจเข้ามาลงสนามการเมืองดังนี้

1.ในปี 2538 ผมมีอายุ 48 ปี และรับราชการเป็นอัยการจังหวัดกระบี่กับอัยการจังหวัดสงขลาต่อเนื่องมาหลายปี และประกอบอาชีพทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ และยังมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพอัยการ เพราะอายุราชการที่เหลืออีก 12 ปี ผมย่อมสามารถไต่ต้าวเข้าสู้ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ แต่ด้วยในปี 2534 –2538 ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองหลายครั้ง สืบเนื่องจากปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจทางการเมืองโดยมิชอบ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน เพื่อต่อสู้กับวิกฤติเหล่านี้อย่างเหนื่อยยาก ผมเองซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2511 จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสงขลา เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.หวังได้เข้าไปต่อสู้ในสภาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ การลาออกจากราชการของผมครั้งนั้น ผมยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมเข้าไปทำหน้าที่ สส. และเลือกผมตลอดมา 7 สมัย โดยที่ผมไม่ต้องใช้อิทธิพลหรือใช้เงินซื้อเสียงเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผมเล่นการเมืองโดยวิถีสุจริตตลอดมาพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งย่อมทราบดี

2.ในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ผมได้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมส่อทุจริต 5 คนทุกสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรคืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเหล่านี้
1.นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
2.นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น
3.นายวัน มู หะหมัด นอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
4.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
5.พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
และผมเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ดำเนินการเลือกตั้งไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ในการจัดการเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นข่าวที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

3. ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผมได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารพัฒนาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลมีผลงานตามที่ปรากฏ ผมได้ทำการกำกับบริหารจัดการดำเนินการหน่วยงานภายใต้ภารกิจทั้งหมดด้วยความสุจริต โดยไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือถูกร้องเรียนถึงพฤติกรรมทุจริตแต่อย่างใด

4.ด้วยประวัติทางการเมืองโดยสังเขปของผมดังกล่าวมา ประกอบกับประชาชนชาวจังหวัดสงขลาและน้องๆ ส.อบจ.สงขลาจำนวนหนึ่ง อยากให้ นายก อบจ.จังหวัดสงขลาคนต่อไป มาจากผู้มีประวัติทางการเมืองสุจริต มีประวัติการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า ผมได้รับแรงหนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.ครั้งหน้า เพราะที่ผ่านมาประชาชนชาวสงขลาและ ส.อบจ.สงขลา ทุกคนทราบดีว่า นายก อบจ.สงขลา มีปัญหาถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันต่อเนื่องตลอดมา บางรายถึงขนาดขัดแย้งกันจนต้องมีการจ้างวานฆ่าฝ่ายผู้เห็นต่าง บางรายก็กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำจากกรณีทุจริตคอร์รัปชันบางรายก็กำลังต่อสู้คดีอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

5.จากกระแสข่าวที่ผ่านมา ผมจึงขอขอบคุณทุกแรงเชียร์ขอบคุณทุกกำลังใจที่ประสงค์จะให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.สงขลาในครั้งหน้า แต่ผมขอเรียนให้ทราบว่า ด้วยความตั้งใจในทางการเมืองของผมที่ต้องการเห็นการเมืองใสสะอาดปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันนั้น หมายความรวมถึง การละเว้นการกระทำการที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการด้วย ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ช่วงวิกฤติทางการเมืองในปี2556 – 2557 ผมกับมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ ได้ออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงหรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่โกงชาติทำร้ายแผ่นดิน จนท้ายสุดผมต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปี และถูกขังไว้โดยหมายของศาลในระหว่างการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ผมต้องพ้นจากคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พ้นจากสถานะความเป็น สส. และพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำคุกผม 1 ปี และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นฎีกาคำพิพากษาในศาลฎีกา

6.แม้ว่าผมจะมีคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลา ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 49 , มาตรา 50 และตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 35/1 ก็ตาม แต่ผมเห็นว่า หากผมเป็นผู้สมัคร นายก อบจ.สงขลา ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนชาวสงขลาต่อไปแต่ถ้า ระหว่างการดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลาหากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในลักษณะเดียวกับศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ความเสียหายย่อมเกิดกับทางราชการเพราะต้องจัดการเลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาใหม่อีกครั้ง สิ้นเปลืองงบประมาณของ อบจ.สงขลา ประมาณ เจ็ดสิบกว่าล้านบาท และทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนออกมาใช้สิทธิกันใหม่ ประกอบกับทีมทนายความที่รับผิดชอบว่าความให้ผม มีความเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่ศาลฎีกาจะพิพากษาว่า ผมกระทำผิดและอาจจะถูกลงโทษตามที่อัยการฟ้องผมจึงตัดสินใจไม่สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครับ

7.ดังนั้น การตัดสินใจของผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้าตามที่มีกระแสข่าวจึงไม่ได้เกิดจากความไม่เสียสละ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้เกิดจากความกลัวหรือสมยอมให้กับการทุจริตคอร์รัปชันหรือทุนสีเทา ที่พี่น้องประชาชนหวาดระแวง แต่ผมมองถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผมปฏิบัติตนในแนวทางนี้มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา ผมสังกัดพรรคไทยภักดี ผมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ แต่ผมมีหลักคิดเช่นเดียวกันว่าหากประชาชนให้ความไว้วางใจแล้ว ต่อมาผมต้องถูกคำพิพากษาให้จำคุก ผมก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจลงสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากพ้นจาก ตำแหน่งไปก็สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นแทน โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของทางราชการ

8.ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา ครั้งหน้า ผมหวังว่าประชาชนชาวจังหวัดสงขลาจะตื่นรู้ว่า ผู้สมัครรายใดตั้งใจจริงเพื่อพี่น้องประชาชนหรือ ผู้สมัครรายใดอาศัยอิทธิพลหรือทุนสีเทาในการเข้าสู่ตำแหน่ง สำหรับผมเองก็จะคอยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้สมัครที่มีประวัติดี มีที่มาดี และมีความตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน และผมขอเสนอให้ผู้ที่กำลังจะสมัครนายก อบจ.สงขลาทุกคน ให้แข่งขันกันโดยสุจริตเที่ยงธรรมจัดทำนโยบายที่ดีมีประโยชน์มาเสนอให้ประชาชนได้รับทราบ และขอให้สู้กันในกติกาโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป

ผมขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน

'ขัตติยา' สวน 'เท้ง' มีผลงานอะไร หลังหน.พรรคส้มตัดเกรดผลงานนายกอิ๊งค์ 'ไม่ผ่าน'

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค. 67) นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X (เอ็กซ์) ถึงกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วิจารณ์นโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังจากแถลงผลงานครบ 90 วัน ภายใต้แคมเปญ '2568 โอกาสไทย ทำได้จริง : 2025 Empowering Thais: A Real Possibility'

โดยว่า ผลงานไม่ผ่านเกณฑ์ พร้อมกล่าวว่า ทุกนโยบายที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารประกาศในวันนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ดังนั้น ในขณะที่ประชาชนมีความหวัง พรรคฝ่ายค้านบางพรรคควรหยุดสร้างวาทกรรมที่ไม่สร้างสรรค์บ้าง

นางสาวขัตติยากล่าวต่อว่า หากหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านชอบประเมินผลงานของผู้อื่น ขอแนะนำให้เริ่มจากการประเมินตัวเองก่อน ว่าผลงานของท่านในฐานะหัวหน้าพรรค 125 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นหรือลดลง? ท่านสามารถเริ่มต้นจากการถามสมาชิกภายในพรรคได้ว่า การทำงานของท่านผ่านเกณฑ์หรือไม่?

'รัดเกล้า' นำผู้ปกครองหารือกระทรวงศึกษา เหตุโรงเรียนในเขตบางพลัดปิดตัวกะทันหัน

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้นำตัวแทนผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวอย่างกะทันหันของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด เข้าพบนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ โดยมีประเด็นการหารือมี 4 ข้อ คือ 1. บทบาทและหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ 2. ปัญหาค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องแบกรับ เช่น ค่าแรกเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นต้น 3. ความเป็นธรรมในการรับเอกสารของบุตรหลาน เพื่อนำไปสมัครที่โรงเรียนใหม่ ในขณะที่ผู้ปกครองยังมีสภาพเป็นหนี้ค่าเทอมของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา และ 4. เรียกร้องการแก้กฎหมาย เพื่อบังคับให้การปิดกิจการโรงเรียน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและแจ้งผู้ปกครองให้ทราบเรื่องนานกว่านี้

ในประเด็นแรก นางรัดเกล้าเป็นผู้แทนผู้ปกครองที่เดือดร้อน แจ้งว่าการประกาศปิดกิจการของโรงเรียนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ผู้ปกครองอีกทั้งก่อให้เกิดข้อกังวลใจและข้อสงสัยในบทบาทการทำงานของหน่วยงาน สช. ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยนายสิริพงศ์ ได้แจ้งระเบียบการปิดกิจการของโรงเรียนเอกชนให้กลุ่มผู้ปกครองได้รับทราบว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เช่น โรงเรียนแจ้งปิดกิจการในวันที่ 18 พ.ย. ก่อนจะปิดภาคเรียนที่ 1 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการขออนุญาตเลิกกิจการโรงเรียนเอกชนในระบบที่กำหนดให้แจ้งการปิดกิจการก่อนล่วงหน้าประมาณ 120 วันก่อนปิดภาคเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองได้เตรียมตัว อีกทั้งตอกย้ำว่า การทำงานของ สช. ยึดเกณฑ์ของกฎและระเบียบเป็นหลักเพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

อย่างไรก็ดี นางรัดเกล้าเป็นตัวแทนบอกเล่าเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ ที่มองว่าการแจ้งปิดกิจการล่วงหน้า 120 วัน อาจเป็นระยะเวลาที่น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง แม้ในครั้งนี้โรงเรียนได้ดำเนินการภายใต้ระเบียบ แต่ผู้ปกครองเรียกร้องขอให้มีการปรับแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีก โดยเสนอให้มีการยืดระยะเวลาออกไปให้มากกว่า 120 วัน เป็น 1 ปีการศึกษาแทน อีกทั้ง ผู้ปกครองที่มาร่วมหารือด้วย เสริมว่าควรมีระเบียบบังคับให้โรงเรียนที่จะทำการปิดตัวต้องจัดทำแผนรองรับการปิดกิจการของโรงเรียนเอกชน โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น คณะผู้สอน ผู้ปกครอง ฯลฯ มีส่วนร่วมในการออกความเห็นในการวางแผน  ซึ่งในประเด็นนี้ นายสิริพงศ์ เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี พร้อมรับไปศึกษาความเป็นไปได้เพื่อปรับแก้ระเบียบดังกล่าวให้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เยาวชนที่เป็นนักเรียน 

นอกจากนี้ นางรัดเกล้าและคณะยังหารือในประเด็นการจัดหาสถานศึกษาใหม่ให้แก่นักเรียน ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาได้เสนอโรงเรียน 33 แห่งที่สามารถรองรับนักเรียนได้ แต่บางแห่งรับได้จำนวนจำกัด และบางแห่งมีค่าใช้จ่ายแรกเข้าสูง จึงสร้างความกังวลและภาระทางการเงินให้ผู้ปกครอง นายสิริพงศ์ ได้กำชับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ให้ไปชี้แจงกับโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาว่าจะต้องจัดหาโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนเพิ่มเติมจากในจำนวน 33 แห่งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ปกครอง โดยให้ดูแลติดตามว่าโรงเรียนต่าง ๆ ที่ได้คัดเลือกมา สามารถรองรับนักเรียนจากโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาได้ครบถ้วน เด็กนักเรียนที่ได้รับผลกระทบได้เข้าเรียนอย่างแน่นอน 100%

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นเรื่องการออกใบรายงานผลการศึกษา หรือใบเกรดของนักเรียนนั้น เนื่องจากกลุ่มผู้ปกครองมีความกังวลว่า หากมีกรณีที่ผู้ปกครองยังไม่ได้ชำระค่าเล่าเรียนอาจทำให้ถูกยึดใบเกรด ซึ่งขอยืนยันว่าใบเกรดไม่สามารถเป็นหลักประกันสร้างเงื่อนไขให้จ่ายค่าเล่าเรียน แต่ในฐานะที่ ศธ.เป็นคนกลางยังยืนยันว่าเป็นหนี้ก็ต้องชำระ ดังนั้นจึงมีแนวทางร่วมกันว่าให้มีการเจรจาระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนในการรับสภาพหนี้ เพื่อหาทางออกให้แก่กลุ่มผู้ปกครองในการแบ่งจ่ายชำระหนี้ แต่จะไม่มีกรณีว่าต้องชำระค่าเล่าเรียนเป็นเงินก้อนถึงจะได้ใบเกรด ซึ่งกรณีแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นางรัดเกล้าปิดท้ายการหารือด้วยการขอบคุณนายสิริพงศ์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และยืนยันว่าตนพร้อมช่วยติดตาม และช่วยเหลือผู้ปกครองจนกว่าปัญหาจะคลี่คลาย ในฐานะของคนที่มีลูกเช่นเดียวกัน ตนเข้าใจในความหนักใจของผู้ปกครอง สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'นักเรียนต้องมาก่อน' เยาวชนที่ได้รับผลกระทบต้องได้รับการดูแลให้มีโอกาสศึกษาต่ออย่างต่อเนื่อง

ชัยวุฒิ ชู ลุงป้อมสุภาพบุรุษ มีเมตตา เปรียบผัวเมียไม่รัก ก็หย่ากัน จบด้วยดี

(13 ธ.ค.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีลงมติขับ 20 สส.กลุ่ม 'ธรรมนัส' ว่า  พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณท่านเป็นสุภาพบุรุษ ท่านเข้าใจการเมือง เข้าใจทุกคน ท่านก็ให้เกียรติทุกคน วันนี้ถ้าเทียบเราก็เหมือนกับผัว เมียอยู่ด้วยกัน วันนี้เมียไปอยู่กับคนอื่นแล้ว ไม่รักกันแล้ว เราก็หย่ากันให้เรียบร้อยถูกกฎหมายเท่านั้นเอง แบบสุภาพบุรุษแมน ๆ แต่หลังจากนี้ต่อไปคนที่อยู่ก็อยู่กัน ตั้งใจทำงานต่อไปไม่ได้มีปัญหาอะไร

ส่วนพรรคของเราพลังประชารัฐจะทำงานต่อไป ไม่แตกยังไม่ไปไหนทุกคนก็ยังอยู่เหมือนเดิม ที่สำคัญผมว่าวันนี่ประเทศชาติเราต้องการเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็งตรวจสอบรัฐบาลในทุก ๆ เรื่องที่เราทำอยู่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ส่วนคนที่แยกออกไปคือยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเราอยู่แล้วก็ทำให้ถูกต้องตามระบบก็จบจะได้สบายใจไม่มีความขัดแย้งกันในพรรค

'เอกนัฏ' ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตรวจโรงงานใน อ.ศรีมหาโพธิ สั่งเพิกถอนใบอนุญาต แถมพบขยะอิเล็กทรอนิกส์อื้อ

'เอกนัฏ' ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตรวจ รง.ใน อ.ศรีมหาโพธิ หลังพบฝ่าฝืนคำสั่งลักลอบประกอบกิจการ เคลื่อนย้ายของกลาง สั่งเพิกถอนใบอนุญาต พร้อมแจ้งทุกหน่วยงานดำเนินคดีถึงที่สุด แถมตรวจพบขยะอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าจากต่างประเทศอีกกว่า 3 พันตัน ขยายผลหาต้นตอ

(13 ธ.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ส่ง ทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม, นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, กรมโรงงานอุตสาหกรรม, กรมควบคุมมลพิษ ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และนายอำเภอศรีมหาโพธิ เข้าตรวจสอบบริษัท ที แอนด์ ที เวสท์ แมเนจเม้นท์ 2017 จำกัด ที่ตั้งอยู่ใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งบริษัทแห่งนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีคำสั่งห้ามประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเคลื่อนย้ายสิ่งของ วัสดุ เครื่องจักรที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีคำสั่งอายัดไว้ตั้งแต่เดือน ก.ย.67 เป็นต้นมา แต่กลับพบว่าบริษัทแห่งนี้มีการฝ่าฝืนคำสั่งอย่างต่อเนื่อง

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบการลักลอบประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตและพบการลักลอบขนย้ายวัสดุ สิ่งของ เครื่องจักร และสิ่งอื่น ๆ ที่ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ยึดอายัดไว้ นอกจากนี้ยังพบพยานหลักฐานการลักลอบทิ้งสารเคมีและกากอุตสาหกรรมในพื้นที่บ่อน้ำที่ใกล้เคียงกับบริษัทด้วย ด้วยพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎหมาย ประกอบกับคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาจากหลักฐานพฤติกรรมของบริษัทแล้ว จึงมีข้อเสนอไม่รับอุทธรณ์บริษัทดังกล่าว และออกแนวทางปฏิบัติเสนอมายังรัฐมนตรี โดยได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมทำหนังสือแจ้งคำสั่งปิดโรงงานไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร, กรมสรรพากร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี และนายอำเภอศรีมหาโพธิ เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทที่กระทำผิดตามอำนาจหน้าที่ที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต่อไป 

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการเข้าตรวจค้นเพิ่มครั้งนี้ทีมตรวจการสุดซอยยังตรวจพบขยะอิเล็กทรอนิกส์นำเข้าจากต่างประเทศอีกกว่า 3,000 ตัน และพบการกระทำผิดเพิ่มเติม จึงได้แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัท และจะขยายผลขอความร่วมมือจากกรมศุลกากรตรวจหาที่มาของขยะอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป”

เปิดประวัติ ‘รองเอ็ด พ.ต.ท.อนุรักษ์’ ผู้ท้าชิงนายก อบจ.ตาก คนนี้ไม่ธรรมดา อดีตผู้ช่วย รมว.ดีอี - สนิทมือขวาลุงตู่

(11 ธ.ค.67) ภายหลังจากเกิดกระแสคนตาก อยากเปลี่ยน ทำให้กระแสของ รองเอ็ด - พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัคร หมายเลข 2 ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.ตาก เข้มข้น ขึ้น เพราะ รองเอ็ด เคยเป็น ถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำงานปราบปราม อาชญากรรม ออนไลน์ ช่วยเหลือคนที่ถูกโกงถูกหลอกออนไลน์  รองเอ็ด นามสกุลเดิม 'เครือฟั่น' ได้รับ พระราชทานนามสกุลจาก ในหลวง ร.9 เป็น 'จิรจิตร'  

ประวัติการการศึกษา จบมัธยมตอนปลาย โรงเรียนตากพิทยาคม โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 29 รุ่นเดียว เสธฯ นิว พล.อ.นิธิ จึงเจริญ เสธฯนุ้ย พล.ท.ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ สองเสธฯ ข้างกายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา อดีต นายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นองคมนตรี ระดับปริญญาตรี จบโรงเรียนนายเรือ ในส่วนของตำรวจน้ำ นอกจากนีปี้ ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่น หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่นที่ 25 (ปปร.25) กับ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เเละนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน  

นอกจากนี้ ยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผบ.ตร เพราะ เคยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ตอนสมัยเป็นผู้หมวดผู้กอง ที่กองกำกับการสายตรวจ 191 นอกจากนี้ ยังลงไปทำงาน ไปปฏิบัติราชการชายแดน ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่การเมือง เข้าสังกัด พรรคพลังประชารัฐ สมัยพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และต่อมาก็ดำรงตำเเหน่งกรรมการ ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมทำงาน กับ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ตอนเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รับผิดชอบเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ช่วงที่แก็งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนัก ร่วมแก้ปัญหาให้ประชาชนรู้เท่าทันมิจฉาชีพทางออนไลน์ที่ตกเป็นเหยื่อกลโกงรูปแบบ แก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน การปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์ ร่วมกับ ตำรวจไซเบอร์ เป็นต้น

ส่องระเบิดเวลาลูกใหญ่ ‘MOU - JC 2544’ ชี้!! แรงกว่า ‘พ.ร.บ.ยึดอำนาจกองทัพ’ หลายเท่า

(11 ธ.ค. 67) ยังไม่ทราบว่าการแถลงผลงานในรอบ 3 เดือนของรัฐบาลแพทองธาร...วันที่ 12 ธ.ค.2567 นี้จะมีทีเด็ดทีขาดอย่างไรบ้าง...แต่มองกลางๆ ก็คงเป็นการให้ความหวังกับประชาชน แบบส่งท้ายปีเก่า ก้าวสู่ปีใหม่ที่ดีกว่าเก่าประมาณนั้น..

แต่ในชีวิตจริงทางการเมืองของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยขณะนี้ อยู่ในภาวการณ์ที่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก...ความวัวไม่ทันหายความควายเข้าแทรก...

กรณี MOU2544 ยังไม่ทันจบ...ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม  ของพรรคเพื่อไทย นำเสนอโดย ‘หัวเขียงสุดซอย’ ประยุทธ ศิริพานิชย์ เจ้าเก่า ก็เข้ามาแทรก แม้จะมีแค่ 9 มาตรา  แต่เนื้อหาเน้นเนื้อริบอำนาจกองทัพ นัยว่าเพื่อต่อต้านรัฐประหาร...ทำเอาการเมืองปั่นป่วน  โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยออกอาการเสียรังวัด...ต้องถอยร่น  เกิดอาการล่มปากซอย..

เสาร์-อาทิตย์ (14-15 พ.ย.)นี้..หัวหน้าพรรคแพทองธาร ชินวัตร ถึงคราวต้องทบทวนยุทธศาสตร์ -ยุทธวิธีของพรรคครั้งใหญ่...โดยเฉพาะเรื่องที่ถกกันให้ขาดก็คือ…การประชันขันแข่งกับพรรคส้มว่าใครเป็นพรรคประชาธิปไตยมากกว่ากันนั้นถ้าพรรคเพื่อไทยกดดันตัวเองมากไป เพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคผิดคิว ผิดกาลเทศะไม่สิ้นสุด…

แต่สถานการณ์เรื่องสำคัญและคอขาดบาดตายจริงๆ ของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลชุดนี้..นาทีนี้ไม่มีอะไรใหญ่เกินปมปัญหากรณี...พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนไทย -กัมพูชา ที่เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่  อย่าได้ทำเป็นเรื่องเล็กเรื่องล้อเล่น...ยั่วยุ ท้าทายว่าม็อบสนธิ ม็อบพันธมิตรฯ เป็นม็อบคนแก่ จุดไม่ติด บ้านเมืองอยู่ในบริบทใหม่แล้ว…

พินิจพิเคราะห์จากบริบทต่างๆ ขณะนี้และปรากฏการณ์เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.วันที่สนธิ ลิ้มทองกุล นำคณะไปยื่นหนังสือ 14 หน้าถึงนายกฯ นั้น..กล่าวได้ว่า “ม็อบจุดติด” แล้ว  รอรัฐบาลมาถอดชนวนดับไฟที่รอลุกโชติเท่านั้น...ที่จุดติดสาเหตุหลักจริงๆ ก็เพราะตัวปมปัญหาเรื่องดินแดนที่เกิดขึ้น  และ ปัจจัยรองก็คือเพราะบรรดาขาเชียร์รัฐบาล ทั้งอดีตผู้นำม็อบแดง,สส.ในปัจจุบัน  ช่วยกันเรียกแขก…

อย่างไรก็ตามเมื่อส่องกล้องดูเอกสารร้องเรียน-เสนอแนะ ต้องชมว่าคณะผู้ร้องทำการบ้านมาดี ข้อมูลแน่น  เสนอทางออกอย่างสร้างสรรค์  ซึ่งหากดูข้อเสนอ 6 ข้อ  ถ้ารัฐบาลทำจริงตามลำดับข้อเสนอ...ม็อบสนธิก็ลงถนนไม่ได้...ไม่มีอะไรต้องกลัว…

ส่องดู6ข้อเสนอของคณะนายสนธิ แบบสรุปๆ ได้ดังนี้
1)นายกฯและครม.ต้องปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะลอาณาเขต  เขตต่อเนื่องและเขตไหล่ทวีปฯ

2)ให้นายกฯเสนอเรื่องต่อครม.เพื่อมีมติส่ง MOU2544 และ JC2544 (แถลงการณ์ร่วมทักษิณ-ฮุนเซ็น) ต่อศาลรธน.เพื่อวินิจฉัยว่าขัดต่อมาตรา 1และมาตรา 224 (รธน.2540),มาตรา 1และ190(รธน.2550)และ มาตรา1 และมาตรา 178 (รธน.2560)หรือไม่

3)หาก ศาลรธน.วินิจฉัยว่า MOU2544,JC 2544 ขัดหรือแย้งให้ยกเลิก MOU2544 และ JC2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา

4)หากศาลรธน.วินิจฉัยฯว่าไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติ รธน. ให้รัฐบาลเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU2544และJC 2544บนพื้นฐานหลักการเส้นมัธยะและกฎหมายเกี่ยวข้องที่ถูกต้อง แล้วนำเสนอผลการเจรจาต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ

5)ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (JTC)เอาไว้ก่อน

6)จัดเวทีสาธารณะแก่ประชาชนเรื่อง MOU2544และJC2544

15 วัน นับจากยื่นหนังสือ คณะนายสนธิจะมาทวงสัญญาว่ารัฐบาลได้ดำเนินการหรือมีไทม์ไลน์จะดำเนินการอย่างไร...น่าเชื่อว่าได้อ่าน 14 หน้าขอเรียกร้อง และเชิญผู้เกี่ยวข้องมาซักถามซักซ้อม  นายกฯแพทองธารน่าจะตาสว่างและพูดเรื่องเกาะกูด เรื่องเส้นไหลทวีป ได้ดีกว่าเดิม และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ถูกต้องขึ้น..

สำคัญว่าต้องฟังหลายๆคน อย่าฟังพ่อคนเดียว!!??

‘รองเอ็ด คนพันธุ์ตาก’ เบอร์ 2 ฝ่ากระแส ‘บ้านใหญ่’ มาแรงโค้งสุดท้าย ‘ชาวตาก’ รอฟังปราศรัยหาเสียงแน่นทุกเวที

(11 ธ.ค.67) โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เกิดความน่าสนใจ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนการเลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราช ได้หรือไม่ ภายหลังจากที่ เปิดกลยุทธ์หาเสียง “ตากต้องเปลี่ยน คนตากอยากเปลี่ยน คนพันธุ์ตาก” โดยฝั่งผู้ท้าชิง เบอร์ 2 ‘รองเอ็ด - พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร’ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมัยรัฐบาลลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ช่วงแรกดูเป็นรองหลายขุม เพราะด้วยเจ้าเดิมคือคนที่เรียกตัวเองว่าบ้านใหญ่ เเห่งตระกูล ทวีเกื้อกูลกิจ ซึ่ง นายณัฐวุฒิ ทวีเกื้อกูลกิจ นั่งเป็นนายกอบจ.คุมเมืองตากมาเป็น10 ปี และวันนี้ ได้ส่งคุณนายจอย อัจฉรา ทวีเกื้อกูลกิจ ลูกสะใภ้ ผู้สมัคร หมายเลข1 อดีตเป็นรองนายกอบจ.ตาก ลงชิงเก้าอี้นายกอบจ.เมืองตาก เเทนตนเอง   

เรียกได้ว่านับ 10 ปี ที่บ้าน ใหญ่ คุมจังหวัดตาก มันจึงเป็นที่มาของการตั้ง ยุทธศาสตร์ การหาเสียงของ คู่แข่งผู้ท้าชิง ว่าคนพันธุ์ตาก มาเพื่อ คนตากอยากเปลี่ยน ? หรือ อยากให้ จังหวัดตาก เป็นจังหวัดที่ถูกลืม โดนจัดให้เป็นเมืองรอง ทั้งที่เป็นเมืองชายแดนมีการค้าขายกับเพื่อนบ้านแต่ผู้คนก็ยังลำบาก พื้นที่ไม่พัฒนา แถมยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ ที่รอการเข้าถึงสวัสดิการภาครัฐหลายด้าน ภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว จังหวัดตากย่ำเท้าอยู่กับที่มาหลายปี เพียงเพราะ คนติดใจบ้านใหญ่ ติดใจนามสกุล ที่พ่อเป็นนายกอบจ.และลูกชาย คือ นาย ธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ  สามี ของผู้สมัครหมายเลข 1 นางอัจฉา ทวีเกื้อกูลกิจ ก็เป็นอดีตสส. จังหวัดตาก ด้วย 

ซึ่งวันนี้ ถึงคราวส่งลูกสะใภ้ลง มาสู้ศึกอบจ.ตากแล้ว เเต้มต่อ ของเบอร์ 1 คือเป็นบ้านใหญ่ เก่าเเก่ แห่งค่ายรัฐบาล พรรคภูมิใจไทย คุมอำนาจ มหาดไทย พร้อมทุกขุมกำลัง เรียกได้ว่าเป็นต่อ หลายขุม การเมืองยุคใหม่หรือจะสู่ยุคเก่า เรียกได้ว่า เบอร์2 รองเอ็ด พตท. อนุรักษ์ จิรจิตร ไปยาก อย่างไรเมืองตากก็จะอยู่แค่ตระกูลนี้เท่านั้น สปอตไลท์ จึงไปส่อง ที่ คุณนายจอย เบอร์ 1 อัจฉรา บ้านใหญ่ ด้วยเหตุนี้ เบอร์ 2 รองเอ็ด จึงเดินหน้าปลุกตาก ให้ตื่น ด้วยยุทธศาสตร์อยากเปลี่ยน จึงกลายเป็น การรวมพลคนอยากเปลี่ยนมาสู้เพื่อจังหวัดตาก จะเห็นได้จาก การรวมพลคนฝ่ายค้าน มาสู้ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ  พรรคประชาชน หรืออดีตแกนนำแดง อย่าง อี็ด เมืองตาก มาช่วยผู้ท้าชิง รองเอ็ด เบอร์ 2 พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สมัยรัฐบาลลุงตู่ เเละยังเป็นเพื่อนสนิท กับขุนพลข้างกาย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี คือ เสธ.นิว พลเอก นิธิ จึงเจริญ และเสธ.นุ้ย พล.ท. ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ เพราะเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 29 รุ่นเดียวกัน

มาจนถึงขณะนี้ รองเอ็ด เบอร์ 2 พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร ได้เดินสายปลุก เมืองตากให้ตื่น ตั้งแต่เช้าจนค่ำเปิดเวที ปราศรัย แทบทุกตำบล แสงสว่างจากแสงไฟ ยามค่ำคืน คนเดินเท้า หาเช้ากินค่ำ คนบนดอย ยังต้องมาฟัง จนเกิดปรากฏการณ์ใหม่ ชาวบ้านแห่ฟัง 'รองเอ็ด' เบอร์ 2 ปราศรัย ไปทุกท้องที่ ของจังหวัด ตาก ตั้งแต่คนเมือง ถึงคนบนดอย ชูนโยบาย ยกระดับการแพทย์ฉุกเฉิน- กู้ภัยทันที - ปั้นทีมฟุตบอลตาก โรงเรียน กีฬา ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนแยก อบจ. ที่แม่สอด เครื่องจักรฟรี -ตลาดชนเผ่า ฟื้นฟูประเพณี ท้องถิ่น "พิสูจน์ ให้ชาวตาก รู้ว่า สู้จริง พูดจริง ทำจริง "พ.ต.ท.อนุรักษ์ จิรจิตร 'รองเอ็ด' อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ตาก เบอร์ 2 ผู้ท้าชิง แคนดิเดต นายก.อบจ.ตาก หมายเลข 2   

ล่าสุดมีประชาชนชาวบ้าน สนใจ มานั่งฟังนโยบายท้องถิ่น เป็นจำนวนมาก จนเกิดกระแสเบอร์ 2 ฟีเว่อร์ เรียกได้ว่าโค้งสุดท้าย คำว่ากระแสจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งท้องถิ่นได้หรือไม่ เมื่อเบอร์ 2 ไม่ใช่เบอร์รองอีกต่อไป จับตาการเลือกตั้ง ว่าคนตาก จะอยากเปลี่ยนจริงหรือไม่ ในวันที่15 ธันวาคมนี้ 

‘ธนกร’ สวน ‘ปิยบุตร’ หยุดเสี้ยมปม กม.จัดระเบียบกลาโหม ย้ำชัด กองทัพเป็นความมั่นคงของชาติ นักการเมืองไม่ควรแทรกแซง

‘ธนกร’ สวน ‘ปิยบุตร’ หยุดเสี้ยมปม กม.จัดระเบียบกลาโหม ยัน สส.ฟังเสียงประชาชน ปัดมีใบสั่งจากชนชั้นนำ ย้ำชัด กองทัพเป็นความมั่นคงของชาติทุกมิติ ลั่น นักการเมืองไม่ควรล้วงลูกทหาร ยกเทียบตร.ไม่อยู่ใต้ครม. ชี้ หากทำผิดก็อยู่ยาก ป้องกันรัฐประหารไม่ได้ 

วันที่ (11 ธ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์โจมตีนักการเมืองที่ออกมาประกาศไม่เอาร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมว่าไม่ให้ความสำคัญกับเสียงของประชาชน ฟังแต่ชนชั้นนำนั้น ว่า ตนมองถึงเจตนาเบื้องลึกของนายปิยบุตร พยายามใช้วาทกรรมสร้างความแตกแยกให้ประชาชนเข้าใจผิดๆ ต่อนักการเมือง ผู้แทนราษฎรและเชื่อมโยงให้ถึงชนชั้นนำที่คนไทยทุกคนต่างทราบดี ว่าหมายถึงบุคคลระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่นายปิยบุตรมักแสดงออกลักษณะนี้มาโดยตลอด มองว่าเป็นเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ จึงเรียกร้องให้หยุดพฤติกรรมยุแยงสร้างความแตกแยกในสังคมเสียที โดยยืนยันว่า ผู้แทนราษฎรต้องรับฟังเสียงของประชาชนเป็นใหญ่ พิจารณากฎหมายที่เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมประเทศและยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งใบอนุญาตจากชนชั้นนำตามที่นายปิยบุตรออกมากล่าว อ้างนั้น ล้วนแต่ไม่เป็นความจริง

ทั้งนี้ นายธนกร ระบุว่า ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ… เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ เพราะกองทัพถือเป็นสถาบันหลักของชาติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทุกมิติ หากจะแก้ไขเพื่อสามารถให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงการเปลี่ยน แปลงองค์ประกอบของสภากลาโหมที่มีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งหลักในกองทัพได้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ เปรียบเทียบกับคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ให้อำนาจพิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญโดยไม่ต้องนำรายชื่อเข้าขอเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เช่นเดียวกับสภากลาโหม 

“มติรทสช. มีจุดยืนชัดเจน ไม่เห็นด้วยที่จะให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงกระทรวงกลาโหม เพราะหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ทั้งทหารและตำรวจ ควรปราศจากการเมืองเข้าไปล้วงลูกทุกกระบวนการ ซึ่งเหตุผลที่จะแก้ไขเพื่อป้องกันรัฐประหารนั้นตนมองว่า หากรัฐบาลหรือใครก็ตามทั้งทหาร ตำรวจ กระทำความผิดก็ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้ การแก้กฎหมายจึงป้องกันการรัฐประหารไม่ได้  ส่วนการที่นายปิยะบุตรออกมาพูดให้ประชาชนเกิดความสับสนเข้าใจผิด เชื่อมโยงไปถึงชนชั้นนำ เป็นการเบี่ยงประเด็นเพื่อโจมตีทุกฝ่ายให้เกิดความแตกแยก เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ขอพี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อวาทกรรม” นายธนกร ย้ำ

‘ดร.หิมาลัย’ โพสต์เฟซ!! เรื่องการประมูลพลังงานสะอาด ที่อภิปรายกันในสภาฯ เผย!! ‘ท่านพีระพันธุ์’ ไม่นิ่งเฉย สั่งเร่งตรวจสอบโดยละเอียด จนพบข้อมูลใหม่

(10 ธ.ค. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธหิ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา เรื่องของการประมูลพลังงานสะอาด โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ ผมมีเรื่องเล่า 3 เรื่อง มาเล่าแบบภาษาชาวบ้านครับ แต่ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้มีโอกาสอภิปรายรัฐบาลและนำเสนอข้อติติงต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปปรับปรุงแก้ไข ปฐมบทของเรื่องนี้ เกิดมาจากการอภิปรายที่ผ่านมา ในเรื่องของการประมูลพลังงานสะอาด 

หลังจากฟังการอภิปรายแล้ว และมีการตอบข้อซักถามในสภาฯไปแล้วทาง ‘ท่านพีระพันธุ์’ ได้นำข้อสังเกต ข้อติติง ของฝ่ายค้านมาพิจารณาโดยละเอียดและตรวจสอบการดำเนินการของ หน่วยงานในกำกับ อีกครั้ง จึงได้พบข้อมูลที่น่าจะต้องพิจารณาทบทวนให้รอบคอบ ดังนี้

1. ความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาด เราต้องการที่ 5,000 จึงมีการเปิดประมูล มีผู้มาประมูล ถึง 17,000 ดังนั้น เมื่อประมูลไป 5,000 แล้ว จึงเหลือที่ประมูลไม่ได้ อยู่ที่ 12,000 ต่อมาผู้ที่ประมูลไป 5,000 ไม่สามารถส่งไฟเข้าระบบได้ 3,600 จึงเกิดเป็นฟันหลอในระบบขึ้น ทาง กฟผ.จึงเปิดประมูลใหม่ โดยแยก 3,600 ออกเป็น 2 ส่วน คือ 2,100 กับ 1,500 แต่ดันไปกำหนดการประมูลว่า 2,100 ให้จัดให้ผู้ประมูลเก่าที่ไม่ได้ ที่ค้างอยู่ 12,000 ส่วน 1,500 ที่เหลือ เปิดให้ประมูลใหม่ ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่ฝ่ายค้านติงมาว่าเอาหลักอะไรมาแบ่ง การประมูลครั้งแรกจบไปแล้ว น่าจะเปิดใหม่ทั้งหมดหรือถ้าจะให้สิทธิ์กับ 12,000 ที่เหลือ ทำไมไม่ให้ทั้งหมด หรือมีเกณฑ์อะไร มาแย่งแยก ประกอบกับ การจัดการ 2,100 ที่จัดสรรให้กับ 12,000 ยังไม่จบขบวนการ ท่านจึงมีหนังสือให้ระงับและทบทวน เพื่อตอบปัญหาที่สังคมกับฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตุไว้ หากตอบไม่ได้ ก็ควรหาวิธีดำเนินการทั้ง3,600 ให้ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยได้

2. เรื่องของคณะกรรมการสรรหาบอร์ด กกพ. ที่ท่านให้ทบทวนเอาเรื่องกลับมา ก็เพราะประเด็นจากการอภิปราย ในเรื่องนี้ กฎหมายเขียนไว้ว่าต้องตั้งกรรมการสรรหา 9 คน หนึ่งในนั้น ต้องมาจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่เนื่องจาก สภาฯดังกล่าว ได้โดนยุบไปแล้ว ทาง กกพ.จึงส่งเรื่องมาให้ตั้ง แค่ 8 คน เมื่อท่านสอบถามว่าใครให้ความเห็นข้อกฎหมายในเรื่องนี้ ปรากฏว่าเป็นฝ่ายกฎหมายของ กกพ.เอง ท่านจึงให้ชะลอเรื่องแล้วให้รีบส่งเรื่องสอบถามความเห็นไปที่กฤษฎีกาก่อน เพื่อความรอบคอบครับ

3. เรื่องเหมืองแม่เมาะ เป็นการประมูลโครงการ 7,250 ล้านบาท ในครั้งแรกจะใช้วิธีพิเศษ ท่านก็ให้ทักท้วงไป จึงเปลี่ยนมาเป็นเปิดประมูล แต่มีข้อสังเกตุหลายอย่าง คือในการพิจารณาโครงการประมูลโครงการใหญ่ขนาดนี้ กลับใช้วิธีประชุมลับ ไม่ลงบันทึกประชุม เมื่อได้ผลประมูลแล้วต้องแจ้งให้ผู้เข้าประมูลทุกรายทราบ เพื่อให้ผู้ร่วมประมูลสามารถทักท้วงผลได้ในระยะเวลาที่กำหนด และหากมีการตกสเปค จะต้องแจ้งให้ทราบว่าตกเพราะเหตุใด ในเรื่องนี้บริษัทฯผู้ร้องได้รับแจ้งผลประมูลและเหตุผลหลังจากเลยระยะเวลาอุธรณ์หรือทักท้วงแล้ว ตลอดจนเหตุผลในการตกคุณสมบัติ ทางบริษัทก็โต้แย้ง ว่าสิ่งที่บริษัทได้เสนอให้มากกว่า ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นเรื่องเครื่องจักรอะไรสักอย่าง ที่กำหนดให้ต้องมีตัวใหญ่ 2 ตัวเล็ก 2 ทางผู้ร้องแจ้งว่า เขาเสนอให้ตัวใหญ่ 3 ตัวเล็ก 1 ซึ่งทางหน่วยงานจะได้ประโยชน์มากกว่า และตัวใหญ่ก็มีคุณสมบัติที่เหนือเกณฑ์มาตราฐานที่ตั้งไว้ แต่ประเด็นสำคัญ เขาไม่มีโอกาสโต้แย้ง ชี้แจง หรืออุทธรณ์ ร้องเรียนใดๆเลยเพราะการแจ้งผลให้เขาทราบ เป็นการแจ้งหลังจากผ่านระยะเวลาอุทธรณ์ไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติและไม่เป็นธรรม ประกอบกับในเรื่องดังกล่าวมีบอร์ดท่านหนึ่ง ได้ทำบันทึกตั้งข้อสังเกตุไว้ก่อนเกิดเรื่องร้องเรียนแล้ว พอมีการร้องเรียนมาท่านก็สั่งตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมและถูกต้อง 

เรื่องเล่าชาวบ้านของผมวันนี้ คงมีแค่ 3 เรื่องนี้ ช่วยกันรักษาคนดีและให้กำลังใจ คนที่ตั้งใจทำงานเพื่อความถูกต้องและประเทศชาติกันครับ ขอขอบคุณระบบรัฐสภาฯของเรา ที่เปิดให้มีการอภิปรายและตรวจสอบ ขอบคุณท่านพีระพันธุ์ฯ ที่ไม่ละเลยต่อคำทักท้วงตามระบอบประชาธิปไตยครับ

‘ทนายวันชัย’ โพสต์ข้อความเตือน!! รัฐบาล ให้ออกมาชี้แจง คลายความสับสน อย่ารอให้!! ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย อย่างสมัย ‘รัฐบาลทักษิณ’ ที่ชะล่าใจ

(10 ธ.ค. 67) นายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า กระบอกเสียงหรือกระบอกเสีย รัฐบาล

คำหนึ่งก็ขายชาติ คำหนึ่งก็เสียดินแดน คำหนึ่งก็ขัดพระบรมราชโองการ คำหนึ่งก็ทักษิณกับฮุนเซนแบ่งผลประโยชน์กัน คนที่เกลียดทักษิณก็พลอยเฮโลกันไปใหญ่ คนที่ไม่รู้เรื่องก็อะไรกันวะ... แต่จะประมาทเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เพราะสมัยรัฐบาลทักษิณก็เคยโดนเรื่องที่คิดว่าไม่เป็นเรื่องมาแล้ว ถึงขนาดชุมนุมประท้วงขับไล่ปฏิวัติรัฐประหาร ก็เพราะคิดว่าไม่มีอะไรนี่แหละ มันบานปลายจนมีอะไร

ขบวนการที่ไม่เอาทักษิณเขาเริ่มก่อตัวปล่อยข่าวว่าขายชาติ เสียดินแดน แบ่งผลประโยชน์กัน มันเรื่องใหญ่นะ แต่ฝ่ายรัฐบาลที่มีบุคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือเต็มไปหมด กลับไม่ค่อยมีข่าวหรือให้ข้อมูลในเรื่องนี้มากนัก เหมือนจะเงียบกริบไปเสียด้วย ในขณะที่ข้อมูลอีกฝ่ายหนึ่งแรงกว่าและก็ดังกว่า ทั้งที่ฝ่ายรัฐบาลพร้อมทุกๆด้าน กลับดูเหมือนจะสู้เขาไม่ได้ และคนที่จะออกมาพูดแล้วทำให้รู้เรื่องเข้าใจและน่าเชื่อถือยังไม่มีเลย เป็นเพราะอะไรไม่รู้ คนจากทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศที่น่าจะให้ข้อมูลได้ดี ชี้แจงแถลงก่อให้เกิดความเข้าใจได้ กลับหายหัวไปไหนกันหมด ปล่อยให้นายกอึกๆอักๆ เก้ๆกังๆอยู่ได้...ผมแปลกใจมาก

หรือจะรอให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย...ที่รัฐบาลทักษิณเคยได้รับบทเรียนสาหัสสากรรจ์มาแล้วนั้น ยังไม่พออีกหรือ....

‘พี่ลุงแมน’ โพสต์คลิปเดือด!! ฟาดใส่ ‘นายทุนพลังงาน’ ตั้งพรรคการเมืองใหม่!! เพื่อรักษาผลกำไรของตน

(10 ธ.ค. 67) ‘พี่ลุงแมนไทยแลนด์แดนสวรรค์’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับ พรรคการเมืองที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยกลุ่มนายทุนพลังงาน ระบุว่า ...

ได้ยินข่าวการเปิดพรรคใหม่มาได้สักพักนึงแล้ว

ในวันประกาศตัวเปิดตัวเค้าก็บอกชัดเจน ว่าเพื่อดึงคะแนนเสียง ดึงคนจาก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ตามรายงานข่าว ก็บอกว่าเป็นทุน ที่มีทุนไม่อั้น เป็นพรรคที่ทุนไม่อั้น เหตุที่เงินทุนไม่อั้น เดาว่า น่าจะเป็นทุนจากพลังงาน

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ นั้นมีจุดเด่น ก็คือจะแก้ไข ในเรื่องของราคาพลังงาน เพื่อให้คนไทยได้ใช้ ‘พลังงาน’ ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งเรื่องของการแก้ไข ‘ราคาพลังงาน’ นั้นเป็น
เรื่องที่ใหญ่มาก ใครแตะตาย ใครแตะเรื่องพลังงาน เละทุกคน 

เพราะว่าเงินเยอะ ผลประโยชน์มหาศาล แล้วเขา (กลุ่มคนที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่) ก็ประกาศชัดเจนว่า เขาตั้งพรรคมาเพื่อสนับสนุนให้ ‘พรรคเพื่อไทย’ เป็นแกนนํา ดังนั้นคนที่เป็น ‘สลิ่ม’ ที่เคยบอกว่าเกลียดพรรคเพื่อไทย ถ้าเขาอยากจะสนับสนุนพรรคนี้ ก็แล้วแต่ ผมจะไม่ว่าอะไรใคร แล้วแต่ความคิดของแต่ละท่าน 

ผมจะพูด แนวทางกว้างๆ ก็คือว่า การทําตลาด เขาก็จะทําให้ ไม่ สามารถรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้ ‘ประชาธิปไตย’ ไม่ใช่ระบอบอะไรซับซ้อนหรอก เป็นระบอบที่พ่อค้า ทําการตลาดแค่นั้นเอง ทีนี้ถ้าใครจะเชื่อว่าทุนพลังงาน จะมาทําเพื่อประชาชน เพื่อพลังงานที่ถูกลง ผมขออนุญาต ‘ถุย’ นะครับ ใครจะเชื่อก็เชื่อ ผมไม่เชื่อนะครับ 

แนวคิดหลักของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ที่เขาทำอยู่ก็คือ ‘SPR’ ทําเพื่อให้ราคาน้ำมัน ถูกลง น้ำมันปีนี้ เราขาย ‘น้ำมัน’ กันวันละ 150 ล้านลิตร ถ้าคุณพีระพันธุ์ หรือ พรรครวมไทยสร้างชาติทําสําเร็จ นั่นหมายความว่า 150 ล้านลิตร ทําลงแค่ลิตรละบาท เงินผลประโยชน์ กำไรของนายทุน ก็จะหายไปก็ 150 ล้านบาท ถ้าทำราคาลดลงได้ ลิตรละสองบาท ผลประโยชน์ กำไรของนายทุน ก็จะหายไป 300 ล้านบาท ต่อวัน

ดังนั้นไม่แปลกหรอกครับ ถ้าจะมีกลุ่มทุนพลังงาน อยากจะทําพรรคเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง โดยที่หาคําพูดสวยหรูอะไรก็ได้ ใครจะเชื่อก็เชื่อ แต่ผมไม่เชื่อ แล้วยิ่งบอกว่าจะไปสนับสนุน ‘พรรคแดง’ ด้วย

ยิ่ง ‘จบข่าว’ เลย กับพรรคนี้!! 

‘ศักดา นพสิทธิ์’ อดีตตัวตึง!! ‘นักการเมืองฝีปากกล้า’ แห่งชลบุรี ถูกยิง!! หลังร้านข้าวต้ม โดยเด็กในร้าน คาดเหตุ!! ทะเลาะวิวาท

(10 ธ.ค. 67) เปรี้ยง…เสียงมัจจุราชคำรามขึ้นในย่ำรุ่ง ร่างของ ‘ศักดา นพสิทธิ์' ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ณ ลานจอดรถ ร้านข้าวต้มบางปะกง 3

คำว่าย่ำรุ่ง คือเวลา 05.30 น. เจ้าหน้าที่กู้ภัย พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เสม็ด รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ พบร่างของศักดานอนจมกองเลือดอยู่บริเวณหลังร้านข้าวต้ม ซึ่งเป็นลานจอดรถ ใกล้ๆกันพบปลอกกระสุน 9 มม.1ปลอก และกระสุนที่ยังไม่ได้ยิงอีกจำนวนหนึ่ง

ศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกเพื่อไทย-พ่อ ส.ส.พรรคประชาชน ชลบุรี ”วรรณิดา นพสิทธิ์“ ซึ่งศักดามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ลูกสาวประสบความสำเร็จ เพราะศักดาทำกิจกรรมทางการเมืองในชลบุรีมายาวนาน และหลังชนะการเลือกตั้งก็ยังลงพื้นที่ทำกิจกรรมต่อเนื่อง ลงพบปะพี่น้องประชาชนดึกๆดื่นๆกว่าจะกลับบ้านพักผ่อน บางวันก็นอนชลบุรี บางวันนอนกรุงเทพ

นายศักดา นพสิทธิ์ ปัจจุบันอยู่ในวัยเกษียณ อายุ 61 ปี อดีตเคยเป็นเลขานุการ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โฆษกฝีปากกล้าของพรรคเพื่อไทยมาก่อน ถ้ากล่าวถึงศักดา นักศึกษากิจกรรมการเมืองช่วงปี 25-28 คงรู้จักศักดาดี

ศักดาเข้ามาเรียนรามคำแหงปี 2525 ก็เริ่มเข้ามาสัมผัสกับกลิ่นไปของกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคนักศึกษา 7 คณะ พรรคนักศึกษาระดับหัวก้าวหน้า ปี 2527 ศักดาลงสมัครเป็นสมาชิกสภานักศึกษา อศ.มร.และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานักศึกษา ในสมัยที่ ‘วันเลิศ กิตติธรกุล’ เป็นนายกองค์การนักศึกษา มร.

ในรุ่นไล่ๆกับกับศักดา ก็จะมี ‘นิกร จันพรม’ เจริญลักษณ์ เพ็ชรประดับ เป็นต้น หรือรุ่นไล่ขึ้นมาข้างบนหน่อยก็จะเป็น ‘ละม้าย เสนขวัญแก้ว’ อดีตประธานสภานักศึกษา มร.ปี 26 หรือ ‘นัดมุดดิน อูมาร์’ อดีต สส.นราธิวาส และอีกหลายๆคนที่ไม่อาจเอ่ยชื่อได้หมด

‘ศักดา’ เรียนจบนิติศาสตร์ แต่ด้วยความที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่ต้น เมื่อเดินพ้นรั้วรามคำแหง ก็ไม่มีกำแพงใดกีดกั้น การเมืองคือวิถี ศักดากระโดนเข้าสู่เวทีการเมืองอย่างไม่ลังเล แต่ในวิถีของการเลือกตั้งศักดายังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก้าวขึ้นไปเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์ พร้อมผลักดันให้ลูกสาวในวัยจบเผาะ ก้าวขึ้นเป็น สส.ชลบุรี พรรคประชาชน สมใจนึก

ช่วงระยะหลังศักดาผันตัวเองมาเป็นนักวิเคราะห์ทางการเมืองในทุกสถานการณ์แบบทันต่อเหตุการณ์ ทีวีหลายช่องก็เชิญมากขึ้น เริ่มติดชาร์ดนักวิเคราะห์การเมือง แต่การที่ศักดาโดนยิง เสี่ยวแรกของการฉุกคิด ต้องพุ่งปมไปสู่การเมือง แต่ข้อเท็จจริงน่าจะไม่ใช่ ลูกสาวที่เป็น สส.ก็บอกว่าไม่ใช่ปมการเมือง

ในทางการสอบสวน สืบสวนของตำรวจ พบว่าผู้ก่อเหตุเป็นเด็กในร้านข้าวต้ม เมาแล้วทะเลาะกับแฟนสาว ก่อนจะไปทะเลาะกับเด็กในร้านข้าวต้มคนอื่นๆ และลามมาถึงแขกในร้าน

จากพยานแวดล้อมไม่น่าจะยากในการติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษ เพราะอาชญากรได้ทิ้งพยาน หลักฐานไว้มากมายในการก่ออาชญากรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top