Saturday, 20 April 2024
POLITICS

เปิดคำสัมภาษณ์ 'ปรีดี' กับสื่อนอกในวัย 79 ยอมรับความผิดพลาดใหญ่หลวงในอดีต

จากกรณีที่ภาพยนต์แอนิเมชันเรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หรือ 2475 Dawn of Revolution ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านทางยูทูบ ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งได้ระบุถึงนายปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำคณะราษฎร ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ได้ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ผ่านการให้สัมภาษณ์แก่นายแอนโทนี พอล ในปี 2522 นั้น

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.67 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์' ในหัวข้อ เปิดคำสัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ ในวัย 79 ปี ตอบเรื่องความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในอดีต ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ดังกล่าว ดังนี้...

นิตยสาร เอเชียวีคฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 1979 (พ.ศ. 2522) - 4 มกราคม 1980 (พ.ศ. 2523) ภายใต้หัวเรื่องว่า ‘PRIDI THROUGH A LOOKING GLASS’ ซึ่งนายแอนโทนี พอล ได้สัมภาษณ์อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขณะสัมภาษณ์นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2522 ซึ่งอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีอายุได้ 79 ปี

แอนโทนี พอล : “ท่านคิดว่าอะไรที่น่าจะเป็นความผิดอันใหญ่หลวงของท่าน? ถ้าท่านมีอำนาจกลับไปและแก้ไขเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน การตกลงใจหรือการกระทำอันไหน ที่ท่านอยากเปลี่ยนมากที่สุด?”

ปรีดี พนมยงค์ : “ถ้าท่านถามถึงว่าอะไรที่ข้าพเจ้าจะทำ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี…เอาละ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะกลับสู่การเมืองอีกหรอก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าแก่มากแล้ว แต่ข้าพเจ้าตอบท่านได้ถึงความผิดในอดีตของข้าพเจ้า

ในปี ค.ศ.1925 (พ.ศ. 2468) เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน (ประสบการณ์) แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี (ของกฎหมายเปรียบเทียบ) ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด (ประสบการณ์)

และโดยปราศจากความเจนจัด (ประสบการณ์) บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี

ในปี ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน (ประสบการณ์) และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจน (ประสบการณ์) มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

แอนโทนี พอล : ความผิดพลาดอย่างอื่นมีอีกบ้างไหม?

ปรีดี พนมยงค์ : “มี, คือวิธีการเสนอแผนเศรษฐกิจของข้าพเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเสนอแผนเศรษฐกิจ แต่ข้าพเจ้าควรใช้เวลาให้มากกว่านั้นอธิบายแก่ประชาชน เวลานั้นมีบุคคลไม่กี่คน ที่จะเข้าใจแผนเศรษฐกิจของข้าพเจ้า แม้ในระหว่างรุ่นก่อน คือสมาชิกในคณะรัฐบาลก่อนซึ่งเราเชิญมามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ พวกเขาตีความแตกต่างกันไป พวกเขาไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าควรพยายามให้หนักขึ้น ที่จะอธิบายกับพวกเขาว่าทั้งหมดมันหมายถึงอะไร

แต่ทว่ามันก็เป็นแผนเศรษฐกิจที่ไม่เหมาะสมด้วยเหมือนกัน ข้าพเจ้าเสนอไม่ใช่ว่าเป็นแผนเศรษฐกิจขั้นสุดท้าย มันค่อนข้างจะเป็นโครงการขั้นเตรียมการมากกว่า หลายคนเหมาเอาว่าเป็นแผนเลยทีเดียว ไม่ใช่เป็นแนวทางหรือข้อเสนอพอเป็นพื้นฐานสำหรับการวางแผนต่อไป

ในสังคมนั้นย่อมมีการขัดแย้งกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คุณต้องเข้าใจ และพวกคนรุ่นเก่ามีความกลัวมากทีเดียว ในบางอย่างที่เป็นสังคมนิยม พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสังคมนิยม อะไรเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาเอาทุกอย่างที่ตรงข้ามกับวิสาหกิจเอกชนเป็นคอมมิวนิสต์ไปหมด”

เผยแพร่โดย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
15 มีนาคม 2567

'วิทยา' จี้!! 'ก.ทรัพย์ฯ' ฟื้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ หลังถูกปิดมาร่วม 30 ปี หวังผลิตบุคลากรที่มีจิตวิญญาณพิทักษ์รักษาป่าไม้อย่างแท้จริง

“วิทยา แก้วภราดัย” จี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯฟื้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกปิดมาร่วม30 ปี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีจิตวิญญาณพิทักษ์รักษาป่าไม้อย่างแท้จริง

(21 มี.ค. 67) นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 เรียงตามรายมาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายวิทยาอภิปรายถึงเหตุผลที่ได้แปรญัตติ ตัดงบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ 5% ว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตั้งมากว่า 20 ปี ในสายตาประชาชนมองกระทรวงนี้เขานึกถึงอะไร มีเพื่อนสมาชิกอภิปรายถึงช้าง และปริมาณช้างที่ล้นป่า บางคนนึกถึงสิ่งแวดล้อมธรรมชาติของโลกที่เริ่มสูญเสียความสมดุล

ทั้งนี้ พระเอกจริง ๆ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ก็คือกรมป่าไม้เดิมเป็นกรมป่าไม้ที่ดูป่าทุกประเภทในประเทศไทย เป็นกรมที่ใหญ่มาก วันที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมโลกด้วยการสร้างป่าให้มากที่สุด เราก็ได้ยินทะเลาะกันบ่อย เรื่องเขตป่าอุทยาน เขตป่าสงวน เขตที่จะเป็นสปก. ทะเลาะกันข้ามกระทรวง วันที่กรมป่าไม้ยุบมาอยู่ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมป่าไม้กลายเป็นกรมเล็ก ๆ ที่ดูแลป่าสงวน กรมอุทยานแห่งชาติก็เติบโตขึ้นมาดูแลเกือบทุกอย่าง กรมอุทยานชายฝั่งดูแลป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็ดูแลทรัพยากรในทะเล แต่เราได้สร้างบุคลากรที่จะพิทักษ์ป่าจริง ๆ หรือไม่

นายวิทยา กล่าวว่า มีข้าราชการกี่คนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่เรียนรู้เรื่องป่าไม้จริง ๆ มีกี่คนที่ออกไปดับไฟป่ากับเพื่อน ๆ มีหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกี่คนที่ผ่านหลักสูตรป่าไม้อย่างแท้จริง โรงเรียนป่าไม้ของประเทศไทยปิดไปร่วม 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2536 โรงเรียนป่าไม้ตั้งมาในปี 2480 รักษาความเป็นโรงเรียนป่าไม้ ผลิตนักเรียนป่าไม้ส่งไปพิทักษ์ป่าทั่วประเทศ แต่วันนี้โรงเรียนป่าไม้ปิดไป กรรมาธิการฯเคยถามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯคิดจะฟื้นโรงเรียนป่าไม้ขึ้นมาบ้างหรือไม่ วันนี้เรามีนักเรียนวนศาสตร์เพียงพอหรือไม่

“วันนี้มีพนักงานป่าไม้ที่ไปดับไฟป่าอยู่ทั้งหมดเป็นลูกจ้าง ไม่ได้จบหลักสูตรการป่าไม้ ไม่ได้สวมวิญญาณคนพิทักษ์ป่าอย่างแท้จริง เป็นลูกจ้างในระบบราชการทํางานกินเบี้ยเลี้ยงไปตลอด แต่เรากลับทิ้งโรงเรียนป่าไม้แพร่ให้ล้างมา 30 กว่าปี ผมไปเยี่ยมโรงเรียนป่าไม้แพร่เมื่อ 3- 4เดือนที่แล้ว พื้นที่ยังอยู่เรียบร้อย มีป่าสําหรับโรงเรียนป่าไม้ฝึกนักเรียนอยู่ 4-5 พันไร่อยู่ในจังหวัดแพร่ โรงเรียนป่าไม้แพร่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ขอถามกรรมาธิการฯ เคยถามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติหรือไม่ว่า อยากสร้างนักวิชาการป่าไม้ หรือ จะสร้างนักปฏิบัติการป่าไม้” นายวิทยากล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า อีก 2 ปีข้างหน้า คนที่จบหลักสูตรป่าไม้แพร่ทั้งหมดกําลังจะหมดไปจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตนเคยพูดหลายครั้งทั้งในกรรมาธิการงบประมาณ เคยอภิปรายในสภาฯ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบ จึงขอถามกรรมาธิการฯ ว่า เคยไปทวงถามโรงเรียนป่าไม้แพร่เพื่อมาพิทักษ์ป่ากันหรือไม่ ถ้ามีโอกาสรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ฟัง ควรกลับไปดูแลได้แล้ว ใช้งบประมาณคงไม่มาก บุคลากรก็พร้อมในการที่จะสร้างโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นมา

'ตำรวจเทา-นักโทษเทวดา-พรรคล้มการปกครอง'  อาชญากรแผ่นดินจองกินโต๊ะประเทศนี้ไม่รู้จบ

สังคมประเทศไทยยามนี้ ถ้าเปรียบคนที่ป่วยเป็นโรค ก็น่าจะมีหลายโรคกำลัง 'รุมทึ้งชีวิต' นับเวลาจากนี้ไปถ้าประเทศไทยไม่ตายคาแผ่นดินโลก ร่างขวานทองก็คงเสื่อมโทรมหมดสภาพเป็นแน่แท้

ประชาชนตาดำ ๆ แบบเรา ๆ ยามถูกโจรทำร้ายก็อยากหันไปพึ่งพาตำรวจ แต่ข่าว 'ตำรวจบดขยี้กัน' แฉความเลวของอีกฝ่ายออกสื่อแทบทุกช่องกินเวลาร่วมเดือน ภาพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อันเป็นความหวังทางกฎหมาย ก็ทำให้คนไทยไปกันไม่ค่อยจะเป็น และดูเหมือนว่าตำรวจที่ทะเลาะกันไม่แคร์ว่าคนไทยจะคิดกับพวกเขาอย่างไร รุ่นใหญ่ยังออกหมัดกันไม่เลิก ฝ่ายตำรวจรุ่นเล็ก ๆ ก็มีข่าวย่อย ๆ ในเรื่องน่าทุเรศออกสื่อไม่เว้นวัน

ต้องบันทึกไว้ว่าเป็นยุคที่ตำรวจไทยตกต่ำถึงขีดสุด 

วันที่นักโทษผู้วิเศษออกจากสวรรค์ชั้น 14 ก็มีทั้งนายตำรวจ นักการเมือง เดินตามตูดด้วยความนอบน้อมถ่อมตน เป็นภาพที่ตอกย้ำว่าคนใหญ่คนโตในประเทศไทยที่ควรจะวางตัวให้น่าเชื่อถือศรัทธา มีราคาในสายตาสังคมโลกต่ำขนาดไหน? 

เวลาใกล้ ๆ กัน ประเทศไทยก็มีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง มี สส. ในพรรคไม่น้อยที่โดนคดี 112 และคดีอื่น ๆ อีกเพียบ แต่ก็ไม่วายยังมีคนมืดบอดสนับสนุนไม่เลิกรา สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนคนไทยชอบ 'คนที่ถูกใจ' มากกว่าจะสนับสนุน 'คนที่ทำเรื่องถูกต้อง'

ขณะที่สื่อหลายสำนักรายงานถึงความน่าอัปยศอดสูเหล่านี้ ก็ใช่ว่าข่าว ‘อาชญากรแผ่นดิน’ จะเงียบหายไปจากสังคมไทย จีนเทา โจรต่างชาติ นักธุรกิจสีดำ และคนไทยเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ ก็ยังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เด็กชั้นประถมปลาย จนถึงมัธยมต้น เวลาพักกลางวันและหลังเลิกเรียนไม่อ่านหนังสือกันแล้ว มีโทรศัพท์คนละเครื่องก็หลบผู้ปกครองไปเล่นพนัน เสพติดจนบางครอบครัวพ่อแม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน แถมบางโรงเรียนก็มีครูเป็นอย่างในทางเลวๆ 

บางทีผมก็คิด หรือจะถึงเวลาที่เราต้องมารวมตัวกันออกหน้าปัดกวาดสังคมให้สะอาดเสียเอง คงจะดีไม่น้อยถ้าสังคมไทยจะมีคนอย่าง 'Paul Kersey' เหมือนในหนัง 'Death Wish' บ้าง

คนเดียวก็ยังดี!!

‘เศรษฐา’ ลั่นกลางวง!! ตำรวจมีปัญหานายกฯ ต้องเป็นที่พึ่ง ย้ำ!! จากนี้ ‘ห้ามให้ข่าว-หยุดดรามา’ ต้องสามัคคีไม่แบ่งฝ่าย

(21 มี.ค.67) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการขึ้นไป โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รอต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาก่อนเวลา 15 นาที จากนั้นได้มีการพูดคุยกันวงเล็กกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า วันนี้ นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มือกฎหมาย เข้าร่วมประชุมด้วย

ต่อมานายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานมอบนโยบาย ทั้งนี้ ในช่วงของการมอบนโยบาย นายกรัฐมนตรีได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าฟังด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนได้เข้ารับฟัง

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผมเชื่อว่าทุกท่านเข้าใจดีที่เรามาประชุมวันนี้เพราะอะไร ชัดเจน ว่าตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชน ขอพูดสั้นๆ ง่ายๆ และเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ หากองค์กรตำรวจมีปัญหา นายกฯ ต้องเป็นที่พึ่งของตำรวจ และขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย เพื่อให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายตำรวจระดับสูงทั้งสองคนที่เป็นข่าวเมื่อวานนี้ และปัญหาที่เกิดขึ้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่าให้การดูแลพี่น้องประชาชนหย่อน จะต้องมีการบริหารจัดการเกิดขึ้นมา เราต้องคำนึงถึงหน้าที่ที่เรามีอยู่ เราอยู่ตรงนี้เราอยู่เพื่ออะไร ผมขอสั่งให้ยุติการให้ข่าว เกี่ยวกับเรื่องทั้งสองท่าน เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปข้างหน้า เพื่อให้เกิดความถูกต้องและความเป็นธรรมกันทั้งสองฝ่าย ใครที่เคยเทคไซส์เคยให้ข่าว ขอให้หยุดเนื่องจากกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการขึ้นแล้ว ส่วนเรื่องการแทรกแซงผมเคยได้พูดไปแล้วว่า ตนไม่เห็นด้วย และไม่อยากให้ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นตัวละครของเรื่องเหล่านี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ให้กระบวนการเป็นตัวพิสูจน์เอง อย่าไปแทรกแซงผู้ใต้บังคับบัญชา จึงได้มีการให้ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ผมมองว่าถ้าการที่คนในเครื่องแบบทะเลาะกันประชาชนก็เดือดร้อน

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หลายอย่างอยากให้บริหารจัดการให้ดีตามหน้าที่ที่เราควรจะต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามยาเสพติด เพราะยาเสพติดไม่ใช่แค่การปราบปรามในประเทศ ยังมีการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ จะต้องมีการประสานงานจากหน่วยงานอื่น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่าบอกว่าเป็นหน้าที่ของใครหากยาเสพติดเข้ามาในประเทศ พวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบไม่ใช่ว่าเป็นความรับผิดชอบของทหาร เพราะประชาชนเดือดร้อน

นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องของการปราบปรามหนี้นอกระบบปล่อยให้มีการกู้ยืมเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชนถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนยังไม่เห็นถูกบริหารจัดการได้อย่างดีพอทั้งที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล อีกทั้งการเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ก็ยังมีจำนวนน้อย ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของผู้มีอิทธิพลควรที่จะเข้าสู่การประนอมหนี้ขอให้กำชับผู้การจังหวัด ผู้กำกับทุกคน เพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้และประสานงานกับฝ่ายปกครองกระทรวงมหาดไทย ส่วนการลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี และแรงงานต่างด้าวตามแนวชายแดน เป็นที่ประจักษ์ดีแล้วว่าเราให้ความสำคัญสูงมาก เพราะว่าราคายางพาราที่สูงขึ้นได้ในปัจจุบันเนื่องจากการทำงานของหลายๆ ฝ่าย กระทรวงเกษตรฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายทหาร ฝ่ายกระทรวงการคลัง หากราคายังขึ้นไม่ถึง 95 บาทต่อกิโลกรัม ผมเชื่อว่าประชาชนจะมีกินมีใช้ ทำให้ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาลดน้อยลง

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนการปราบปราม บ่อนการพนันสถานบริการต่างๆ ขอให้ยึดตามกฎหมายเป็นหลัก บ่อนต่างๆ อย่าให้มี การปราบปรามเว็บพนันออนไลน์เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขอเลยว่า ต้องให้ความสำคัญ เพราะฉะนั้นใครที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ขอให้ขะมักเขม้นให้ดี อาวุธเถื่อนอาวุธสงคราม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง เรื่องอื่นๆ ของเล็กๆ น้อยๆ มากอย่างการเผาป่า PM 2.5 ในภาคเหนือภาคตะวันตกและภาคอีสาน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างเราต้องช่วยกัน ทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการทุกๆ ภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฝ่ายทหาร ต้องยึดมั่นในข้อบทกฎหมายอย่างภาค 5 ผู้บัญชาการภาค 5 ได้ทำไป เรื่องของการจับคนเผาป่า และมีเงินรางวัลนำจับ ถือเป็นวิธีการหนึ่ง เชื่อว่าพวกท่านมีอำนาจที่จะออกกฎเฉพาะกิจแต่แถวพื้นที่ของท่านเองเพื่อไม่ให้มีการเผาป่าเกิดขึ้น

ส่วนนโยบายเรื่องการท่องเที่ยวติดเป็นเรื่องสำคัญการดูแลนักท่องเที่ยว นโยบายของรัฐบาลมีการผลักดันให้กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ระบบการตรวจคนเข้าเมืองที่มีปัญหาซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและต้องให้ความสำคัญการลงพื้นที่ลงมาตรวจเช็กกับผู้ใต้บังคับบัญชาเองถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำ เรื่องของไก่ผีต่าง ๆ ตื่นแล้วครับชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ต้นว่ารถท่านที่อยู่ในพื้นที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร ใครทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้มีการกระชับทำงานอย่างเร่งด่วน ตนลงไปดูเรื่องสวัสดิการตำรวจชั้นผู้น้อย น่าจะมีความคืบหน้าไปได้จึงอยากขอคำตอบตรงนี้ ซึ่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ให้การตอบรับเรื่องนี้และขอให้เดินหน้าไปได้เร็ว

“เรื่องสุดท้ายผมก็พูดไปแล้ว คือเรื่องที่ต้องให้พวกเรากันเองมีความสมัครสมานสามัคคี เชื่อว่าทุกคนก็เป็นคน มีการรักชอบใครต่างๆ กันไป ไม่เชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เข้าใจถึงปัญหา ที่เกิดขึ้นทั้งหลายเรื่องความสว่างสมานสามัคคีการเทคไซส์ แบ่งพรรคพวก แบ่งลูกน้องอะไรยังไงทั้งหลาย เราเชื่อว่าเก็บรักความรักไว้ในใจของตัวเองดีกว่าวันนี้เอาประชาชนเป็นที่ตั้งและดูแลประชาชนให้ดีที่สุด เรื่องของคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา เหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมซึ่งเราก็มีคณะกรรมการแล้ว 3 ท่าน ซึ่งหลังจากที่มีบทสรุปแล้วก็จะเข้าก.ตร.เพื่อจะให้ทำอีกครั้งหนึ่ง ขออย่าห่วงนะผมให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายเพราะไม่ฝักใฝ่กับใครคนใดคนหนึ่ง เราอยู่ตรงนี้ดูแลประชาชน ขอยืนยันตรงนี้ก็แล้วกัน ตนเชื่อว่าทำงานด้วยกันได้ และองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะเดินได้อย่างสมศักดิ์ศรี” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้านพล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จะเดินหน้าและปฏิบัติตามนโยบาย ข้อสั่งการทุกเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้มอบให้อย่างจริงจัง ตนเองก็จะทำหน้าที่รักษาการเพื่อนำไปสู่ ความสงบสุขและความอยู่ดีกินดีของพี่น้องประชาชน

‘ดร.อานนท์’ เตือน 2 บุตรีของปรีดี อย่าใช้แค่วาทกรรม แนะ!! งัดหลักฐานโต้ หาก ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ นำเสนอบิดเบือน

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Arnond Sakworawich’ ระบุว่า…

“ผมเข้าใจได้นะครับว่าทายาทของตระกูลพนมยงค์ย่อมไม่พอใจกับภาพยนตร์แอนิเมชัน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ และมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นปกป้องบรรพบุรุษของตนหรือแม้แต่ฟ้องร้องผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังได้ครับ

“แต่ผมคิดว่าในฐานะของลูกหลานปัญญาชนผู้อภิวัฒน์สยาม ก็ควรแสดงหลักฐานและเอกสารชั้นต้นออกมาต่อสู้กันว่าในภาพยนตร์มีสิ่งใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ อะไรที่ทางครอบครัวพนมยงค์คิดว่าไม่เป็นความจริง ก็โต้มาด้วยหลักฐาน

“แต่การประดิษฐ์วาทกรรมลอย ๆ เรียกตนเองเป็นฝ่ายธรรมะ และเรียกทีมผู้สร้างภาพยนตร์ว่าเป็นฝ่ายอธรรม ช่างเป็นสงครามวาทกรรมที่แสนเหยียด ขาดความเคารพในความเห็นต่าง ไม่เป็นประชาธิปไตย คงใช้ชีวิตและเติบโตมาจากภาพยนตร์จีนกำลังภายในมากไปหรือไม่”

ผศ.ดร.อานนท์ ระบุต่อว่า “บรรพบุรุษของท่านทั้งสอง เป็นผู้ประดิษฐ์มนูธรรม เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ทำไมลูกหลานจึงเป็นได้แค่ผู้ประดิษฐ์วาทกรรม ช่างแตกต่างจากบรรพบุรุษเหลือเกินครับ การกระทำเช่นนี้ของทายาทของครอบครัวพนมยงค์ ทำให้เกียรติยศของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เสียหายมากนะครับ ว่าลูกหลานขาดวุฒิภาวะในการแสดงความคิดเห็นเยี่ยงอารยะและผู้มีการศึกษา

“การเขียนแถลงการณ์โดยไม่แสดงภูมิปัญญาความรู้ มีแต่วาทกรรมเหยียดและอารมณ์คุกรุ่นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หาใช่วิสัยปัญญาชนอย่างท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ไม่

“ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เองก็ยอมรับในบั้นปลายชีวิตเมื่อให้สัมภาษณ์กับนักข่าวแอนโทนี่ พอลว่าข้อผิดพลาดประการหนึ่งในชีวิตคือการนำเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม

“ไฉนเลยลูกหลานแห่งตระกูลพนมยงค์จะยังคงซ้ำรอยวิธีการที่ผิดพลาดในการนำเสนอความคิดเห็น ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่านี้มากครับ อย่าได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ได้เคยทำผิดพลาดด้วยการนำเสนอผิดวิธีอีกเลยครับ”

สำหรับข้อความเห็นจาก สุดา พนมยงค์ และดุษฎี พนมยงค์ 2 บุตรีของนายปรีดี พนมยงค์ ได้ระบุไว้ว่า…

ข้อคิดเห็นบางประการเรื่องที่ฝ่ายอธรรมกำลังปลุกกระแส โดยสร้างและเผยแพร่ ภาพยนตร์ 2475 อยู่ในขณะนี้

1. การโต้ตอบโดยตรง อาจไม่เป็นผลดีต่อสถาบันปรีดีฯ ทำให้เข้าทางฝ่ายตรงข้าม ที่หวังสร้างข้อมูลเท็จบิดเบือนประวัติศาสตร์ ยั่วยุเพื่อให้เกิดกระแสด้านลบต่อฝ่ายธรรมะ

2. สถาบันปรีดีฯ เผยแพร่ความรู้ และข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อผู้ที่สนใจจะสามารถสืบค้น เข้าถึงได้สะดวกขึ้น

3. เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เคยมีการสร้างสื่อในลักษณะใส่ร้ายและโจมตีการอภิวัฒน์ 2475 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากสังคม จึงไม่ประสบความสำเร็จในการปลุกกระแสดังกล่าว

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น การต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะ และฝ่ายอธรรม ยังคงดำเนินต่อไปในสังคมอีกยาวนาน ขอบคุณกรรมการทุกท่าน ที่ได้ช่วยกันพิจารณาวิถีทางรับมือกับกระแสดังกล่าว และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องเสมอไป

'เอกนัฏ' ยัน!! กมธ.งบประมาณฯ พิจารณางบคลังอย่างดีแล้ว  ย้ำ!! งบที่ทุกกรมได้รับแม้จะน้อย แต่จะใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ได้ชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิกในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระ 2 ในส่วนมาตรา 9 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังว่า กระทรวงการคลังมีภารกิจสำคัญมากโดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ให้ประเทศ ถ้ากระทรวงการคลังไม่สามารถทำงานตามเป้าหมายได้ เราคงไม่ต้องมีงบประมาณมาพิจารณากันในที่ประชุมแห่งนี้

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบงบประมาณที่กระทรวงการคลังได้รับกับกระทรวงอื่นถือว่าน้อยมากจำนวน 1.1 หมื่นกว่าล้าน ส่วนหนึ่งเป็นงบที่ตั้งโดยกรมธนารักษ์สำหรับจ่ายค่าเช่าตามมติครม.เกือบ 4 พันล้าน งบที่กรรมาธิการฯ ปรับลดเหลือเพียง 7 พันกว่าล้านเท่านั้น มีทั้งหมด 10 หน่วยงาน เฉลี่ยได้ว่าแต่ละหน่วยงานมีงบประมาณใช้น้อยมาก แต่มีภารกิจสำคัญ ต้องจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตนได้ฟังคำชี้แจงของผู้บริหารกระทรวงการคลัง นอกจากเห็นใจแล้ว ตนการันตีกับทุกคนได้ว่า มั่นใจเข้าใจภารกิจในการทำงานของแต่ละกรมเป็นอย่างดี มีความมั่นใจว่าเป้าหมายในการจัดเก็บที่ตั้งไว้ และการปราบปรามการกระทำผิดสามารถลุล่วงได้อย่างดีแน่นอน

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในการพิจารณากรรมาธิการฯ อาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานมาช่วยกันกลั่นกรองงบประมาณที่เป็นส่วนเกินให้สามารถใช้ได้ทันในปี 2567 โดยหน่วยงานยืนยันไม่กระทบกับภารกิจและเป้าหมายของทุกหน่วยงาน เช่น กรมสรรพสามิตที่ทำภารกิจร่วมกับจเรตำรวจแห่งชาติได้ปรับลดอากาศยานไร้คนขับที่เติมน้ำมันออกไป ส่วนโดรนที่เหลืออยู่ใช้ระบบไฟฟ้า หน่วยงานยืนยันยังมีความสำคัญต่อภารกิจจึงต้องคงไว้ในงบส่วนนี้

นายเอกนัฏ กล่าวว่า งบของกรมศุลกากรได้มีการปรับลดด่านที่ไม่สามารถทำได้ในปี 2567 รวมถึงกรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณมากว่า 4 พันล้าน ก็เป็นงบจ่ายค่าเช่าแทนหน่วยงานราชการทั้งหมดที่มีการเช่าพื้นที่ในศูนย์ราชการ มีการปรับลดงบซื้อเครื่องปั๊มลมสำหรับผลิตเหรียญกษาปณ์ ส่วนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร.ก็ปรับลดค่าจ้างที่ปรึกษาที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันไปในปี 2567 ออกไปทุกคนช่วยกันเต็มที่ แต่ตนยืนยันว่างบประมาณที่เหลืออยู่มีความจำเป็นมากกับการต้องลงทุนกับระบบของกระทรวงการคลัง งบส่วนมากเป็นการบำรุงรักษาระบบไอที เครื่องคอมพิวเตอร์ งบส่วนมากถูกจัดสรรไปซื้อคอมพิวเตอร์แทนเครื่องเก่า สำหรับกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต ตนขำอยู่ในใจแต่หัวเราะไม่ออก เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ปกติแล้ว 7-8 ปี เปลี่ยนครั้งหนึ่ง แต่สำหรับ 2 กรมนี้ใช้งานเกิน 10 ปีจนเป็นตู้ปลา จนลือกันว่าเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ขอบเขตอำนาจของกรรมาธิการฯมีข้อจำกัด เช่น เรื่องการชำระค่าเช่า 3,976 ล้านของกรมธนารักษ์เป็นไปตามมติครม. ในส่วนของการบริหารจัดการมีประสิทธิภาพคุ้มค่าหรือไม่ อยู่นอกอำนาจของกรรมธิการฯ พิจารณา ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติงานโครงการดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพหรือมีปัญหาสามารถไปยื่นเรื่องต่อกรรมาธิการฯ สามัญคณะอื่นๆตรวจสอบ เพื่อให้ทบทวนได้ กรณีของสแตมป์ในกรมสรรพสามิต งบประมาณปี 2567 ล่าช้า มีการจัดสรรงบประมาณให้ใช้พรางก่อนแล้ว 134 ล้านบาทเต็มจำนวน ถ้าจะไปปรับลดจะมีปัญหา แต่ว่าข้อสังเกตของเพื่อนสมาชิกสามารถส่งไปยังกรมสรรพสามิตได้ ถ้ามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยทำให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นทางผู้บริหารไม่ขัดข้องที่จะดำเนินการ

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ในส่วนของกรมบัญชีกลาง กรรมาธิการฯพิจารณาในส่วนของงบประมาณเท่านั้น งบส่วนใหญ่ที่ให้กรมบัญชีกลางมีความสำคัญกับการพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้ทันสมัย ระบบบล็อกเชนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาและใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ช่วยทำให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส ทำให้ได้รับการยอมรับจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจากองค์กรระหว่างประเทศ เราก็อยากจะสนับสนุนให้ทำมากกว่านี้ แต่ในส่วนการพิจารณาเงื่อนไข หลักเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรรมาธิการฯ แต่ก็มีข้อสังเกตไปถึงหน่วยงานหลายเรื่อง เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่กรรมาธิการฯ มีความกังวลมากว่า จะไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในปี 2567 ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เพราะมีความล่าช้าจากเรื่องร้องเรียน หรือ กระบวนการประมูลมีปัญหา ทั้งเรื่องคุณภาพ การฟันราคา การทิ้งงาน สิ่งเหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่เราส่งให้หน่วยงานทั้งหมด

“ทั้งหมดเป็นข้อสังเกตที่เราควรตั้งไว้ แล้วเก็บไว้ใช้เป็นประโยชน์ในการพิจารณางบประมาณในปีถัดไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่มีงบผูกพันโดยมติครม. โครงการที่มีงบผูกพันมาอย่างต่อเนื่องในปีก่อนๆ หรือข้อสังเกตที่สำคัญเป็นการเฉพาะสำหรับปีงบประมาณปี 2567 ที่มีการใช้งบปี 2566 ไปพลางก่อน ส่วนไหนที่เราปรับลดได้โดยไม่กระทบกับภารกิจสำคัญของหน่วยงานเราใช้วิธีการทำความร่วมมือกับทุกหน่วยงานเข้ามายืนยันหมด ส่วนไหนที่ซ้ำซ้อนหรือบางส่วนก็เลื่อนออกไปเพื่อตั้งงบประมาณดำเนินการในปี 2568 -2569 อย่างไรก็ตามขอยืนยันต่อเพื่อนสมาชิกว่ากรรมาธิการฯได้พิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงการคลังอย่างดีแล้วจึงขอยืนตามมติของกรรมาธิการฯ” นายเอกนัฏ กล่าว

‘ช่อ’ โต้!! ‘ผอ.นิด้า’ ปม ‘ยุบก้าวไกล’ จะปั้นหัวหน้าคนใหม่คงไม่ง่าย ลั่น!! อนาคตใหม่ พิสูจน์แล้ว 4 ปีที่ผ่านมา คนเลือกพรรคที่แนวทาง

(20 มี.ค.67) จากกรณี ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผอ.ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ จะปั้นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนคุณพิธานั้นไม่ง่ายเลย

ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่าน X ถึงเรื่องดังกล่าวว่า…

“ตอนยุบอนาคตใหม่ นักวิเคราะห์ก็พูดกันแบบนี้ ไม่มีธนาธร ก้าวไกลคงไม่รอด 4 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนเลือกพรรคที่แนวทาง จุดยืนทางการเมือง และนโยบาย ทัศนคติแบบที่มองว่าพรรคก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแสขึ้นมา เพราะคนเห่อหัวหน้าพรรค ไม่ใช่การดูถูกพรรค แต่ดูถูกประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

หากก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแส ทำไมกระแสแลนด์สไลด์ที่แรงมาก จึงไม่สามารถนำพาเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้งได้?”

ถอดรหัส ‘ทักษิณ’ กินรวบ!! กับดักอันตราย ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ ในวันที่ขั้วอำนาจเดิมต้องอาศัยเสียง 'เพื่อไทย' สยบ 'ก้าวไกล'

บทสรุปของทักษิณ ชินวัตร ในการเดินทางไปปิ๊กบ้าน กราบไหว้อัฐิบรรพบุรุษที่เชียงใหม่ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. 67 สมควรจะถูกบันทึกไว้สั้น ๆ อีกครั้ง หลังจากที่สัปดาห์ก่อน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ได้กล่าวถึงภารกิจสำคัญของทักษิณไปบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามนั้น…

มองย้อนปรากฏการณ์ทักษิณปิ๊กบ้านหนนี้ แล้วสรุปเป็นข้อ ๆ ในเชิงวิเคราะห์ข่าวได้ดังนี้…

1. ทักษิณใช้ต้นทุนสูงมากในภารกิจครั้งนี้...ต้นทุนสูงที่สุดก็คือการเปลือยให้คนทั้งประเทศมีความรู้สึกอย่างเดียวกันว่า...ที่ผ่านมาทักษิณไม่ได้ป่วยหนักหรือป่วยวิกฤตจริง ๆ

จากนี้ไปการตรวจสอบข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ หน่วยงานที่รู้เห็นเป็นใจในการช่วยทักษิณแม้แทบจะมองไม่เห็นหนทางชนะในตอนนี้ แต่อนาคตอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้...

2.การไปเชียงใหม่ทักษิณได้รับการต้อนรับ ดูแล เอออวยจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำยิ่งกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี และพี่น้องคนเสื้อแดงที่บริหารจัดการกันมาจำนวนหนึ่ง...มองให้ลึกลงไปค่อนข้างจะขาดความมีชีวิต แม้ว่าในทางการเมืองการปิ๊กบ้านของทักษิณหนนี้จะเป็นการส่งสัญญาณให้คนเชียงใหม่รู้ว่าทักษิณกลับมาแล้วก็ตาม…

3.สมการการเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน สส. 10 คน เป็นพรรคก้าวไกล 7 คน เพื่อไทย 2 คน พลังประชารัฐ 1 คน ส่วนนายก อบจ. คือ ‘สว.ก๊อง’ หรือ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร คนของพรรคเพื่อไทย...ตอนแรกคาดกันว่าตระกูล ‘บูรณุปกรณ์’ บ้านใหญ่ที่เคยล่มหัวจมท้ายกับเพื่อไทยจะหวนคืนมาจับมือกับทักษิณ-เพื่อไทยในทันที แต่ยังไม่เห็นภาพนั้น ดูแล้วแต่ละฝ่ายยังตรึงกำลังกันอยู่…

3.1 ศึกชิงนายกอบจ. ต้นปี 2568 เพื่อไทย-เจ๊แดง หรือเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ คงจะหนุน สว.ก๊อง ลงนายกอบจ.ต่อ ขณะที่พรรคก้าวไกล จะส่ง ‘ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์’ อดีตผอ.สำนักงานนวัตกรรมแห่งประเทศ (NIA) คนหนุ่มคนเชียงใหม่ลงสมัคร ทำให้ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีตสส.เพื่อไทย ที่ไปลุ้นอยู่ด้วยอกหัก…

3.2 การเลือก สส. บารมีทักษิณน่าจะช่วยให้พรรคเพื่อไทยทวงคืนเก้าอี้ในบางเขตกลับคืนมาได้บ้าง...แต่หนทางที่จะกวาดยกจังหวัดแบบเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว ยากที่จะเกิดขึ้นได้อีก...ด้วยหลายเหตุผล

4. อย่างไรก็ตาม…สำหรับการเมืองระดับชาติในขณะนี้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ พูดคุยเสวนากับนักวิชาการมาหลายสำนัก มีความเห็นตรงกันประการหนึ่งว่า… ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ ถือไพ่ดุลอำนาจเหนือกว่าทุกฝ่าย จนพูดกันว่า ‘ทักษิณกินรวบ’ เหตุเพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือขั้วอำนาจเดิมยังต้องอาศัยเสียงของพรรคเพื่อไทย สยบหรือตรึงพรรคก้าวไกลที่ถูกขีดเส้นใต้ว่าเนื้อแท้แล้วยังเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันฯ…

ดังนั้นการล้ำเส้นความเป็นอภิสิทธิ์ชนของทักษิณในเวลานี้ยังไม่ใช่ปัญหาหลักในสายตาของผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทั้งที่เป็นจุดแห่งความเสื่อม...

ฝ่ายอนุรักษ์นิยมระแวงเหมือนกันว่าพรรคเพื่อไทยว่าจะเบี้ยวข้อตกลง...โดยเฉพาะหลังวันที่ 10 พ.ค. 67 วันที่สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันหมดวาระและสิ้นอำนาจในการโหวตเลือกนายกฯ...พรรคเพื่อไทยอาจไปจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้…เพียงแต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมประเมินว่าทักษิณใจไม่กล้าพอที่จะเลือกหนทางนั้น…

เพราะสุ่มเสี่ยงที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย...!!

ความร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็น 'ความฝัน' ความล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็น 'ความจริง'

(19 มี.ค.67) ในการเลือกตั้ง 2566 ของไทย มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คน มีผู้ใช้สิทธิ 39,514,973 คน (75.71%) โดยพรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ 14,438,851 คะแนน และได้คะแนนเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต 9,665,433 คะแนน คิดเป็นเพียง 36.54% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งคะแนนเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง (19,757,487 คะแนน) แต่อย่างใด และยังคงห่างไกลจากคะแนนเลือกตั้งอดีตพรรคไทยรักไทย (พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน) ในการเลือกตั้ง 2548 ที่ได้คะแนนเลือกตั้ง 18,993,073 คะแนน หรือ 61.17% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนั้นจำนวน 32,341,330 คน ได้สส.จำนวน 377 คน ในขณะที่การเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลได้สส. 151 คน

ข้อมูลตัวเลขที่ได้นำมาเสนอนี้ แค่อยากแสดงให้เห็นว่า ผลการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลนำมาอวดอ้างบ่อยๆ นั้น หากเทียบกับการเลือกตั้งปี 2548 ฟากพรรคไทยรักไทยยังเคยทำไว้ดีกว่า ซ้ำยังเป็นชัยชนะที่ได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง กลับกันหากนำจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คนในการเลือกตั้ง 2566 มาคำนวณแล้ว เท่ากับว่าทั้งประเทศจะมีผู้ที่เลือกพรรคก้าวไกลเพียง 27.64% หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 

ตัวเลขข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนในสังคมไทยไม่ได้นำมาศึกษา พินิจ วิเคราะห์ พิจารณากันแต่อย่างใด หากแต่ถกโหมด้วยสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ที่ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองดังกล่าวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ส่งผลให้พรรคก้าวไกล มักนำผลการเลือกตั้ง 2566 มาทำการอวดอ้างในเชิงเกินจริง ซึ่งทำให้คนที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริงในระบอบประชาธิปไตยหลงทางจนเข้าใจผิดคิดไปว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป 

ทั้งๆ ที่การจัดตั้งรัฐบาลในหลายประเทศที่เป็นรัฐบาลผสมจากหลายๆ พรรคนั้น แกนนำรัฐบาลหลายครั้งหลายหนก็ไม่ได้มาการพรรคการเมืองที่มี สส.จำนวนมากที่สุด และเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแล้ว เช่น การเลือกตั้ง 2518 ยุคหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมี สส. เพียง 18 คน แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (14 มีนาคม พ.ศ. 2518 - 20 เมษายน พ.ศ. 2519) ได้ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคกิจสังคมได้เลือกตั้งมาเป็นอันดับ 5 ก็ตาม 

พูดถึงเรื่องพรรคก้าวไกลที่เคลมประชาธิปไตยมาสร้างความเป็นธรรมแบบคาดเคลื่อนแล้ว ก็อดเลื่อนกลับไปมองผลลัพธ์ในการเลือกตั้ง 66 ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้

เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พรรคต่างๆ ได้คะแนนเท่านั้น มาจาก...

1) คนไทยเป็นคนที่รู้สึกเบื่อง่าย โดยปราศจากการพิจารณา ใคร่ครวญ และไตร่ตรอง ความเบื่อหน่ายจึงถูกนำมาเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่ใช้โดยทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในการจัดการกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างได้ผลที่สุด (แต่ผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ปรากฏภายหลังการเลือกตั้งทำให้ผู้คนในสังคมไทยต่างก็รู้สึกผิดพลาดและเสียดาย) 

2) ความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ โดยเฉพาะเรื่องของ Social Media ซึ่งพรรคก้าวไกลทำได้ดีกว่ามาก กอปรกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นำงบประมาณไปเป็นงบลงทุนในการพัฒนาประเทศ สื่อหลักต่างๆ จึงไม่ได้รับงบประมาณในการประชาสัมพันธ์จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เช่นที่เคยได้รับจากรัฐบาลก่อนๆ ปีละนับพันล้านบาท 

3) ปัญหาระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมากมายหลายรายการ ซ้ำมีการใช้เรื่องของค่าไฟฟ้าแพงมาโจมตีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในระหว่างการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ผู้กำหนดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าคือ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไม่ใช่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด 

4) มีหน่วยงานของรัฐบาลชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาแทรกแซง ด้วยหวังประโยชน์จากรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งที่จะได้พรรคการเมืองที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกสามารถใช้อิทธิพลในการครอบงำ ก้าวก่ายนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศได้ 

5) การต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง 2566 ของ 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งต่างก็ไม่มียุทธศาสตร์ ขาดเอกภาพ ด้วยมุ่งหวังแต่คะแนนเลือกตั้งเฉพาะของพรรคตนเท่านั้น จึงยากที่จะช่วงชิงคะแนนเสียงจากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้

หากพิจารณาคะแนนเลือกตั้งที่บรรดาอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้แก่ ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ได้รับแล้ว ในส่วนของคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้ 7,560,081 คะแนน และคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขตทั้ง 5 พรรคได้รวม 15,791,519 คะแนน ซึ่งคะแนนเหล่านี้หากนำมารวมกัน ก็จะกลายเป็นคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของผู้ที่ใช้สิทธิในการเลือกตั้ง 2566 ทั้งหมดเลยทีเดียว 

แต่แน่นอนว่า การเลือกตั้งจบแล้ว ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามระเบียบกติกาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ จะได้จำนวน สส.เพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง 5 อดีตพรรคร่วมฯ เสียใหม่ ด้วยควรที่จะมุ่งแข่งขันกันเฉพาะการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น 

ขณะที่การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 5 อดีตพรรคร่วมฯจะต้องตกลงกันเพื่อคัดเลือกผู้สมัครของ 5 อดีตพรรคร่วมฯ คนใดคนหนึ่งที่รับคะแนนเลือกตั้งสูงสุดในเขตเลือกตั้งนั้นเพียงคนเดียวจากพรรคเดียว เป็นต้น

หากมีความร่วมมือเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงจะกลับมามีโอกาสในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลได้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

...และเพื่อให้เห็นภาพ จึงขอนำเอาผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ แย่งคะแนนกันเองจนสูญเสียที่นั่ง สส.ทั้งจังหวัด มาฉายซ้ำ โดยยกจังหวัดภูเก็ตทั้ง 3 เขต ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส.ไปทั้ง 3 เขต ดังนี้...

>> เขตเลือกตั้งที่ 1 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,252 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ ได้รวม 43,709 คะแนน 
>> เขตเลือกตั้งที่ 2 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,913 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 33,861 คะแนน 
>> และเขตเลือกตั้งที่ 3 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 20,421 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 35,817 คะแนน 

หาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ สามารถตกลงพูดคุยกันแล้ว สส. ทั้ง 3 เขตก็จะเป็นตัวแทนจาก 5 พรรคร่วมฯอย่างแน่นอน 

แต่ก็อย่างว่า...แนวคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่งในบ้านเมืองนี้ ด้วยนักการเมืองและพรรคการเมืองส่วนใหญ่ มักจะนึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวกเพื่อนพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง และในไม่ช้า...ที่สุดแล้วเราคงจะต้องยอมยกชาติบ้านเมืองให้พรรคการเมืองที่เก่งแต่บน Social Media ถนัดแต่สร้างวาทกรรมที่เพ้อเจ้อโดยไม่มีตรรกะแม้แต่น้อย จนคนที่น่าจะฉลาดและเป็นกำลังสำคัญของสังคมกลับกลายเป็นเหยื่อและสาวกไป 

...และที่เลวร้ายที่สุดคือ รับงานมหาอำนาจตะวันตกมาเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและสร้างความสัมพันธ์อันเลวร้าย เกิดเป็นความกินแหนงแคลงใจกับประเทศเพื่อนบ้าน 

ถึงตอนนั้นแล้วความสงบสุขร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็นความฝัน ความเสื่อมถอยล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็นความจริง 

เช่นนั้นแล้ว เราๆ ท่านๆ คงทำได้เพียงแต่ภาวนาให้สรรพสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ได้โปรดช่วยปกป้องราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักของเราตลอดไปด้วยเทอญ...เท่านั้น...

‘ดร.เสรี’ กังวล ‘นักการเมืองเศรษฐี’ ใช้เงินยึดวุฒิสภา ห่วง!! ‘นักการเมืองธรรมดา’ จะเอาอะไรไปต่อกรด้วย

(19 มี.ค. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวิธีเลือก สว. อันสลับซับซ้อนอย่างที่เห็น ถ้าดูดี ๆ ถ้าใช้เงิน 250 ล้าน สามารถยึดวุฒิสภาได้เลยนะ

เพื่ออำนาจ เพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ ท่านคิดว่าจะมีคนใช้เศษเงินของเขา 250 ล้านยึดวุฒิสภาไหมคะ

สว. มีบทบาทในการผ่านกฎหมาย การคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการ

เมืองไทยมีเศรษฐีที่มาทำงานการเมือง โดยที่เงิน 250 ล้านเป็นเศษเงินของเขาอยู่หลายคน

แล้วนักการเมืองที่ไม่มีเงินมากพอที่จะต่อกรกับนักการเมืองที่เป็นเศรษฐี จะเอาอะไรมาชนะพวกเขาในสังคมที่นักการเมืองบางคนคิดว่ามีเงินดีกว่ามีจริยธรรม

คิดแล้ว มันน่าเป็นห่วงจริงๆนะคะ

หรือเราทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำใจ

“เงินตกใส่ทราย ทรายทรุด เงินตกใส่มนุษย์ มนุษย์ไม่มีจริยธรรม” เรื่องนี้ท่าจะจริงนะคะ

'รทสช.' จัดทัพ 18 สส. ถกงบประมาณปี 67 วาระ 2-3 กำชับ 'สส.-กมธ.งบประมาณฯ' ยึดประโยชน์ 'ชาติ-ปชช.'

เมื่อวานนี้ (18 มี.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เผยว่า พรรครวมไทยชาติได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระ 2 และ 3 ในวันที่ 20-22 มีนาคมนี้ ทั้งในส่วนของสส.ของพรรคที่ได้สงวนคำแปรญัตติไว้ และในส่วนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่พรรคส่งไปเป็นกมธ. ทั้งสส.และกมธ.ที่เตรียมข้อมูลอภิปรายมี 18 คน

ทั้งนี้ กมธ.ของพรรคจะมีการชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่มีรัฐมนตรีของพรรคดูแลอยู่ ถึงเหตุผลในการพิจารณางบประมาณของแต่ละกระทรวงที่ไม่ได้ปรับลดงบประมาณลงว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง ขณะที่สส.จะอภิปรายถึงเหตุผลในการสงวนคำแปรญัตติในการขอปรับลดงบประมาณโดยมีเป้าหมายที่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นตัวตั้ง ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สส. และกมธ.ที่พรรคได้ส่งไปทำงาน

'ภูมิใจไทย' จัดทัพหลวงปูพรมขยายฐาน 'นครศรีฯ' หลังเขต 8 จ่อเลือกตั้งใหม่ 'ปชป.-พปชร.-ก้าวไกล' พร้อมหน้า

27 มีนาคมนี้ นครศรีฯ จะคึกคักอีกครั้ง เมื่อเสนาบดีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเดินทางไปเหยียบเมือง เน้นพื้นที่เขตเลือกที่ 8 

นายอนุทิน ชาญวีระกูล รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรค รัฐมนตรีมหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในสังกัด ตลอดจนกรรมการบริหารพรรค สมาชิกพรรค จะร่วมงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วัดธาตุน้อย ต.หลักช้าง อ.ช้างกลางในเวลา 15.30 น. 

โดยก่อนเข้าร่วมงานแห่ผ้าขึ้นธาตุนั้น ในเวลา 14.00 น. นายอนุทินและนายสุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ จะร่วมพบปะผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นและตัวแทนสถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาในพื้นที่ เขต 8 ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช 

มีรายงานว่า ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย จะเดินทางลงมาพร้อมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงแรงงาน โดยนายชาดาจะแยกเดินทางต่อไปยัง อ.พิปูนและฉวาง เพื่อพบปะกับชาวบ้าน ส่วนนายพิพัฒน์ เข้าพื้นที่ อ.นาบอน เพื่อพบปะพูดคุยกับชาวบ้านและผู้ประกอบการโรงงานยางพารา ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเปิดเวทีปราศรัย ที่ อ.ช้างกลาง มีนายอนุทินเป็นหัวหน้าคณะ

เป็นการยกทัพหลวงชุดใหญ่ลงพื้นที่เน้นเขตเลือกตั้งที่ 8 นครศรีฯ และเป็นการลงพื้นที่หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติส่งฟ้อง 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' ชงให้มีการเลือกตั้งใหม่

โดยพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมหาผู้สมัครแทนไว้แล้ว และเดินสายพบปะประชาชนอยู่ต่อเนื่อง หลัง กกต.ชงศาลให้สั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ แน่นอนว่าการลงพื้นที่แบบเต็มแม็กของภูมิใจไทย เป็นการส่งสัญญาณชัดถึงการเลือกตั้งใหม่

สำหรับคู่แข่งของพรรคภูมิใจไทย จะมีพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันแล้วว่าจะส่ง ชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต สส.หลายสมัยที่สอบตกครั้งที่แล้ว ลงพิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง

พรรคพลังประชารัฐ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยืนยันว่า ส่งคนเดิม คือ สุนทร รักษ์รงค์ ที่ครั้งผ่านมาได้อันดับ 2 ที่คงจะสรุปบทเรียนถึงความผิดพลาดครั้งที่ผ่านมาแล้ว

พรรคก้าวไกล มีอยู่สองตัวเลือก ชายคนหญิงคน รอสรุปว่าจะเลือกใคร หลังพรรคให้ทั้งสองคนไปทำการบ้านมา คนหนึ่งเป็นหญิงสาวชาวจันดี อายุ 26 ปี

พรรครวมไทยสร้างชาติก็หึ่มๆ ว่าจะส่งอยู่เหมือนกัน แต่ภาพยังไม่ชัดนักว่าจะส่งใครลงชิงสำหรับสนามช้างกลาง, ฉวาง, นาบอน, พิปูน

'บุ้ง ทะลุวัง' ร่ายยาว!! จดหมายจากเรือนจำ ถึง 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ยาหอม!! ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมง่ายมาก แต่สุดท้ายตลบตะแลง

(18 มี.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ทะลุวัง’ ได้โพสต์ข้อความจากจดหมายของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่ส่งจากเรือนจำ โดยระบุถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย มีใจความว่า

“ด้วยวิธีการที่คุณเลือกจะกลับบ้านคือการเอาเสียงของประชาชนไปแลก ทำให้คุณเป็นได้แค่นักการเมืองน้ำเลวคนหนึ่ง จดหมายฉบับนี้อยากพูดถึงคุณทักษิณและพรรคการเมืองที่แสนกลับกลอกของเขาสักหน่อย ถึงจะอดอาหารเอาชีวิตและร่างกายแลกเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมถูกปฏิรูปอยู่ แต่ตอนนี้บุ้งก็ได้ข่าวของคุณทักษิณอยู่บ้างจากการที่เพื่อน ๆ เล่าให้ฟัง

“ในสายตาบุ้ง คุณทักษิณเป็นคนที่น่ารังเกียจเหลือเกิน ไม่ว่าจะเคยมีคุณงามความดีอะไร ตอนนี้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของคุณไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตปรสิต ส่วนคุณอุ๊งอิ๊งก็น่าเสียดายเหลือเกิน คุณไม่จำเป็นต้องทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่างก็ได้นะคะ แต่อนิจจาลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น พ่อเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

“ครั้งหนึ่งตอนที่ทะลุวังประกาศว่าจะไปเยือนเพื่อไทย คุณทักษิณเคยพูดว่า “อย่าทะลุวังเลยมาทะลุทำเนียบเถอะ” และให้การต้อนรับบุ้งเป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้บุ้งและเพื่อน ๆ นั่งคุยกับคนของเพื่อไทยเพื่อฟังคำขอของบุ้ง ถึงแม้จะมัดมือชกไล่สื่อออกจากห้อง ทั้ง ๆ ที่บุ้งต้องการให้เป็นการคุยแบบเปิดก็ตาม

“คนของพรรคเพื่อไทยรับปากกับบุ้งว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมนั้นง่ายมากและจะเป็นสิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยทำ บุ้งดีใจมากนะคะและเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะทำตามคำพูด เพราะคนที่ได้รับปากเป็นผู้ใหญ่แล้ว และคนเราจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรีได้ก็เพราะรักษาคำพูดของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วโลกของผู้ใหญ่ก็ทำให้บุ้งผิดหวัง เมื่อพรรคเพื่อไทยตอ…ตลบตะแลง กลับกลอกปลิ้นปล้อน อย่างหน้าไม่อาย บุ้งและเพื่อน ๆ ผิดหวังเสียใจ และหมดสิ้นซึ่งศรัทธาในตัวพรรคการเมือง แต่ถึงกระนั้นความหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงและคนตากใบยังไม่หายไปหรอกค่ะ บุ้ง ตะวัน และแฟรงค์ จึงเอาชีวิตเข้าแลก เมื่อความหวังไม่มี เรา 3 คน จึงเลือกสร้างมันขึ้นมาเอง โดยกลั่นจากชีวิตเลือดเนื้อและอุดมการณ์ของพวกเรา

“ที่เล่าเพราะอยากให้คนข้างนอกเข้าใจ ว่าที่เราทำไม่ใช่เพราะพวกเราบุ่มบ่าม ก้าวร้าว ทำอะไรไม่คิด แต่เพราะนักการเมืองทำให้เราผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเราไม่เลือกที่จะนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่เราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม

“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายหรอกค่ะ ทุกวินาทีที่ผ่านไปในตอนนี้เวลาของพวกเรานับถอยหลังลงทุกที แต่พวกเราแลกได้เพราะเลือกแล้วที่จะทำ

“ขอให้คนข้างนอกที่ไม่หยุดสู้ สู้ต่อไป สักวันชัยชนะต้องเป็นของประชาชน

“บุ้งยังคงยืนยันที่จะอดอาหารจนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ อยากให้ทุกคนเข้าใจบุ้งด้วยนะคะ”

‘อมรัตน์’ ซัดใส่ ‘ทักษิณ’ ทุเรศ หลังให้สัมภาษณ์ ขอความเห็นใจ พูดได้หน้าไม่อาย ลากประเทศไทยให้ถอยหลัง แล้วบอกให้ ต่างคนต่างอยู่

(17 มี.ค.67) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กต่อเนื่อง ให้ความเห็นกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าใครที่ไม่ชอบหน้า ขอให้ต่างคนต่างอยู่ 

โดยโพสต์แรก นางอมรัตน์ได้แชร์ข่าวพร้อมระบุว่า ดีลของคุณมันเห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อเลือกที่จะเห็นแก่ได้จนกระทบความรู้สึกผู้คนทั้งสังคม 

ต่อมาได้โพสต์คลิปและข้อความอีกว่า เป็นคน "มาสว่างไปมืด" ไปเสียแล้ว ก็ควรน้อมรับเสียงก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์ แหงนหน้าก็อายฟ้า ก้มหน้าก็อายดิน ทุเรศ !

และโพสต์สุดท้ายเป็นข้อความ ว่า ลากประเทศถอยหลังเสร็จบอกขอความเห็นใจให้ต่างคนต่างอยู่ Sus

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่ ‘พิธา’ เดินสายไร้เป้าหมาย แนะควรรู้จักหน้าที่ ชี้ ‘เศรษฐา’ ขึ้นเชียงใหม่ 3 ครั้ง เดินหน้าแก้ฝุ่น ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้

(16 มี.ค.67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีกำหนดร่วมภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 16 - 17 มี.ค.ในระยะเวลาเดียวกันกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจราชการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ระหว่างวันที่ 15 - 17 มี.ค.ว่า นายเศรษฐาประกาศนโยบายการจัดการปัญหาฝุ่น ตั้งแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย จนถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายเศรษฐายังตอบสนองตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 และมีมติคณะรัฐมนตรีในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด พ.ศ. … ต่อรัฐสภาแล้ว นายเศรษฐายังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นด้วยตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่นายกฯ เดินทางไปแล้วถึง 3 ครั้ง 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ย.66 นายกฯ มอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองปี 67 ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับอากาศสะอาด ย้ำทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ผ่านไป 2 เดือน นายกฯ เยือน จ.เชียงใหม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า โดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือตาม 6 แนวทางการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และครั้งล่าสุดตามกำหนดการครั้งนี้ เพื่อเฝ้าสอบถามและติดตามความคืบหน้าต่อไปตามบทบาทหน้าที่ของฝ่ายบริหาร

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ผ่านมาเกือบ 7 เดือนแล้วนับแต่การจัดตั้งรัฐบาล พรรคก.ก.โดยเฉพาะผู้บริหารพรรค ควรเข้าใจบทบาทของฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว ว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารหรือเสนอแนะรัฐบาล หากทำงานผิดพลาดหรือใช้งบประมาณโดยไม่ถูกต้อง แต่หากนายพิธาและพรรคก.ก.เคลื่อนไหวในลักษณะนอกบทบาทหน้าที่ที่ไม่อาจเกิดการพัฒนาได้ ก็จะสร้างคำถามและความสับสนขึ้นได้ ว่าการเดินสายลักษณะนี้ใครจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะประเทศชาติกำลังเดินหน้าไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้นายพิธามูฟออนกลับมาสู่ความเป็นจริง ที่สำคัญคือเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้านที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสายโดยไร้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอย่างที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา จริงจังกับการเดินหน้าติดตามแก้ไขปัญหาฝุ่นควันต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างแท้จริง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top