Monday, 24 March 2025
WORLD

มาเลเซียเตรียมล้อมกรอบชิป AI คุมเข้มนำเข้า-ส่งออก หวั่นเทคโนโลยีรั่วไหลสู่จีนตามข้อกังวลของสหรัฐฯ

(24 มี.ค. 68) รัฐบาลมาเลเซียเตรียมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและควบคุมการนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ต้องการจำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

รายงานระบุว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ซาฟรูล อาซิส กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้มาเลเซียติดตามการเคลื่อนตัวของชิป Nvidia ระดับไฮเอนด์ที่เข้ามาในประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความสงสัยว่าชิปจำนวนมากอาจลงเอยที่จีน

“สหรัฐฯ ขอให้เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้ตรวจสอบการขนส่งทุกครั้งที่มาถึงมาเลเซีย เมื่อเกี่ยวข้องกับชิป Nvidia” อาซิสกล่าวกับหนังสือพิมพ์

ปัจจุบัน มาเลเซียเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งฐานการผลิตและประกอบชิปในประเทศ ซึ่งนโยบายใหม่นี้อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไฮเทคในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมาเลเซียยังคงเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย โดยระบุว่า จะกำหนดมาตรการที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศมากเกินไป

ด้าน สหรัฐฯ ได้เพิ่มแรงกดดันต่อประเทศพันธมิตรทั่วโลกให้เข้าร่วมมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI และการทหารไปยังจีน โดยก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์ได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกอุปกรณ์ผลิตชิปขั้นสูงแล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลมาเลเซียกำลังเร่งตรวจสอบว่ามีการละเมิดกฎหมายท้องถิ่นหรือไม่ ในกรณีการขนส่งเซิร์ฟเวอร์ที่อาจเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงมูลค่า 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์ ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นอาจมีชิปขั้นสูงที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ

การสืบสวนเกิดขึ้นหลังจากอัยการสิงคโปร์เปิดเผยในศาลเมื่อต้นเดือนมีนาคมว่า บริษัทแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ถูกกล่าวหาว่าจัดหาเซิร์ฟเวอร์จากสหรัฐฯ ให้กับมาเลเซียโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่สื่อในสิงคโปร์รายงานว่าคดีนี้อาจเกี่ยวข้องกับการโอนถ่ายชิป AI ขั้นสูงของ Nvidia ไปยังบริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน DeepSeek

DeepSeek ตกเป็นเป้าสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากเปิดตัวโมเดล AI อันทรงพลังเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงเทคโนโลยี ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเทคโนโลยีของบริษัทนี้อาจใช้ชิปที่ถูกสหรัฐฯ ควบคุมและจำกัดการส่งออก

ขณะที่ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าสอบสวนกรณีนี้อย่างใกล้ชิด โดยก่อนหน้านี้ วอชิงตันได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงให้กับจีน เพื่อลดความสามารถของปักกิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ขั้นสูง

ทั้งนี้ การสืบสวนครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยี AI ที่กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันระดับโลก

รัฐมนตรีคลังอังกฤษเผยแผนลดข้าราชการ 10,000 ตำแหน่ง หวังลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ 15%

(24 มี.ค. 68) ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษ ได้ออกมาเปิดเผยแผนการปรับลดข้าราชการ 10,000 ตำแหน่ง โดยมีเป้าหมายหลักในการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของภาครัฐลงให้ได้ 15% ภายในระยะเวลาอันใกล้

การประกาศดังกล่าวถือเป็นการดำเนินมาตรการเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิกฤตโควิด-19 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลอังกฤษหวังว่าจะสามารถใช้มาตรการดังกล่าวในการปรับโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐเพื่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต

“เราต้องการทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้สามารถลงทุนในโครงการที่สำคัญและสร้างผลประโยชน์ระยะยาวต่อประชาชน” ราเชล รีฟส์กล่าวในการแถลงข่าว

แม้ว่าการปรับลดข้าราชการจะส่งผลกระทบต่อบางส่วนของภาครัฐ แต่รัฐบาลอังกฤษได้ยืนยันว่าจะมีการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่และองค์กรต่างๆ เพื่อรับรองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการภาครัฐ

สำหรับการตัดสินใจนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลอังกฤษในการควบคุมภาวะเงินเฟ้อและลดภาระหนี้สาธารณะ เพื่อรักษาความสามารถทางการคลังและเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ณ เดือนธันวาคม 2567 มีการคาดการณ์ว่าข้าราชการพลเรือนมีพนักงานประมาณ 547,735 คน ตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงพนักงานชั่วคราวและพนักงานชั่วคราว 

โดยมาตรการลดข้าราชการจะเริ่มต้นภายในปีหน้าและรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายให้เสร็จสิ้นการปรับโครงสร้างการจ้างงานภาครัฐในช่วงปลายปี 2569 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้รัฐบาลสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวคาดว่าจะได้รับการจับตามองจากหลายฝ่าย ทั้งในแง่ของผลกระทบต่อข้าราชการและการให้บริการภาครัฐ รวมถึงการทบทวนว่ามาตรการนี้จะมีผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและสังคมอังกฤษในอนาคตอย่างไร

ผู้แทนทรัมป์เผยเคียฟตกลงเลือกตั้งใหม่ พร้อมอ้างว่าผู้นำยูเครนยอมรับ ไม่เป็นสมาชิกนาโต

(24 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ผู้พัฒนาและนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์ก ที่ดำรงตำแหน่งผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน นักข่าวชาวสหรัฐฯ 

โดยเปิดเผยว่า เคียฟตกลงที่จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในยูเครน และเสริมว่าผู้นำของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามแห่งนี้ (ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี) ก็ตกลงกับเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากกำลังตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากมาก เพราะรัสเซียมีประชากรและมีอาวุธนิวเคลียร์ที่มากกว่า

วิตคอฟฟ์เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี และอันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดียูเครน ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดแล้วว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของ นาโต (NATO) ในอนาคตอันใกล้

การให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงจากผู้นำยูเครน ซึ่งในอดีตเคยหวังที่จะเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเต็มที่ เพื่อต่อสู้กับความท้าทายด้านความมั่นคงจากรัสเซียที่ขยายอิทธิพลในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีและเยอร์มักได้ยืนยันว่า ยูเครนจะไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของนาโตได้ตามที่เคยตั้งใจไว้

“พวกเขา (เซเลนสกีและเยอร์มัก) ได้ยอมรับเกือบทั้งหมดว่า ยูเครนจะไม่ได้เป็นสมาชิกของนาโตในตอนนี้ และการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์นี้เป็นการยอมรับสถานการณ์ปัจจุบัน” วิทคอฟฟ์กล่าวในระหว่างการสัมภาษณ์กับคาร์ลสัน

การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยูเครนต้องเผชิญกับความท้าทายจากการรุกรานของรัสเซีย และการทำงานร่วมกับนาโตในหลายๆ ด้าน เช่น การสนับสนุนทางทหารและเศรษฐกิจ ถึงแม้ยูเครนจะยังคงคาดหวังการสนับสนุนจากนาโตในด้านอื่นๆ แต่การเข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มตัวอาจเป็นเรื่องที่ยากในสถานการณ์ปัจจุบัน

สถานการณ์ในยูเครนยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงท่าทีนี้อาจมีผลต่อการเจรจาทางการเมืองในอนาคตระหว่างยูเครนและนาโต รวมถึงความสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศพันธมิตรต่าง ๆ

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเซี่ยงไฮ้เติบโตไม่หยุด กวาดรายได้ปี 2567 แตะ 576,000 ล้านหยวน

(24 มี.ค. 68) สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้เปิดเผยว่า เซี่ยงไฮ้สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 สูงเป็นประวัติการณ์ โดยแตะระดับ 576,000 ล้านหยวน (ราว 2.67 ล้านล้านบาท) สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างแข็งแกร่ง

รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เดินทางมาเยือนเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของจีน ซึ่งขึ้นชื่อด้านสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl Tower), ถนนนานจิง (Nanjing Road), ย่านเดอะบันด์ (The Bund), และสวนสนุกเซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์

นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของทางการจีน รวมถึงมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับบางประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ยังช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก 

ข้อมูลระบุว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เซี่ยงไฮ้มากกว่า 300 ล้านคน ทั้งจากภายในประเทศและจากนานาชาติ 

โดยรายงานจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระบุว่า การเติบโตของการท่องเที่ยวเรือสำราญในจีนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ผ่านมา การขยายตัวของการท่องเที่ยวทางเรือสำราญได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

ส่งผลให้เซี่ยงไฮ้และฮ่องกงยังคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญในวงการการท่องเที่ยวทางเรือ และคาดว่าในอนาคตท่าเรือสำราญในจีนจะได้รับการพัฒนาและขยายเพิ่มขึ้น เพื่อตอบรับกับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของการท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้จะดำเนินต่อไปในปี 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการพัฒนาโครงการท่องเที่ยวใหม่ๆ และการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังคงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองหลักๆ ของประเทศ โดยเซี่ยงไฮ้ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก ด้วยความลงตัวของวัฒนธรรมดั้งเดิมและความทันสมัยที่โดดเด่น

ร้านอาหารชื่อดังญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังลูกค้าพบ ‘หนู’ ลอยอยู่ในถ้วยน้ำซุปมิโซะ

(24 มี.ค. 68) ร้าน ซูกิยะ (Sukiya) ร้านข้าวหน้าเนื้อชื่อดัง  ที่มีสาขามากกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น และหลายสาขาในเอเชีย 

ร้านซูกิยะ แถลงของโทษ และ ยอมรับ ว่าพบหนูลอยอยู่ในชามซุปมิโซะที่ร้านแห่งหนึ่งในเมืองทตโตริ ประเทศญี่ปุ่น

กระแสไวรัล และ ถกเถียงในสื่อออนไลน์  หลังจาก ลูกค้ารายหนึ่งโพสต์รูปถ่ายถ้วยซุปมีหนู บน Google Reviews โดยอ้างว่าพบหนูตัวดังกล่าวขณะรับประทานอาหารเมื่อ  21 มกราคม  ที่ผ่านมา 

หลายคนแสดงความเห็นว่าเป็น ภาพตัดต่อ  หรือทำขึ้นจากเอไอ โพสต์ถ้วยซุปถูกแชร์ไปอย่างกว้างขวาง ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และผู้โพสต์ยังใช้วันที่  21/1/2028 ซึ่งเป็นปีอนาคต  ผู้คนจึงตั้งคำถาม จริง หรือ เท็จ 

วันที่ 22 มีนาคม ร้านซูกิยะ ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อสาธารณชนเพื่อยืนยัน เหตุการณ์ดังกล่าว โดยบริษัทแจ้งว่าลูกค้ารายหนึ่งได้แจ้งว่าพบสิ่งแปลกปลอมในถ้วยซุปมิโซะเมื่อวันที่ 21 มกราคม หลังจากการตรวจสอบภายใน พบว่าอาจมีหนูเข้าไปอยู่ในซุปโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากพนักงานไม่ได้ตรวจสอบด้วยสายตาระหว่างการเตรียมอาหาร   

ร้านซูกิยะ ยืนยันว่าว่าไม่มีการเสิร์ฟอาหารปนเปื้อนในลักษณะเดียวกันให้กับลูกค้าท่านอื่น  และได้ปิดร้านที่เกิดเหตุเป็นเวลา 2  วัน เพื่อทำความสะอาด ทบทวนมาตรการ ฝึกอบรมพนักงาน 

ร้านซูกิยะ  ยังแจ้งทุกสาขาต้องตรวจสอบอาหารอย่างละเอียดก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต

นายกฯ แคนาดาประกาศเลือกตั้ง 28 เม.ย. หวังเสียงสนับสนุนต้านแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(24 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีมาร์ค คาร์นีย์ (Mark Carney) ของแคนาดา ประกาศยุบสภาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 มี.ค.) และเตรียมจัดการเลือกตั้งในวันที่ 28 เมษายน โดยระบุว่าการตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อขออาณัติที่หนักแน่นจากประชาชน ในการรับมือกับภัยคุกคามจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

คาร์นีย์กล่าวว่า ทรัมป์พยายาม “ทำลายเรา เพื่อที่อเมริกาจะได้เป็นเจ้าของเรา” ซึ่งหมายถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สหรัฐฯ กำลังกระทำต่อชาวแคนาดา เขาย้ำว่ารัฐบาลแคนาดาต้องการเสียงสนับสนุนที่ชัดเจนจากประชาชน เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและรักษาผลประโยชน์ของชาวแคนาดาทุกคน

“เรากำลังเผชิญกับวิกฤตที่ใหญ่หลวงที่สุดในช่วงชีวิตของพวกเรา สืบเนื่องจากแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่ยุติธรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ และภัยคุกคามของเขาต่ออธิปไตยของเรา” คาร์นีย์กล่าวกับผู้สื่อข่าว หลังยื่นคำร้องขอยุบสภา

อย่างที่ทราบกันดีว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ของแคนาดาเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของแคนาดา อาทิ

ประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาจาก 25% เป็น 50% เพื่อตอบโต้การที่มณฑลออนแทรีโอของแคนาดาประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าสำหรับลูกค้าชาวอเมริกัน 25%

พร้อมทั้งขู่ว่าจะปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับนำเข้ารถยนต์จากแคนาดา หากแคนาดาไม่ยกเลิกอัตราภาษีนำเข้าสินค้านมเนยจากสหรัฐฯ ที่สูงถึง 250%-390%

“การตอบโต้ของเราต้องเป็นการสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและแคนาดาที่มั่นคงกว่าเดิม ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าแคนาดาไม่ใช่ประเทศที่แท้จริง เขาต้องการทำลายเรา เพื่ออเมริกาจะได้เป็นเจ้าของเรา เราจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น” นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวอย่างหนักแน่น

นอกจากนี้ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยืนยันความตั้งใจในการผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ โดยอ้างว่าสหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในการสนับสนุนแคนาดา ซึ่งมาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ โดยกล่าวว่า “เราจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะในแนวทางไหนหรือรูปแบบใดก็ตาม”

อย่างไรก็ดี รัฐบาลแคนาดาประกาศปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นต่ำสุดลง 1% โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศงดเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST/HST) เป็นระยะเวลา 2 เดือน ในช่วงระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด

โดยมาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลแคนาดาในการปกป้องเศรษฐกิจและประชาชนของตนเองจากผลกระทบของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ 

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการตัดสินใจของคาร์นีย์เป็นการเดิมพันทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยเขาหวังใช้กระแสชาตินิยมและความกังวลของประชาชนต่อการแทรกแซงจากสหรัฐฯ เพื่อคว้าชัยชนะและสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาลชุดต่อไป

ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนล่าสุดระบุว่า ‘พรรคลิเบอรัล’ ของคาร์นีย์ ซึ่งครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2015 สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้นำในคะแนนนิยมเหนือ ‘พรรคคอนเซอร์เวทีฟ’ ซึ่งเคยมีคะแนนนำในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เล็งควบรวม!! ‘แคนาดา’ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา อ้าง!! จะดีกว่าเดิม ถ้ารวมชาติกัน นายกฯ แคนาดา ลั่น!! ‘ไม่มีวัน’

(23 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เน้นย้ำอีกครั้งว่า เขาจริงจังเกี่ยวกับการผนวกแคนาดาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา ระหว่างให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ความเห็นล่าสุดนี้มีขึ้นท่ามกลางสงครามการค้าที่ลุกลามบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างเพื่อนบ้าน 2 ชาติ และมีขึ้นตามหลังความเห็นหลายต่อหลายรอบของทรัมป์ ที่อ้างว่า แคนาดา จะดีกว่าเดิม หากเข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ในวันศุกร์ (21 มี.ค.) ทรัมป์ เน้นย้ำคำกล่าวอ้างของเขาก่อนหน้านี้ ที่ว่าสหรัฐฯ อุดหนุนเพื่อนบ้านทางเหนือแห่งนี้หลายแสนล้านดอลลาร์ในแต่ละปี โดยชี้ถึงการค้าทวิภาคีอันมหาศาล ที่ไม่มีความสมดุลกันระหว่าง 2 ชาติ

"เราต้องสูญเสียเงินไปมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในการอุดหนุนเพื่อพยุงไม่ให้แคนาดาล้มลง" เขากล่าว พร้อมระบุว่าความจริงแล้ว สหรัฐฯ ไม่ต้องการสินค้าส่งออกต่างๆ ของแคนาดา อย่างเช่นรถยนต์ ไม้แปรรูป และพลังงาน

มาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ซึ่งก้าวเข้ามาทำหน้าที่แทน จัสติน ทรูโด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ระบุว่าแคนาดาจะไม่มีวันกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ "เราจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะในแนวทางไหนหรือรูปแบบใดก็ตาม" พร้อมระบุตัวตนความเป็นชาติของแคนาดาและเศรษฐกิจ ทำให้แนวคิดของทรัมป์ ไม่มีความสมเหตุสมผล

อดีตนายธนาคารกลางรายนี้ประกาศว่าแคนาดาจะเป็นฝ่ายชนะในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และเน้นย้ำว่าแคนาดาจำเป็นต้องเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและเสาะหาคู่หูทางการค้าทางเลือก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ออตตาวา กำหนดมาตรการรีดภาษี 25% สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าเกือบ 30,000 ล้านดอลาร์ ตอบโต้มาตรการรีดภาษี 25% ที่ประกาศโดยทรัมป์ ทั้งนี้ ทรัมป์ ถอยกลับจากการกำหนดมาตรการรีดภาษีระดับ 25% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจาก แคนาดา ยกเลิกแผนปรับเพิ่มภาษีพลังงานนำเข้าจากสหรัฐฯ 25% เช่นกัน

คาร์นีย์ เน้นย้ำในถ้อยแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (20 มี.ค.) ว่าออตตาวาพร้อมนั่งลงและหารือเกี่ยวกับสงครามการค้ากับวอชิงตัน "เมื่อมีการแสดงออกถึงความเคารพต่อแคนาดา ในฐานะชาติอธิปไตยหนึ่งๆ"

ยุโรป ‘แจกไก่’ บ้านละ 2 ตัว แก้ปัญหา ‘ขยะอาหาร’ ประชาชน!! แฮปปี้มี ‘ไข่กินฟรี’ ทั้งปี จากไก่ที่เลี้ยง

(23 มี.ค. 68) ในช่วงอีสเตอร์ของปี 2015 แผนกเก็บขยะในหมู่บ้านโคลมาร์ หมู่บ้านเล็ก ๆ ของฝรั่งเศสอย่าง เริ่ม ‘แจกไก่’ ให้กับชาวบ้าน เพื่อลด ‘ขยะอาหาร’ 

โครงการนี้เป็นแนวคิดของกิลเบิร์ต เมเยอร์ ที่ได้รับเลือกตั้งนายกเทศมนตรี เมื่อปี 2014 เจ้าของนโยบาย ‘ไก่หนึ่งตัว หนึ่งครอบครัว’ มุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านรับเลี้ยงไก่ โดยได้รับความร่วมมือกับฟาร์มไก่สองแห่งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งชาวบ้านต่างยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะนอกจากจะได้กำจัดเศษขยะอาหารแล้ว ยังได้ไข่ฟรีจากไก่ที่เลี้ยงอีกด้วย

ปัจจุบันได้แจกไก่ไปแล้วถึง 5,282 ตัว โดยแต่ละบ้านรับไก่บ้านละ 2 ตัว อาจเป็นไก่แดง หรือไก่อัลเซเชี่ยน ซึ่งเป็นไก่เบรสสายพันธุ์พื้นเมืองเก่าแก่ คนที่รับไก่ไปจะต้องลงนามในคำมั่นสัญญาว่าจะเลี้ยงไก่ และหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการตรวจสอบสวัสดิภาพของสัตว์ได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้มีเล้าไก่ให้ด้วย ชาวบ้านต้องสร้างหรือซื้อเอง อีกทั้งกำหนดให้แต่ละบ้านที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับเลี้ยงไก่ ด้วยขนาด 8-10 ตร.ม. ขณะนี้กำลังเปิดรับใบสมัครสำหรับการแจกจ่ายรอบต่อไปในเดือนมิถุนายน 2025

ไก่เหล่านี้ยังจะช่วยลดปริมาณขยะอาหารได้มาก สตรอมันน์กล่าวว่า ไก่แต่ละตัวสามารถกินขยะอินทรีย์ได้วันละ 150 กรัม และมีอายุขัยเฉลี่ยถึง 4 ปี โดยประเมินกันว่านับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ไก่เหล่านี้กินขยะอินทรีย์ไปแล้ว 273.35 ตัน 

ขยะอาหารก่อให้เกิดก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศมากกว่าวัสดุอื่น ๆ ที่ถูกฝังกลบ เนื่องจากมีอัตราการสลายตัวที่รวดเร็ว ในสหรัฐ ก๊าซมีเทนที่ปล่อยออกมาในชั้นบรรยากาศจากหลุมฝังกลบประมาณ 58% มาจากขยะอาหาร แม้ว่าก๊าซมีเทนจะมีอายุสั้นกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ แต่ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนมากกว่า คาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 80 เท่าในช่วงเวลา 20 ปี

ในแต่ละปีอาหารที่ผลิตขึ้นมาถูกทิ้งหรือได้รับความเสียหายระหว่างทางมากถึงปีละ 1,300 ตัน ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสามของทั้งหมด อีกทั้งขยะอาหารคิดเป็น 8-10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีทั่วโลก สูงกว่าการปล่อยรปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบินทั้งหมดถึงเกือบ 5 เท่า

‘ดร.อานนท์’ โพสต์เฟซ!! มหาวิทยาลัยไล่ออก ‘นักศึกษาปริญญาเอก’ เหตุใช้ ChatGPT ทำข้อสอบมาส่ง!! นศ.โต้กลับ Professor ป้อนข้อมูลเอง

(23 มี.ค. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า …

คำพิพากษาจะออกมายังไงหนอ มหาวิทยาลัยไล่นักศึกษาปริญญาเอกออก ถอดวีซ่าด้วย ข้อหาทุจริต เพราะใช้ Generative AI และ Large language model อย่าง ChatGPT ทำข้อสอบมาส่ง

นักศึกษาฟ้องศาล บอกว่ามีหลักฐานว่า professor ป้อนข้อมูลให้ ChatGPT เอง จนออกมาเหมือนคำตอบของเขา ฟ้องกันใหญ่โต 

ท่าทางจะเป็นตำนานเหมือนกันครับ ผมรอฟังคำพิพากษาเลยครับ

‘ศาลอาญาระหว่างประเทศ’ ตั้งขึ้นเพื่อ!! จัดการคนไม่ดี หรือ!! จัดการ ‘คนที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตก’ กันแน่

ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ International Criminal Court ที่เรารู้จักกันในชื่อย่อว่า ICC นั้น  มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งหากใครไปพิจารณาถึงรายชื่อผู้ที่เป็นอาชญากรในลิสต์ของ ICC จะเห็นบางสิ่งที่ตรงกันคือเกือบทั้งหมดนั้นคือ กลุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชาติตะวันตกยกตัวอย่างเคสแรกก็คือ Joseph Kony

นายโจเซฟ โคนี คนนี้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม Lord's Resistance Army เรียกสั้นๆ ว่า LRA เป็นกลุ่มกองโจรที่ทางตะวันตกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในอูกานดา โคนีถูกกล่าวหาว่าจับเด็กผู้ชายมาเป็นทหาร จับเด็กผู้หญิงมาเป็นทาสบำเรอกาม จนถูกศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับ อีกทั้งในชาติตะวันตกมีการทำแคมเปญรณรงค์ในชื่อ Invisible children ในปี 2012 และมีการส่งทหารเข้าไปที่แอฟริกาเพื่อไล่ลาโคนี   แต่ที่แปลกคือ ในปี 2015 มือขวา ของโคนี ก็มามอบตัว ทำให้กองกำลังของโคนีระส่ำระสายมากๆ ซึ่งมือขวาผู้มอบตัวก็เผยว่า จริงๆ ในตอนนั้น ผู้ภักดีกับโคนีใน LRA ก็เหลือน้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายชะตากรรมของมือขวาของโคนีก็ถูกศาลโลกตัดสินคดีว่ามีความผิดไปหลายสิบกระทง (แปลกไหม….อยู่ดีๆ มาให้จับเพื่อเข้าคุก) สุดท้ายในปี 2017 ทั้งทางรัฐบาลอูกันดาและสหรัฐอเมริกาก็ประกาศร่วมกันว่าจะยกเลิกการไล่ล่า โจเซฟ โคนี เพราะตอนนั้นเขาประเมินว่ากองกำลังที่เคยยิ่งใหญ่ระดับกำลังพล 3,000 นาย หดเหลือแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นภัยความมั่นคงต่อไปและปัจจุบันมีรายงานว่า โจเซฟ โคนี สุขภาพไม่สู้ดีและกบดานอยู่ที่เมืองนาโซกา สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ประเด็นคือถึงเขาไม่เป็นภัยต่ออูกานดาแล้วทำไมเขาไม่เป็นภัยต่อสาธารณรัฐแอฟริกากลาง เขาจึงสามารถที่จะอยู่ได้โดยปลอดภัยแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม  หรือความจริงแล้วคือในขณะนั้นอูกานดามีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับสหรัฐฯแล้ว นายโจเซฟ โคนีก็คือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอูกานดาในขณะนั้น ดังนั้นจึงมีการจัดฉากให้นายโคนี คนนี้เป็นผู้ก่อการร้ายเสียเพื่อจะได้เอากองกำลังต่างชาติเข้ามาจัดการได้

ว่าแล้วเรื่องจับเด็กไปเป็นทหารก็มีเรื่องน่าแปลกนะคะ เพราะในเมียนมาเองก่อนที่จะมีข่าวการเกณฑ์ทหารของหนุ่มสาวชาวเมียนมาก็มีข่าวมาตลอดว่ากองกำลังชาติพันธุ์ออกมาจับเด็กชายเอาไปฝึกเป็นทหารของตน โดยภาพที่ออกมามีทั้งกองกำลังที่อยู่ติดชายแดนไทยและกองกำลังที่ติดชายแดนจีน แต่ที่น่าแปลกคือว่าทำไม ICC ไม่มาออกหมายจับผู้นำเหล่านี้บ้าง

หากดูในลิสต์ต่อๆ มาจะพบว่าทุกคนในหมายจับของ ICC คือกลุ่มคนที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตกหรือปรปักษ์กับพันธมิตรของตะวันตกทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของปูตินในรัสเซีย ที่โดนหมายจับตั้งแต่ที่ 2023-24 หรือกลุ่มกบฏลิเบียรวมถึงล่าสุดคืออดีตประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เต ที่ถูกรวบตัวที่สนามบินในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ในข้อหาฆ่าผู้บริสุทธิ์จากการทำสงครามยาเสพติดจนทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนมาก น่าประหลาดนะคะที่ประเทศไทย คนที่ออกนโยบายทำสงครามยาเสพติดในประเทศไทย  ในปัจจุบันนี้ยังลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตสุขสบายไม่เห็นโดนคดีเหมือนดูแตร์เต้ เอย่าเลยไปขุดค้นหาข้อมูลและพบว่า การที่ดูแตร์เต้ถูกจับเพราะส่วนหนึ่งคือการดำเนินนโยบายที่เป็นกลางไม่เอียงข้างไปยังฝั่งอเมริกา  ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าคดีนี้เป็นการเช็คบิลของอเมริกาโดยใช้อำนาจของประธานาธิบดีมาร์กอสคนลูกที่ตอนนี้เป็นหมาน้อยของอเมริกาไปแล้ว

มาถึงฝั่งเมียนมาอีกครั้งถามว่าทำไม มิน อ่อง หล่าย ถึงไม่เป็นผู้โดนหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศในคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาละ เรื่องนี้มีที่มาที่ไปง่ายมาก กล่าวคือ ในปี 2017 เมื่อเกิดวิกฤตการณ์โรฮิงญาครั้งใหญ่ ภายหลังกองกำลังติดอาวุธโรฮิงญา ในนาม ARSA (Arakan Rohingya Salvation Army) เข้าโจมตีฐานที่มั่นของตำรวจในรัฐอาระกัน จนเป็นเหตุให้มีตำรวจเสียชีวิต 12 นาย เป็นผลให้กองทัพเมียนมาเปิดฉากโจมตีเขตของชาวโรฮิงญาในรัฐอาระกันตอนเหนือ ตอบโต้กองกำลังก่อการร้ายดังกล่าว  และเช่นเดียวกับโจรใต้โมเดล เมื่อกองกำลังกองการร้ายสู้ไม่ได้ก็ใช้วิธีหนีเข้าไปแอบในชุมชน ดังจะเห็นได้ชัดภายหลังที่มีกลุ่ม PDF ซึ่งก็ใช้วิธีเดียวกันหากสู้กองทัพเมียนมาไม่ได้  แต่กองทัพเมียนมากลับเลือกที่จะเผาชุมชนนั้นเสียเพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านในพื้นที่ และเช่นกัน ณ เวลานั้น นาง อองซาน ซูจีและพรรค NLD ที่ตอนนั้นเป็นแขนขาให้กับฝ่ายประเทศตะวันตกในเมียนมามีอำนาจ และนั่นทำให้หากจะต้องฟ้อง มิน อ่อง หล่ายในฐานะอาชญากรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็จะต้องมีชื่อของประธานาธิบดีและนางซูจีติดเข้าไปด้วยอย่างแน่นอน ที่นี่น่าจะเป็นสาเหตุว่าทำไม มิน อ่อง หล่ายไม่โดนหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศนั่นเอง

มาถึงจุดนี้สรุปศาลนี้มีไว้เพื่อจัดการคนไม่ดี หรือ จัดการคนที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตกกันแน่….

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ใจป้ำ!! เสนอให้จ่าย ‘ค่าล่วงเวลา’ สองนักบินอวกาศ ที่ติดอยู่ในอวกาศ!! นาน 9 เดือน

(23 มี.ค. 68) หลังจากที่สองนักบินอวกาศ Barry 'Butch' Wilmore และ Sunita 'Suni' Williams เดินทางกลับมาสู่โลกจากที่ต้องติดอยู่ในสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เป็นเวลานานถึง 9 เดือน โดยแผนการเดินทางที่กำหนดเอาไว้เพียง 8 วันเท่านั้น  

หลังจากออกเดินทางสู่ ISS เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2024 เพื่อ 'การเดินทางระยะเวลา 8 วัน' แต่ในที่สุดแล้ว Wilmore และ Williams ก็ลงเอยด้วยการกลับคืนสู่พื้นโลกเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (18 มีนาคม 2025) แม้ว่าทั้งคู่จะถูกบังคับให้ขยายเวลาในการอยู่ในอวกาศโดยไม่มีทางเลือก แต่โฆษกของ NASA ระบุว่า "เมื่อนักบินอวกาศของ NASA อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) พวกเขาจะได้รับเงินเดือนจากการทํางาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลาหรือวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดอื่น ๆ สําหรับเวลาในอวกาศที่ไม่ได้มีการวางแผนเอาไว้”

อย่างไรก็ตาม การที่ต้องติดอยู่ในสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เป็นเวลานานถึง 9 เดือนย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตของนักบินอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว แผนการ จิตใจ และหรือสุขภาพร่างกาย สาเหตุที่ทั้งคู่ไม่สามารถกลับสู่โลกได้นั้น เป็นผลมาจากความผิดปกติของยานอวกาศที่จะนำทั้งคู่กลับมาและต้องได้รับการช่วยเหลือจากยาน SpaceX Crew Dragon โฆษกของ NASA กล่าวเสริมว่า "พวกเขายังอยู่ในภารกิจชั่วคราวระยะยาว (Temporary Duty : TDY) และได้รับเบี้ยเลี้ยง TDY ตามจำนวนวันที่พวกเขาอยู่ในอวกาศ ซึ่งเบี้ยเลี้ยง TDY สําหรับการเดินทางไปยังสถานที่ใด ๆ ในปัจจุบันคือ วันละ $5"

Cady Coleman อดีตนักบินอวกาศของ NASA เปิดเผยว่า เธอเคยได้รับเบี้ยเลี้ยง TDY 'ประมาณ $4 ต่อวัน' จากสถานการณ์ในลักษณะเดียวกัน โดยอิงจากภารกิจ 159 วันของเธอในปี 2010-11 ซึ่งเธอได้รับเบี้ยเลี้ยง TDY ประมาณ $636 ต่อมาลูกสาวของ Wilmore ได้โพสต์ TikTok อ้างว่า พ่อของเธอถูกกําหนดให้ได้รับเบี้ยเลี้ยง TDY $5 พิเศษ รวมเป็น $1,430 บวกกับเงินเดือนคร่าว ๆ อีกประมาณ '$152,258.00 ต่อปี' 

ประธานาธิบดี Trump ได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยบอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างการแถลงข่าวเมื่อเช้าวันที่ 21 มีนาคม 2025 ว่า นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่านักบินอวกาศไม่ได้รับเงินค่าล่วงเวลา และหาก NASA ทำไม่ได้ เขายินดีที่จะจ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้นักบินอวกาศทั้งสองด้วยเงินส่วนตัว ประธานาธิบดี Trump บอกว่า: "ไม่มีใครเคยบอกถึงเรื่องนี้กับผมเลย ถ้าจําเป็นผมจะใช้เงินส่วนตัวของผมจ่ายเอง” นักบินอวกาศทั้งคู่กลับบ้านหลังจากผ่านไป 286 วัน โดยประธานาธิบดี Trump ได้ขอให้ Elon Musk 'ไปรับ' Wilmore และ Williams ผู้ที่ประธานาธิบดี Trump อ้างว่าถูก 'ทอดทิ้งโดยฝ่ายบริหารของ Biden ในอวกาศ' ซึ่งตอนนั้น ประธานาธิบดี Trump ได้โพสต์สรุปใน Truth Social ของเขาว่า "พวกเขารออยู่ที่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) มาหลายเดือนแล้ว Elon จะดำเนินการเร็ว ๆ นี้ หวังว่าทุก ๆ อย่างจะเรียบร้อยและปลอดภัย ขอให้โชคดีนะ Elon!!!" 

‘จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้’ เห็นพ้อง!! เสริมสร้างความไว้วางใจ กระชับความร่วมมือ เน้น!! สร้างเสถียรภาพ การพัฒนาระดับภูมิภาค ท่ามกลาง เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า

(22 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ‘หวังอี้’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่าจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เห็นพ้องที่จะเสริมสร้างการสื่อสาร เพิ่มความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และกระชับความร่วมมือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวังกล่าวถ้อยคำข้างต้นขณะพบปะกับสื่อมวลชนร่วมกับทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น และโช แทยูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ หลังจากเข้าร่วมการประชุมระดับไตรภาคีของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 11 ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น

หวังระบุว่าทั้งสามประเทศเห็นพ้องถึงความคืบหน้าเชิงบวกที่เกิดขึ้นในความร่วมมือ นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดไตรภาคีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 9 และตระหนักถึงความจำเป็นและความรับผิดชอบในการเสริมสร้างการสื่อสาร เพิ่มความไว้วางใจซึ่งกันและกัน กระชับความร่วมมือ และจัดสรรปัจจัยที่เอื้อต่อการสร้างเสถียรภาพสำหรับสันติภาพและการพัฒนาระดับภูมิภาค ท่ามกลางฉากหลังของภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่สลับซับซ้อนและปั่นป่วน กอปรกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า

ประการแรก หวังกล่าวว่าทั้งสามฝ่ายตกลงเสริมแกร่งแนวโน้มความร่วมมือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะยึดมั่นในเจตนารมณ์เดิมของความร่วมมือ มุ่งเน้นที่วิสัยทัศน์ความร่วมมือไตรภาคีสำหรับทศวรรษหน้า (Trilateral Cooperation Vision for the Next Decade) รวมถึงขยับขยายพื้นที่ใหม่ บ่มเพาะแรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ และสร้างจุดเด่นใหม่ของความร่วมมือ บนพื้นฐานของความร่วมมือที่มุ่งเน้นประเด็นสำคัญ 6 ด้านซึ่งกำหนดโดยการประชุมผู้นำเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งมีการหารือถึงการจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 10 ภายในปีนี้ และจะมุ่งมั่นสร้างเงื่อนไขและบรรยากาศที่เอื้ออำนวยเพื่อจุดประสงค์ข้างต้น

ประการที่สอง ทั้งสามฝ่ายตกลงส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยจะเดินหน้าติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับการเริ่มต้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีใหม่ ส่งเสริมการขยายตัวของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) พร้อมรักษาเสถียรภาพและความราบรื่นของห่วงโซ่การผลิตและอุปทานในภูมิภาค จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะก้าวตามยุคสมัยเพื่อสร้างพื้นที่ด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเอเชีย และส่งเสริมการพัฒนาพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ

ประการที่สาม ทั้งสามฝ่ายตกลงกระชับการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ร่วมกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจะจัดปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้อย่างราบรื่นในปี 2025-2026 มุ่งมั่นเพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนเป็น 40 ล้านคนภายในปี 2030 และส่งเสริมฐานความคิดเห็นสาธารณะสำหรับความร่วมมือไตรภาคี อีกทั้งเล็งเห็นว่าการเสริมสร้างความร่วมมือด้านสวัสดิการสังคม การพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำ และด้านอื่นๆ จะเอื้อประโยชน์มากขึ้นแก่ประชาชนของสามฝ่าย

ประการที่สี่ ทั้งสามฝ่ายตกลงเสริมสร้างความร่วมมือพหุภาคี โดยจะยกระดับการประสานงานและความร่วมมือภายใต้หลายกลไก เช่น อาเซียนบวกสาม และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคีร่วมกับภูมิภาคโดยรอบ และขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกันในภูมิภาค พร้อมสนับสนุนกันและกันในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ส่งเสริมภูมิภาคนิยมแบบเปิด ยึดมั่นในพหุภาคีและการค้าเสรี ทั้งผลักดันโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมมากขึ้น

หวังกล่าวเสริมว่าจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เห็นพ้องกับการทำงานของสำนักงานเลขาธิการความร่วมมือไตรภาคี และตกลงขยายระยะเวลาดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการที่ปรึกษาสำนักงานฯ โดยหวังว่าสำนักงานเลขาธิการจะมีบทบาทมากขึ้นในการส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคี

‘ทรัมป์’ ปรับนโยบาย!! ตัดงบทหารในญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ลด คชจ.กว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญ ชี้!! เป็นกลยุทธ์ กดดันพันธมิตร เพิ่มค่าใช้จ่าย ด้านความมั่นคงมากขึ้น

(22 มี.ค. 68) IMCT News Thai Perspectives on Global News ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) กำลังพิจารณาปรับลดขนาดกองทัพอย่างมีนัยสำคัญ ตามนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการลดขนาดรัฐบาลกลาง โดยข้อเสนอสำคัญรวมถึงการระงับการขยายกองกำลังสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น (USFJ) ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้เอกสารจะระบุถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น 

แผนการนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ผลักดันให้พันธมิตรในอินโด-แปซิฟิกใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากขึ้น นักวิเคราะห์ชี้ว่าแผนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า 'กลุ่มเหยี่ยวงบประมาณ' อาจมีอิทธิพลเหนือกว่า 'กลุ่มเหยี่ยวจีน' ในรัฐบาลทรัมป์ โดยอาจส่งผลให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต้องเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและเพิ่มขีดความสามารถทางทหารของตนเอง ซึ่งจะเกิดความท้าทายในการประสานงานกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีนและเกาหลีเหนือ 

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การกระทำดังกล่าวอาจบั่นทอนการยับยั้งร่วมกันของพันธมิตรสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน ทำให้ภูมิภาคนี้ไร้เสถียรภาพมากขึ้นเมื่อจีนดำเนินปฏิบัติการในพื้นที่สีเทามากขึ้น ในขณะที่จีน เกาหลีเหนือ และรัสเซียอาจใช้สถานการณ์อันละเอียดอ่อนนี้เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างพันธมิตร

‘ปูติน’ ลงนามคำสั่ง!! ให้คนยูเครนที่อยู่ในรัสเซีย ต้อง!! ย้ายออกนอกพื้นที่ 10 ก.ย. ปีนี้

(22 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

ปธน.ปูตินลงนามคำสั่ง ให้คนยูเครนที่พักอาศัยในรัสเซีย รวมถึงแผ่นดินที่ควบรวมกับรัสเซีย อันได้แก่ ดอนเสนก์, ลูฮันส์, ซาโปโรเชีย และเคอร์ซอน ต้องย้ายออกนอกพื้นที่ หรือไม่ต้องมาดำเนินการเอกสารทางกฎหมาย (วีซ่า) ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2025 เป็นต้นไป

ชาวต่างชาติที่พักอาศัยในดอนบาส และโนโวโรสิย่า ต้องแสดงผลตรวจเลือด HIV และต้องเป็นลบเท่านั้น และแสดงประวัติการใช้ยาย้อนหลัง 10 ปี และต้องดำเนินการก่อนวันที่ 10 มิถุนายนนี้

‘ก.ต่างประเทศ’ แถลงการณ์!! แสดงความผิดหวังต่อการใช้กำลังใน ‘ฉนวนกาซา’ เรียกร้อง!! ให้มีการปล่อยตัวประกัน ส่งคืนร่าง ‘ชาวไทย’ ที่เสียชีวิต กลับประเทศ

(22 มี.ค. 68) ‘กระทรวงการต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

แถลงการณ์: ประเทศไทยขอแสดงความผิดหวังยิ่งต่อการกลับมาใช้กำลังในฉนวนกาซา

ประเทศไทยรู้สึกห่วงกังวลและผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกลับมาสู่การสู้รบในฉนวนกาซา ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568 อันส่งผลกระทบให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคได้รับความเสียหายอย่างหนัก 

ประเทศไทยร้องขอให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นสูงสุด ยุติการสู้รบ และกลับสู่การเจรจาเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน รวมทั้งอำนวยการขนส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา เพื่อทำให้มั่นใจว่าภูมิภาคตะวันออกกลางจะมีเสถียรภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืน

ประเทศไทยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทุกคนที่เหลืออยู่ในฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด ซึ่งรวมถึงชาวไทย 1 คน และการส่งคืนร่างตัวประกันชาวไทยที่เสียชีวิต 2 ร่างกลับประเทศไทย

Statement: Thailand Is Profoundly Disappointed at the Return to Hostilities in the Gaza Strip

Thailand is profoundly concerned about and disappointed at the return to hostilities in the Gaza Strip since 18 March 2025, resulting in heavy casualty of innocent civilians, injuries, and severe damage to critical infrastructure and public utilities.

Thailand urges all sides to exercise utmost restraint, cease the hostilities and resume negotiations to implement the ceasefire and hostage agreement, as well as facilitate humanitarian assistance into the Gaza Strip to ensure stability and security in the Middle East. 

Thailand calls for the release of the remaining hostages in the Gaza Strip soonest, including one Thai national, and the retrieval of bodies of two Thai nationals.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top