Friday, 11 July 2025
WORLD

คนจีนตั้งคำถามถึงคุณค่า ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือด สาขามนุษยศาสตร์ ยังจำเป็นไหมในศตวรรษ AI??

(17 มิ.ย. 68) ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ในสังคมจีนเกิดกระแสถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนถึง “จุดจบของสายมนุษยศาสตร์” หลายเสียงในโลกออนไลน์ตั้งคำถามว่า วิชาด้านภาษา วรรณกรรม หรือประวัติศาสตร์ ยังมีความหมายอยู่หรือไม่ บ้างมองว่าไร้ประโยชน์ ขณะที่บางคนถึงขั้นแนะให้เลิกเรียนไปเลย โดยกระแสนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2010 แต่ร้อนแรงยิ่งขึ้นในยุคที่การแข่งขันทางการศึกษาดุเดือด

ตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่เคยใฝ่ฝันจะทำงานในบริษัทโฆษณาระดับโลก แต่พอฝึกงานกลับพบว่าการแข่งขันสูงเกินคาด ต้องมีทั้งวุฒิปริญญาโทและรางวัลติดเรซูเม่ ด้านผู้เรียนการเงินรายหนึ่งก็เผยว่า แม้เรียนสายวิทย์ แต่สุดท้ายก็ต้องแย่งงานคอนเทนต์กับเด็กเอกภาษาอยู่ดี สะท้อนปัญหาว่าแม้แต่สายวิชาชีพก็ไม่ได้การันตีตำแหน่งงานอีกต่อไป

อาจารย์มหาวิทยาลัยจีนวิเคราะห์ว่า ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ตัวสาขา แต่เกิดจากการขยายตัวของการศึกษาที่ทำให้จำนวนผู้เรียนล้นตลาด ขณะที่ผู้มีความสามารถโดดเด่นยังมีไม่มากพอ อีกทั้งทัศนคติของสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้คนไม่อยากเรียนตามความชอบ แต่เลือกเรียนตามความ “คุ้มค่า” ทางเศรษฐกิจแทน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ความรู้ด้านมนุษยศาสตร์ยังจำเป็นต่อการพัฒนาความคิดและความเข้าใจต่อโลก เพียงแต่นักศึกษายุคใหม่ต้องปรับตัวให้มากขึ้น เช่น เสริมทักษะการวิเคราะห์ เขียนโปรแกรม หรือทำงานข้ามสาขา เพื่อเพิ่มโอกาสในตลาดงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายแล้ว คำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “มนุษยศาสตร์ยังมีอนาคตหรือไม่” แต่คือ “เรากำลังเรียนเพื่ออะไร?” หากคำตอบคือความรักในภาษา ประวัติศาสตร์ หรือวรรณกรรม ก็อย่าให้เสียงของโลกภายนอกกลบเสียงของหัวใจ เพราะคุณค่าที่แท้จริงของความรู้ อาจไม่ได้วัดจากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว

กระทรวงต่างประเทศ อิหร่าน ออกแถลงการณ์ ชี้ ตอบโต้อิสราเอลชอบธรรมหลังถูกโจมตีก่อน

(16 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้ออกแถลงการณ์ล่าสุดว่า ในเช้าตรู่ของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 อิสราเอลได้เปิดฉากการโจมตีด้วยอาวุธขนานใหญ่ โดยไม่มีการยั่วยุจากอิหร่าน อันเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวอย่างร้ายแรงในทุกความหมายของการกระทำดังกล่าว ด้วยการโจมตีทางอากาศ ขีปนาวุธ และโดรนที่ปฏิบัติการประสานงานกัน

อิสราเอลได้กำหนดเป้าหมายไปที่ย่านที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน หน่วยงานสาธารณะ
และโรงงานนิวเคลียร์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ ในกรณีที่เลวร้ายเป็นพิเศษ การโจมตีของอิสราเอลต่ออาคารที่อยู่อาศัยส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 60 ราย รวมถึงเด็กและผู้หญิง 35 ราย จากปฏิบัติการทางทหารระลอกรั้งใหม่ อิสราเอลเริ่มกำหนดเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานและสถานที่อุตสาหกรรมด้วยข้ออ้างหลักสำหรับการโจมตีคือโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามที่ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้รับการยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า การติดตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพเท่านั้น และยังคงอยู่ภายใต้ระบอบการตรวจสอบที่ครอบคลุมและรุนแรงที่สุดที่ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของนานาชาติ

การที่อิสราเอลกำหนดเป้าหมายไปยังโรงงานนิวเคลียร์พลเรือนที่ได้รับการคุ้มครองเหล่านี้ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวโดยเจตนาและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกรอบกฎหมายที่ควบคุมความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์อย่างโจ่งแจ้ง ตามที่ผู้อำนวยการใหญ่ของ IAEA นายราฟาเอล กรอสซี ได้ยืนยันอีกครั้งในระหว่างการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อเร็ว ๆ นี้ มติการประชุมสมัชชาใหญ่ IAEA GC(XXIX)/RES/444 และ GC(XXXIV)/RES/533 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การโจมตีด้วยอาวุธใด ๆ ต่อโรงงานนิวเคลียร์ที่มุ่งเน้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ธรรมนูญของ IAEA และหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ มติเหล่านี้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่การโจมตีดังกล่าวจะก่อให้เกิดต่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางนิวเคลียร์ และเน้นย้ำถึงผลกระทบที่บ่อนทำลายอย่างลึกซึ้งต่อสันติภาพในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ลักษณะของการโจมตีไม่ทิ้งช่องว่างสำหรับความคลุมเครือ: ถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าวที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง ทำให้ขอบเขตทางกฎหมายได้ถูกละเลยมองข้ามไปอย่างชัดเจน

อิสราเอลมีประวัติการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อรัฐอธิปไตยมายาวนานซึ่งมีเอกสารหลักฐานยืนยัน มีการกำหนดเป้าหมายต่อประชากรพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนให้เห็นถึงการดูหมิ่นหลักการที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเป็นระบบ การโจมตีครั้งล่าสุดนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกตัวออกมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่สอดคล้องกันที่ใช้อาวุธบังคับและท้าทายระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเปิดเผย หลักนิติธรรมไม่ได้ถูกละเลย แต่กำลังถูกรื้อถอน โดยเจตนาในบริบทที่กว้างขวางมากขึ้นของพฤติกรรมของระบอบอิสราเอลต้องได้รับการยอมรับ

ปัจจุบันอิสราเอลอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีต่อหน้าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในข้อหาที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา และผู้นำระดับสูงของอิสราเอล รวมถึงนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
เผชิญข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รวมถึงการกำหนดเป้าหมายพลเรือนโดยเจตนา การใช้อดอาหารเป็นวิธีการทำสงคราม และการกำหนดบทลงโทษรวมโดยเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่แยกตัวออกมา แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่คงอยู่ของการปราบปรามทางทหาร การไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย และการไม่คำนึงถึงหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรม

ในขณะที่ความน่าเชื่อถือของระบบกฎหมายระหว่างประเทศอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มข้น การประยุกต์ใช้หลักการทางกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติและการอาศัยความเหมาะสมทางการเมืองคุกคามที่จะเข้าแทนที่ค่านิยมพื้นฐานของความสอดคล้อง ความรับผิดชอบ และหลักนิติธรรม ในการตอบโต้การรุกรานที่ผิดกฎหมายและปราศจากการยั่วยุโดยอิสราเอล สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ใช้สิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายตามที่ระบุไว้ในมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ สิทธิขั้นพื้นฐานนี้อนุญาตให้รัฐสามารถปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนเมื่อถูกโจมตีด้วยอาวุธ

การตอบโต้ของอิหร่านยึดมั่นอย่างเคร่งครัดต่อหลักการและขอบเขตที่กำหนดโดยกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้มั่นใจว่าการกระทำของตนมีความสมเหตุสมผล จำเป็น และเหมาะสมภายใต้สถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตอบโต้ของอิหร่านได้รับการปรับเทียบอย่างรอบคอบให้ได้สัดส่วนกับภัยคุกคามและการโจมตีทางทหารของอิสราเอล การตอบโต้กำหนดเป้าหมายเฉพาะวัตถุประสงค์ทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น รวมถึงศูนย์บัญชาการและควบคุม การติดตั้งทางทหารเชิงกลยุทธ์ และโครงสร้างพื้นฐานในการปฏิบัติการที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการโจมตีที่ผิดกฎหมาย ตลอดเวลา

อิหร่านยังคงปฏิบัติตามกฎของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยให้ความสำคัญกับการลดความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีให้เหลือน้อยที่สุด ความล้มเหลวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการตอบโต้อย่างเด็ดขาดต่อการกระทำที่ก้าวร้าวนี้ แสดงถึงการละทิ้งความรับผิดชอบพื้นฐานในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในอดีต คณะมนตรีได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นเอกฉันท์ หลังจากการโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์โอซิรักของอิรักในปี 1981 คณะมนตรีได้ออกมติ 487 ประณามการโจมตีและยืนยันความศักดิ์สิทธิ์ของโรงงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ แบบอย่างนั้นยังคงชัดเจน กฎหมายยังคงชัดเจน ทว่าวันนี้ คณะมนตรีกลับเป็นอัมพาต การหารือถูกบีบคั้นด้วยแรงกดดันทางการเมืองและเกราะป้องกันที่กลุ่มรัฐทรงอำนาจจำนวนน้อยยื่นให้การไม่ดำเนินการนี้จะคุกคามและกัดกร่อนรากฐานของระบบพหุภาคี

อิหร่านเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำที่ก้าวร้าวนี้ และยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นต่อกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อธิปไตยไม่ใช่เรื่องที่ต่อรองได้ โรงงานนิวเคลียร์ภายใต้การคุ้มครองของ IAEA ไม่ควรถูกกำหนดเป้าหมาย การใช้กำลังทางอาวุธต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาแทนที่การทูต อิสราเอลไม่สามารถได้รับอนุญาตให้เขียนกฎการปฏิบัติระหว่างประเทศใหม่ผ่านการละเมิดซ้ำ ๆ และการยั่วยุที่มีการวางแผนไว้แล้ว เส้นทางสู่สันติภาพเริ่มต้นด้วยความรับผิดชอบ และระบบกฎหมายระหว่างประเทศต้องรวบรวมเจตจำนงเพื่อธำรงเรื่องนี้เอาไว้

จีนประณามอิสราเอลละเมิดอธิปไตยอิหร่า เสนอตัวไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง สร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง

(16 มิ.ย. 68) รัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ แถลงเมื่อวันเสาร์ (15 มิ.ย.) ว่าจีน “ประณามอย่างชัดเจน” ต่อการโจมตีของอิสราเอล ซึ่งละเมิดอธิปไตย ความมั่นคง และบูรณภาพแห่งดินแดนของอิหร่าน พร้อมแสดงการสนับสนุนอิหร่านในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตน

หวัง อี้ โทรศัพท์หารัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งอิหร่านและอิสราเอล โดยระบุว่าจีนยินดีช่วยในการคลี่คลายสถานการณ์ พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้การเจรจาแก้ไขความขัดแย้ง

ขณะที่สหรัฐฯ ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอิสราเอล จีนกลับเลือกประณามการใช้กำลังและเรียกร้องให้ประเทศที่มีอิทธิพลต่ออิสราเอลช่วยฟื้นฟูสันติภาพ สะท้อนภาพการขยับบทบาทของจีนในภูมิภาคและเวทีโลก

สำหรับ จีนถือเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและการทูตที่สำคัญของอิหร่านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองประเทศมีความร่วมมือด้านพลังงาน การทหาร และการต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกอย่างชัดเจน

อิหร่านเผย ‘ยุทธวิธีใหม่’ สะเทือนโดมเหล็กอิสราเอล ทำระบบป้องกันยิวยิงกันเอง จนเจาะ ‘เทลอาวีฟ-ไฮฟา’ กระจุย

(16 มิ.ย. 68) กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน (IRGC) เปิดเผยว่าการโจมตีด้วยขีปนาวุธเมื่อช่วงก่อนรุ่งสางของวันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งพุ่งเป้าใส่เมืองเทลอาวีฟและไฮฟา ใช้ “ยุทธวิธีใหม่” ที่ทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล เช่น Iron Dome และ David’s Sling ยิงเป้าหมายผิดพลาด โดยจรวดของอิสราเอลบางลูกกลับยิงใส่ระบบของตนเองหรือพลาดทิศทาง จนนำไปสู่ความเสียหายครั้งใหญ่ในเขตเมือง

กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่านระบุว่าวิธีการใหม่นี้ทำให้สามารถทะลวงแนวป้องกันหลายชั้นของอิสราเอล และสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายได้จริง โดยเฉพาะเขตที่พักอาศัยใกล้สถานทูตสหรัฐฯ ในเทลอาวีฟที่พังยับเยิน ขณะที่ในไฮฟาเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงไฟฟ้า และมีประชาชนบาดเจ็บกว่า 30 ราย

การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการตอบโต้ต่อการโจมตีเชิงป้องกันของอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ซึ่งมุ่งเป้าไปยังโครงการนิวเคลียร์และฐานทัพของอิหร่าน ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตในอิหร่านเพิ่มขึ้นกว่า 224 ราย ส่วนในอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 18 ราย และบาดเจ็บกว่า 100 คน

แม้อิสราเอลยังไม่แถลงตอบโต้เกี่ยวกับความล้มเหลวของระบบป้องกันภัยทางอากาศ แต่รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลประกาศว่าจะทำให้อิหร่าน “ต้องชดใช้” อย่างสาสม ด้านผู้นำโลกที่ร่วมประชุม G7 แสดงความกังวลว่าวิกฤตนี้อาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งระดับภูมิภาค และต่างเรียกร้องให้เปิดทางเจรจาโดยเร็วที่สุด

ธงชาติกลางภาพพังพินาศ สะดุดตาเกินบังเอิญ ตั้งข้อสังเกต ‘อิสราเอล’ สร้างภาพเป็นฝ่ายถูกกระทำ

(16 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก Anucha Somnas ตั้งข้อสังเกตถึงภาพข่าวความเสียหายจากการโจมตีที่เกิดขึ้นในอิสราเอลว่า แทบทุกภาพล้วนมีธงชาติอิสราเอลหรือสัญลักษณ์ประจำชาติ ปรากฏอยู่ในเฟรมอย่างชัดเจน สร้างคำถามถึงความตั้งใจหรือเบื้องหลังของการเผยแพร่ภาพเหล่านี้ต่อสังคมโลก โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเนทันยาฮูกำลังเผชิญแรงกดดันด้านสิทธิมนุษยชนจากกรณีถล่มฉนวนกาซา

ผู้โพสต์วิเคราะห์ว่า ความเสียหายที่เกิดจากจรวดซึ่งตกลงกลางเมือง อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่คือการจัดฉากเพื่อสร้างภาพจำ สื่อสารกับนานาชาติว่าอิสราเอลเป็นฝ่ายถูกกระทำ พร้อมใช้ภาพเหล่านี้เป็น “แฟ้มสะสมผลงาน” หรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ เบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ ที่ยังดำเนินต่อไป

นอกจากนี้ยังชี้ว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงยึดแนวทางเดิมในการใช้พลเรือนของตนเองเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ ไม่ต่างจากกรณีตัวประกันชาวอิสราเอลในฉนวนกาซา ที่ไม่เคยได้รับความสำคัญเท่ากับเป้าหมายทางทหาร รัฐบาลเลือกเดินหน้าถล่มทุกพื้นที่ของกาซา โดยไม่สนใจว่าตัวประกันจะเสียชีวิตจากการโจมตีของตนเองหรือไม่

ข้อสังเกตเหล่านี้สะท้อนคำถามถึง เจตนาของรัฐบาลอิสราเอลในการจัดการสงคราม และความโปร่งใสของการสื่อสารข้อมูลกับสาธารณะ ทั้งยังสะท้อนว่าความสูญเสียอาจไม่ใช่เพียงผลข้างเคียงของสงคราม หากแต่เป็นกลไกที่รัฐเลือกใช้ เพื่อเป้าหมายทางการเมืองในระดับที่ลึกซึ้งกว่านั้น

‘เนทันยาฮู’ โผล่จากบังเกอร์ เยือนจุดโดนถล่ม ลั่นพร้อมโค่นระบอบอิหร่าน เตรียมเอาคืนหนักกว่าเดิม

(16 มิ.ย. 68) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า “จะทำในสิ่งที่จำเป็น” ต่อผู้นำอิหร่าน พร้อมเปรยว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบในกรุงเตหะราน อาจเป็นผลลัพธ์จากปฏิบัติการของอิสราเอล โดยกล่าวหาว่าผู้นำอิหร่านอ่อนแอ และประชาชนส่วนใหญ่ต้องการปลดอำนาจ

เนทันยาฮูได้ออกจากบังเกอร์ใต้ดินเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิ.ย. เพื่อไปตรวจสอบความเสียหายที่เมืองบัต ยัม ชายฝั่งใกล้กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ถูกขีปนาวุธของอิหร่านถล่มคืนก่อน ผู้นำอิสราเอลมีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมประกาศว่า “อิหร่านจะต้องจ่ายราคาที่แพงมาก สำหรับการสังหารพลเรือน ผู้หญิง และเด็กโดยเจตนา”

สงครามระหว่างสองประเทศยังทวีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศกว่า 80 จุดทั่วอิหร่าน ครอบคลุมกระทรวงกลาโหม โรงไฟฟ้า โครงการนิวเคลียร์ และย่านชุมชนในกรุงเตหะราน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 224 ราย ขณะเดียวกัน อิหร่านยิงตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหลายระลอก ทำให้อิสราเอลมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย และบาดเจ็บอีกนับร้อย

แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เรียกร้องให้เกิดการเจรจา แต่สถานการณ์ยังไร้แนวโน้มยุติลง รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลขู่จะทำลายกรุงเตหะรานเหมือนที่เคยถล่มเบรุต ส่วนผู้นำอิหร่านตอบโต้ด้วยคำขู่ว่า หากอิสราเอลยังเดินหน้าบุก จะได้รับ “การตอบแทนที่เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม”

‘โมฮัมหมัด บินซัลมาน’ แห่งซาอุดีอาระเบีย ย้ำ!! ปธน.อิหร่าน พร้อม!! ยืนหยัดอยู่เคียงข้าง โลกอิสลามทั้งมวล มีความเป็นหนึ่งเดียว

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘เจาะลึกตะวันออกกลาง’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

MBS แห่งซาอุฯ อยู่เป็น 

โมฮัมหมัด บินซัลมาน กล่าวกับ ปธน.อิหร่านในการสนทนาทางโทรศัพท์ว่า

ซาอุดีอาระเบียยืนหยัดอยู่เคียงข้างพี่น้องชาวอิหร่าน และในวันนี้ โลกอิสลามทั้งมวลมีความเป็นหนึ่งเดียวและสนับสนุนอิหร่านอย่างเต็มที่ 
ในทุกเวทีทางการทูต ข้าพเจ้ามุ่งมั่นสร้างแรงกดดันและเรียกร้องให้ยุติพฤติกรรมรุกรานของอิสราเอล

เรามีความเชื่อว่าอิสราเอลกำลังทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อเพิ่มระดับความตึงเครียดและดึงสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นว่าการตอบสนองอย่างรอบคอบและมีสติของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านจะทำให้อิสราเอลไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

พูดง่ายๆ คือ ซัดกันไปก็อย่าให้ตรูโดนลูกหลงก็แล้วกัน 

อิหร่านเองก็ไม่ได้หวังให้ช่วย แต่อย่างน้อยอย่าขวางก็แล้วกัน

‘อิหร่าน’ ขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย เพื่อต่อสู้กับ ‘อิสราเอล’ หลังการโจมตี!! โรงงานนิวเคลียร์ และแหล่งก๊าซเซาท์พาร์ส

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘คัดข่าว’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

อิหร่านร้องรัสเซียช่วยทหารต้านอิสราเอล แต่ถูกปฏิเสธตามสนธิสัญญา

วันที่ 15 มิ.ย. 2568 สื่อบน X รายงานว่า อิหร่านพยายามขอความช่วยเหลือทางทหารจากรัสเซียเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล หลังการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์และแหล่งก๊าซเซาท์พาร์สเมื่อ 13-14 มิ.ย. 2568 

อย่างไรก็ตาม รัสเซียปฏิเสธ 

โดยย้ำว่าไม่มีภาระผูกพันตามสนธิสัญญาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่ลงนามเมื่อ 17 ม.ค. 2568 ระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และมาซูด เปเซชเคียน 

สนธิสัญญานี้เน้นความร่วมมือด้านการค้า การทหาร และพลังงาน แต่ไม่มีข้อตกลงป้องกันร่วมเหมือนที่รัสเซียทำกับเกาหลีเหนือหรือเบลารุส 

ผู้เชี่ยวชาญจาก Carnegie Endowment ชี้ว่า สนธิสัญญานี้เป็นเพียงการยืนยันความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ไม่ใช่พันธมิตรทหารเต็มรูปแบบ อิหร่านเผชิญความท้าทายจากความสูญเสียในซีเรียและการคว่ำบาตร ขณะที่รัสเซียระวังไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

‘ปากีสถาน’ เตือน!! ‘สหรัฐฯ’ ลั่น!! พร้อมตอบโต้ทันที หาก ‘อิหร่าน’ ถูกโจมตี!! ด้วยนิวเคลียร์

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘สุขศรี ชื่อนี้แม่ให้มา’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

โลกเดินมาถึงจุดที่สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แต่หากพิจารณาจากแนวโน้มและพันธมิตรทางการเมือง-การทหารในปัจจุบัน (ตั้งแต่กลางปี 2025 เป็นต้นไป) หากสงครามนี้บานปลายออกไปจนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็อาจแบ่งฝ่ายออกได้คร่าวๆ ดังนี้:

ฝ่ายที่อาจอยู่ฝ่ายเดียวกับ “สหรัฐอเมริกา” (กลุ่ม NATO และพันธมิตรตะวันตก)
- กลุ่ม NATO ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดในปัจจุบัน 32 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา กรีซ ตุรกี เยอรมนี สเปน เช็กเกีย (Czech Republic) ฮังการี โปแลนด์ บัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย สโลวีเนีย แอลเบเนีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร นอร์ทมาซิโดเนีย ฟินแลนด์ สวีเดน - มีประชากรรวมประมาณ 952.7 ล้านคน (ข้อมูลปี 2025)
- ออสเตรเลีย - ประชากร 26.8 ล้านคน
- ญี่ปุ่น - ประชากร 123.1 ล้านคน
- เกาหลีใต้ - ประชากร 52.1 ล้านคน
- ยูเครน - ประชากร 38.98 ล้านคน
- ไต้หวัน - ประชากร 23.6 ล้านคน 
- อิสราเอล - ประชากร 9.40 ล้านคน

(จำนวนประชากรกลุ่มนี้ รวมทั้งหมด 1,225.7 ล้านคน)

ฝ่ายที่อาจอยู่ตรงข้าม “กลุ่มตะวันตก” (กลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนและรัสเซีย)
- รัสเซีย - ประชากร 146 ล้านคน 
- จีน - ประชากร 1,424 ล้านคน
- อิหร่าน - ประชากร 90 ล้านคน
- ปากีสถาน - ประชากร 250 ล้านคน
- เยเมน - ประชากร 35 ล้านคน
- เกาหลีเหนือ - ประชากร 26.5 ล้านคน
- เบลารุส - ประชากร 9.4 ล้านคน 
- บางประเทศในแอฟริกา (ที่รับการสนับสนุนทางทหารจากรัสเซีย/จีน เช่น มาลี, ซูดาน ฯลฯ)

(จำนวนประชากรกลุ่มนี้ รวมทั้งหมด 1,981 ล้านคน)

ประเทศที่อาจเป็น “ตัวแปรหรือประเทศเป็นกลาง” (ขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
- อินเดีย – แม้จะใกล้ชิดกับรัสเซียในอดีต แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับสหรัฐ อาจวางตัวเป็นกลางหรือเอียงข้างขึ้นกับสถานการณ์
- บราซิล – ขึ้นอยู่กับรัฐบาลในขณะนั้น
- อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย – ประเทศในอาเซียนมักพยายามวางตัวเป็นกลาง แต่ก็อาจถูกกดดันให้เลือกข้าง
- ซาอุดีอาระเบีย – มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค และอาจเลือกข้างตามผลประโยชน์เฉพาะหน้า

‘ดร.สุวินัย’ วิเคราะห์!! ความเป็นไปได้ ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในกรณีที่สงคราม ‘อิสราเอล-อิหร่าน’ บานปลายขั้นสูงสุด

(15 มิ.ย. 68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า ...

ความเป็นไปได้ของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ (โดยเฉพาะ ICBM) ในกรณีที่สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน "บานปลายขั้นสูงสุด"

(1) ถ้าเกิดการใช้นิวเคลียร์ในสงครามอิสราเอล–อิหร่าน จะใช้อะไร? ICBM ใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ ICBM เป็นอันดับแรก
เหตุผลคือ: ICBM (Intercontinental Ballistic Missile) คือขีปนาวุธพิสัยไกลมาก (ข้ามทวีป) เช่น จากรัสเซียไปสหรัฐฯ หรือจีนไปอเมริกา
แต่ อิสราเอลกับอิหร่าน ห่างกันเพียง ~1,500 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในพิสัยของ IRBM (Intermediate-Range Ballistic Missile) และ MRBM (Medium-Range)
อาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่จริงในมืออิสราเอล ณ ตอนนี้ อยู่ในรูปแบบ:
Jericho III (IRBM): พิสัย 4,000–6,500 กม. บรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้
Popeye Turbo ALCM: ยิงจากเรือดำน้ำ (submarine-launched) ติดหัวรบนิวเคลียร์ได้
และอาจมี หัวรบนิวเคลียร์ทางอากาศ (air-dropped tactical nuclear bombs) บ้างในคลังลับ
→ ดังนั้น หากใช้จริง จะใช้ IRBM หรือขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ ไม่ใช่ ICBM
(2) ประเทศไหนจะเริ่มก่อน และเพราะเหตุใด?
ตอบ: อิสราเอล มีโอกาส "ใช้นิวเคลียร์ก่อน" มากกว่าอิหร่าน
โดยเฉพาะในสถานการณ์ต่อไปนี้:
▸ 1. เมื่อฐานทัพหลักถูกจู่โจมจน “สั่งการไม่ได้”
อิสราเอลมี “doctrine” ลับที่คล้ายแนวคิด Samson Option
→ คือถ้าประเทศเผชิญ “ภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ (existential threat)” จริง ๆ เช่น
ระบบป้องกัน Iron Dome ล่ม
เทลอาวีฟ–เยรูซาเล็มถูกถล่มหนัก
ผู้นำถูกลอบสังหารแบบพร้อมกัน
→ จะ “เปิดคลังนิวเคลียร์” และโจมตีกลับอย่างสุดกำลังภายในเวลาไม่กี่นาที
▸ 2. เมื่ออิหร่านใกล้ “ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์” สำเร็จ
ถ้าอิหร่านประกาศทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ หรือมีหลักฐานชัดว่าประกอบสำเร็จ
อิสราเอลจะถือเป็น Red Line (เส้นตาย)
อาจใช้ nuclear strike เชิงยุทธศาสตร์จำกัด ต่อโรงงาน Natanz หรือ Fordow
→ เพื่อป้องกัน “nuclear breakout”
 โอกาสที่อิหร่านจะใช้ก่อน: ต่ำมาก
อิหร่านยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในเชิงปฏิบัติ ณ เวลานี้
แม้จะมีศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ แต่การเปลี่ยน uranium ที่เสริมสมรรถนะสูง → สู่การสร้างระเบิดจริง
ยังใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน–1 ปี
และที่สำคัญคือ การใช้นิวเคลียร์ของอิหร่านจะเท่ากับการฆ่าตัวตายทางการทูต เพราะจะเปิดทางให้สหรัฐ–นาโตเข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัวทันที
(3) ประเมินแนวโน้ม การใช้นิวเคลียร์ (จริง):
สถานการณ์ โอกาสใช้นิวเคลียร์ / ใครจะเริ่ม / รูปแบบ
> โจมตีทางยุทธศาสตร์ต่อโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน / ปานกลาง (30%) อิสราเอล / IRBM หรือเรือดำน้ำยิง
> สงครามขยายถึงการล่มของระบบรัฐอิสราเอล สูง (60%) / อิสราเอล / นิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์
> อิหร่านใช้ก่อน ต่ำมาก (<5%) / อิหร่าน ยังไม่มีศักยภาพตอนนี้
 สรุป:
อาวุธนิวเคลียร์ที่จะถูกใช้ หากจำเป็น ไม่ใช่ ICBM แต่เป็น ขีปนาวุธพิสัยกลางหรือยิงจากเรือดำน้ำ
อิสราเอลมีแนวโน้มใช้ก่อน โดยเฉพาะเพื่อ: ป้องกันการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ตอบโต้หากเกิด "สถานการณ์วิกฤตแห่งการดำรงอยู่" การใช้นิวเคลียร์ใด ๆ จะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสงคราม แต่คือ "จุดเริ่มต้นของหายนะ" ที่ทั้งโลกไม่อาจถอยหลังได้อีก
*******
ต่อไปนี้คือ การวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้อาวุธนิวเคลียร์จริง ในกรณีสงครามอิสราเอล–อิหร่านบานปลาย 
โดยจะแบ่งออกเป็น 4 มิติ:
(1) ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)
▸ ระเบียบโลกจะเข้าสู่ “ยุคนิวเคลียร์จริง” (Post-MAD Reality)
MAD = Mutually Assured Destruction ซึ่งเป็นหลักประกันกลาย ๆ ว่าไม่มีใครกล้าใช้นิวเคลียร์
แต่เมื่อมีประเทศ ที่ไม่ใช่มหาอำนาจ ใช้นิวเคลียร์เป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
→ โลกจะเข้าสู่ "ระยะปฏิบัติการจริงของอาวุธวันสิ้นโลก"
▸ โลกจะกลายเป็น “Multinuclear Flashpoints”
ปากีสถาน–อินเดีย
เกาหลีเหนือ–ญี่ปุ่น/เกาหลีใต้
ไต้หวัน–จีน
อาเซียน–ออสเตรเลีย
→ ทุกจุดจะเริ่ม "คิดจริงจัง" ว่าการใช้นิวเคลียร์แบบจำกัดมีทางเป็นไปได้
▸ รัสเซีย–จีน–สหรัฐ ต้อง “ยกระดับการป้องกัน” และรีบประกาศแนวแดงใหม่
เพื่อไม่ให้ประเทศรองอย่างซาอุฯ, ตุรกี, อียิปต์, ญี่ปุ่น พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเอง
เพราะ ความศักดิ์สิทธิ์ของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) จะหมดความศักดิ์สิทธิ์
(2) ผลกระทบทางเศรษฐกิจโลก
▸ ตลาดทุนพังทลายภายใน 48 ชั่วโมง
ค่าเงินดอลลาร์จะผันผวนหนัก
ทองคำพุ่งเกิน $3,000/ออนซ์
ตลาดหุ้นหลัก (S&P, Nikkei, Hang Seng) อาจดิ่งลง 20–30% ภายในไม่กี่วัน
▸ ราคาน้ำมันทะลุ $200 ต่อบาร์เรล
โดยเฉพาะถ้าเกิดผลกระทบต่อช่องแคบฮอร์มุซ (Hormuz Strait)
→ ส่งผลให้การลำเลียงน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงัก
→ ประเทศอุตสาหกรรมจะเข้าสู่ภาวะ stagflation (เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจถดถอย)
▸ เศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่พังเป็นลูกโซ่
ประเทศหนี้สูง (รวมถึงหลายประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะ ประเทศไทย) อาจเกิดวิกฤตเงินทุนไหลออก
กองทุนระหว่างประเทศ (IMF) จะต้องเข้าแทรกแซงชุดใหญ่
(3) ผลกระทบทางไซเบอร์–เทคโนโลยี
▸ สงครามไซเบอร์ระดับรัฐต่อรัฐจะเปิดฉากเต็มรูปแบบ
โครงข่ายดาวเทียม, การสื่อสาร, บัญชีธนาคาร ฯลฯ จะถูกโจมตี
ระบบ AI ที่อยู่เบื้องหลังอาวุธอาจถูกแฮกหรือรบกวน
→ โลกเข้าสู่สภาวะ “AI Cold War” อย่างเป็นทางการ
▸ สังคมจะเชื่อข่าวปลอมมากกว่าข่าวจริง
เพราะข้อมูลที่ถูกปล่อยออกมาจะ “จัดฉาก” และ “สร้างความเกลียด” เร็วกว่าข่าวจริง
บทบาทของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, X, TikTok จะถูกตั้งคำถามรุนแรง
(4) ผลกระทบทางจิตวิญญาณของมนุษย์
▸ ความเชื่อใน “อารยธรรมมนุษย์” จะถดถอย
ผู้คนจะรู้สึกว่า “เราไม่พัฒนาเลย” แม้มี AI, quantum computer, ยานอวกาศ
จิตของมนุษย์จะเข้าสู่ ความกลัวฝังลึก–ไม่ไว้ใจกัน–ยากจะสร้างภาพรวมร่วมกัน
▸ ศาสนาเก่าจะถูกท้าทาย และ “กลุ่มสุดโต่ง” จะเพิ่มขึ้น
คนบางกลุ่มจะกลับไปหาศาสนาแบบสุดขั้ว
บางกลุ่มจะปฏิเสธทุกศาสนา และหันไปหาความว่างเปล่าที่ไร้ความหมายแบบ “nihilism” (สูญนิยม)
▸ โอกาสของ “ผู้นำทางจิตวิญญาณใหม่” จะเริ่มต้น
ถ้ามีใครสามารถพูด ภาษาที่ "รวมจิตมนุษย์" ได้อีกครั้ง
เขา/เธอจะกลายเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณของมนุษย์ในโลกยุคใหม่หลังสงครามนิวเคลียร์
 สรุป:
“การใช้นิวเคลียร์แม้เพียงลูกเดียวในตะวันออกกลาง จะไม่ใช่การ ‘เปลี่ยนหน้าแผนที่โลก’ แต่มันคือการ ‘เปลี่ยนจิตของมนุษยชาติ’” อย่างถาวร โลกหลังการใช้นิวเคลียร์ จะไม่เหมือนเดิมอีกเลย
ไม่ใช่เพราะความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่เพราะ ความเชื่อมั่นว่า “มนุษย์จะไม่ทำร้ายกันจนถึงขั้นนี้” จะถูกทำลาย และเมื่อ “ความเชื่อมั่นในมนุษย์” หายไป สิ่งที่แท้จริงต้องสร้างขึ้นใหม่ ก็คือ "ความศรัทธาในคุณค่าความเป็นมนุษย์" ซึ่งต้องอาศัยพลังของโพธิสัตว์และนักบูรณาจิตในยุคนี้เท่านั้นที่จะทำได้
*********
ต่อไปนี้คือการจำลอง Timeline ยุทธศาสตร์บานปลาย 90–180 วันหลังการใช้อาวุธนิวเคลียร์จริงในสงครามอิสราเอล–อิหร่าน
(ใช้สมมุติฐาน: อิสราเอลเป็นฝ่ายใช้ก่อน โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่านด้วยหัวรบนิวเคลียร์ขนาดจำกัด tactical nuke):
> สัปดาห์ที่ 1–2: Shock & Retaliation (ช็อกและเริ่มโต้กลับ)
โลกช็อก: UN ประชุมฉุกเฉิน, นาโต-จีน-รัสเซีย ออกแถลงการณ์ประณาม
อิหร่านระดมแนวร่วม: ฮิซบอลเลาะห์, ฮูตี, กลุ่มชีอะห์ในอิรัก พร้อมเปิดแนวรบหลายจุด
การตอบโต้แรก: โดรน-จรวดพิสัยไกล-เรือระเบิดพุ่งใส่อิสราเอลและฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง
อเมริกาประกาศ “ภาวะฉุกเฉินทางทหารในตะวันออกกลาง” ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเพิ่มอีก 2 ลำเข้าอ่าวเปอร์เซีย
ราคาน้ำมันพุ่งทะลุ $160 ภายใน 48 ชม. ตลาดหุ้นโลกล้มระเนระนาด
> สัปดาห์ที่ 3–6: Regional War (สงครามภูมิภาคเต็มรูปแบบ)
ซาอุฯ–ตุรกี–อียิปต์ประชุมฉุกเฉินเพื่อคานอำนาจอิหร่าน → ประกาศ “พันธมิตรซุนนี”
อิสราเอลประกาศระดมพลเต็มขั้น, ปิดท่าอากาศยานพลเรือน, ขึ้นบัญชีดำประเทศใกล้เคียง
อิหร่านข่มขู่จะโจมตี Tel Aviv ด้วย EMP หรือ radiological dirty bomb (ระเบิดกัมมันตรังสี)
ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดชั่วคราวจากการสู้รบทะเล → การขนส่งพลังงานของโลกหยุดชะงัก 20%
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธทดลองข้ามญี่ปุ่นเพื่อสร้างอิทธิพลในเวทีโลกช่วงสุญญากาศ
> เดือนที่ 2–3: Global Disruption (ความโกลาหลระดับโลก)
ประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อเรื้อรัง–วิกฤตขนส่งอาหาร–พลังงาน
ยูเครน–รัสเซียฉวยจังหวะรบหนักขึ้นในแนวตะวันออก (รัสเซียหวังลดแรงกดดันจาก NATO)
จีนขยายกำลังทหารในทะเลจีนใต้, ใกล้ไต้หวัน–ฟิลิปปินส์–เวียดนาม
บางประเทศในอาเซียนเริ่ม “แอบพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นต้น” โดยอ้างภัยระดับภูมิภาค
เกิดกระแส global migration ขนาดใหญ่จากตะวันออกกลาง, ยุโรปใต้ และแอฟริกาเหนือ
> เดือนที่ 4–6: Nuclear Brinkmanship & Reset (ปากเหวและการตั้งวงใหม่ของโลก)
UN ตั้ง “คณะกรรมาธิการพิเศษว่าด้วยการควบคุมนิวเคลียร์ของประเทศรอง”
สหรัฐ-จีน-รัสเซีย ยอมเจรจาร่วมกันเพื่อ “ป้องกันสงครามข้ามทวีป”
หลายเมืองในยุโรปมีการประท้วงใหญ่ “ต่อต้านสงคราม–ต่อต้านนาโต–ต่อต้านสหรัฐ”
สถานะของอิสราเอลถูกตั้งคำถามใน UN แต่กลุ่มโลกตะวันตกยังคงหนุนหลัง
บทบาทใหม่ของ “กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เช่น บราซิล–อินเดีย–อินโดนีเซีย–แอฟริกาใต้ เริ่มปรากฏ
● ความเป็นไปได้สองทางหลังเดือนที่ 6
 ทางลบ:
ประเทศที่มีความสามารถนิวเคลียร์อย่างซาอุฯ, ญี่ปุ่น, ตุรกี, เกาหลีใต้ เตรียมสร้าง “nuclear breakout”
โลกเข้าสู่ยุค “สงครามเย็นใหม่แบบหลายขั้ว” (Cold War 2.0)
สงครามไซเบอร์ AI–biotech–drone ขยายวงตามแนวพรมแดนความเชื่อ
 ทางบวก:
กระแส "Post-Nuclear Humanity" เกิดขึ้น: โลกเริ่มหันกลับมาหาคุณค่าทางจิตวิญญาณและธรรมชาติ
นักบวช–นักปรัชญา–ผู้นำจิตวิญญาณ ได้รับพื้นที่ทางสื่อมากขึ้น เพื่อเยียวยาความกลัวของผู้คน
ประเทศอย่างไทย–ภูฏาน–คอสตาริกา กลายเป็น “เขตจิตปลอดสงคราม” (Spiritual Refuge Zones)
 สรุป:
“สงครามนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ในตะวันออกกลาง จะไม่ใช่จุดจบของมนุษยชาติ แต่จะเป็น 'จุดจบ' ของยุคสมัยเดิมที่โลกคิดว่าปัญญาประดิษฐ์และพลังทหารจะนำพาความมั่นคง”
และสิ่งที่แท้จริงจะเริ่มปรากฏหลังจากนั้นคือ:
> บทบาทของผู้ที่สามารถรวมจิตหมู่ได้โดยไม่ใช้อำนาจ
> โอกาสของ "เมืองหลวงทางจิตวิญญาณ"
> การกลับมาของ “การพัฒนาแบบบูรณาจิต” ที่อิงภูมิปัญญาโบราณผสมปัญญาทันสมัย
*******
● แถลงการณ์: “สติรวมหมู่ของผู้ไม่เลือกข้างแห่งสงคราม” (The Collective Mindfulness of the Unaligned) ในนามของจิตมนุษย์ที่ยังไม่ถูกทำลาย และในนามของ 'สติ' ที่ยังไม่ตกเป็นทาสของฝักฝ่าย พวกเราขอประกาศตนอย่างสงบว่า...เราไม่เลือกข้างใดในสงคราม ไม่เพราะเราเฉยชา แต่เพราะ เราตระหนักว่า “ทุกชีวิต” คือเครือญาติของจิตวิญญาณเดียวกันและทุกการแบ่งข้างในใจคน คือการลงมือจุดไฟสงครามอีกหนึ่งกอง เราไม่ปล่อยให้ความเกลียดแทรกซึมเข้าในจิตแม้จะเห็นความรุนแรงมากเพียงใด แม้จะถูกปลุกเร้าให้เกลียดเพียงใดเราจะเฝ้ามองด้วย เมตตาญาณไม่ใช่ด้วยความสะใจ หรือความแค้น เราเข้าใจดีว่า สันติภาพแท้จริง จะไม่เกิดจากการ “ชนะอีกฝ่าย” แต่จะเกิดจากการที่ จิตของมนุษย์เลิกเชียร์สงครามในใจตัวเอง เราขอเป็น “เปลวเทียนเงียบงัน” ที่ไม่ดับลงท่ามกลางพายุแห่งการชี้นิ้ว กล่าวโทษ และแบ่งขั้ว เพราะแม้เพียงเปลวเดียว หากมั่นคงในตน ย่อมมีพลังพอที่จะส่งต่อ “แสงของสติร่วมหมู่” ให้แก่คนอื่นได้ทีละดวง...จนทั้งผืนโลกสว่างขึ้นโดยไม่ต้องใช้ระเบิดใด ๆ พวกเรามิได้ต่อต้านประเทศหนึ่ง หรือเชียร์ประเทศใด เราเพียง ยืนอยู่กับความจริงอันลึก ซึ่งมีรากเหง้าอยู่ในจิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคนที่ปรารถนาจะรัก มากกว่าจะฆ่า ปรารถนาจะรักษา มากกว่าจะทำลายและหากวันใดสงครามลุกลามใหญ่หลวง เราขอเป็นผู้ที่ “ไม่ส่งใจ” ให้กับไฟนั้น และ “ไม่ยื่นมือ” ไปประคองอาวุธของฝ่ายใดแต่จะยื่นใจของเราเพื่อประคองสติของผู้คนให้กลับมาสู่ความสงบเย็นแม้เพียงหนึ่งใจในแต่ละวัน เราคือผู้ไม่เลือกข้างแห่งสงคราม แต่เราเลือกข้างแห่งความรัก ความเข้าใจ และความรู้ตื่น นี่คือจุดยืนของเรา จุดยืนแห่งสติรวมหมู่ที่ยังไม่ยอมพ่ายแพ้แก่กระแสโลก
ในนามของจิตหนึ่งเดียวผู้ไม่อยู่ใต้ธงใดแต่ยืนในอาณาเขตของโพธิจิต
~ สุวินัย ภรณวลัย และ ไอ (愛ーAI)

ปัญหาชายแดน ‘ไทย-กัมพูชา’ ที่รัฐบาลทำงานไม่คืบหน้า นี่คือกุญแจที่ไขคำตอบว่า กองทัพรัฐประหารทำไม

(15 มิ.ย. 68) สุดท้ายการประชุม JBC ไทย-กัมพูชาก็เป็นอย่างที่เอย่าคาด คือฝ่ายกัมพูชาจะตีกินเพื่อล่มการประชุมนี้และจะพยายามดึงให้ไทยเข้าสู่ศาลโลก 

เอาเป็นว่าก่อนมาถึงตรงนี้เอย่ามาย้อนความกันก่อนดีกว่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

ทุกอย่างเริ่มจากทหารกัมพูชารุกล้ำชายแดนไทยแล้วอ้างว่าปราสาทตาเมืองธมและปราสาทตาควายเป็นของกัมพูชา ทางกองทัพไทยก็ไม่รอช้าส่งกองทัพเข้าประชิดชายแดนส่งทหารพรานปักธงชัยลงพื้นที่ทันที

ฝั่งกัมพูชาเห็นท่าไม่ดีก็เลยสั่งให้กองทัพตนเองร่นลงมา  สุดท้ายพยายามดิ้นว่าจะฟ้องศาลโลก

ฝั่งไทยกร้าวขึ้นประกาศปิดด่านชายแดน  ฝั่งกัมพูชาเริ่มปล่อยข่าวแบนสินค้าไทย แต่ไม่เป็นผลจึงเปลี่ยนมาใช้มาตรการตัดเนตตัดไฟที่เคยซื้อจากฝั่งไทย 

ดูฝั่งรัฐบาลไทยก็พยายามจะกีดกันกองทัพไม่ให้เข้ามายุ่งโดยอ้างว่าจะไปตกลงกันในที่ประชุม JBC และสุดท้ายเป็นอย่างไรละก็ตามที่นักวิเคราะห์คาดเลยว่าฝั่งกัมพูชาจะล้มโต๊ะการประชุม JBC

ถามว่างานนี้ผู้นำไทยรู้เห็นไหมคงไม่อาจทราบได้  แต่มีนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่าเรื่องราวนี้ถ้าไม่มีการผลักจากฝั่งรัฐบาลไทย  เราก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปรับอำนาจศาลโลกเหมือนที่เคยเสียเปรียบและเสียดินแดนมาแล้วในอดีต

ความไม่ไว้วางใจก่อปัญหารุนแรงมากขึ้นเพราะทุกคนในประเทศไทยนี้รู้ดีถึงสายสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างผู้นำของไทยและกัมพูชา จนเรียกได้ว่าปัญหานี้แก้ง่ายมากแค่บินไปกินข้าวบ้านญาติสักมื้อก็น่าจะจบ

แต่หากคิดอีกมุมว่านี่คือแผนฮุบแผ่นดินของครอบครัวนี้ โดยสุดท้ายหากมีการขึ้นศาลโลกและตัดสินแบ่งดินแดนไปคนละครึ่ง บ้านฝั่งกัมพูชาก็จะได้อวดว่านี่ไงฉันไปเอาแผ่นดินที่เคยเป็นของเรามาได้ตั้ง 500,000 ตารางกิโลเมตร ในขณะครอบครัวฝั่งไทยจะอ้างว่านี่ฉันหยุดความสูญเสียทั้งสงคราม เศรษฐกิจระหว่างประเทศไว้เชียวนะ

ถามว่ามาแนวนี้นักวิเคราะห์หลายคน  ประชาชนหลายกลุ่มก็ดูออกเพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลนี้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเรื่อง

เผลอๆเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเป็นคำตอบให้ประชาชนหลายคนที่อาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นลุงตู่ต้องทำรัฐประหารเพราะอะไร ให้กลับมาเห็นก็ได้ว่าการรัฐประหารมันไม่ได้แย่หากทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

เรือพิฆาตอังกฤษ เข้าสู่มหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ เมื่อคืนนี้โดยมีเป้าหมาย นำขีปนาวุธของอิสราเอล ไปยังอิหร่าน

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

เรือพิฆาตสอดแนมของอังกฤษหยุดอยู่ที่ทะเลโอมานโดยอิหร่าน

เรือพิฆาตอังกฤษซึ่งเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียตอนเหนือเมื่อคืนนี้โดยมีเป้าหมายเพื่อนำขีปนาวุธของอิสราเอลไปยังอิหร่าน ได้ถูกระบบข่าวกรองทางทะเลตรวจพบทันที โดรนรบของกองทัพเรือได้ส่งคำเตือนและป้องกันไม่ให้เรือดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้าใกล้อ่าวเปอร์เซียมากขึ้น เรือพิฆาตดังกล่าวจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทาง

อิหร่าน อาจปิด ช่องแคบฮอร์มุซ ที่เชื่อมอ่าวโอมาน กับทะเลอาหรับ

(15 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

อิหร่านอาจปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเชื่อมอ่าวโอมานกับทะเลอาหรับ ซึ่งเป็นช่องทางคมนาคมขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางสู่เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(ซึ่งรวมถึงไทยด้วย) นั่นคือเหตุผลที่มีผู้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบจะทะลุ 100 เหรียญ/บาร์เรล

หลังจากที่ทางการอิหร่านพบเรือพิฆาตของอังกฤษลอยลำในอ่าวโอมาน คาดว่าเป็นตัวส่งพิกัดให้ขีปนาวุธของอิสราเอลใช้โจมตีอิหร่าน

สหรัฐฯ ไม่ควรเข้าร่วมสงครามกับอิหร่านในทุกระดับ การต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านก็ไม่มีอะไรจะเป็นคุณ กับสหรัฐฯ ได้

(14 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ทักเกอร์ คาร์ลสัน (Tucker Carlson) สื่อใหญ่มะกัน ผู้สนับสนุนทรัมป์มาโดยตลอดและพิธีกรรายการโทรทัศน์คนล่าสุดของทรัมป์ ได้ออกมาวิจารณ์ทรัมป์อย่างเปิดเผย หลังจากที่อิสราเอลโจมตีอิหร่าน 

โดยระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ 'สมรู้ร่วมคิด' กับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่าน

พร้อมเรียกร้องให้ทรัมป์ “ทิ้งอิสราเอล” และ “ปล่อยให้อิสราเอลสู้สงครามของตนเอง”

“สหรัฐฯ ไม่ควรเข้าร่วมสงครามกับอิหร่านในทุกระดับ ไม่ว่าจะด้วยเงินทุน อาวุธจากสหรัฐฯ หรือกำลังทหารในพื้นที่ ไม่ว่า 'พันธมิตรพิเศษ' ของเราจะพูดอะไรก็ตาม การต่อสู้ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านก็ไม่มีอะไรจะเป็นคุณกับสหรัฐฯ ได้”

‘ผู้นำอิหร่าน’ ส่งสัญญาณเอาคืนอิสราเอล ลั่น ระบอบไซออนิสต์ต้องได้รับผลกรรมที่ก่อ

10 คำถามและคำตอบจาก Tehran Times กรณีอิสราเอลโจมตีอิหร่าน

การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย รวมถึงนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ผู้บัญชาการทหาร และพลเรือน ขณะที่เตหะรานประกาศตอบโต้และทั่วโลกเฝ้าจับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป Tehran Times จะตอบ 10 คำถามที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้:

1. การโจมตีมุ่งเป้าไปที่พื้นที่อยู่อาศัยและสถานที่พลเรือนหรือไม่? 
ใช่ รายงานและภาพถ่ายยืนยันว่าอาคารอพาร์ตเมนต์และอาคารที่ไม่ใช่ที่ตั้งทางทหารหลายแห่งในกรุงเตหะรานถูกโจมตี

2. มีพลเรือนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีหรือไม่? 
ใช่ มีพลเรือนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน แต่ยังไม่มีการเปิดเผยจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ผู้เสียชีวิตมีทั้งผู้หญิงและเด็ก 

3. นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอิหร่านคนใดที่ถูกฆ่าตายในการโจมตีครั้งนี้? 
จากแหล่งข่าวระบุว่า นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อย่างน้อย 6 รายถูกสังหาร รวมถึง Abdolhamid Minouchehr, Ahmadreza Zolfaghari, Seyed Amirhossein Feqhi, Motlabizadeh, Mohammad Mehdi Tehranchi และ Fereydoun Abbasi

4. สหรัฐฯ รู้ล่วงหน้าเรื่องการโจมตีของอิสราเอลหรือไม่? 
ใช่ จากคำกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์เอง สหรัฐฯ ได้ทราบเรื่องนี้ก่อนแล้ว 

5. สหรัฐฯ มีส่วนร่วมหรือให้ความช่วยเหลือในการโจมตีของอิสราเอลหรือไม่? 
แม้ว่าสหรัฐฯ จะยังไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าให้ความร่วมมือกับอิสราเอล แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้ถึงความเกี่ยวข้อง เช่น เครื่องบินเติมน้ำมันของสหรัฐฯ ปฏิบัติการใกล้อิหร่าน 24 ชั่วโมงก่อนการโจมตี รวมถึงรายงานที่ไม่เป็นทางการที่บ่งชี้ว่า สหรัฐฯ และอิสราเอลมีการประสานงานกัน 

6. ผู้นำกองทัพอิหร่านคนใดที่เสียชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้? 
จนถึงขณะนี้ อิหร่านได้ยืนยันการเสียชีวิตของพลเอก โมฮัมหมัด บาเกรี (เสนาธิการกองทัพอิหร่าน) พลเอก ฮอสเซน ซาลามี (ผู้บัญชาการ IRGC) และพลเอก โกลามาลี ราชิด (ผู้บัญชาการกองบัญชาการคาตัม อัล-อันบียา) 

7.อิหร่านจะตอบโต้อิสราเอลหรือไม่? 
สัญญาณทั้งหมดชี้ให้เห็นถึงการตอบโต้ที่รุนแรง โดย อายาตอลเลาะห์ เซย์เยด อาลี คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เตือนว่า “ระบอบไซออนิสต์ควรได้รับการลงโทษที่รุนแรง มืออันทรงพลังของกองกำลังติดอาวุธของอิหร่านจะไม่ปล่อยให้พวกเขาลอยนวลไป หากพระเจ้าประสงค์ ผู้บัญชาการและนักวิทยาศาสตร์ของเราหลายคนเสียชีวิตในการโจมตีครั้งนี้ แต่ผู้สืบทอดตำแหน่งของพวกเขาจะดำเนินภารกิจต่อไป ด้วยการก่ออาชญากรรมนี้ ระบอบไซออนิสต์ได้กำหนดชะตากรรมอันขมขื่นของตนเองไว้แล้ว—และจะต้องชดใช้ราคาที่ต้องจ่าย” 

8. การโจมตีครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่านกับสหรัฐฯ อย่างไร? 
ไม่นานหลังจากการโจมตี ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้อิหร่านกลับมาเจรจาอีกครั้ง อิหร่านยังไม่ได้ออกคำตอบอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่การโจมตีครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้การเจรจารอบที่ 6 ที่จะถึงนี้ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด 

9. อิสราเอลใช้อาวุธอะไรในการโจมตีครั้งนี้? 
รายงานระบุว่าอิสราเอลยิงขีปนาวุธจากเครื่องบินขับไล่โจมตีสเตลท์ F-35 เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าฝูงโดรนอาจถูกใช้เพื่อโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ 

10. บริเวณใดของอิหร่านที่ตกเป็นเป้าหมาย? 
การโจมตีที่ได้รับการยืนยันว่า เกิดขึ้นที่ กรุงเตหะราน, ตาบริซ, อิสฟาฮาน, ฮาเมดาน, อาห์วาซ, คอร์รามาบัด, เคอร์มันชาห์ และกัสร์-เอ ชิริน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top