Monday, 5 June 2023
WORLD

วิเคราะห์ ‘การเงิน-เทคโนโลยี-พลังงานโลก’ วิวัฒนาการพาสังคมโลกเพื่อก้าวไปสู่ยุคใหม่

(17 เม.ย.66) รายงานว่า ล่าสุด Elon Musk เริ่มเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่!!! หลังจากเขาประกาศจัดตั้งบริษัท ‘X’ เพื่อพัฒนา AI ขั้นสูงมาแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI, Microsoft และ Bard AI ของ Google โดยตรง ! แม้ก่อนหน้านี้พึ่งออกมาเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงเอาไว้อย่างน้อย 6 เดือนเพราะโดยอ้างเหตุผลว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก ทำให้ชาวโลกเกิดคำถามว่าที่ออกมา Discredit อยู่นี้เป็นเพราะแค่กลัวตามคนอื่นไม่ทันหรือไม่? เพราะปากบอกให้โลกหยุด แต่ตัวเองกลับจัดตั้งบริษัทพัฒนา AI ซะเอง!?

เขาก่อตั้งบริษัท X และพึ่งรวมถึง Twitter เข้าไปด้วย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาในการสร้าง ‘Everything App’ หรือกล่าวคือแอปพลิเคชั่นอเนกประสงค์ตัวเดียวที่ตอบสนองได้แทบทุกอย่างในชีวิตประจำวันทางอินเตอร์เน็ตของมนุษย์

ตอนนี้เจ้าพ่อ Tesla กำลังสรรหาวิศวกรจากแล็บ AI ชั้นนำของโลกมาร่วมงาน ซึ่งรวมถึง DeepMind ของ Alphabet (บริษัทแม้ของ Google) ในขณะที่เขาสำรวจแนวคิดและแผนการของบริษัทคู่แข่งที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือ OpenAI ที่ Microsoft เข้าไปลงทุน และแน่นอนว่า Elon Musk นั้นไม่ถูกกับ Bill Gates เลย (เท่าที่สื่อรายงานออกมาตลอดหลายปี)

Musk เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในยุคแรก แต่สุดท้ายก็ลาออกเนื่องจากมีความขัดแย้งกับแนวทางของผู้บริหารคนอื่น ๆ โดยหลังจากเขาลาออกมา OpenAI ก็ได้เปลี่ยนแนวทางและเริ่มหาทางเพิ่มผลกำไร พร้อมกับได้รับเงินระดมทุนจาก Microsoft มา 1 พันล้านดอลลาร์ก่อนที่จะเพิ่มทุนอีก 10x เท่าเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อ ChatGPT เปิดตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น เมื่อดูฉากหลังที่ Elon Musk กับ Bill Gates ไม่ถูกคอกันแล้ว ก็น่าสนใจว่า X จะพัฒนา AI มาแข่งขันกับ OpenAI และ Microsoft ได้ดีแค่ไหน? และจะสามารถตามกลุ่มผู้นำได้ทันหรือไม่? เพราะการที่ Musk เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้โลกหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงชั่วคราวนี้ แต่ตัวเขาเองก็เร่งพัฒนา AI อยู่ซะงั้น (มีรายงานว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้สั่งซื้อ Chip ขั้นสูงของ Nvdia ราว 10,000 ตัวเพื่อนำไปพัฒนา AI)

ดูเหมือน Elon Musk จะเคยด่าว่า ChatGPT นั้นมีอคติทางการเมืองและเป็นอันตราย ขณะที่เขากล่าวว่าต้องการพัฒนา AI ที่มีความสมจริงมากขึ้น ย้อนแย้งกับที่เขาเรียกร้องให้คนอื่นหยุดพัฒนา AI ขั้นสูงอย่างสิ้นเชิงแบบตรงข้าม 180 องศา!

ขณะเดียวกัน เขาพึ่งเจรจากับบริษัท Etoro ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ชื่อดังของโลก เพื่อทำให้ Twitter สามารถเชื่อมต่อกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในอนาคต โดยคาดว่าจะเปิดให้ซื้อ-ขายหุ้นและเหรียญต่าง ๆ ได้ด้วย ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าการสร้าง Everything App ของเขาจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด?

สิ่งที่แน่นอนอย่างหนึ่งคือในอนาคต AI เหล่านี้จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ว่ามันจะก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่นั่นก็จะเป็นไปพร้อมกับการที่ความต้องการแรงงานมนุษย์ลดลงในระยะยาว และมนุษย์ก็จะต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงานในอนาคตไปอีกมาก เพื่อให้เชื่อมโยงกับความฉลาดของ AI ที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ

📌 อย่างที่ World Maker เคยรายงานไปแล้วว่ามีงานวิจัยชิ้นหนึ่งจาก Goldman Sachs ระบุว่า AI อาจแทนที่งานมนุษย์ในปัจจุบันได้ถึง 300 ล้านตำแหน่งเป็นอย่างน้อย และทุกวันนี้งานต่าง ๆ ก็เริ่มใช้ AI เข้ามาคุมเป็นแบบระบบอัตโนมัติมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงยุคเริ่มต้นของ Generative AI ที่จะฉลาดล้ำกว่า AI ยุคเก่า ๆ อีกหลายเท่าตัว ตามที่ Bill Gates กล่าวว่ามันสำคัญพอ ๆ กับการกำเนิดของคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างมาก

และพร้อม ๆ กันนี้ ทางด้านฮ่องกงก็กำลังเร่งให้ธนาคารต่าง ๆ มีการรับลูกค้าที่เป็นบริษัท Crypto มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากออกมาประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตโลก ซึ่งเป็นการกลับลำ 180 องศาเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีว่าไม่เอา Crypto และถึงกับสั่งห้ามไม่ให้คนในประเทศไปยุ่งเกี่ยวกับมัน แต่หลังจากเกิดวิกฤตหายนะเช่น LUNA และ FTX ที่ทำให้ผู้บริโภคสูญเงินไปมหาศาล จีนก็เริ่มเปลี่ยนหน้ามาสนับสนุนคริปโตโดยทันที

ซึ่งในอนาคต ฮ่องกงจะสนับสนุน Crypto โดยมีกฏหมายรองรับอย่างเป็นทางการให้บริษัทสามารถ List เหรียญได้และให้ผู้บริโภครายย่อยเข้าไปลงทุนได้อย่างสะดวกง่ายดาย หน่วยงานในฮ่องกงของ Bank of Communications ของจีนกำลังทำงานร่วมกับบริษัท Crypto หลายแห่งที่ได้รับอนุญาตในเมือง และกำลังเจรจากับบริษัทที่ได้รับการควบคุมอื่น ๆ เกี่ยวกับการเปิดบัญชี

เหรียญหลัก ๆ ที่ถูกพูดถึงในฮ่งอกงตอนนี้ก็คือ Bitcoin, Ether และ Tether ซึ่ง 2 เหรียญแรกเคยเป็นกระแสก่อนหน้านี้ และเคยมีสื่อไทยบางแห่งออกมาหลอกเงินชาวบ้านเชียร์ซื้อ Bitcoin ที่ยอดดอยก่อนราคาร่วงยับ -80% ขณะที่ความเคลื่อนไหวของฮ่องกงเป็นไปเพื่อที่จะพยายามรักษาตำแหน่งจุดศูนย์กลางการเงินโลกของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากตั้งแต่รัฐบาลจีนแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และตะวันตกมากขึ้น รวมถึงการยึดอำนาจ และปรับเปลี่ยนกฏระเบียบต่าง ๆ ก็ได้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อตลาดฮ่องกงไป

พูดง่าย ๆ ว่าความเคลื่อนไหวเชิงผ่อนคลายของฮ่องกงต่อตลาด Crypto ในตอนนี้ ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกหลายชาติที่กำลังปราบปรามคริปโตอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทางรัสเซียเองก็เพึ่งประกาศเชื่อม Metamask และ Ethereum Blockchain เข้ากับระบบการเงินของ Sberbank ทำให้เราพอจะเห็นภาพฉายได้ว่าตลอดที่ผ่านมาจีน-รัสเซียมีส่วนชักใยอยู่เบื้องหลังคริปโตเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอดูกันว่าความพยายามของจีน-รัสเซียในการดัน Crypto (รวมถึงทองคำและหยวน) ขึ้นมาเพื่อทุบอำนาจของดอลลาร์ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ? ซึ่งหากดูจากทรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ คริปโตเหมือนจะมาแรงแต่สุดท้ายก็พังยับ และแม้ว่าในปัจจุบันจะฟื้นตัวมาเล็กน้อย แต่ในแง่ของความเชื่อมั่นก็อาจต้องรอดูว่าจะมั่นคงในระยะยาวได้ไหม ? โดยปู่ Warren Buffet เป็นนักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งที่ออกมาด่าว่า Bitcoin และ Crypto นั้นไร้ค่าและจะพบจุดจบไม่สวยงาม ในขณะที่บางคนก็เชียร์ว่า Bitcoin และ Crypto จะสามารถล้มดอลลาร์ได้

(**ทั้งนี้ก็อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ CBDC ที่จะเข้ามามีบทบาทอีกมากในอนาคต ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันโดยตรงต่อ Crypto ขณะที่เงินดอลลาร์นั้นเผชิญข่าวกระหน่ำว่าจะกลายเป็นแบงก์กงเต็ก แต่หากดูตามสภาพจริงตอนนี้ดอลลาร์ยังครองการค้าโลกอยู่ถึง 88%**)

⚠️ กลับมาทางด้านสหรัฐฯ...ท่ามกลางฉากที่ดุเดือดในแง่ของ AI และการเงินโลกตอนนี้ พบว่ามหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลกมีการอัดฉีดเงินลงทุนในภาคเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นถึง 20x เท่าเมื่อเทียบจากปี 2019 ! ซึ่งเป็นการแสดงให้เห้นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังเอาจริงในการยกระดับเทคโนโลยีของตัวเองไปอีกขั้น จากที่เป็นผู้นำโลกอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้ก้าวล้ำขึ้นไปอีก

ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะรวมไปถึง AI, คอมพิวเตอร์, ควอนตัม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-การแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนอย่างน้อย 2 แสนล้านดอลลาร์ ! และยังเป็นการปรับเปลี่ยน Supply Chain เพื่อลดการพึ่งพาจีนลงอีกด้วย ท่ามกลางความตึงเครียดของ 2 ขั้วอำนาจโลก

ทางกลุ่มประเทศ G7 เองก็พึ่งออกมาให้คำมั่นว่าจะเร่งการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ปล่อยคาร์บอนสูงให้เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยจะยกระดับความจริงจังในการลด ละ เลิก การใช้พลังงานเก่าและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาทดแทน

ตัวเลขคร่าว ๆ ที่เปิดเผยออกมาคือจะเพิ่มการผลิตพลังงานจาก Solar Cells ขึ้นอย่างน้อย 3x เท่าและเพิ่มการผลิตพลังงานจากลมอย่างน้อย 7x เท่าภายในปี 2030 (เทียบจากระดับในปี 2021) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการปล่อยคาร์บอนให้ใกล้เคียงกับ 0 ภายในปี 2050

นั่นหมายความว่าปริมาณการใช้น้ำมันดิบ ถ่านหิน และพลังงานเก่าอื่น ๆ จะลดลงเร็วขึ้นเมื่อเทียบจากในอดีต ซึ่งเมื่อเรานำมารวมกับภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ว่านี่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

(**เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ปัจจุบันโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วประมาณ 1.1 องศาเซลเซียสนับตั้งแต่ก่อนยุคอุตสาหกรรม ขณะที่ประเทศชั้นนำทั่วโลกกำลังหาทางป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกพุ่งขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส**)

📌 แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมหากาพย์เช่นนี้จะต้องมีผลกระทบในระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่โลกจะไปสู่ยุคใหม่ แปลว่าตลาดการเงินโลกและสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจและภาคเศรษฐกิจ Real Sectors จะต้องเผชิญความผันผวนในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน’ โอกาสใหม่เศรษฐกิจ ‘จีน-แอฟริกา’ ช่วยกลุ่มธุรกิจเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น ลดต้นทุนรอบด้าน

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า หนังสือพิมพ์ข้อมูลเศรษฐกิจรายวัน (Economic Information Daily) สังกัดสำนักข่าวซินหัวรายงานเมื่อไม่นานนี้ว่า ‘อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน’ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วระหว่างจีนและแอฟริกา โดยทำให้มีสินค้าจากแอฟริกาเข้าสู่ตลาดจีนเป็นจำนวนมาก

ผู้ขายกาแฟจากเอธิโอเปีย ซอสพริกจากรวันดา ชาดำจากเคนยา ช็อกโกแลตจากกานา เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากแทนซาเนีย ฯลฯ เข้าถึงผู้บริโภคชาวจีนได้อย่างง่ายดาย ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

มีสินค้ามากกว่า 200 ชนิดจากกว่า 20 ประเทศในทวีปแอฟริกา ที่ได้รับการแนะนำสู่สายตาผู้บริโภคชาวจีนผ่านการสตรีมมิง หรือ ไลฟ์สด บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ ที่จัดขึ้นโดยจีนตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.- 12 พ.ค. ปี 2022 เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าจากแอฟริกา โดยข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ชี้ว่ายอดขายชาดำของเคนยาและยอดขายกาแฟเอธิโอเปียในช่วงเทศกาลดังกล่าว เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 409 และร้อยละ 143.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับยอดในปี 2021

ขณะที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนของจีน เช่น คิลิมอลล์ (Kilimall) อาลีบาบา (Alibaba) คิคู (Kikuu) และ ชีอิน (Shein) ก็พยายามที่จะเจาะเข้าสู่ตลาดแอฟริกาเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น คิลิมอลล์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ก่อตั้งในเคนยาเมื่อปี 2014 และมีห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่อยู่ในจีน ได้เปิดบริการธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ บริการชำระเงินผ่านมือถือ และบริการขนส่งข้ามพรมแดน แก่ผู้ใช้งานในแอฟริกากว่า 10 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเคนยา ยูกันดา และไนจีเรีย เกิดการสร้างงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่งให้กับคนในท้องถิ่น

นักวิทย์จีน’ ยืนยัน รอยบุ๋มที่พบในร้านอาหารทางตอนใต้ของจีน อาจเป็น ‘รอยเท้า’ ของ ‘ไดโนเสาร์ซอโรพอด’ อายุนับ 100 ล้านปี

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 66 สำนักงานข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า ฟอสซิลรอยเท้าไดโนเสาร์ที่พบในร้านอาหารแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เป็นของไดโนเสาร์คอยาวที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 100 ล้านปีก่อน

การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วโดยลูกค้าร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นไวรัลทั่วโลกเนื่องจากเป็นการพบรอยเท้าในสถานที่ที่แปลกไปจากเดิม ปัจจุบัน ทีมนักบรรพชีวินวิทยานานาชาติได้เผยแพร่การค้นพบนี้ในวารสารครีเทเชียส รีเสิร์ช (Cretaceous Research) ฉบับล่าสุด หลังจากพวกเขาใช้เครื่องสแกนสามมิติเพื่อวิเคราะห์ ‘รอยเท้า’ ที่พบในร้านอาหารเหล่านี้

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า กลุ่มรอยเท้า ซึ่งมีความยาวตั้งแต่ 50-60 เซนติเมตรเหล่านี้ อาจเป็นของไดโนเสาร์ซอโรพอดที่มีความยาว 8-10 เมตร จำนวนหนึ่ง ซอโรพอดมีหัวเล็ก คอยาว หางยาว และถูกกล่าวขานว่า ‘เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยอาศัยอยู่บนบก’ เท่าที่มีข้อมูลจวบจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมานี้มีย่างก้าวที่สั้นมาก พวกมันเดินทางได้ไกล 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

วันที่ 10 ก.ค. 2022 โอวหงเทา ลูกค้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเล่อซานของมณฑลเสฉวน สังเกตเห็นรอยยุบที่แปลกตาบนพื้นของร้าน ด้วยความที่เขาสนใจศึกษาความรู้ด้านบรรพชีวินวิทยา จึงสันนิษฐานว่า รอยดังกล่าวน่าจะเป็นรอยเท้าไดโนเสาร์ ก่อนจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง รองศาสตราจารย์สิงลี่ต๋า จากมหาวิทยาลัยธรณีศาสตร์แห่งประเทศจีน (China University of Geosciences) ให้มาตรวจสอบ

6 วันถัดมา รองศาสตราจารย์สิงได้นำทีมนักวิจัยเข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากองค์พระใหญ่เล่อซาน พระพุทธรูปหินสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจีน ไปเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น

'บ.ยานยนต์จีน' เตรียมตั้งฐานการผลิตใน 'ประเทศไทย' ทุ่มเงินลงทุนกว่า 885 ลบ. สะท้อนความเชื่อมั่น ศก. ไทย

(16 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 66 ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัล หนังสือพิมพ์หลักทรัพย์ในสังกัดสำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า บริษัทฉางสู ทงรุ่น ออโต แอกเซสซอรี จำกัด (Changshu Tongrun Auto Accessory Co., Ltd.) มีแผนสร้างฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศไทย ด้วยวงเงินลงทุนไม่เกิน 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 885 ล้านบาท)
         
แถลงการณ์ของบริษัทฯ ระบุว่า ฐานการผลิตใหม่นี้จะผลิตแม่แรงยกรถยนต์ แม่แรงไฮดรอลิก ตู้เครื่องมือช่าง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และโดยหลักแล้วจะส่งขายในตลาดสหรัฐ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
         
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการฐานการผลิตในไทยแห่งนี้จะเริ่มก่อสร้างในเดือนส.ค. 66 และมีระยะเวลาก่อสร้างตามแผนงานนาน 12 เดือน โดยจะก่อสร้างทั้งโรงงานใหม่ คลังสินค้า อาคารสำนักงานเพื่อการวิจัยและพัฒนาและเพื่อการซื้ออุปกรณ์

บริษัทฉางสู ทงรุ่น ออโต แอกเซสซอรี กล่าวว่า การลงทุนในฐานการผลิตแห่งใหม่ในประเทศไทยนั้นจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และเอื้อต่อการบูรณาการทรัพยากรของบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขีดความสามารถของบริษัทในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงโดยรวม


ที่มา : https://news.ch7.com/detail/637421?fbclid=IwAR1kyrJIwxvahDAPL3Ky5uRGezEGlb7MHeNqsXqnSqV9UwzMTjmEWJg1AO8

'สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา' ยุทธศาสตร์เชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ สร้างมูลค่าการค้ามหาศาลต่อไทย ใต้รัฐบาลที่ถูกตราหน้าว่า 'เผด็จการ'

ไม่รู้ว่าคนไทยจะทราบกันหรือไม่ว่า 'สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา' แห่งที่ 2 ถือเป็นโครงการที่สร้างมูลค่าการระหว่างประเทศระหว่างไทยกับเมียนมา ผ่านด่านชายแดนถาวรแม่สอดให้กับประเทศไทยในปีที่ผ่านมาสูงถึง 105,426 ล้านบาทนั้น ซึ่งถูกผลักดันมาจากรัฐบาลที่ตอนนั้นใครๆ เรียกว่า 'เผด็จการ' 

เอย่าจำได้ว่า ตอนนั้นรัฐบาลเผด็จการมีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลถึงการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ โดยหวังให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมทั้งทางบก, น้ำ และอากาศ ในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียในอนาคต ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้มีการเชื่อมโยงด้านระบบโลจิสติกส์ทั้งระบบเป็นแบบ 'ไร้รอยต่อ' หรือที่เรียกว่า Seamless Connectivity

แต่ก่อนอื่น เอย่าขอเล่าถึงปฐมบทของเรื่องราวนี้ก่อน โดยขอย้อนกลับไปในสมัยยุคที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งในช่วงเวลานั้น 'นายอลงกรณ์ พลบุตร' ได้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ และมีการลงพื้นที่สำรวจและประชุมร่วมกันกับ หอการค้าจังหวัดตาก และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 2 อยู่หลายรอบ เพื่อการริเริ่มโครงการสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เป็นผลสำเร็จ อันเนื่องมาจากมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา ณ ชายแดนแม่สอด -เมียวดี เจริญเติบโตขึ้นทุกๆ ปี อาจส่งผลทำให้เกิดความหนาแน่นจากรถบรรทุกที่ข้ามสะพานแห่งที่ 1 ได้ จนทำให้การจอดรอของรถบรรทุกต่างๆเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรในตัวเมืองแม่สอด ที่ทำให้เกิดปัญหาการจราจรในตัวเมืองแม่สอด

อย่างไรก็ตาม โครงการการก่อสร้างสะพานฯ และ ถนนเลี่ยงเมือง ก็ได้หยุดชะงักลง พร้อมกับการยุบสภาของ 'นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ในตอนนั้น กลับกันตลอด 3 ปีที่ได้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจมาเป็น 'พรรคเพื่อไทย' ก็ไม่ได้มีการพัฒนาโครงการนี้ต่อ ด้วยสาเหตุทางการเมือง เพราะพื้นที่จังหวัดตากไม่ใช่พื้นที่คะแนนเสียงหรือฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จนกระทั่งมาถึงวันเกิดรัฐประหารขึ้น โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 

ทว่า หลังจาก 2 เดือนของการรัฐประหาร รัฐบาล คสช.ในขณะนั้น ได้มีการส่งทีมเศรษฐกิจของ คสช. เข้ามาลงพื้นที่สำรวจและพูดคุย จึงได้เริ่มมีการปัดฝุ่นโครงการสะพานมิตรภาพ ไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้จากการร่วมผลักดันของหอการค้าจังหวัดตากและจังหวัดตาก รวมถึงการใช้ ม.44 ในเวลานั้น ทำให้รัฐบาล คสช. ได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อเริ่มโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 นี้ขึ้นมาใหมา โดยได้เริ่มก่อสร้างในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 และแล้วเสร็จเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562

‘ไทย’ รุกคว้าโอกาสธุรกิจ หลัง ‘รถไฟจีน-ลาว’ เปิดให้บริการ หวังเพิ่มทางลัดส่งออกสินค้าไทย จากหนองคายสู่ตลาดจีน

(15 เม.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, หนองคาย ประเทศไทย รายงานว่า นายธนภัทร ยุทธเกษมสันต์ ผู้ประกอบการไทยวัย 43 ปี ซึ่งทำธุรกิจเอ็สเอ็มอี (SMEs) ด้านไอทีในจังหวัดหนองคาย บอกเล่าความรู้สึกของการเดินทางด้วยทางรถไฟจีน-ลาวครั้งแรก ซึ่งน่าประทับใจ สะดวกสบาย และสะอาดมาก ยกเว้นเพียงการซื้อบัตรโดยสารที่ค่อนข้างยาก เพราะมีคนอยากซื้อเยอะมากเช่นกัน

ทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2021 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟสายนี้ในช่วงวันหยุด เช่นเดียวกับนายธนภัทรที่ขึ้นรถไฟไปยังบ่อเต็น จุดเชื่อมต่อข้ามไปยังมณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน สวนกระแสชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่เลือกนั่งรถไฟไปพักผ่อนหย่อนใจในแขวงหลวงพระบาง

นายธนภัทร ตระหนักถึงโอกาสสำคัญที่เพิ่มขึ้นหลังจากทางรถไฟจีน-ลาว เปิดบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดน เมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) เพราะกลายเป็นช่องทางลัดสู่ตลาดจีนสำหรับผู้ประกอบการในจังหวัดหนองคาย ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพมหานคร

นายธนภัทร ชี้ว่า คนหนองคายไม่จำเป็นต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปจีนอีกแล้ว ซึ่งช่วยลดระยะทางระหว่างชุมชนธุรกิจและตลาดจีน โดยเขากำลังจับตามองพื้นที่บางส่วนของอวิ๋นหนาน ที่อาจเป็นตลาดส่งออกชั้นดีสำหรับสินค้าไทยจากหนองคาย เช่น แคว้นปกครองตนเองสิบสองปันนา กลุ่มชาติพันธุ์ไท ซึ่งมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับไทย

เมื่อวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) นายธนภัทร เผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า เขาหวังขยายตลาดสำหรับสินค้าไทย เพราะตลาดจีนมีขนาดใหญ่มาก และหวังว่าทางรถไฟสายนี้จะเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะทำให้สามารถส่งออกสินค้าไปยังภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หรือแม้แต่กรุงปักกิ่ง

นอกจากนี้ การบริการขนส่งผู้โดยสารข้ามพรมแดนของทางรถไฟจีน-ลาว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนได้มากขึ้น นายธนภัทรจึงหวังว่า บริการนี้จะช่วยเปิดโอกาสสำหรับการร่วมงานกับธุรกิจจีนด้วย โดยเขาหวังว่าผู้ประกอบการจากจีนจะมาที่หนองคาย เพราะตัวเลขผู้ประกอบการที่มีมากขึ้นหมายถึงโอกาสที่เพิ่มมากตามไปด้วย

‘ชาวอียิปต์’ เดือด!! รัฐบาลแนะกิน ‘ตีนไก่-กีบเท้าวัว’ บรรเทาจน ขัดวัฒนธรรมผู้คนที่มองเป็นเศษอาหารเหลือทิ้งให้หมาแมวกิน

ไอเดียบรรเจิดหรือไม่...ไม่รู้? แต่ไอเดียแก้ปัญหาของรัฐบาลอียิปต์ ด้วยการออกคำแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค ‘ตีนไก่-กีบเท้าวัว’ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ ก็ดูจะสร้างความไม่พอใจต่อประชาชนในประเทศอย่างมากเลยทีเดียว

ปัญหาความยากจนและภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนในหลายประเทศต้องแบกรับ หนึ่งในนั้น ก็รวมถึงในประเทศอียิปต์ ที่เงินเฟ้อทะยานขึ้นแตะ 30% จนทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท พุ่งขึ้น 2-3 เท่า

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินปอนด์อียิปต์ร่วงลงกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศลดค่าเงินหลายครั้ง ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับการนำเข้าสินค้า

ราคาอาหารคนและอาหารสัตว์ ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้หลายครอบครัวไม่สามารถซื้อ แม้แต่วัตถุดิบง่าย ๆ อย่างน้ำมันพืช หรือชีสได้

ปีที่แล้ว วีแดด (Wedad) คุณแม่วัยเกษียณชาวอียิปต์ ใช้ชีวิตอย่างไม่ขัดสนแบบคนชนชั้นกลาง อาศัยเงินบำนาญประมาณ 5,500 บาท ที่ได้รับทุกเดือน แต่ปัจจุบัน เธอเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับทุก ๆ คน คือ ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน

วีแดด บอกว่า เธอต้องลดการกินเนื้อ เหลือแค่เดือนละครั้ง บางเดือนก็ไม่กินเลย แต่ก็ยังซื้อไก่กินอาทิตย์ละครั้ง โดยราคาไก่ทั้งตัว ปัจจุบันอยู่ที่ กก.ละเกือบ 78 บาท จากเดิมอยู่ที่ กก.ละ 33 บาทในปี 2021 ส่วนราคาไข่ไก่ทุกวันนี้ พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ฟองละเกือบ 6 บาทแล้ว

***จากสภาวะความยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้รัฐบาลอียิปต์ผุดไอเดียออกคำแนะนำให้ประชาชนหันมาบริโภค ‘ตีนไก่’ และ ‘กีบเท้าวัว’ ที่มีราคาถูก ในช่วงที่ภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 

พลันที่รัฐบาลบอกแบบนี้ ก็เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะแม้ ‘ตีนไก่’ จะเป็นวัตถุดิบที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ หลายประเทศนิยมรับประทานโดยนำมาต้มหรือตุ๋นในน้ำซุป แต่ในบางวัฒนธรรม เช่น อียิปต์ มองว่าตีนไก่ไม่ใช่วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารได้ เป็นแค่เศษอาหารเหลือทิ้ง ที่มักให้สุนัขหรือแมวกินเท่านั้น คนจำนวนมากจึงรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำนี้ เพราะมองว่ารัฐบาลควรพยายามหาทางแก้วิกฤตนี้ให้ได้ แทนที่จะขอให้ประชาชนหันไปกินอาหารที่เป็นสัญลักษณ์ของความยากจน

สำหรับอียิปต์เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาหรับ และมีศักยภาพทางเศรษฐกิจเหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรัฐบาลชี้ว่า ประชากรในประเทศราว 30% มีรายได้อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ขณะที่ธนาคารโลกประเมินในปี 2019 ว่า ชาวอียิปต์ประมาณ 60% มีฐานะยากจนหรืออยู่ในกลุ่มเปราะบาง

ด้านประธานาธิบดีอับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจของอียิปต์เริ่มขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ชุมนุมอาหรับสปริงในปี 2011 ประกอบกับจำนวนประชากรในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแตะ 109 ล้านคน ยิ่งซ้ำเติมปัญหาด้านทรัพยากรที่มีจำกัด รวมถึงความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังมีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งวิกฤตโรคระบาด ซึ่งทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออกจากอียิปต์ในปี 2020 นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตสงครามในยูเครนด้วย

แต่ละปี จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากรัสเซียและยูเครนเดินทางมาที่อียิปต์ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปมากนับตั้งแต่เกิดสงคราม จนทำให้รายได้ในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 5% ของ GDP ติดลบอย่างหนัก

‘นายกฯ คิชิดะ’ ถูกคนร้ายปาระเบิดควันใส่ ขณะปราศรัยที่วากายามะ เคราะห์ดี จนท.เข้ารวบตัวคนร้ายไว้ได้ทัน รีบนำตัวออกจากพื้นที่ทันที

(15 เม.ย. 66) ตำรวจญี่ปุ่นรวบตัวชายต้องสงสัยปาวัตถุคล้ายระเบิดควันเข้าใส่นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ขณะกำลังกล่าวปราศรัยกลางแจ้งที่เมืองวากายามะ (Wakayama) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (15 เม.ย.) โดยผู้นำญี่ปุ่นถูกกันตัวออกจากพื้นที่ และไม่ได้รับอันตราย

สถานีโทรทัศน์ NHK รายงานว่า มีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่ทีมอารักขาจะรีบกันตัวนายกฯ ออกจากพื้นที่ และตำรวจสามารถควบคุมตัวชายต้องสงสัยไว้ได้ในที่เกิดเหตุ

สื่อญี่ปุ่นยังเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ที่ผู้คนต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ขณะที่ตำรวจหลายนายรีบพุ่งเข้ากดตัวชายต้องสงสัยลงกับพื้นและนำตัวเขาออกไป

ตราบาปของกองทัพเมียนมาต่อชาวไทใหญ่ การตัดสินใจสุดท้าทายของ ‘มิน อ่อง หล่าย’

หลังจากที่เอย่าได้นำเสนอเรื่องราวการสร้างหอคำหลวงแสนหวีและหอคำหลวงเชียงตุงแก่ชาวแสนหวี ล่าเสี้ยวและเชียงตุงแล้ว อีกเรื่องเรื่องหนึ่งที่เป็นกรณีพิพาทครั้งสมัยนายพลเนวิน ที่สร้างตราบาปให้แก่กองทัพเมียนมาต่อประชาชนชาวไทใหญ่คือการจับ เจ้าส่วยแต๊กและยึดหอเจ้าฟ้าเมืองยองห้วย

แต่ก่อนจะมาพูดถึงเรื่องนี้ เรามารู้จักเจ้าส่วยแต๊กก่อนว่าท่านผู้นี้คือใคร เจ้าส่วยแต๊ก หรือ เจ้าคำศึก พระนามเต็มในฐานะเจ้าฟ้าไทใหญ่แห่งเมืองยองห้วยคือ ‘เจ้าฟ้ากัมโพชรัฐสิริบวรมหาวงศาสุธรรมราชา’ ท่านเป็นประธานาธิบดีแห่งสหภาพพม่าพระองค์แรกหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ และท่านเป็นเจ้าฟ้าพระองค์สุดท้ายของเมืองยองห้วย พระองค์เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงทางการเมืองในหมู่ประชาชนชาวไทใหญ่ พระองค์สิ้นพระชนม์จากการถูกจับขังในคุกในย่างกุ้งหลังจากการรัฐประหารโดยนายพลเนวินในปี พ.ศ. 2505 และในอีก 2 ปีต่อมา หอเจ้าฟ้าเมืองยองห้วยก็ถูกยึดเป็นสมบัติของกองทัพ 

ต่อมา เจ้าเห่หม่า แต๊ก ธิดาของเจ้าส่วยแต๊ก ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลเมียนมาและรัฐบาลรัฐฉาน ขอให้ “คืน” สิทธิ์ครอบครองหอเจ้าฟ้าเมืองหยองห้วยกลับมาให้เธอ ในฐานะทายาทโดยชอบธรรมของเจ้าส่วยแต๊ก

ซึ่งเธอได้ยื่นเรื่องทวงคืนครั้งแรกตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเต็งเส่ง ตั้งแต่ปี 2556 ต่อมาได้ยื่นอีกในปี 2557, 2558, 2560 และ 2562 แต่เธอก็ไม่เคยได้รับคำตอบใด ๆ จากรัฐบาลของประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย นั่นก็เพราะว่าปี 2556 รัฐบาลเมียนมาได้มอบกรรมสิทธิ์ให้รัฐบาลรัฐฉานเป็นผู้รับผิดชอบหอเจ้าฟ้าหยองห้วย โดยรัฐบาลรัฐฉานได้เปิดหอเจ้าฟ้าให้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงรูปภาพ 91 รูป ข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าฟ้า 338 ชิ้น รวมถึงเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของเจ้าฟ้า 138 ชุด จากนั้นก็ให้เจ้าเห่หม่า แต๊ก กับผู้ช่วยอีก 6 คน คอยดูแล และเป็นผู้อธิบายเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีของชาวไทใหญ่ แก่ผู้ที่มาเยือน

'ผู้นำเมียนมา' ธำรงหลากอารยะในวันที่ชาติพันธุ์ยังไม่สิ้นศรัทธา เดินหน้ากุมหัวใจชาวรัฐฉาน เพื่อคงไว้ซึ่งความสงบสุข

เมื่อก่อนสงกรานต์ที่ผ่านมา นายพลมิน อ่อง หล่าย ได้ไปเป็นประธานเปิด หอคำแสนหวี ที่เมืองแสนหวี เรื่องนี้นับเป็นก้าวแรกของคำสัญญาที่ นายพลมิน อ่อง หล่ายทำให้แก่ชาวไทใหญ่ ตามที่เขาได้หารือหยุดยิงกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่รัฐฉาน

สำหรับหอคำเมืองแสนหวีที่สร้างใหม่ จะมีความเหมือนกับหอคำเดิมที่ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของขุนส่างต้นฮุง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทย หลังถูกทำลายไปโดยกองทัพพม่าของนายพลเนวิน ตอนยกเลิกระบอบเจ้าฟ้าในรัฐฉาน

ไม่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายพล มิน อ่อง หล่าย ก็ได้เป็นประธานในพิธีฝังอิฐเงิน อิฐคำ เปรียบได้กับพิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างหอหลวงเชียงตุงหลังใหม่ บริเวณริมหนองตุง ฝั่งตะวันตก ตรงข้ามที่ตั้งหอหลวงหลังเดิมซึ่งถูกกองทัพพม่าระเบิดทิ้งไปเมื่อ 31 ปีก่อน โดยหอคำที่เชียงตุงนั้นสร้างขึ้นตามความต้องการของชาวเชียงตุงเพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวเชียงตุง โดยใช้ที่ดินซึ่งเคยเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าฟ้าเชียงตุงเป็นสถานที่ก่อสร้างและยึดรูปแบบตามสถาปัตยกรรมของหอหลวงเชียงตุงหลังเดิมตามแบบของเจ้ารัตนะก้อนแก้วอินแถลงที่ได้แรงบันดาลใจในการสร้างหอหลวงหลังนี้ จากการเดินทางไปประชุมที่อินเดีย 

ย้อนไปในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2534 ในยุคที่นายพลตานฉ่วยเป็นผู้นำสหภาพพม่า ท่ามกลางเสียงคัดค้านของชาวเชียงตุงที่ดังออกมาจากทั่วทุกหัวระแหง กองทัพพม่าได้ระเบิดหอหลวงเชียงตุงทิ้ง และมอบที่ดินซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอหลวงให้บริษัทเอกชนเช่า สร้างเป็นโรงแรม ใช้ชื่อว่าโรงแรมนิวเชียงตุง และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมอะเมซซิง เชียงตุงในเวลาต่อมา แม้จะมีการขอคืนที่ดินดังกล่าวในสมัยรัฐบาล NLD โดยมีการประชุมระหว่างทายาทของเจ้าก้อนอินแถลงร่วมกับเหล่าผู้อาวุโสของเมืองในการทำหนังสือเรียกร้องขอคืนที่ดินดังกล่าวต่อประธานาธิบดีวิน หมิ่น และผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม, รัฐมนตรีกระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยว รวมถึง ดร.ลิน ทุต มุขมนตรีรัฐฉาน ซึ่งเป็นคนของพรรค NLD

Warren Buffett ชี้!! Crypto เป็นเพียงแค่เหรียญพนัน แต่ยังมีคนทำเรื่องโง่ๆ เพียงเพราะหวังรวยแบบข้ามคืน

(14 เม.ย. 66) World Maker เผยมุมมองของนักลงทุนระดับตำนานอย่างปู่ Warren Buffett ซึ่งมองว่า “Crypto เป็นเพียงเหรียญพนัน” ที่ไม่เคยมีมูลค่าอะไรจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย ! หลังจากก่อนหน้านี้ออกมากล่าวชัดเจนว่าอนาคตของ Crypto จะพบจุดจบที่เลวร้าย !

ปู่กล่าวว่า “ได้เห็นคนจำนวนมากทำเรื่องโง่ ๆ มาตลอดชีวิต เช่น การซื้อล็อตเตอรี่” (ซึ่งมีโอกาสถูกรางวัลน้อยมาก) และรู้สึกเห็นใจที่คนส่วนใหญ่มีความคิดว่าจะรวยได้รวดเร็วแบบข้ามคืน ! พร้อมทั้งกล่าวว่า Bitcoin หรือ Crypto ก็แทบไม่ต่างกันเลย มันเป็นการพนันล้วน ๆ

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า “สัญชาตญาณในการพนันของคนนั้นแข็งแกร่งมาก” โดยเฉพาะเมื่อเห็นเรื่องราวของคนที่รวยได้แบบข้ามคืนจากการพนัน จะยิ่งทำให้ผู้คนอยากพนันมากขึ้นไปอีก เพราะคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้โชคดี

ทางด้านปู่ Charlie Mungur คู่หูของปู่ Buffett เองก็มีมุมมองที่คล้ายคลึงกัน โดยกล่าวว่าเหรียญเหล่านี้เป็นสิ่งลวงโลกที่เอามาหลอกคนอยากรวยเร็ว มันเป็นเหมือนกามโรคชนิดหนึ่ง และยังกล่าวอีกว่ารัฐบาลควรออกกฏหมายใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเข้าไปเก็งกำไรแบบผิด ๆ จนเกิดหายนะ

📌 ซึ่งพร้อมกันนี้ ราคา Bitcoin พุ่งกลับขึ้นมายืนเหนือ 30,000 $/BTC อีกครั้ง และเริ่มมีข่าวปั่นกระแสเหมือนที่สื่อไทยคุบางแห่งเคยหลอกเงินชาวบ้านโดยเชียร์ซื้อเหรียญพร้อมอ้างว่าเป็นอนาคตของโลกตอนราคาประมาณ 50,000-60,0000 ดอลลาร์ก่อนจะร่วงยับ -80% เช่นเดียวกับที่เชียร์ซื้อหุ้น Tesla ตอนยอดดอย บอกเป็นโอกาสสุดท้ายในการซื้อราคาถูก ก่อนร่วงยับ -70%

อย่างไรก็ตาม บางคนยังพยายามกระหน่ำมุมมองว่า Crypto จะเข้ามาล้มดอลลาร์และระบบเงิน Fiat ในอนาคต โดยให้เหตุผลถึงการพุ่งขึ้นของ Bitcoin ว่ามาจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อระบบการเงินดั้งเดิม โดยเฉพาะหลังจากเกิด Bank Run ทำให้คนสนใจในคริปโตมากขึ้น ?

ถอดรหัส 'สื่อปด-ข่าวบิดเบือน' เรื่อง 3 PDF กับ รัฐบาลไทย ความจริงที่ไม่เคยคิดแสวงหา แต่ถูกใจที่ได้มาร่วม 'ใส่สีตีไข่'

เรื่องราวการจับกุม PDF (กองกำลังพิทักษ์ประชาชน : People's Defence Force) ทั้ง 3 คนที่แม่สอด และทางไทยนำส่งกลับไปยังเมียนมา ได้ถูกหยิบมาตีเป็นข่าวใหญ่ เสมือนว่าไทยส่งทั้ง 3 คนไปสู่เงื้อมมือพญายม  
เอย่าว่าดูมันจะโหดร้ายไปหน่อยไหมกับการออกมากระพือข่าวโจมตีรัฐบาลไทย ตั้งแต่ รัฐบาล NUG รวมถึงพรรคก้าวไกลไป และบรรดาเพจที่ออกตัวสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยเสียสุดลิ่มทิ่มประตู โดยมิได้หาความจริงเลยว่า...เนื้อแท้ของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้คืออะไร?

***ตามรายงานข่าวของสื่อไทยบางสื่อระบุว่า....

“สมาชิกแห่งหน่วยรบพิเศษคอมมานโดฯ ทั้ง 3 คน พยายามข้ามชายแดนเมียนมามายังจังหวัดตาก เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของติฮะ หลังจากพวกเขาถูกโจมตีฐานทัพในจนโด (Kyondo) เมืองกอกะเร็ก (Kawkareik) รัฐกะเหรี่ยง เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา จนในวันที่ 1 เมษายน พวกเขาเดินทางไปยังคลินิก จนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองในแม่สอด เพราะหลงทาง”

***คำบรรยายท่อนนี้มีจุดสังเกตที่เป็นนัยยะที่น่าสงสัยดังนี้...

จากประโยคข้างต้นแสดงให้เห็นว่าทั้ง 3 เดินทางมาถึงไทยและอาศัยหลบซ่อนในที่ใดไม่ปรากฎ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ 1 สัปดาห์ก่อนถูกจับ...ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะเดินหลงทางจากจุดซ่อนตัวไปยังคลินิกหรือโรงพยาบาลที่รักษาพวกเขา ทั้งๆ ที่พวกเขาเข้ามารักษาแล้วถึงเกือบ 7 วัน?

น่าสงสัยไหมว่าอยู่ดีๆ คนที่ข้ามแดนมาอย่างผิดกฎหมายจะเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง?...คือ ต้องเข้าใจก่อนว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนี่เขาจะอยู่เฉพาะจุด เช่นบริเวณด่านชายแดน ซึ่งไม่เหมือนตำรวจกองปราบหรือตำรวจตระเวนชายแดนนะ

มาถึงจุดนี้ในข่าวที่สื่อบางสำนักรายงานออกมามีความคลุมเคลือสงสัยมาก แต่ขอละไว้ก่อน เอย่าจะพามาดูข้อกำหนดว่า หากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้พบคนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายแล้ว เขาจะทำยังไง?

งานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาโดย ตาม พรบ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในมาตราที่ 12 วรรค 1 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า...
.
>> มาตรา 12 ห้ามมิให้คนต่างด้าวซึ่งมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้เข้ามาในราชอาณาจักร...
...วรรค 1 ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางอันถูกต้องและยังสมบูรณ์อยู่ หรือมีแต่ไม่ได้รับการตรวจลงตราในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางเช่นว่านั้นจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศหรือจากกระทรวงการต่างประเทศ เว้นแต่กรณีที่ไม่ต้องมีการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวบางประเภทเป็นกรณีพิเศษ

>> และในมาตรา 54 ระบุว่า...
...คนต่างด้าวผู้ใดเข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตนั้นสิ้นสุดหรือถูกเพิกถอนแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะส่งตัวคนต่างด้าวผู้นั้นกลับออกไปนอกราชอาณาจักรก็ได้...

สรุปให้สั้นๆ นะ!! จากจุดนี้จึงมั่นใจได้เลยว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในวันนั้นไม่ได้รู้ด้วยว่า 3 คนนั้นเป็นใคร รู้เพียงแต่ว่า 3 คนนี้เข้ามาอย่างไม่ถูกต้องและต้องถูกส่งกลับตามมาตรา 54 (เคลียร์ตรงนี้ก่อนนะ)

ทีนี้ในข่าวระบุต่อว่า “เจ้าหน้าที่ไทยกลับส่งชายทั้ง 3 กลับไปยังประเทศต้นทาง ด้วยการลงเรือข้ามแม่น้ำเมยในเวลา 08.00 น. ซึ่งสถานที่นั้นคือฝั่งตรงข้ามฐานของกองกำลังพิทักษ์ดินแดนในหมู่บ้านอิงยินเมียอิง (Ingyin Myaing) นอกจากนี้ยังมีคนพบเห็นว่า กองกำลังดังกล่าวยิงใส่ผู้อพยพทั้ง 3 ก่อนลักพาตัวหนีไป”

จากจุดนี้...ว่ากันในเรื่องของการส่งตัวข้ามแดนของไทยตามมาตรา 55 ว่าด้วยการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น ตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะส่งตัวกลับโดยพาหนะใดหรือช่องทางใดก็ได้ ตามแต่พนักงานเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเห็นสมควร

ส่วนข้อความที่อ้างว่า “กองกำลังดังกล่าวยิงใส่ผู้อพยพทั้ง 3 ก่อนลักพาตัวหนีไป” อันนี้สับสนมากเพราะถูกกุมตัวแล้วถ้ายิงใส่คงไม่ได้ลักพาตัวหนีไปหรอก แต่น่าจะเป็นหอบร่างไร้วิญญาณเสียมากกว่า

การที่ใครจะออกมาตำหนิการทำงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หากคุณเป็นคนไทยควรศึกษาให้มากเกี่ยวกับกฎหมายของไทย ไม่ใช่มีไมค์จ่อปาก คีย์บอร์ดจ่อมือแล้วพูดหรือพิมพ์เป็นเดือดเป็นร้อนโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายไทย  

...และเชื่อได้เลยถึงจะพาพวกเขาไปส่งฝั่งเมียนมาแล้วเจ้าหน้าที่ไทยยังคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้ง 3 คนเป็นใคร  เพราะประเด็นฝั่งไทยที่ทั้ง 3 โดนจับ คือ เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย...ส่วนฝั่ง NUG ที่ออกมาตำหนิไทยน่ะนะ...ถ้าหากว่าอยากจะรับผิดชอบต่อ 3 คนนี้ไม่ให้ถูกส่งกลับไปยังเมียนมา ก็ควรจะประกาศออกมาเลยถึงสถานที่ตั้งของ NUG ในประเทศไทยและใครเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ไม่รู้จะติดต่อใครจะให้ติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมาในกรุงเทพก็ไม่แคล้วได้รับคำสั่งให้ส่งกลับอยู่ดี 

ข้ามมาในฟากของเหล่าเพจสาวกประชาธิปไตย นี่ก็เช่นกัน ก่อนที่จะงับข่าวใดๆ ไปใส่สีตีไข่ ควรหาความรู้เปิดข้อกฎหมายอ่าน ซึ่งเดี๋ยวนี้สามารถหาได้อ่านฟรีในอินเทอร์เน็ตแล้ว อยากจะปลุกปั่นอะไร อ่านและหาความรู้เยอะๆ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาชวนเชื่อ

*""ประเด็นนี้ทีมงานของเอย่าได้สืบเสาะหาความจริงของเรื่องราวดังกล่าวมาบอกกล่าง ซึ่งน่าจะไม่ตรงกับข่าวในสำนักไหนเลย ลองมาดูไทม์ไลน์กัน...

มนุษยธรรมจอมปลอม ‘จุดด่างดำ’ ใต้กระโปรงเทพีเสรีภาพ ในวันที่ลุงแซมชอบอ้างภาพว่า ‘ตนเป็นผู้โอบอ้อมอารี’

อเมริกาชอบอ้างเรื่องสิทธิและเสรีภาพมาตลอด รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มักเอาวาทกรรมเหล่านี้มากล่าวหาชาติอื่นอยู่เสมอ จนชาวโลกเอือมระอา เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ลุงแซมนี่แหละที่ชอบชี้นิ้วใส่หน้าคนนั้นคนนี้แล้วป่าวประกาศว่า “พวกแกช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง” 

ดูพระเอกอันดับหนึ่งอย่างไอสิ ทั้งหล่อทั้งโอบเอื้ออารี แถมมีเทพีเสรีภาพเป็นพยานหลักฐานว่าประเทศไอนั้นต้อนรับผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนา ว่าแล้วยักคิ้วติดกันสองทีซ้อน ยิ้มฟันขาวกระจ่างไปทั้งปาก หลิ่วตานิดหนึ่งตามแบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ด

ที่ฐานอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนิวยอร์ก มีบทกวี 14 บรรทัดที่เรียกว่า ‘ซอนเนต์’ ของเอมม่า ลาซารัส บทกวีนั้นชื่อ The New Colossus มีเนื้อความเชิงกล่าวต้อนรับผู้อพยพทุกคนในโลกนี้มาสู่อเมริกา ดิฉันแปลท่อนสุดท้ายอันมีใจความสำคัญว่า...

“ได้โปรดส่งผู้อ่อนล้าและทุกข์เข็ญ
ผองชนที่ใคร่ดอมดมกลิ่นอายแห่งเสรีภาพ
ผู้ถูกหยามว่าเป็นเพียงเดนมนุษย์จากดินแดนของท่าน
หรือภิกขาจารไร้เรือนพักอาศัย
โปรดนำผู้คนเหล่านี้มาสู่อ้อมอกข้าเถิด
ข้าชูคบเพลิงรอรับพวกท่าน ณ เบื้องสุวรรณบาลแห่งนี้”

ลุงแซมชอบด่าคนอื่นว่าไร้มนุษยธรรม ไม่เคยส่องกระจกดูตัวเองว่ากระทำต่อคนอื่นไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่าชาติไหนๆ อย่างไทยเราแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรฮิงญา แต่ก็อ้าแขนรับคนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยความเมตตาเยี่ยงชาวพุทธ แม้ว่าโรฮิงญาเหล่านี้จะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ภายหลังก็ตาม หรือแม้แต่คราวที่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง ลาว, เขมร หรือพม่าเดือดร้อนเพราะสงครามภายใน เราโอบอุ้มไว้ด้วยความการุณมาทุกยุคสมัย ดูอย่างชาวมอญเถอะ เข้ามาพึ่งพระบรมธิสมภารพระเจ้าอยู่หัวจนกลายเป็นคนไทยอย่างเต็มตัว ไม่ว่าชาติใดภาษาไหน หากเดือดร้อนมา เราก็ยื่นขันน้ำให้ดื่มดับกระหายทั้งสิ้น

หันมาดูกรณีอเมริกา ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเลยคือ คนแถบอเมริกากลางมักได้รับข้อมูลอย่างผิดๆ มาตลอดว่า เมื่อมาถึงอเมริกาแล้ว จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และสามารถอาศัยอยู่ในอเมริกาได้ในฐานะ 'ผู้ลี้ภัย' แต่ความจริงคือเมื่อกลุ่มผู้อพยพเดินทางมาถึงพรมแดนเม็กซิโก-อเมริกา จะถูกเจ้าหน้าที่อเมริกาผลักดันให้กลับประเทศ แถมยังมีฝูงไฮยีน่าหรือพวกเครือข่ายค้ามนุษย์หลอกเอาเงินทองหรือข่มขืนอีกด้วย

ยุคทรัมป์ ทรัมป์นั้นกีดกันผู้อพยพจากประเทศโลกที่สามชัดเจน ทรัมป์เคยหลุดปากเรียกผู้อพยพจากประเทศอเมริกากลางและแอฟริกาว่าเป็น 'ประเทศรูขี้' หรือประเทศโสโครกมาแล้ว อย่าว่าแต่ทรัมป์เลย จะว่าไปทุกรัฐบาลนั่นแหละที่ปากว่าตาขยิบอยู่ตลอด ปากยิ้มร่าแสดงว่าข้าคือพระเอกอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับยกตีนเขี่ยพวกเม็กซิกันและอเมริกากลางที่ยากจนไปพ้นๆ บ้านตัวเอง  

นอกจากทรัมป์จะสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิตามแนวชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกแล้ว โอบาม่าก็ทำในสิ่งที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือสั่งประจำการกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ 1,200 นาย เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดข้ามพรมแดนและการอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช

ความปากว่าตาหยิบนั้นเห็นได้มาตลอดในประวัติศาสตร์อเมริกา ย้อนหลังไปหลายสิบปี จะเห็นว่าลุงแซมกีดกันผู้อพยพและคนผิวสีในชาติตนเอง ไม่ให้ได้สิทธิที่เท่าเทียมกับคนผิวขาวอยู่ตลอดเวลา เช่น ค.ศ.1790 มีการออกกฎหมายให้สัญชาติ (Naturaliztion Act) มุ่งกีดกันไม่ให้คนผิวดำได้เป็นพลเมืองอเมริกัน 

ก่อนหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีประธานาธิบดีที่ชูนโยบาย 'อเมริกาต้องมาก่อน' มาแล้ว นั่นคือ วาร์เรนจี. ฮาร์ดิง ประธานาธิบดีคนที่ 29 (ค.ศ.1921-1923) ออกนโยบายกีดกันต่อต้านผู้อพยพอย่างชัดเจน เพราะก่อนหน้าที่วาร์เรน จี.ร์ดิง จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี ชาวยิวและพวกยุโรปตะวันออกหลั่งไหลมาสู่อเมริกาถึง 22 ล้านคน ชาวยุโรปที่ลงเรือเดินทางมาอเมริกา จะเข้ามาทางนิวยอร์กในช่วงเวลานั้น สิ่งแรกที่มองเห็นและถือเป็นสัญลักษณ์ของอเมริกาคือ เทพีเสรีภาพ

‘จีน’ เอาจริง!! เร่งจัดการ ‘เนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมาย’ หน่วยไซเบอร์สเปซ เผย ยอดเดือน มี.ค.พุ่ง 16 ล้านกรณี

(12 เม.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า หน่วยกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีน รายงานว่า จีนจัดการกรณีเกี่ยวกับเนื้อหาออนไลน์ผิดกฎหมายหรืออันตราย ช่วงเดือนมีนาคม มากกว่า 16.7 ล้านกรณี ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 จากเดือนก่อนหน้า

รายงานระบุว่า กลุ่มเว็บไซต์รายใหญ่ของจีนได้จัดการกรณีลักษณะดังกล่าวราว 15.52 ล้านกรณี ส่วนเจ้าหน้าที่กำกับควบคุมอินเทอร์เน็ตส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคจัดการกรณีลักษณะดังกล่าวราว 1.18 ล้านกรณี

‘รัสเซีย’ โว!! ทดสอบ ‘ขีปนาวุธข้ามทวีป’ ผ่านฉลุย-แม่นยำ หลัง ‘ปูติน’ ระงับข้อตกลงอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รัสเซียได้ประกาศความสำเร็จในการยิงทดสอบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ขั้นสูง หลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ระงับความร่วมมือในข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ ‘New START’ กับทางสหรัฐฯ

กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุผ่านแถลงการณ์ว่า เจ้าหน้าที่กองทัพประสบความสำเร็จในการยิงไอซีบีเอ็มออกจากระบบยิงขีปนาวุธภาคพื้นดิน ที่ฐานการยิงจรวดคาปุสติน ยาร์ ของประเทศเมื่อวันอังคาร (11 เม.ย.) และว่า หัวรบทดสอบของขีปนาวุธดังกล่าวได้พุ่งโจมตีใส่เป้าหมายจำลองที่สนามทดสอบขีปนาวุธซารีชากันในประเทศคาซัคสถานตามความแม่นยำที่กำหนดไว้

แม้ว่ากระทรวงกลาโหมของรัสเซียจะไม่ได้ระบุประเภทของขีปนาวุธ ที่ถูกทดสอบเมื่อวันที่ 11 เมษายนอย่างชัดเจน แต่ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ปฏิบัติการดังกล่าวว่าเป็น ‘การทดสอบอุปกรณ์การต่อสู้ขั้นสูงของไอซีบีเอ็ม’

“การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ ทำให้สามารถยืนยันความถูกต้องของการออกแบบวงจร และการแก้ปัญหาทางเทคนิค ที่ถูกใช้ในการพัฒนาระบบขีปนาวุธเชิงยุทธศาสตร์อันใหม่” กลาโหมรัสเซีย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top